ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My mafia husband name is JK {BTSxYOU}

    ลำดับตอนที่ #3 : EP 02: หนีได้...หนีไป (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.86K
      243
      14 มี.ค. 64


    +++สี่เดือนก่อน+++

     

     

    มหาวิทยาลัย K

    บุคลากรในมหาวิทยาลัยชื่อดังต่างพากันจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงขอบคุณบรรดาผู้สนับสนุนมหาวิทยาลัย ซึ่งวันนี้ล้วนแล้วแต่จะมีบุคคลสำคัญของประเทศแล้วก็ยังมีผู้มีอิทธิพลอีกหลายคนที่คอยให้การสนับสนุนสถานศึกษาแห่งนี้อยู่

    รวมไปถึง ผู้นำของ บลูอีเกิ้ล อย่าง จอนจินโมด้วย เขาในฐานะที่ใครๆต่างมองว่าเข้าคือบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุด ภายนอกเขาอาจจะดูโหดร้าย และเย็นชา อันที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องเจียดเศษเงินอันน้อยนิดในกับที่นี่เลยก็ได้ แต่เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือที่ๆภรรยาที่จากไปของเขาเป็นศิษย์เก่ามันทำให้เขาอยากมีส่วนช่วยเหลือไม่ว่าจะทางใดก็ตาม

    รถคันหรูสีดำขลับสะท้อนกับแสงแดดได้เป็นอย่างดี จอดลงยังทางเข้าด้านหลังของตึกที่เป็นสถานที่จัดงาน ช่วงหลายวันที่ผ่านมา จอนจินโม ไม่ได้พักผ่อนจากการที่เขาต้องจัดการกับปัญหาหนอนบ่อนไส้ภายใน ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน

    ปัญหาที่ถ้าหากดูจากผิวเผินก็คงจะมองไม่เห็น แต่แบบนี้แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ปัญหาใกล้ตัวที่มองไม่เห็น แล้วถ้าหากไม่รีบจัดการก่อนที่ลูกชายของเขาจะมาสานต่อ มันอาจจะอันตรายเกินไปสำหรับคนใจร้อนอย่างจอนจองกุก ลูกชายคนเล็กของเขา

    ความเครียดกับงานที่หนักหน่วงทำให้สุขภาพของจอนจินโมย่ำแย่ๆลง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แม้กระทั้งจองกุกเองก็ไม่เคยรู้ถึงปัญหาสุขภาพของผู้เป็นพ่อ และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จอนจินโมเลือกที่จะมาร่วมงาน โดยที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าของพวกนักข่าว หรือสื่อต่างๆให้วุ่นวาย เขาจึงสั่งให้ลูกน้องเตรียมการเข้าทางด้านหลังตึก และจัดการให้มีคนน้อยที่สุด เพื่อตัดความรำคาญ และเพื่อให้บรรดานักศึกษาไม่ต้องได้รับผลกระทบมากนักจากการมาเยือนที่นี่ของเขา

     

    ทันทีที่รถจอดและประตูด้านหลังถูกเปิดออก ด้วยมือหนาของบอดี้การ์ดที่สวมชุดสีเข้ม โดยมีลีจุนฮยอง เลขาคนสนิทมายืนรอรับเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่ทันทีที่ดวงตาของมาเฟียรุ่นใหญ่ กระทบกับแสงจ้าจากดวงอาทิตย์โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาก็ดูจะพร่ามัวไปชั่วขณะ ทำเอาร่างสูงซวนแซจนแทบยืนไม่อยู่ โชคดีที่เลขาลีเข้ามาประคองเจ้านายเอาไว้ได้ทัน

    “นายใหญ่ครับ ผมว่า...” ลีจองฮยอกรู้อาการของเจ้านายของเขาเป็นอย่างดี ปัญหาสุขภาพที่ไม่ใช่แค่อาการอ่อนเพลียอย่างที่ใครๆใครเข้าใจ

    “ฉันไม่เป็นไร” เสียงตอบตะกุกตะกักยิ่งทำให้เลขาคนสนิทไม่อาจไว้ใจอาการของเจ้านายได้เลย

