การไปเจอเธอทุกเช้าช่างแสนงดงาม - นิยาย การไปเจอเธอทุกเช้าช่างแสนงดงาม : Dek-D.com - Writer
×

    การไปเจอเธอทุกเช้าช่างแสนงดงาม

    ทุกคนมีเหตุผลที่อยากไปเรียนเพื่อไปเจอใครบางคนทุกวันบ้างมั้ย

    ผู้เข้าชมรวม

    129

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    129

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  16 เม.ย. 65 / 14:43 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    คำประกาศ:ผมยับยั้งชั่งใจอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้มั้ย กลัวว่าถ้ามีคนอ่านแล้วมันดังผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงต่อ แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าหากเราส่งความรู้สึกไปถึงเธอด้วยการเขียนเรื่องนี้ไป มันอาจจะช้า แต่เราอยากให้รู้ว่า ไม่ว่าเธออยู่ที่ไหนเราจะคอยช่วยเหลือเธอตลอด เราอยากเห็นเธอมีความสุขในชีวิตเท่านั้นเอง

    ทุกๆเช้าช่างเหมือนทุกๆวันของเมื่อวาน  อากาศเย็นอ่อนๆพัดมาให้ผมสูดกลิ่นยามเช้าทุกครั้ง เสียงนกกระจอกดังจิ๊บๆเมื่อแสงแดดโผล่พ้นออกมาจากก้อนเมฆเพื่อออกหากินในตอนกลางวัน กิจวัตรเดิมๆของผมคือ ตื่นตอน6โมง หรือไม่ก็สายกว่านั้น เพื่อที่พวกเราจะได้เช็คชื่อเพื่อไปเรียนให้ทันเวลา ใครไม่ทันมีโทษ ผมอาศัยอยู่กับเพื่อนๆในค่ายติวเตรียมทหาร พวกเราไม่ค่อยจะมีวินัยสักเท่าไหร่ ใครตื่นก่อนก็อาบน้ำก่อน อย่าลืมเช็คชื่อให้เพื่อนคนอื่นด้วย แม้หลายครั้งใครบางคนจะเสร็จก่อนแต่ก็ยังต้องรอรถสองแถวเพื่อรอคนที่เหลือให้ไปพร้อมกัน มีรถบางคันมาจอดรอเราอยู่แล้ว ค่ายของเราเป็นค่ายเล็กๆอยู่กัน30คน ถึงแม้อาจจะต้องรอนานแต่สำหรับคนขับแล้วมันคุ้มค่าที่จะรอ ผมถือข้อสอบไปด้วยทุกเช้า ระหว่างรอทั้งรถทั้งเพื่อนก็ต้องทำข้อสอบไปด้วย เวลาทุกนาทีมีค่า สภาพที่พวกเราห้อยโหนรถสองแถวที่บางคันจะพังแหล่มิพังแหล่ผมยังจำได้ดี บางครั้งก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายไปด้วย ทำให้ลุงป้าน้าอาน้องๆที่เผลอติดรถมาด้วยอยากจะลงจากรถในทันที ระยะทางจากค่ายติวกับโรงเรียนผมไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณ5นาทีหรือมากกว่านั้นเนื่องจากรอรับคนระหว่างหรือไม่ก็รถติด แม้ระยะทางไม่ไกลเป็นเพียงระยะเวลาสั้น แต่หลายครั้งผมก็ชอบมองออกไปนอกตัวรถเพื่อที่รับลมเย็นๆในตอนเช้า มองต้นไม้ที่รัฐบาลปลูกระหว่างทาง แสงสีทองที่สะท้อนองค์พระพุทธรูปที่ประตูเมืองดูสวยงามเหมือนทุกวัน ร้านอาหารที่ขายข้างทางหน้ารร.