ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My mafia husband name is JK {BTSxYOU}

    ลำดับตอนที่ #6 : EP 05: เรื่องในอดีต 50%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.39K
      270
      14 มี.ค. 64

    Last EP...


    (เปล่าครับ เเต่นายน้อยอาจจะติดคุณยูริน เอ้ย ติดไข้คุณยูรินมาเเล้วก็ได้นะครับ เสียงสั่นเชียว)

    "นี่ฮยองกำลังล้อผมใช่มั้ย-_-"

    (ผมเปล่านะครับ)

    "พอ ผมไม่คุยกับฮยองเเล้ว กวนประสาท เเค่นี้นะ จะไปหายากินเเล้ว"

    (ผมว่าต้องกินยาตัวนั้นครับถึงจะหาย)

    "ยาอะไร"

    (หึหึหึ)

    "ฮยองผมไม่ตลก"

    (ยาที่ชื่อว่า ยูรินไงครับ)

    "ฮยอง!!!"

    (ตู๊ด...ตู๊ด...)

    ไม่ทันที่นายน้อยของเขาจะได้ตอกคำเเรงๆกลับอะไร จองโฮซอกเลือกที่จะตัดสายไปเสียก่อน มันยิ่งทำให้จอนจองกุกขัดใจเอามากๆ 

    "ยาที่ชื่อยูริยงั้นเหรอ"

    "กินเเล้วตายน่ะสิไม่ว่า"

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




    ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวสะอาดตากำลังเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลชั้นนำของโซลเพื่อไปยังห้องที่เขาถูกเรียกตัว ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปทางไหน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว ทั้งๆที่คิมแทฮยองเป็นคนเกาหลีแท้โดยกำเนิดแต่ด้วยดวงตาที่กลมโตกว่าคนเกาหลีทั่วไป จมูกที่โด่งรูปทรงสวยรับกับใบหน้าที่ไม่ได้เรียวเป็นรูปไข่มากนัก เพราะสันกรามที่คมกริบพอๆกับดวงตาคู่สวยที่ทั้งสองข้างแตกต่างกัน ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาช่างดูโดดเด่นงดงามราวกับพระเจ้าบรรจงปั้นเขาด้วยความรักทั้งหมดที่มี

    “สวัสดีค่ะคุณหมอคิม” พยาบาลสาวสวยที่เพิ่งออกมาจากห้องที่แทฮยองกำลังจะเข้าไปเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มหวานหยด

    “สวัสดีครับ คุณโอ”

    “อ่ะ เอ่อ อาจารย์คังกำลังรออยู่เลยค่ะ”

    “ขอบคุณครับ” อาจารย์คังที่เธอหมายถึงคือ อาจารย์หมอคังชินดง ศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลพ่วงด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์โรคสมอง

    “อ้าว แทฮยองอ่า มาแล้วเหรอ” ทันทีที่ร่างสูงเปิดเข้ามาภายในห้อง คุณหมอวัย58ปีก็เอ่ยทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่บ่บอกว่าเขาเป็นคนแก่ใจดีอย่างเช่นทุกที

    “สวัสดีครับ อาจารย์ เรียกหาผมมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใครๆต่างก็บอกว่าเขาคือว่าที่แพทย์อนาคตไกล ไม่ใช่เพราะความเก่งกาจและความชำนาญหรือพรสวรรค์ของเขาเพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะเขาเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน วางตัวดี ไม่เย่อหยิ่งในตัวเอง ทั้งๆที่พื้นฐานครอบครัวของเขาก็ใช่ว่าจะธรรมดาเสียที่ไหน

    “นั่งก่อนสิ” ร่างสูงนั่งลงตามที่ผู้ใหญ่บอก

    “ที่เรียกมา  ก็เพราะเห็นว่าแทฮยองกำลังจะเก็บชั่วโมงครบแล้วใช่มั้ย” เขามาเป็นแพทย์ฝึกหัด ตามหลักสูตรของวิชาหลักของชั้นปีสี่ที่ต้องเก็บชั่วโมงการศึกษาดูงานในโรงพยาบาลให้ครบตามจำนวนชั่วโมงที่หลักสูตรกำหนด ซึ่งเอาเข้าจริงๆมันเป็นเวลาที่ไม่ได้นานอะไรเลย ที่ความสามารถของคิมแทฮยองที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาใครหลายๆคน

    “ใช่ครับ”