    จอนจินโมรู้ว่าถ้าเขายังคงแสดงความอ่อนแออยู่แบบนี้ บรรดาลูกน้องของเขาจะต้องเป็นห่วง และอาจมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของตระกูลตามมา

    เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมสติของตัวเอง ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอาการไม่สู้ดีนัก แต่เขาจะแสดงด้านอ่อนแอออกมาไม่ได้ เพราะเขาคือ ผู้นำของตระกูลจอน

    ขายาวสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าโดยมีบรรดาผู้คุ้มกันเดินตามหลังอยู่หกคนรวมเลขาของเขาด้วย ทั้งหมดเดินผ่านบรรดานักศึกษาที่กำลังจัดป้ายนิทรรศการเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโรคหัวใจอยู่

    กึ่ก

    แต่เมื่อเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเจ้าของร่างสูงก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจนตรงกลางหน้าอกของตัวเอง เป็นความรู้สึกบีบรัดและแน่นอึดอัด เหมือนมีอะไรมาทับที่บริเวณกลางหน้าอกอย่างรุนแรง ครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่ามันหนักหนากว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะเขาไม่สามารถประคองสติและร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป

    ร่างของจอนจินโมทรุดลงกับพื้นท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้ติดตามรวมถึงเลขาคนสนิท ที่รีบลงไปประครองร่างของเจ้านายเอาไว้อีกครั้ง

    “นายครับ!!!

    “นายใหญ่!!” เลขาลีตกใจกับสถานการณ์ที่มันรุนแรงกว่าที่เขาคาดเอาไว้ไว้ แต่เขาต้องรีบตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาตรงหน้าให้ได้เสียก่อน

    ลีจองฮยอกรีบสั่งการให้บรรดาลุกน้องมายืนล้อเป็นกำแพงเพื่อบดบังให้คนอื่นๆเห็นอาการของเจ้านายของเขาได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้  แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นได้

    “ยุน เรียกฮอล์มาลงจอดที่ตึกอำนวยการมหาลัยด่วน!!” เพราะเวลานี้การจราจรทุกอย่างติดขัดไปหมด เนื่องจากหมาวิทยาลัยจัดงานสำคัญ รวมถึงเป็นเวลาเลิกงานอีกด้วย ขืนเดินทางบนถนนมันอาจจะไม่ทันการณ์

     

    “มีอะไรให้พวกเราช่วยรึเปล่าครับ” นักศึกษาแพทย์ปีสี่คนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ถึงเลขาลีจะไม่อยากให้คนนอกรู้ถึงอาการป่วยของเจ้านายมากนัก แต่สถานการณ์ตอนนี้คับขันเกินกว่าที่จะมานึกถึงข่าวที่จะแพร่กระจายออกไป นาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของผู้เป็นนายอีกแล้ว

    นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นประเมินจากอาการที่ทุรนทุราย เจ็บแน่นกลางอกของผู้ป่วยตรงหน้า บวกกับอาการมือเท้าเกร็งอย่างรวดเร็ว มันพอจะทำให้พวกเขาประเมินได้ว่า เบื้องต้นผู้ป่วยกำลังเผชิญกับอาการอะไรอยู่

     

    “เขากำลังจะหมดสตินะคะพี่มินแจ ทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะ”

    “ยูรินพูดถูกนะคะ พี่มินแจ”

    “เงียบก่อน!!” คังมินแจเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสี่ที่ประสบการณ์ย่อมมากกว่ารุ่นน้องปีสองอีกสามคนที่อยู่ตรงนั้น เขารู้ดีว่ามันเสี่ยงแค่ไหน ถ้าเขาลงมือรักษาคนไข้ตอนนี้ เพราะเขาเองยังไม่ใช่แพทย์เต็มตัว เขาไม่อยากเอาอนาคตของตัวเองมาแขวนเอาไว้กับเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้

    “เขาหมดสติแล้วนะคะพี่มินแจ พี่ต้องรีบCPR ด่วนเลยนะคะ คนไข้มีอาการของหัวใจวายเฉียบพลัน ถ้าเราช้า เขาอาจจะ...”

