ยวนยางมิอาจเร้น - นิยาย ยวนยางมิอาจเร้น : Dek-D.com - Writer
×

    ยวนยางมิอาจเร้น

    ข้ามมิติหนีตาย เพื่อมาหนีตายในยุคเฮงซวยที่บุรุษเป็นใหญ่ก็ว่าแย่แล้ว เยี่ยนเยว่ยังต้องหลบซ่อนเพราะสามีผู้เป็นแม่ทัพคิดสังหารนางเข้าให้ ข้าเองก็ไม่อยากเป็นฮูหยินของเจ้า! ท่านโปรดเก็บกระบี่แล้วยื่นใบหย่า

    ผู้เข้าชมรวม

    166

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    166

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  6 มิ.ย. 67 / 18:31 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ดวงตะวันเคลื่อนย้ายไปทางทิศตะวันตก แสงสนธยายามสายัณห์ยังทอสีเพลิงเจิดจรัสลามเลียทุกหย่อมหญ้า อากาศในช่วงต้าสู่[1]ร้อนระอุ รู้สึกเหนียวเหนะหนะไม่สบายกายทั้งคนและอาชาที่กำลังเดินทางอย่างรีบเร่งไปตามเส้นทางแห้งแล้งทุรกันดาร

              “สารถี ท่านจอดพักศาลาเบื้องหน้าได้หรือไม่ นายหญิงของข้าฝืนเดินทางต่อไม่ไหวแล้ว”

              “ย่าส์ !” 

    วาจาที่ร้องขอไร้การตอบสนองจากคนบังคับม้า ไร้สำเนียงอื่นใดนอกจากเสียงเร่งเร้าบังคับม้าให้ห้อทะยานเกือกม้าย่ำเท้าอย่างต่อเนื่อง รถม้าพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ความเร็วไม่ได้ลดลง กระทั่งวิ่งเลยผ่านศาลาริมทาง เห็นเพียงหลังคาด้านหลังที่เคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ  

     สุยเจินโมโหยิ่งนัก มือเล็กกระชากม่านเก่าคร่ำครึให้เปิดกว้างอีกครั้ง พร้อมกับชะโงกหน้าออกไป

              “นี่เจ้า !”

     ทว่าเพียงแค่เพียงเปิดปากเท่านั้น พลันให้รู้สึกสากระคายคอ ด้านนอกฝุ่นละอองดินฟุ้งตลบคละคลุ้งสายลม ส่วนหนึ่งยังปลิวปะทะใบหน้านาง ครั้นสุยเจินมุดตัวกลับเข้ามาในรถม้า ใบหน้าของนางก็ดำด่างดูน่าขัน “หัวเราะอะไรของเจ้า !”

               “ข้าก็ขำใบหน้าของเจ้าสิ” สุ่ยอวี้ยิ้มเผล่ นางเป็นอีกหนึ่งบ่าวรับใช้ที่ตามติดคุณหนูมาจากจวนเสนาบดีพร้อมกับสุ่ยเจิน เดิมทีก็เป็นคนหัวเราะง่ายเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว

              “เจ้ายังมีสีหน้าเบิกบานอีกนะ วันข้างหน้าฮูหยินจะลำบากเช่นไร เจ้าไม่ร้อนใจเลยหรือ” 

              ฮูหยินถูกนายท่านขับไล่ ให้ไปเฝ้าศาลบรรพบุรุษประจำตระกูล เพราะจิตใจอิจฉาริษยาอนุภรรยาที่ตั้งครรภ์ก่อนตน จึงวางยาให้อีกฝ่ายตกเลือดมุ่งหมายให้ตายตกตามกันไปทั้งแม่ลูก 

              ฟางซินหรูเป็นอนุภรรยาที่นายท่านรักใคร่ พอรู้ความยังไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ ก็สั่งลงโทษคน ขับไล่ออกจากจวนทันที ด้วยความรังเกียจฮูหยินเป็นทุนเดิม แม้กระทั่งรถม้าของจวนก็ไม่ยินยอมให้ฮูหยินได้อาศัยเดินทาง สั่งพ่อบ้านให้ไปเช่ารถม้าโกโรโกโสมาแทน

              สี่สายตาเหลือบมองหญิงงามไม่เป็นสองรองใคร ความงามนั้นไม่ได้ฉูดฉาด ทว่าองคาพยพรับกันขับเน้นให้ใบหน้าหวานละมุน ผิวขาวใสราวกับจะบีบเค้นน้ำออกมาได้ ความงดงามนั้นใครได้ยลโฉมล้วนต้องอุทานในใจว่า ‘งามล่มเมือง’ น่าเสียดายที่มุกเม็ดงามเม็ดนี้ต้องถูกงำประกายซ่อนเร้นในดินแดนทุรกันดาร