อนุบาลดูวุ่นวายไปด้วยเด็กๆและผู้ปกครอง เด็กบางคนก็เดินดุ่ยๆกินฮอทดอกไม่ก็ขนมปังปิ้งเลอะแก้มตุ้ยๆไปหมด ดูแล้วก็น่ารักดี ช่วงนี้แหละตอนที่รถสองแถวไปหยุดอยู่หน้าร.ร.อนุบาลจะติดขนัดไปหมด พวกเราหลายคนก็จะบ่นกันใหญ่ว่าเดินไปจะดีกว่ามั้ยอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงแล้วเนี่ย ถึงจะบ่นไปแต่ก็ไม่มีใครลงไปเดินสักคน เพราะการลงแล้วจ่ายเงินกลางทางไม่มีใครเขาทำกัน อีกอย่างการที่ได้สนทนากันบนรถก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเรียนมันเป็นอะไรที่สนุกที่สุด เรารอสักประมาณ5-10นาทีรถก็ได้มาถึงหน้าร.ร.สักที(ขออนุญาตไม่บอกชื่อน้า)กับข้าวหน้าร.ร.คือสิ่งที่น่าคิดถึงและน่าจดจำที่สุด ถึงจะเป็นหมูปิ้ง10บาท,ไก่ทอด10บาท,ข้าวมันไก่15บาทธรรมดาแต่มันก็ทำให้เราทุกคนคิดถึงมันเมื่อเราจบไปแล้ว เมนูของผมเหมือนเดิมเกือบทุกวัน ถ้าไม่กินหน้า
    ร.ร.ก็ในร.ร.หรือไม่ก็ไม่กินเลย ถ้าเป็นหน้าร.ร.จะเป็นกรณีที่ผมต้องรีบปั่นงานหรือไม่ก็ขี้เกียจไปโรงอาหาร ถ้าในร.ร.คือเป็นวันชิวๆเดินช้าๆไปโรงอาหารคุยเล่นกับเพื่อนทานโจ๊กปลาดอลลี่ใส่ไข่อร่อยเหาะ ถ้าวันไหนไม่กินคือวันที่เงินใกล้หมด จะเป็นช่วงสุดสัปดาห์หรือต้นสัปดาห์ก็ว่ากันไป
     (>เงินที่พ่อ-แม่ผมให้มาจะพอดีกับค่าอาหารในทุกๆวันคือวันละ100รวมเป็น700ต่อสัปดาห์ แบ่งเป็นค่ารถไปกลับ10 มื้อเช้า20 กลางวัน20 มื้อเย็น30มันจะเหลือ20 แต่อนิจจังเป็นเพราะความหิว ผมเอาเงิน10บาท ไปซื้อน้ำหวานแล้วก็ขนมหมด บางอาทิตย์เหลือ300ตั้งแต่วันจันทร์เรียกได้ว่าไส้กิ่วกันทั้งสัปดาห์555)
    เกือบทุกเช้าผมกินซาลาเปาลุงเปา อร่อยที่สุดในย่านนี้เลย ผมเคยถามลุงเปาว่า
    “ทำไมไม่ขายขนมจีบด้วยละครับ” ผมชอบกินขนมจีบมากกว่าซาลาเปา แต่ถ้าเป็นซาลาเปาลุงเปาก็โอเคนะไม่กินก็ได้
    "มันจะไม่เป็นร้านซาลาเปาน่ะ แล้วอีกอย่าง ลุงทำขนมจีบไม่เป็น ทำไปก็ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า ถ้าทำก็ต้องคิดสูตร"
    “ลุงก็เปลี่ยนเป็นร้านลุงเปา ซาลาเปา&ขนมจีบสิครับ”ผมตอบไปยิ้มไป
    “ไม่ได้ๆ มันไม่เป็นตัวเรา ทำแบบนี้นี่แหละดีแล้ว”ลุงเปาตอบพลางส่ายหัวไปพลาง ทำให้ผมรู้สึกผิดที่ีไปคะยั้นคะยอแกเล็กน้อยเลย