    “หุบปากไปซะ นัมยูริน ฉันเป็นรุ่นพี่เธอนะ”

    “มิรัน โทรตามอาจารย์หมอมา” มินแจ ออกคำสั่งให้รุ่นน้องอีกคนโทรตามคนที่เป็นแพทย์จริงๆมา

    “แต่กว่าอาจารย์จะมาถึง จะไม่ทัน

    นะคะ พี่มินแจรีบทำตามขั้นตอนก่อนเถอะค่ะ”

     

    “จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ เร็วเข้า” เลขาลีอดรนทนไม่ไหว เพราะอาการของเจ้านายรังแต่จะแย่ลงไปทุกนาที

    “อาจารย์ไม่มีใครรับสายเลยค่ะ” มิรันบอกออกไปอย่างร้อนใจ

    “โทรต่อไปอย่าหยุด!!!” แจมินออกคำสั่ง

    “พี่มินแจคะ เร็วเถอะค่ะ ถ้าคนป่วย respiratory arrest* อาจจะ cardiac arrest*ได้นะคะ”

    *** respiratory arrest การหยุดหายใจ

          ***cardiac arrest หัวใจหยุดเต้น

     

     “เธอรับผิดชอบไหวเหรอนัมยูริน ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา เธอรับผิดชอบไหวมั้ย” รุ่นพี่แจมินคนที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังในครั้งนี้ลุกขึ้นจากร่างของจอนจินโมไป เพราะเขาจะไม่ยอมเอาอนาคตของตัวเองมาเสี่ยงเด็ดขาด นั่นจอนจินโมเชียวนะ ถ้าเขาพลาดขึ้นมา ไม่ใช่แค่อนาคตทางการแพทย์ของเขาจะดับลง เผลอๆชีวิตของเขาก็อาจจะไม่เหลือเลยก็ได้

    นัมยูริน น้ำตาคลอเพราะเป็นห่วงคนไข้ตามสัญชาตญาณของคนเรียนแพทย์ แต่ด้วยความที่เธอยังเรียนอยู่แค่ปีสอง นัมยูรินยังคงควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่นาทีนี้สิ่งสำคัญสำหรับเธอที่สุดก็คือ ชีวิตของคนเจ็บตรงหน้า เธอขอทำให้สุดความสามารถก่อน ดีกว่ายืนมองอยู่เฉยๆเพื่อเอาตัวรอด โดยไม่ทำอะไรเลย

    นัมยูรินก้มลงเอาหูแนบที่หน้าอกของจอนจินโม เพื่อตรวจสอบการหายใจ รวมถึงการเต้นของหัวใจไปพร้อมกัน ก่อนจะใช้มือตรวจเช็คชีพจรร่วมด้วย ในหัวกำลังคิดหาวิธีการรักษาเบื้องต้นตามที่เธอเคยร่ำเรียนมา

     

     

    อาการแน่นหน้าอกเหมือนถูกกดทับช่วงกลางอก เป็นเวลาเกินหนึ่งนาที ผู้ป่วยมีอาการ เหงื่อออกตามร่างกาย ชีพจรเต้นเร็ว จนหมดสติ

    “หัวใจวายเฉียบพลัน”  ไม่ผิดแน่

    หากผู้ป่วย หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็คือ การ “ปั๊มหัวใจ” ตรงบริเวณกึ่งกลางกระดูกหน้าอกเหนือลิ้นปี่ประมานสองนิ้ว

     “ยูริน เธอแน่ใจเหรอ”

     เพื่อนนักศึกษาแพทย์ของนัมยูรินเอ่ยถามด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่า ยูรินประสานมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้ตรงหน้าอกของคนป่วย มันจริงอย่างที่รุ่นพี่ของพวกเธอบอกว่า การรักษาคนป่วยโดยที่ยังไม่ได้เป็นแพทย์อย่างเต็มตัว ถ้าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา อนาคตของพวกเขาต้องพังลงเป็นแน่ แต่ยูรินไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ในหัว มีแค่คำสอนของอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคหัวใจเคยให้ความรู้เธอเอาไว้ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

     

