ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Engineer Romance ศิลปกรรมขอเกียร์ เอนจิเนียร์ขอใจ END

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode - บทนำ [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.25K
      315
      8 พ.ค. 66

     บทนำ

    @Chiang-mai

    โรงแรมดวงดาราเวียงลานนาบูติค

    Earng Aoei Say;

    “ยัยเอยวิ่งเร็ว ๆ สิ สายแล้วนะเว้ยเดี๋ยวไปไม่ทันงาน”

    “โว้ะ แกดูชุดฉันก่อนไหม แต่งชุดรำเต็มยศขนาดนี้เดินเร็วได้ก็บุญแล้วปะ”

    ทันใดนั้นฉันหยุดการกึ่งเดินกึ่งวิ่งแล้วรวบชายกระโปรงชุดรำให้ทะมัดทะแมงเพราะกลัวจะเหยียบชายสไบล้มหน้าคะมำไปกับพื้นคงได้ขายหน้าไปทั้งงานแน่ ๆ

    “ทิชาแกรีบเอากระเป๋าไปให้แม่ฉันก่อนเลย เดี๋ยวฉันรีบตามเข้าไป”

    “เออรีบตามมาเร็ว ๆ นะเว้ย”

    ความจริงวันนี้เป็นวันที่สดใสเหมือนทุกวัน ฉันตื่นไปใส่บาตรทำบุญแต่เช้า ส่วนตอนสาย ๆ ก็มาช่วยดูแลธุรกิจโรงเรียนนาฏศิลป์แทนคุณแม่

    วันนี้มีงานโชว์ที่โรงแรมเปิดใหม่ใจกลางเมือง แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อคุณแม่โทรมาบอกว่าพี่ปุยเมฆนางรำตัวหลักของวันนี้อาหารเป็นพิษถ่ายท้องไม่หยุด ทำให้ฉันต้องมารำแทนเลยต้องรีบขึ้นไปในงานให้ทันเวลา

    “เฮ้ย!” แล้วจังหวะนรกก็เกิดจนได้เมื่อรีบจนเท้าไขว้กันผิดจังหวะ ทำให้ถลาไปชนกับคนที่เพิ่งออกมาจากงาน

    “...!”

    “ขอบคุณนะคะ”

    พอคนตรงหน้าประคองให้ฉันกลับมายืนท่าปกติได้ ฉันรีบขอบคุณชายหนุ่มร่างสูงที่สวมแจ็กเก็ตหนังและใส่แว่นตาสีดำเหมือนพวกขับบิ๊กไบก์

    ออร่าความหล่อของเขาพุ่งทะลุแว่นตาออกมาอย่างกับพวกพระเอกเกาหลี เขาประคองฉันไว้ไม่ให้ล้มหน้าคว่ำ อปป้าซารังเฮ

    “เป็นไรไหม”

    “มะไม่ค่ะ” ฉันรีบส่ายหน้าบอกคนมาดนิ่ง

    “ยัยเอยไปเร็ว แม่แกจะกินหัวฉันแล้วเนี่ย”

    จริงด้วย รีบอยู่นี่หว่า

    “ก็รีบอยู่นี่ไง ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันบอกลาเขาลวก ๆ แล้วรีบเดินไปทางที่ทิชารออยู่

    การรำวันนี้เป็นการรำเปิดตัวโรงแรมใหญ่แห่งใหม่ การโชว์เป็นแบบรำศิลปนิพนธ์ที่คุณแม่ของฉันเป็นผู้สอนให้ ซึ่งเป็นโชว์ทันสมัยใช้จังหวะดนตรีผสมผสานแบบทางภาคเหนือและเครื่องดนตรีสากล มีทำนองสวยงามและดนตรีที่ฟังแล้วมีกลิ่นอายความเป็นภาคเหนือสูงมาก