    ผมพยักหน้าแบบเข้าใจแล้วเดินไปซื้อนมเย็นต่อ การมิกซ์กันของซาลาเปาไส้หวานกับนมเย็นตอนเช้ามันดูดีแบบสุดๆ
    หลังจากมื้อเช้าแล้วจะเป็่นช่วงของการอ่านหนังสือที่ห้องสมุดไม่ก็ปั่นงานไม่ก็นั่งคุยกับวงเพื่อน แต่สิ่งที่ผมทำบ่อยสุดคือการมองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้องหรือสักที่ในห้องสมุดคนเดียวปล่อยใจชิวๆกับภาพเบื้องหน้า มองดูนกที่บินผ่านบ้าง เมฆที่ค่อยๆเคลื่อนไปใบไม้ที่พริ้วไหวอยู่อย่างนั้นมันทำให้สุขภาพจิตผมดีขึ้นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน  อากาศยามเช้าของร.ร.เย็นแค่ช่วงแรกๆ(เพราะรรใกล้กับแม่น้ำ)แต่หลังเคารพธงชาติคือแย่ที่สุดเลย ผมกับเพื่อนเหงื่อแตกกันเล็กน้อยขณะที่ฟังครูบางคนพูด(บางท่านก็พูดนานเกิ้น)ก่อนจะเข้าห้องเรียนผมมักจะปลีกตัวออกจากหมู่เพื่อนเพื่อไปนั่งคนเดียวใต้ร่มไม้สักที่ เพราะการที่ต้องแหวกผู้คนขึ้นตึกเป็นอะไรที่ผมทำใจยาก ผมไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวายเลย มันเป็นเหตุผลที่คาบแรกผมมักจะเข้าห้องช้า แล้วก็แอบย่องเข้าห้องตลอด  ช่วงที่เรียนแต่ละคาบมันทำให้ใจผมห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก ผมไม่ชอบสิ่งที่รรพยายามจะมอบให้เลย บางความรู้เอยก็ไม่จำเป็นกับชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ค่ายติวสอนแล้ว ผมเลยเลือกที่จะนั่งทำโจทย์แบบเอาเป็นเอาตายเพื่อสอบเข้ารรเตรียมมากกว่า โดนอาจารย์ดุมาก็หลายครั้งแต่ก็ทำเหมือนเดิม นอกจากวิชาที่ใช้สอบเข้าแล้วมีแค่บางวิชาเท่านั้นที่ผมสนใจ คือวิชาวาดรูป เกษตร พละ แล้วก็นาฏศิลป์ คาบเช้าผ่านไปอย่างเนือยๆ ง่วงนอนแล้วแอบงีบบ้างเพราะผมอ่านหนังสือดึก เสียงกริ่งดังเท่านั้นแหละผมจะรอให้ผู้คนหลั่งไหลออกจากห้องรอให้คนน้อยๆแล้วค่อยเดินไปกินข้าว  ระหว่างรอก็เอาโจทย์มาทำพลางๆ จนบางครั้งเกือบไม่ได้กินข้าว หรือเผลอหลับไปไม่ตื่นมากินก็มี ถ้าวันไหนเซ็งๆก็ไปห้องสมุดซื้อขนมที่สหกรณ์มากินด้วย(แอบเอาขึ้นนะ อย่าทำตาม) พอถึง1600โมงเย็นเป็นเวลาที่ผมขี้เกียจเดินกลับที่สุด จากรรไปที่ขึ้นรถสองแถวก็ไกลอยู่นะ ไม่เข้าใจว่าทำไมทางรรถึงไม่ส่งเรื่องไปทางเทศบาลให้มาจอดรถหน้ารรก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆที่มาส่งหน้ารรยังมาส่งได้ 
    แต่ทำไมมารับไม่ได้ แต่บ่นไปผมก็ต้องเดินเหมือนเดิมอยู่ดี เฮ้อ! 