    “ความเร็วในการปั๊มหัวใจ ควรอยู่ที่ 100-120 ครั้งต่อนาที”

    “ความลึกของการยุบหน้าอกอยู่ที่ สองนิ้ว”

    “ในช่วงเวลา ห้านาทีที่เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นช่วงเวลาสำคัญ เรียกว่า Golden period คนไข้จะมีโอกาสรอด 40 %

    “หากเกินช่วงเวลาดังกล่าว คนไข้จะมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก”


    คิดได้อย่างนั้นนัมยูรินไม่ลังเลแม้สักนิดที่จะทำการปั๊มหัวใจให้กับคนป่วยตรงหน้า คนที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใคร


    “ยูริน เธอบ้าไปแล้วเหรอ!!!” เสียงของคนเป็นรุ่นพี่เอ่ยขึ้น เพราะเขาเองก็อดเป็นห่วงรุ่นน้องไม่ได้

    “อีกเดี๋ยว อาจารย์หมอก็คงมา”

    “รอไม่ได้ คนป่วยรอไม่ได้แล้วค่ะ ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะ cardiac arrest  ถ้าจะยอมปล่อยให้พ้นช่วงGolden period ไปไม่ได้!!!

    “หายใจสิคะ”

    “ได้โปรด หายใจ”

    เม็ดเหงื่อผุดพราวไปทั่วกรอบใบหน้าหวาน เพราะนี่คือการช่วยชีวิตคนจริงๆครั้งแรกของเธอ  ยูรินออกแรงแต่พอเหมาะเพื่อทำการปั๊มหัวใจคนที่หมดสติไปซ้ำๆ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่า จอนจินโมจะฟื้นขึ้นมา

     

    “เกิดอะไรขึ้น!!! เสียงของคนที่เข้ามาใหม่ ซึ่งก็คือรุ่นพี่นักศึกษาแพทย์อีกคนของนัมยูริน

    “คนป่วย cardiac arrest ค่ะรุ่นพี่แทฮยอง” เพื่อนของยูรินตอบออกไป

    “รุ่นพี่คะช่วยที” ยูริน เริ่มหมดหวัง แล้วเงยหน้าขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่า เก่งที่สุดในรุ่นเลยก็ว่าได้ คิมแทฮยอง จึงก้มลงตรวจสอบร่างกายของผู้ป่วยเพื่อประเมินอาการจากที่เขาพอจะสังเกตได้

    “นัมยูริน หยุด”

    “อะไรนะคะ” ยูรินถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ นี่คิมแทฮยองที่เป็นความหวังสุดท้ายของเธอ กำลังจะบอกให้เธอละทิ้งคนเจ็บตรงหน้าอีกคนอย่างนั้นเหรอ

    “หยุด แล้วถอยไป”

    “เดี๋ยวฉันทำต่อเอง” เท่าที่คิมแทฮยองประเมินดูอย่างละเอียด ลำพังประสบการณ์และแรงของผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างนัมยูริน คงพอช่วยให้คนป่วยฟื้นได้ แต่คงไม่มากพอ

    “ค่ะ!!” นัมยูรินดีใจแทบตายที่ยินประโยคนั้นจากรุ่นพี่ของเธอ ก่อนจะหลีกทางให้แทฮยองได้ทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น

    เขาทำการปั๊มหัวใจให้จอนจินโมต่อจากนัมยูริน ไม่ใช่ว่าแทฮยองจะไม่รับรู้ถึงสายตาที่กำลังกดดันเขาอยู่จากคนของจอนจินโม ใช่แล้วเขารู้จักผู้ชายคนที่เขากำลังช่วยเป็นอย่างดีเลยล่ะ

    จนในที่สุด เสียงลมหายใจของจอนจินโมก็กลับมาหายใจอีกครั้ง ท่ามกลางความโล่งใจของเลขาลี ลูกน้องของจอนจินโม รวมถึงเหล่านักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย

    หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ของ บลูอีเกิ้ลที่ถูกส่งมาก็มาถึงยังมหาวิทยาลัย K อย่างรวดเร็ว และพาร่างที่เพิ่งจะกลับมาหายใจของจอนจินโมส่งถึงมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันเวลา


     

    วันต่อมา

    ห้องพักคณะบดี คณะแพทยศาสตร์

    ในเวลานี้นักศึกษาแพทย์ ห้าคนกำลังยืนเรียงกันอยู่ต่อหน้า อาจารย์หมอหลายท่าน รวมถึงคณะบดีของคณะที่รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

    “คังแจมิน คิมแทฮยอง ในฐานะที่พวกเธอเป็นรุ่นพี่ ปล่อยให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง”

    “รู้ใช่มั้ยว่าการรักษาคุณไข้ emergency โดยผู้ที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพ มันมีโทษร้ายแรง”

    “ผมทราบดีและผมก็พยายามเตือนนัมยูรินแล้วนะครับ แต่เธอไม่ยอมฟัง” คังแจมินโบ้ยความรับผิดชอบไปให้รุ่นน้องทันที

    “ใช่ค่ะ พวกเราก็พยายามห้ามเธอแล้ว แต่ยูรินไม่ฟัง” เพื่อนรุ่นเดียวกันกับยูรินพูดเสริม ทำให้บรรดาอาจารย์หมอหลายท่านหันไปมองยังนัมยูรินที่กำลังยืนก้มหน้าเพราะรู้ดี ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันอาจจะไม่ถูกต้อง แต่เธอทนมองดูคนๆหนึ่งตายไปต่อหน้าไม่ได้จริงๆ

    “หนูผิดเองค่ะ อย่าโทษคนอื่นๆเลยนะคะ หนูทำไปเพราะคนป่วยอาการน่าเป็นห่วงและหนูคิดว่าถ้าหากปล่อยเอาไว้ คนป่วยอาจจะ”

    “แต่ถ้าเธอทำพลาด ผู้ป่วยก็อาจจะตายได้เหมือนกัน!!!” หนึ่งในอาจารย์หมอเอ่ยขึ้น

    “เธอรู้ใช่มั้ยว่าสิ่งที่เธอทำลงไป มันผิดกฎ และเราสามารถไล่เธออกได้” ยูรินเม้มปากแน่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา เพราะถ้าเธอถูกไล่ออก พ่อแม่ของเธอจะต้องผิดหวังในตัวเธอมากเป็นแน่

     

    “ผมผิดเองครับ ผมก็อยู่ตรงนั้น แต่ผมไม่ห้ามรุ่นน้อง” และเป็นเสียงทุ้มต่ำของร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนัมยูรินเอ่ยขึ้น

    “คิมแทฮยอง รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา นายมีอนาคตมากกว่าที่จะมารับผิดแทนรุ่นน้องที่ไม่รู้จักคิดนะ”

    “ถ้านัมยูรินผิดที่ไม่รู้จักคิด ผมก็คงผิดข้อเดียวกับเธอ และเพิ่มเติมที่ผมเป็นรุ่นพี่ ที่ไม่ยอมดูแลรุ่นน้องให้ดีได้ ถ้าทุกท่านมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้นัมยูรินผิด แล้วเธอต้องรับโทษ ก็โปรดลงโทษคนที่มีความผิดมากกว่าเธออย่างผมด้วยเถอะครับ”

    “คิมแทฮยอง!!!” มันคือเรื่องจริงที่ว่าที่ศัลยแพทย์มือหนึ่งอย่างคิมแทฮยอง เป็นอนาคตบุคคลากรทางการแพทย์คนสำคัญเป็นแน่ ดังนั้นถ้าหากเขาต้องรับโทษนี้มีหวัง บรรดาคนที่สั่งลงโทษ คงถูกเรียกตัวไปตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แน่

    “และสิ่งนึงที่ผมสงสัย ในสถานการณ์ฉุกเฉินขนาดนั้น อาจารย์แต่ละคนไปอยู่ไหนเหรอครับระยะห่างจากตึกพักของอาจารย์หมอ กับที่เกิดเหตุมันไม่ได้ไกลกันเลยนะครับ ทำไมไม่มีแพทย์มืออาชีพเข้ามารักษาผู้ป่วยแทนพวกเราล่ะครับ”