    สุดท้ายภายในงานก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย การรำวันนี้ได้คำชมจากเจ้าของงานไม่ขาดปาก กลับมาถึงบ้านคุณแม่ก็ถึงกับปาดเหงื่อ

    “น้ำเย็น ๆ เจ้า คุณนายกับคุณหนูกิ๋นข้าวแล้วก๋า”

    “ทานมาแล้วจ้ะ”

    “วันนี้แม่ตื่นเต้นมากเลย คิดว่าลูกจะมาไม่ทันซะแล้ว”

    “ดีนะคะที่ทิชาอยู่ด้วย เอยเลยให้มันขับรถมาให้แล้วเตรียมตัวมาระหว่างทางฉิวเฉียดพอดี”

    “เอยไปพักเถอะลูก เหนื่อยทั้งวันแล้ว ขอบใจนะลูกที่มาช่วยแม่”

    “คุณแม่ไม่เห็นต้องขอบคุณเลยค่ะเอยยินดี คุณแม่ก็รีบพักผ่อนเหมือนกันนะคะ”

    “แม่จะรอคุณพ่อกลับมาก่อนน่ะ”

    ฉันขอตัวขึ้นมาที่ห้อง จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมตัวนอนแต่พอโดดขึ้นเตียงว่าจะลงรูปในโซเชียลฯ แป๊บเดียว รู้ตัวอีกทีก็ไถเฟซบุ๊กจนเกือบเที่ยงคืนจนได้

    นอนดีกว่า... แต่ขณะที่เอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่หัวเตียงเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น โชว์เบอร์ของพี่ชายตัวแสบที่ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา

    Rrrrr [P’ IN]

    “จำเบอร์น้องได้ด้วยเหรอ หายหัวไปเป็นเดือนไม่ยอมกลับบ้านยังไม่ตายอีกเหรอ?”

    [เอิงเอยยยยยยน้องรักกกกกก น้องรักของพี่อินนนนนน] เสียงยานคางและเสียงเพลงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้ฉันรำคาญ นี่ก็ว่าอยู่ว่าไปโดนตัวไหนมาพี่ชายฉันถึงโทรหากันเวลานี้

    “เมาก็กลับห้องไปนอน อย่ามาโทรระรานคนอื่นแค่นี้นะ”

    [เอยมารับพี่หน่อยยยย]

    “ฮะ?”

    [มารับพี่หน่อยยยยย พี่ไม่เหลือใครแล้วววววว ฮึกกกฮืออออ]

    ร้องไห้?

    “อะไรของพี่อินเนี่ย อยู่ไหนพูดให้รู้เรื่องหน่อย”

    [น้องเอยพี่ทอยเองนะ มารับมันหน่อยเดี๋ยวพี่ส่งโลเคชันให้นะ]

    พากันไปเมาแล้วทำไมไม่พากลับไปคอนโดพี่อินล่ะเนี่ย

    ลำบากให้ฉันไปรับกลับบ้านต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ

     

    @ร้านทางช้างเผือกบาร์

    “น้องเป่าเป้อย่าทิ้งพี่ไป น้องเป่าเป้”

    “ทำไมเมาเละเทะขนาดนี้ล่ะคะ”

    ฉันตกใจที่เห็นเพื่อนสนิทของพี่อินสองคนหิ้วปีกพี่ชายตัวดีที่เมาแบบทิ้งตัวออกมาจากร้าน

    “มันโดนทิ้งคร่ำครวญไม่เลิก เห็นว่าไม่อยากกลับไปเจอเป่าเป้ที่ห้องเพราะน้องเขาขอเวลาเก็บของในห้องก่อนย้ายออก มันเลยให้พี่โทรหาเรา”

    “ไอ้ตัวภาระเอ๊ย!”