    ตอนเดินผ่านรรอนุบาลผมจะถือโจทย์ไปด้วยพร้อมขบคิดถึงปัญหาต่างๆระหว่างเดิน แล้วมันก็จะมีเด็กเล็กเด็กน้อยวิ่งเล่นทั้งกินทั้งซื้อขนมหยอกกันก็ดูน่ารักดี ผมเลยสงสัยว่าถ้ารถมารับหน้ารรเลยผมจะได้มาเห็นความน่ารักของเด็กพวกนี้งั้นหรอ(ผมไม่ได้รักเด็กนะ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวมากกว่า)
    หลังกลับมาถึงหอพักแล้วเพื่อนในหอคนอื่นก็จะทำกิจกรรมที่แตกต่างออกไป เเล้วแต่คน บางคนกลับช้าหน่่อย บางคนกลับมาออกกำลังกายเลยก็มี บางคนก็อ่านหนังสืิอ แต่ที่ผมมั่นใจได้สิ่งนึงเลยก็คือผมขอนอนก่อน 5โมงเย็นแล้ว อากาศยังร้อนอยู่ แต่แสงแดดก็เริ่มเบาบางลง ทุ่งนาข้างค่ายติวผมยังจำได้ดี มันช่วยเยียวจิตใจ สมองที่อ่อนล้าทั้งวันของผมได้ดี บางครั้งเวลาวิ่งข้างถนนก็จะมีลมพัดมาเบาๆ ทำให้ท้องทุ่งสีทองเคลื่อนไหวไปด้วย เหมือนต้นข้าวมันเต้นระบำได้เลย ผมวิ่งลัดเลาะตามเส้นทาทุ่งนงต่างๆ หาเส้นทางใหม่ๆไปเร่ื่อยพบเจอแต่สิ่งใหม่ทั้งหมู่บ้านและผู้คนรู้สึกเหมือนหนังเรื่องThe Maze Runnerภาคแรกเลย ที่กลุ่มพระเอกต้องวิ่งไปเส้นทางใหม่ๆ เพื่อหาประตูออกจากกำแพง คนพื้นที่แถวนั้นก็จะมองผมแปลก บางครั้งก็กลัววัยรุ่นรุมต่อย แต่ผมก็มั่นใจในความเร็วของผมอยู่นะ นอกจากผมวิ่งคนเดียวแล้ว ถ้ามีใครสักคนนัดไปเล่นบาสเตะบอล ก็จะตอบตกลงทันที เล่นนานจนเซียน เล่นจนเอาเเข้งไปวัดกับทีมระดับอำเภอได้เลย พวกผมจะโดนอาจารย์ค่ายติวดุบ่อยๆเรื่องมากินข้าวช้า กับไม่ลงขื่อกินข้าว เพราะต้องนับยอดตอนเย็น ให้ก่อนอาจารย์จะไปซื้อกับข้าวมาทำ ค่ายติวผมก็แปลกเกิ้น มีอาจารย์สอนอยู่สองคน ก็คืออาจารย์ศักดิ์ที่สอนคนเดียวเกือบทุกวิชาถามอะไรแกตอบได้หมด เพียงแค่ถามมา บุคคลิก ขรึม น่ากลัว เสียงเข้ม เป๊ะ ขยัน แต่อ่อนโยนและหวังดีกับเด็กทุกคน กับอาจารย์สุภาพหรือครูภาพที่พวกเราเรียกกัน สอนวิชาอังกฤษ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจุฬา ความรู้เเน่นเอี้ยด ใจดี ชอบยิ้ม (นามสมมุติกันทุกคนนะครับ ไม่ต้องไปเสิร์ชหา)ทั้งสองท่านต่างกันสุดขั้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือถ้าได้ชนแก้วด้วยกันยันหว่างก็ไหว มีอีกคนหนึ่งที่สำคัญแล้วก็ขาดไม่ได้คือน้าแก้ว ภรรยาอาจารย์ศักดิ์คอยทำกับข้าวอร่อยๆให้ทาน(อร่อยจริงนะ ทุกวันนี้ถ้าผมมีโอกาสยังไปกินอยู่)อาจารย์ศักดิ์เป็นคนก่อตั้งค่ายติวด้วยเงินน้อยนิด ช่วงแรกๆสอนอยู่คนเดียว พอมีเงินเลยดึงอาจารย์สุภาพมาช่วยอีกแรง ความหวังของอาจารย์ทั้งสองท่านคือได้เห็นเด็กๆที่สอนเติบโตไปเป็นเด็กที่ช่วยเหลือประเทศให้เจริญ แม้จะได้กำไรน้อยนิด หักลบกลบหนี้แล้วถือว่าไม่คุ้มเท่ากับค่าแรงที่เสียไป แต่ทั้งสองท่านก็ทำ(ผมอยากบอกอาจารย์ว่าความตั้งใจนั้นได้ส่งผ่านมาถึงผม แล้วผมจะส่งผ่านมันให้กับคนรุ่นต่อไปครับจารย์)ประวัติศาสตร์ค่ายติวของผมนับสิบปีถึงได้ขลังไงละ 