    “แล้วคิดเอาไว้รึยังล่ะ ว่าหลังจากเรียนจบแล้ว จะ Resident* ต่อด้านไหน” คนฉลาดอย่างเขารู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำถามซะทีเดียว แต่มันคือคำเชื้อเชิญมากกว่า แน่นอนอยู่แล้วที่โรงพยาบาลฮันรยูจะต้องอยากได้ตัวว่าที่แพทย์ฝีมือดีอย่างคิมแทฮยองมาเป็นแพทย์ประจำบ้าน* ของที่นี่ โรงพยาบาลที่โดดเด่นเรื่องของศัลยกรรมสมอง  และอาจารย์หมอคังก็มั่นใจว่าคิมแทฮยองจะมาเป็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ของโรงพยาบาลได้อย่างแน่นอน

    “ถึงผมจะยังไม่รู้ว่า ตัวเองชอบด้านไหนกันแน่ แต่ถ้าได้มาเป็น Resident แผนกศัลยศาสตร์ของที่นี่ก็ถือว่าเป็นเกียรติของผมมากๆเลยล่ะครับ” เขาฉลาดที่จะตอบออกไปแบบนั้น เพราะเขาเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองต้องการจะต่อแพทย์เฉพาะทางด้านไหน เขายังไม่เจอสิ่งที่จะเป็นแรงบันดาลใจเพื่อประกอบการตัดสินใจเรื่องนี้


    *แพทย์ประจำบ้าน (เรสซิเด้นท์ , Resident)
    คือแพทย์ที่เรียนจบแล้ว และตัดสินใจกลับมาเรียนต่อในสาขาที่ตนสนใจ หรือเรียกง่ายๆว่ามาเรียนต่อเฉพาะทางนั่นเองครับ แพทย์กลุ่มนี้คือแพทย์เต็มตัวเช่นกัน เพียงแต่เขากลับมาสู่ระบบการเรียนอีกครั้งหนึ่งโดยที่ยังมีความเป็นแพทย์อยู่ครบครัน มีการเรียนการสอนจะเข้มงวดกว่าเป็นนักศึกษาแพทย์ จะพบเห็นแพทย์กลุ่มนี้ในโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ใส่เสื้อกาวน์สั้นมีตราประจำโรงพยาบาล มีคำว่า "นพ. พญ." นำหน้า โดยทั่วไปการอบรมแพทย์ประจำบ้านใช้เวลา 3 - 4 ปีแล้วแต่สาขา ที่มาที่ไปของคำว่าแพทย์ประจำบ้าน เพราะว่าแพทย์ที่มาเรียนส่วนใหญ่จะต้องใช้ชีวิต 90% อยู่ในบ้าน(โรงพยาบาล)ของตัวเอง เลยถูกเรียกว่า resident หรือแพทย์ประจำบ้าน







    ล้อรถBMWสีขาว หยุดลงที่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง บ้านที่โดดเด่นกว่าหลังใดในละแวกนี้ เพราะเป็นบ้านเกาหลีดั้งเดิม   หรือที่เรียกว่า บ้านฮันนก (한옥ป็นบ้านที่มีรูปแบบดั้งเดิม  ภายนอกจะมีเสาต้นใหญ่และมีประตูที่ครอบด้วย กระดาษชังโฮจี (창호지) ตรงผนัง  หลังคาจะมุงด้วยกระเบื้องที่สวยงามโดยชายคาจะยกขึ้นเล็กน้อย  บ้านฮันนกเป็นบ้านที่มีโครงสร้างจากไม้ และตัวบ้านทำจากปูนและหิน บ้านหลังนี้แตกต่างจากทั่วไปตรงที่ตัวบ้านไม่ได้ทำจากดิน เพราะทำให้ตัวบ้านอยู่ได้ไม่นานเหมือนสิ่งก่อสร้างที่มีโครงสร้างจากหิน  ถือได้ว่าเป็นการประยุกติเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย แต่บ้านที่ชื่อว่า “บ้านซาจา” ไม่ใช่ที่ๆใครจะย่างกรายเข้ามาง่ายๆหากไม่ใช่คนในครอบครัว

    คิมแทฮยองเดินเข้าไปภายในบ้านที่ตัวเองคุ้นเคยมาตั้งๆแต่ลืมตาดูโลก แต่บ้านหลังนี้ไม่ใช่ที่ๆเขาจะครอบครองได้  เขาส่งยิ้มบางๆให้กับบรรดาแม่บ้านที่กำลังทำหน้าที่ของตนในตอนเย็นที่ใกล้เวลาอาหารค่ำแบบนี้  ถือเป็นธรรมเนียมที่คนที่อยู่ที่บ้านจะทานอาหารร่วมกันหากเป็นไปได้