    เพื่อนสนิทของพี่ชายแบกตัวปัญหามาทิ้งในรถได้สำเร็จ

    “พี่อินห้ามอ้วกใส่รถเอยเข้าใจไหม”

    ถ้าถามว่าห่วงพี่ชายหรือห่วงรถใหม่ป้ายแดงมากกว่ากันคงตอบแบบไม่ต้องคิดว่า รถใหม่ป้ายแดงที่คุณแม่เพิ่งออกให้เพื่อให้ฉันขับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ น่ะสิ

    “ขับรถดี ๆ นะน้องเอย”

    “ค่ะ”

    ฉันขับรถพาบุคคลที่หายสาบสูญไปจากบ้านตลอดช่วงปิดเทอมกลับไปให้คุณแม่ เชือดที่บ้าน แค่คิดถึงเช้าพรุ่งนี้ก็สนุกแล้ว

    ไอ้ข้ออ้างที่ว่ายุ่งโปรเจกต์จบนักหนามาตลอดความจริงคือติดเมียถึงได้หาทางกลับบ้านไม่เจอ เสร็จแน่

    “เป่าเป้อย่าเลิกกับพี่เลยนะ พี่รักเป้นะ”

    “พี่อิน!” ฉันตะคอกเมื่อพี่ชายตัวดีที่หลับสนิทเมื่อกี้เอนตัวมาเกาะแขนฉันขณะที่ขับรถ แถมยังเอาหัวมาพิงอีก “เมาก็นอนไปเลย อย่าทำให้โมโหไปมากกว่านี้ได้ปะ”

    ถ้าไม่ขับรถอยู่นี่สาบานว่าจะทุบสักสองทีแบบไม่ออมแรง

    “ไม่อ้าวววว ถ้าเป้ไม่ยอมคืนดีพี่ก็จะกอดเป้ไว้แบบนี้แหละ”

    “แหกตาดูดี ๆ นี่เอิงเอย”

    “เอยไหนไม่ต้องมาหลอกพี่เลยเป้ชัด ๆ คืนดีกันนะ นะคะคนดีอย่าทิ้งพี่ไปเลยนะ ไอ้ห่านั่นมันมีอะไรดีกว่าพี่ เป้ถึงเลือกมัน”

    “นี่เอิงเอยน้องสาวพี่อินไง เมาจนลืมน้องไปแล้วเหรอวะ” ฉันไม่มีสมาธิกับการขับเลยเพราะไอ้พี่บ้ามันเอาหน้ามาเกยไหล่อ้อนประหนึ่งว่าฉันเป็นเมียมัน ด้วยความรำคาญเลยใช้มือผลักหัวมันออกไปจากไหล่ให้พ้น ๆ

    “พี่รักเป้นะคะ ขอพี่จูบเป้หน่อยนะให้รู้ว่าพี่รักเป้มากแค่ไหน.”

    “ไอ้พี่อิน”

    เผลอหันไปมองไอ้พี่ตัวดีที่กำลังยื่นหน้ามาใกล้ ความไวของสมองที่สั่งการเลยใช้มือข้างหนึ่งผลักหน้ามันออกไปสุดแรงเกิด คิดอย่างเดียวว่าทำยังไงก็ได้เพื่อหยุดปากที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใกล้ใบหน้าตัวเองให้ได้

    และมันได้ผลเพราะคนที่รำพึงรำพันถูกผลักหัวกระแทกติดกระจก เงียบไปทันที สงสัยตายไปแล้วมั้งนิ่งขนาดนี้ จังหวะเดียวกันหางตาของฉันก็เห็นแสงไฟแว่บ ๆ เข้ามาพอดีทำให้รีบหันกลับไปที่ถนนอย่างที่ควรจะโฟกัสอยู่ตั้งนานแล้ว

    “เชี่ย!”