    พอเรากินข้าวเสร็จอาบน้ำก็จะมาทำโจทย์กัน บางวันเราก็ตั้งใจ บางวันเราก็เถลไถล เลยทำให้เวลาเทสทีไรคะแนนต่ำทุกที สู้พวกรุ่นพี่ไม่ได้เลย รุ่นผมถึงกับโดนอาจารย์ศักดิ์ด่าว่าไม่เอาอ่าวตลอด โดนด่าขนาดพวกเราก็ทำตัวชิวเหมือนเดิม เพราะรุ่นผมทรงไม่น่าจะช่วยโลกไว้ได้เลย น่าจะได้เก็บขยะแถวบ้านขายนี่แหละ(หยอกๆ แต่ได้ดิบได้ดีกันทุกคนน้า)หลังสี่ทุ่มเราเลิกอ่านหนังสือหรือไม่ก็เรทกว่านั้นเพราะโดนอาจารย์ด่า หรืออาจารย์สอนจนดึกบางคนก็จะอ่านหนังสือ บางคนออกกำลังกาย(ไมมันคึกจังวะ)บางคนเล่นเกม บางคนดูหนัง บางคนนอนก็ว่ากันไป สำหรับผมส่วนมากจะอ่านหนังสือจนถึงเที่ยงคืนนั่นแหละค่อยนอน ก็กิจวัตรประจำวันของผมก็จะเป็นแบบนี้แหละ ซ้ำๆเดิมๆ เพิ่มเติมคือความสนุกที่แตกต่างกันออกไปบ้างบางวัน  แต่แล้วความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไป การไปเรียนที่ค่ายติวประจำแรกๆมันก็สนุกแต่พอนานๆไปการไปรรหรือติวหนังสือที่ค่ายกลับเป็นเรื่องลำบากที่สุดเท่าที่ชีวิตผมเคยเจอมา ทุกอย่างมันวนลูปเหมือนเดิมเลย เวลาอยู่ค่ายติวก็เครียดกับโจทย์ โดนอาจารย์กดดัน พอตื่นเช้ามาอยากจะตื่นสายเพราะอ่านหนังสือดึกก็ต้องรีบไปเรียนเพราะช่วงสายรถไม่ค่อยมี แถมวินัยต่างๆเริ่มล้มเหลว การลงชื่อยามเช้าเริ่มไปสายขึ้นๆจนบางครั้งก็เกินไปครึ่งชม.ตอนเรียนก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจเรียนเพราะไม่รู้จะเรียนไปทำไม ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง มีเพียงสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นเท่านั้นที่ผมสนใจ หลายครั้งก็ปล่อยใจให้เพ้อไปหลายชม. จนหมดคาบเรียน การเดินกลับหอก็
    ขี้เกียจมากกว่าเดิม อาการเซื่องซึมของผมเริ่มหนักขึ้น เป็นไปอย่างนั้นจนหมดภาคปีการศึกษา 
    เมื่อปีการศึกษาเก่าผ่านไป ปีการศึกษาใหม่ก็ผ่านเข้ามา และแล้วผมได้พบกับเธอ เธอที่เป็นเด็กใหม่ เข้ามาเรียนในปีนี้ แล้วหลังจากนั้น'การไปเจอเธอทุกเช้า มันช่างแสนงดงาม'ในทุกๆวัน
    ส่งท้ายบทนี้
    สายลมที่พัดผ่านนอกหน้าต่างนั้น ใบไม้ที่พลิ้วไหว หรือนกกระจอกที่บินผ่านไป ถ้าย้อนกลับไปได้ฉันจะมองรอยยิ้มเธอให้มากกว่าข้างนอกหน้าต่างนั่น

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น