    “ฮยองล่ะกลับมารึยัง” เขาเอ่ยถามหนึ่งในแม่บ้านที่เขาเดินผ่าน

    “อยู่ที่ซารังแชกับนายใหญ่ค่ะ”

    “ขอบใจ” ซารังแช คือส่วนสำคัญของบ้าน ที่ผู้ชายจะอาศัยอยู่ เดิมจะมีลักษณะคล้ายๆห้องรับแขก แต่ที่นี่ใช้มันเป็นห้องพักของผู้นำสูงสุดของตระกูล โดยหากแบ่งตามระดับชนขั้นภายในครอบครัว 'ซารังแช' จะเป็นห้องระดับสูงสุด

    แทฮยองถามไปเพราะอยากรู้ ว่าพี่ชายของเขากลับมาจากทำงานรึยังเพียงเท่านั้น เขาไม่คิดตามพี่ชายของเขาไปที่ซารังแชหรอก เพราะห้องนั้นหากไม่ได้มีการเรียกตัวจากเจ้าของห้อง ใครก็เข้าไปไม่ได้ ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทอย่างเข้าก็ตาม

    แทฮยองเข้ามาถึงห้องนอนของตัวเองก็ทิ้งตัวลงนอนเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการศึกษางานในโรงพยาบาลมา 12 ชั่วโมงติดกัน


    ก๊อกๆ

    เสียงเคาะประตูดังขั้น ทำให้เจ้าของห้องหยัดตัวขึ้นนั่งบนเตียงที่เดิม

    “ฉันเอง” แทฮยองจำเสียงนั้นได้ดี มันทำให้เขารีบลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูให้กับคนที่รออยู่หน้าห้องอย่างรวดเร็ว

    “นายใหญ่” เขาโค้งตัวให้กับคนที่ยืนรออยู่ แต่ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวที่อยู่ตรงนั้น

    “ฮยอง^^” เสียงทักทายสดใสพร้อมกับรอยยิ้มทำให้คนที่ถูกเรียกเผลอยิ้มตาม ยกเว้นคนแรกที่ถูกคิมแทฮยองทัก

    -_-” มินยุนกิทำหน้านิ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของญาติสนิทของเขา ตามด้วยคิมนัมจุน พี่ชายแท้ๆของคิมแทฮยอง

    “นายเลิกสองมาตรฐานกับฉันสักทีได้มั้ย” 

    มินยุนกิ ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของ “ตระกูลมิน” เอ่ยขึ้น พวกเขาสามคน มินยุนกิ คิมนัมจุน และคิมแทฮยอง โตมาด้วยกัน เรียนที่เดียวกัน ถูกเลี้ยงมาด้วยแม่นมคนเดียวกันด้วยซ้ำ ทำให้มินยุนกิรู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาของทั้งคิมคนพี่และคิมคนน้อง นัมจุนกับแทฮยองเป็นลูกชายของน้องสาวของ มินยุนเเจ พ่อของยุนกิ มีศักดิ์เป็นอาของยุนกิ ทำให้พวกเขาใช้นามสกุลไม่เหมือนกัน

    “ไม่ได้หรอกครับนายใหญ่” แทฮยองตอบนิ่งๆ

    “จริงครับนายใหญ่” นัมจุนตั้งใจล้อเลียนยุนกิ
    “เหอะ ดูเรียกเข้า ตั้งใจกวนประสารทกันชัดๆ” นี่คือเรื่องกวนใจของเขาไม่น้อยเลย เพราะตั้งแต่ที่ยุนกิขึ้นรับตำแหน่งผู้นำ แทฮยองก็ไม่เรียกเขาว่า
    ฮยอง อย่างที่เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆอีกเลย มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความห่างเหินอยู่ทุกครั้งที่ได้ยิน ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่เท่าไหร่  เขาเข้าใจเพราะมันคือธรรมเนียม แต่นี่อยู่กันแค่สามคน ยังจะมาเรียกว่านายใหญ่อีก น่าโมโหนัก

    “ดูเหนื่อยๆนะ” นัมจุนพูดกับน้องชาย หลังจากที่เขานั่งลงบนโซฟาข้างๆยุนกิ

    “แค่เวรสองกะ เบาๆเองฮยอง” แทฮยองตอบอย่างไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก เพราะมันคือสิ่งที่ชีวิตของคนที่จะเป็นหมอต้องเจออยู่เเล้ว