    ขวับ เอี๊ยดดดดด

    ฉันหักพวงมาลัยกลับอย่างตกใจเมื่อเห็นว่ารถกำลังกินเลนถนนอีกฝั่งไปเกือบครึ่งเลน แต่แสงไฟกับเสียงแตรจากรถบิ๊กไบก์บอกฉันว่ามันไม่ทันแล้ว ขนาดขับมาไม่เร็วและเผลอไปมองไอ้พี่อินแว็บเดียวเท่านั้น...เป็นเรื่อง

    ตุบ ตุบ ตุบ

    ปึก

    รถบิ๊กไบก์คันหน้าพยายามเบี่ยงเลนถนนเพื่อจะหลบรถฉันเหมือนกัน จนรถเขาไถลไปกับพื้น ส่วนคนขับกระเด็นขึ้นมาบนกระจกหน้ารถของฉัน ก่อนจะกลิ้งอยู่หลายตลบแล้วตกลงไปที่พื้น

    ตั้งสติยัยเอย! ฉันเข้าเกียร์ว่างรีบวิ่งลงไปดูคนเจ็บ คือทางเส้นนี้มันมืดมากเพราะเป็นเส้นที่ไฟเสียตลอดหลายปีไม่มีใครมาซ่อม แล้วช่วงเวลานี้มันก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว ตลอดทางเลยเงียบสงบ

    ฉันยกมือปิดปากเมื่อเห็นคนเจ็บนอนนิ่งไม่ไหวติง อย่าเป็นอะไรนะขอร้อง

    “คุณเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันสะกิดเขาเบา ๆ แต่เนื่องจากเขาใส่หมวกกันน็อกขนาดใหญ่ทำให้ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเขามีสติหรือหมดสติ “คุณได้ยินฉันไหมคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณคะ”

    เขานอนนิ่งเริ่มทำฉันใจไม่ดี จึงอยากเปิดกระจกที่หมวกกันน็อกเพื่อเช็กลมหายใจกับอาการอย่างอื่น แต่แล้วมือหนาของผู้ชายคนนี้ดันจับมือฉันเอาไว้เสียก่อน จากนั้นคนที่นอนอยู่ก็ยันตัวจากพื้นโดยที่ฉันประคองเขาลุกขึ้นมาช้า ๆ

    “ค่อย ๆ นะคะ ฉันขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ” ฉันยกมือขึ้นไหว้เขาอยู่หลายรอบ “คุณเป็นยังไงบ้างคะ”

    “ไม่มีตาหรือไง” น้ำเสียงหงุดหงิดถูกเปล่งผ่านหมวกกันน็อกออกมา ดีที่เขาใส่เสื้อหนังแขนยาวและกางเกงยีนขายาว มองภายนอกไม่มีส่วนไหนขาดหรือเลือดไหลออกมาเลย ทำให้ฉันเบาใจขึ้นมา

    “คุณเจ็บตรงไหนบ้างไหมคะ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

    “นี่ขนาดไม่ตั้งใจนะ ขับรถดูถนนไหม หรือดูแต่ผู้ชาย คนอื่นจะตายกันหมด”

    “ขอโทษค่ะ พอดีพี่ชายฉันเมา…”

    “ไม่อยากฟังคำแก้ตัว”

    “มือคุณ”

    จากที่สำรวจไปตอนแรกว่าไม่มีรอยขาดตามเสื้อผ้าเขา ตอนนี้ฉันกลับเห็นเลือดที่ไหลตกจากแขนเสื้อลงที่มือข้างซ้าย เลยถือวิสาสะประคองมาดูใกล้ ๆ ซึ่งเขาเองก็ก้มลงมองตามที่ฉันบอก “คุณลองถอดหมวกกันน็อกกับเสื้อแจ็กเก็ตก่อนไหมคะ มีแผลตรงไหนอีกหรือเปล่า”

    “ไม่ต้องยุ่ง” เขากระชากมือออกไปอย่างหงุดหงิด

    “เดี๋ยวฉันโทรตามรถโรงพยาบาลก่อนดีกว่าคุณจะตามประกันมาก็ได้นะคะ เพราะรถคุณ...” ฉันชี้ไปยังบิ๊กไบก์บีเอ็มคันสวยที่หมุนไปอยู่อีกฝั่งของถนน คงจะถลอกหนักแน่ ๆ เพราะมันเสียดสีกับพื้นไปไกลพอสมควร