    ภาพสาวงามหลั่งน้ำตา ฉุดรั้งหัวใจผู้คนให้วูบดิ่งเกิดความรู้สึกเวทนา

    “ฮูหยินท่านอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ” สุ่ยเจินน้ำตาปริ่มขอบตา เจ็บแค้นน้ำใจแทนนายของตนยิ่งนัก

     ร่างแบบบางราวกับจะปลิวไปตามสายลมอ่อนระทวยเพราะความเหนื่อยล้า รถม้าคันนี้ทั้งเก่าทั้งอับชื้น มิหนำซ้ำยังแข็งกระด้าง หาความสะดวกสบายไม่ได้เลย 

    “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะสุ่ยเจิน ทำไมท่านแม่ทัพไม่ฟังข้า” หวงฉือเฟิ่งใช้ผ้าซับน้ำตา ยังคงพร่ำวาจาดุจเดิม คล้ายไม่สดับรับฟังคำปลอบใดจากบ่าวรับใช้ 

    หนึ่งปีก่อนหน้า หวงฉือเฟิ่งเป็นเพียงดรุณีน้อยในห้องหับที่ยังไม่ผ่านพ้นวัยปักปิ่น นางอุตส่าห์เก็บตัวฝึกฝนเย็บปักถักร้อย ดีดพิณผีผา คัดอักษร ประพฤติตนอยู่ในหลักสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม เพื่อรอเกี้ยวเจ้าสาวมารับตัวสู่จวนตระกูลใหญ่

    ทว่าไม่คาดคิด จู่ ๆ จะได้รับราชโองการสมรสพระราชทานกับวีรบุรุษยอดแม่ทัพอย่างลู่ซงหลินที่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วหล้า หลังจากชนะศึกสงครามกับเผ่าเป่าอัน แม้ศึกจะยืดเยื้อยาวนานกว่าสามปี

     ผู้เฒ่าจันทราเมตตานางยิ่งนัก ถึงได้ผูกด้ายแดงกับบุรุษที่นางแอบซุกซ่อนไว้ในใจ แม้นางได้ขึ้นชื่อเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าหลง ทว่าบุรุษเพียงคนเดียวที่นางจะช้อนสายตามอง มีเพียงลู่ซงหลินเท่านั้น 

     หวงฉือเฟิ่งตั้งหน้ารอคอยวันที่แม่ทัพลู่ซงหลินนำกองทัพกลับเมืองหลวงเพื่อรับความดีความชอบ แล้ววันนั้นก็มาถึง นางซ่อนเร้นแฝงกายปะปนกับชาวเมือง รอต้อนรับวีรบุรุษผู้อาจหาญที่ประตูเมือง

    ลู่ซงหลินในวัยยี่สิบปีรูปร่างเขาสูงใหญ่เปลี่ยนแปลงไปมาก ใบหน้าที่กรำศึกแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขาม แต่กลับขับดันให้ใบหน้าคมสันงดงามดูแข็งกร้าวดุดัน บุรุษผู้นั้นถือกำเนิดในสนามรบ เติบโตในจวนแม่ทัพ ภาระหน้าที่และชาติกำเนิดอันสูงส่งหล่อหลอมให้เขาเป็นบุรุษที่เยือกเย็นและสง่างามยิ่งกว่าคุณชายใด ๆ ในเมืองหลวง

    แม่ทัพรูปร่างสูงใหญ่โดดเด่นที่สุดบนอาชาตัวพ่วงพี ม้าศึกก้าวย่างเชื่องช้าผ่านชาวเมืองที่แตกขบวนเป็นสองฝั่ง ครั้นม้าเดินเข้ามาใกล้จึงปรากฏเห็นสตรีนางหนึ่งซ่อนตัวด้านหลังเขา

     ลู่ซงหลินหยุดม้า กระโดดลงแล้วโอบอุ้มโฉมสะคราญไปยังรถม้าติดตราจวนแม่ทัพบูรพาที่คอยท่าอยู่ไม่ไกล  จากนั้นยืนส่งกระทั่งขบวนรถม้าเคลื่อนจากไป ลู่ซงหลินจึงย้อนกลับขึ้นหลังม้า พุ่งทยานตรงไปยังวังหลวงท่ามกลางความกังขาใคร่รู้ของชาวเมือง

    หวงฉือเฟิ่งร้อนรุ่มจิตใจ ลู่ซงหลินคิดการสิ่งใด นำพาสตรีกลับจวนหลังจากได้รับราชโองการสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ กระทำการเช่นนี้ไม่ใช่ว่า ไม่เห็นองค์ฮ่องเต้อยู่ในสายตาหรือ ใต้หล้านี้ แค่เพียงลมเปลี่ยนทิศ หากกำแพงสั่นคลอนผู้คนมากมายก็พร้อมใจจะผลักไสให้ล้มครืน 

    เขายังคงรังเกียจนาง อย่างไม่กลัวอาญาฟ้า...