    “นี่เอาจริงๆใช่มั้ย มึงไม่เปลี่ยนใจแล้วแน่นะ” ยุนกิถามแทฮยองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตั้งแต่เขาตัดสินใจเรียนหมอ ทั้งๆงานในตระกูลมีมากมายให้เขาทำ แต่ถามไปก็เท่านั้น เขารู้ดีว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้แทฮยองเลือกเรียนหมอ

    “นอกจากหมอ ผมก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างอื่น”

    “ถ้าไม่ไหว ก็อย่าลืมว่าตระกูลของเรามีงานรอนายเยอะแยะ”

    “ขอบคุณครับ”

    “นายใหญ่มาหาผมถึงห้อง คงไม่ได้มาเพราะจะชวนผมทำงานอย่างเดียวหรอกใช่มั้ย” เจ้าของห้องที่ตอนนี้ รินบรั่นดีปี 80 ใส่แก้วแล้วส่งมันให้กับยุนกิและนัมจุน เเทฮยองถามขึ้น หลังจากที่เขาดื่มมันลงไปจนหมดแก้ว แทฮยองไม่ใช่สายดื่ม แต่เขาใช้มันเพื่อให้ตัวเองหลับสบายก็เท่านั้น

    “วันนี้เจอมันมาใช่มั้ย” ยุนกิถามแทฮยอง วันนี้เขารู้ว่าแทฮยองได้เจอกับใครบางคนมา

    “เรียกชื่อออกมาเลยก็ได้นะครับ” แทฮยองบอกยิ้มๆ ส่วนยุนกิน่ะเหรอ เพียงแค่ต้องพูดชื่อของหมอนั่นก็ไม่อยากเรียกแล้ว

    “นายรู้จักผู้หญิงที่มันจะแต่งงานด้วย ชื่อนัมยูรินสินะ” ยุนกิสืบมาหมดแล้วว่า คนที่ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาจะแต่งงานด้วยเป็นใคร และสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือ ผู้หญิงคนนั้น “สำคัญ” สำหรับจอนจองกุกมากแค่ไหน

    “ผมรู้ว่านายใหญ่ กำลังคิดจะทำอะไร แต่ผมแค่อยากแนะนำในฐานะน้อง”

    “ทีอย่างนี้มาพูดว่าตัวเองเป็นน้องเหอะ” นัมจุนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆอดยิ้มไม่ได้ เขารู้ว่ายุนกิรักแทฮยองมาก แต่น้องชายตัวดีของเขาดันเลิกเรียกยุนกิว่าพี่ แถมยังทำตัวห่างเหินไปตั้งแต่ที่ยุนกิก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูล ไม่แปลกที่ยุนกิจะไม่พอใจ

    “ผมแค่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันวนกลับมาที่จุดเดิม ถ้านายใหญ่จะทำกับไอ้เจคเหมือนอย่างที่คิดว่าเจคมันเคยทำ มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”

    “ดีไม่ดีไม่รู้ แต่ฉันจะทำทุกอย่างให้คนอย่างมันได้รีบรู้รสชาติของการสูญเสียคนที่รักไป ว่ามันเป็นยังไง” ยิ่งคิดถึงอดีต มือขาวซีดยิ่งกำแน่นขึ้น

    “แต่เจคมันไม่ได้...”

    “แล้วมึงจะทำยังไง” ไม่ทันที่แทฮยองจะได้พูดสิ่งที่ระคายหูของผู้เป็นนายออกไป คิมนัมจุนก็ชิงถามแทรกขึ้นมาก่อน เพื่อหยุดความขัดแย้งระหว่างยุนกิกับแทฮยอง ที่เหมือนมันจะหายไปแล้ว แต่มันก็ยังคงพร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

    มือใหญ่ยกแก้วใบใสที่ภายในมีน้ำสีอำพันอยู่ที่ก้นแก้ว เขาออกแรงที่นิ้วมือเบาๆเพื่อให้ของเหลวภายมนแก้วหมุนวนเพื่อรสชาติที่ดียิ่งขึ้นพลางใช้ความคิดไปพร้อมๆกัน

    “กูก็แค่... อยากรู้จักว่าที่ภรรยาของมัน อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้น มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง”

    “ไม่มีหรอก” ทั้งยุนกิและนัมจุนหันไปมองหน้าคนที่พูดขึ้นมา

    “นัมยูริน ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง...ก็แค่นั้น” แทฮยองตอบนิ่งๆ เหมือนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

    “ผู้หญิงธรรมดาแบบไหนกัน ที่ทำให้คนที่ไม่คิดจะแต่งงานอย่างมัน เลือกผู้หญิงคนนี้มาแต่งงานด้วยได้ คนที่ไม่เคยยอมรับผู้หญิงคนไหนเข้ามาในชีวิตอย่างมัน ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนี้ได้!