    “ก็บอกว่าไม่ต้องยุ่งไง” เขาคว้าโทรศัพท์มือถือไปตัดสายขณะที่ฉันกำลังโทรหาสายด่วน “แล้วเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    “ไม่ค่ะ”

    “ถ้างั้นก็ช่างเถอะ” เขาพูดจบก็เดินกะเผลก ๆ ไปที่บิ๊กไบก์โดยมีฉันคอยตามมาด้วยกลัวเขาจะล้ม

    “แต่ว่าคุณ...”

    “พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง”

    “ถ้างั้นฉันขอเบอร์คุณหน่อยได้ไหมคะ”

    “เพื่อ?”

    “ฉันเป็นฝ่ายผิด จะได้ติดต่อหาคุณเรื่องค่ารักษาพยาบาลกับค่าซ่อมรถ”

    “ไม่ต้อง” เขาก้มลงไปยกรถบิ๊กไบก์ขึ้นมาเหมือนจะบอกทางอ้อมว่าเขาปกติดี

    “ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะคะ” ฉันกลับมาหยิบโบรชัวร์รีสอร์ตที่ติดอยู่ในรถส่งให้เขา “ที่นี่เป็นรีสอร์ตของบ้านฉันเองค่ะ อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถ้าเกิดว่าคุณต้องการติดต่อเรื่องค่าเสียหาย โทรมาที่เบอร์นี้ได้เลยนะคะ ฉันยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คุณเจ็บตัวและเสียเวลา”

    “ทีหลังขับรถไม่แข็งก็ไม่ต้องขับ คนอื่นจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”

    เขาคว้ากระดาษขยำใส่เสื้อแจ็กเก็ตแบบไม่สนใจ จากนั้นก็ขึ้นคร่อมรถสตาร์ตบิ๊กไบก์เตรียมตัวจะขับออกไป ทว่ายังไม่วายหันมาทางฉันอีกรอบ

    “เธอชื่ออะไร”

    “เอิงเอยค่ะ...แล้วคุณ?”

    “ไม่ต้องรู้หรอก” เขาว่ามาแบบนั้นแล้วขับรถจากไปทันที

    อาจจะดูเย็นชาไปนิดแต่ก็ใจดีมากเลย ถ้าเป็นคนอื่นเผลอ ๆ ด่าฉันมากกว่านี้ หรืออาจจะถูกบีบคอหมกป่าข้าง ๆ ไปแล้ว โทษฐานที่ทำรถราคาแพงของเขายับเยินขนาดนั้น

    แต่อันที่จริงถูกฆ่าหมกป่าตอนนี้อาจจะดีกว่าก็ได้นะเพราะพรุ่งนี้ฉันคงถูกคุณแม่เชือดในห้องเย็นพร้อมพี่อินแหง ๆ ถ้ารู้ว่าขับรถมาชนคน

    ขณะเดินกลับไปที่รถพร้อมกับจินตนาการถึงวันพรุ่งนี้ด้วยความหดหู่ สายตาก็หันไปเห็นแสงไฟที่พุ่มหญ้า

    โทรศัพท์มือถือของเขานี่! แต่หน้าจอแตกละเอียดยิบ เก็บไปก่อนแล้วกันเผื่อเขาติดต่อกลับมาจะได้คืนให้

    หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากนะ...คุณบิ๊กไบก์


    บทนำมาแล้วจ้าาาาาา

    เรื่องนี้แต่งไปอมยิ้มไป มีแต่คำว่าน่ารักไปหมด55555

    อยากเป็นเอิงเอยทุกตอน สดใส แต่ไม่ยอมคน

    ฝากทุกคนติดตาม กดให้กลจ คอมเมนต์ได้น๊าาาา <3


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×