    “นายท่านกำลังเสียใจที่สูญเสียคุณชายน้อย พอนายท่านสืบหาข้อเท็จจริงจนกระจ่าง ถึงตอนนั้นนายท่านต้องส่งรถม้าไปรับฮูหยินกลับจวนแน่เจ้าค่ะ” สุ่ยเจินเอ่ยปลอบใจเสียงแผ่วเบา แม้รู้ดีว่าอาจจะไม่มีวันนั้น นายท่านรังเกียจฮูหยินเพียงใดบ่าวไพร่ทุกคนต่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสได้ขับไล่ฮูหยินให้พ้นจวนเยี่ยงนี้ 

    “ต้องเป็นนังแพศยานั่นที่ใส่ร้ายข้า !” 

    หญิงงามเพียงใด แต่หากดวงตาฉายแววเกลียดชังดุดัน ก็ย่อมน่ากลัวเสียกว่าน่าชม สุ่ยอวี้เนื้อตัวสั่นเทาก้มหน้างุด หวาดผวาคุณหนูจะหันมาระบายอารมณ์กับตนแทน ผ่านไปราวหนึ่งลมหายใจ เนื้อตัวนางยังสบายดี จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง พบหวงฉือเฟิ่งสายตาเลื่อนลอยริมฝีปากขยับเบา ๆ ฟังดูคล้ายก่นด่าศัตรูคู่หัวใจแต่กลับไร้สุ้มเสียง

    ท้องฟ้าเริ่มสลัวราง พระอาทิตย์คล้อยต่ำลับเหลี่ยมเขา อีกไม่นานความมืดจะคืบคลานเข้าสู่ราตรีอันมืดมิด รถม้าชะลอความเร็วลง เมื่อวิ่งสู่หุบเขา แสงสว่างน้อยนิดเห็นภาพสองข้างทางเลือนราง อากาศที่ว่าร้อนแล้วยิ่งอึดอัดอบอ้าวขึ้นอีกหลายส่วน 

    เสียงเกือกม้ายังคงวิ่งเหยาะ ๆ ท่ามกลางเงาแมกไม้และเทือกเขาที่เห็นเพียงภาพสลัว ทันใดนั้นม้าก็แผดเสียงร้องแหลมสูงเสียดแทรกมวลอากาศ สองขายกสูงตื่นตกใจ แล้วห้อทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา 

    “ฮูหยิน ระวังนะเจ้าคะ !” 

    สามนายบ่าวภายในรถม้าตื่นตระหนก โดนแรงเหวี่ยงอัดเข้าผนังครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าม้าจะสงบลง 

    “นี่สารถีเกิดอะไรขึ้น !” สุ่ยเจินเลิกผ้าม่านบังตามองออกไปเบื้องหน้า ฉับพลันที่ลมหอบใหญ่ปะทะใบหน้า จิตใจตื่นตระหนกแทบเสียสติ เมื่อพบว่าม้าคลั่งไร้เงาคนกุมบังเหียน ปล่อยให้ม้าวิ่งเตลิดไปตามยถากรรม ดวงตาเบิกกว้างอีกครั้งครั้นเห็นหลุมดำเวิ้งว้างอยู่ข้างหน้า

    “ฮูหยินระวัง !”

    ฮี้ ! 

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาลปกคลุมสรรพสิ่ง เสียงม้าแผดร้องแหลมสูงสะท้อนก้องป่าใหญ่ รถม้าลอยละลิ่วลงหน้าผาสู่หุบเหวลึกมองไม่เห็นก้น ก่อนเงียบลงฉับพลัน ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมล้อกิ่งก้านพงไพร

    ราวกับเส้นทางนั้นไม่เคยมีผู้ใดสัญจร

     


     


    [1] ต้าสู่ เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด โดยจะอยู่ในช่วงประมาณวันที่ 22-24 กรกฎาคม เป็นการแบ่งฤดูกาลย่อย 24 ฤดูกาลย่อย

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น