    “ทีแบบนี้ทำไมถึงรู้ล่ะว่ามันเป็นคนยังไง แล้วทำไมเรื่องนั้นถึงไม่คิดที่จะเชื่อมันบ้าง” คนได้ยินจ้องหน้าแทฮยองนิ่ง เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ สิ่งที่ไม่ต่างไปจากรอยแผลเป็น รอยแผลที่ไม่มีวันหายไปของมินยุนกิ

    “แต่คนที่ตายไปแล้ว ก็พูดไม่ได้เหมือนกัน!!!” จบคำพูดนั้น มินยุนกิก็ลุกขึ้นจากโซฟาทันที

    ปั้ง!!!

    นั่นคือเสียงที่บ่งบอกว่าคนที่ถูกทำให้หวนนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดได้ออกไปจากห้องนี้แล้ว ตามด้วยเสียงถอนหายใจของพี่ชายแท้ๆดังขึ้น

    “เรื่องที่เกิดขึ้น คนที่เจ็บที่สุดคือยุนกิ นายจะพูดขึ้นมาทำไม”

    “ถึงผมไม่พูด ฮยองคิดว่านายใหญ่จะลืมเรื่องนั้นได้รึไง ถ้าลืมได้ก็คงไม่คิดหาทางเอาคืนเจคอยู่ทุกวันแบบนี้หรอก”

    “แล้วยูริน แค่ถูกไอ้เจคมันดึงเข้ามาในข้อตกลงของมันกับคุณลุง แค่นี้เธอก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว แล้วถ้านายใหญ่จะใช้เธอเป็นเครื่องมือเอาคืนไอ้เจคอีก ยัยนั่นจะเป็นยังไง เรื่องของมิยอนไม่ได้ให้บทเรียนอะไรกับเราเลยเหรอ”

    “ให้สิ ให้บทเรียนที่ว่า เราไม่สามารถเชื่อใจใครได้แม้กระทั่งคนที่เราไว้ใจมากที่สุด”

    “แต่ผมเชื่อว่าเจคมันไม่มีทางหักหลังยุนกิฮยอง ยิ่งเป็นเรื่องมิยอนแล้ว มันไม่มีทางทำ!” แทฮยองยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองมาตลอดว่าเพื่อนสนิทของเขาไม่ใช่คนที่จะหักหลังคนที่มันรักและเคารพของมินยุนกิได้  

    “เราจะเชื่อแค่เพราะความรู้สึกไม่ได้หรอกนะแทฮยอง หลักฐานทุกอย่างเราก็เห็นๆกันอยู่” แทฮยองนิ่งไปเมื่อได้ยินคำว่า หลักฐาน เพราะมันคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของเขามากที่สุด

    “ถ้ายุนกิต้องการให้นายทำอะไรสำหรับเรื่องนี้ ฉันขอให้นายทำตามหน้าที่ๆเราควรทำในฐานะคนในตระกูล”

    “หึ พูดว่าให้ทำเพื่อนายใหญ่ ยังจะน่าฟังกว่า”

    “แทฮยอง...” นัมจุนเรียกชื่อน้องชายออกมาอย่างเหนื่อยใจ

    “จะเพื่ออะไร นายก็ต้องทำ”

    “มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
    “ถ้าเป็นคำสั่งของนายใหญ่ ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้...”

    “ฝากบอกนายใหญ่ด้วยว่า ผมยินดีรับคำสั่งเสมอ”

    “แทฮยองอ่า...” นัมจุนพยายามจะเดินเข้าไปหาน้องชาย แต่แทฮยองกลับก้าวถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว มันเป็นแบบนี้มาตลอดสองปี นับตั้งแต่วันนั้น

    แทฮยองทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาห่มเอาไว้ มันทำให้คนเป็นพี่ชายไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก จำต้องเดินออกจากห้องไป



    50%


    ฝาก สตรีมเเท็ก  #พี่เจคใจเย็น ด้วยน้า


    ชื่อทางการติดต่อไรท์

    twt : @Lilyn_T_V

    Facebook group : Lilyn-Fic




    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×