    คำถามของนักศึกษาแพทย์เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ถามออกไป ทำเอาบรรดาเหล่าแพทย์มืออาชีพที่ เมื่อวานเอาแต่เตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงจนไม่ยอมรับสายจากนักศึกษาที่กำลังเดือดร้อน

    คิมแทฮยองสแยะยิ้มออกมา เพราะรู้ดีว่าการที่พวกเขาจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้นักศึกษา ก็เพื่อเอาตัวรอดนั่นเอง

    “แล้วลองคิดเล่นๆดูสิครับว่า ถ้าพวกเรายืนดูคุณจอนเฉยๆแล้วปล่อยให้เขาหัวใจหยุดเต้นโดยที่ไม่มีใครพยายามที่จะทำอะไรเลย ผลของมันจะออกมาเป็นยังไงครับ?

     

    “เอาเถอะ ถือว่าครั้งนี้นัมยูรินมีเจตนาที่ดี และคุณจอนก็ปลอดภัยแล้ว หวังว่าครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก พวกเธอออกไปได้แล้ว”

    หลังจากที่ทั้งห้าคนเดินออกมาจากห้องพักคณะบดี ทำเอาทั้งหมดโล่งใจขึ้นมา แต่ก็ไม่วายหันไปกล่าวโทษนัมยูรินต่อ

    “เธอเกือบทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วยแล้วนะยูริน”

    “ทีหน้าทีหลังก็ไม่ต้องอยากโชว์ว่าตัวเองเก่ง จนเอาอนาคตของเพื่อนไปเสี่ยงด้วยหรอกนะ” พูดจบทั้งสามคนก็เดินออกไป โดยไม่สนใจสักนิดว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายความรู้สึกของคนฟังยังไงบ้าง

    แต่เธอก็พยายามขับไล่ความรู้สึกแย่ๆออกไปก่อนเพื่อจะขอบคุณรุ่นพี่เพียงคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอเอาไว้

    “ขอบคุณรุ่นพี่มากๆนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้” ยูรินก้มตัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณต่อคิมแทฮยอง ซึ่งเจ้าตัวเองก็ตกใจไม่น้อย

    “ก้มขนาดนั้น กระดูกสันหลังของเธออาจมีปัญหาได้นะ”

    “ค่ะ ค่ะ ขอบคุณจริงๆนะคะ” ยูรินส่งรอยยิ้มจริงใจไปให้คนตรงหน้า

    “ถึงยังไง ครั้งนี้สิ่งที่เธอทำ มันไม่ถูกต้องจริงๆนัมยูริน”

    “ขอโทษค่ะ” ใบหน้าของยูรินสลดลงอีกครั้ง แทฮยองไม่ได้พูดอะไรต่อ และเดินผ่านร่างบางของยูรินไป ทำเอายูรินเกิดใจเสียขึ้นมา

     

    “แต่หมอที่ดี สิ่งแรกที่ต้องนึกถึง คือชีวิตคนไข้ ไม่ใช่ชีวิตของตัวเอง”

    ประโยคนั้นของคนที่เดินไปแล้ว มันทำให้น้ำตาของยูรินไหลลงมาจนได้ คิมแทฮยอง ยังคงเป็นรุ่นพี่ที่ยูรินประทับใจในความสามารถและจิตวิญญาณความเป็นแพทย์ของเขาเสมอ

     





    นัมยูรินเดินออกมาจากคณะได้ไม่นาน ก็พบกับชายชุดดำสองคนที่มายืนดักรอเธออยู่ก่อนแล้ว

    “คุณนัมยูรินใช่มั้ยครับ” หนึ่งในสองคนเอ่ยถาม

    “เอ่อ ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”

    “นายใหญ่ เอ่อ คุณจอนจินโมต้องการพบคุณ”

    “เขาฟื้นแล้วเหรอคะ!!!” ยูรินถามออกไปอย่างดีใจ เธอรู้แล้วว่าคนที่เธอพยายามช่วยชีวิตเอาไว้ อาการดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อไม่ฟื้น

    “ครับ แล้วท่านต้องการพบคุณเดี๋ยวนี้”

    “ฉันขอเวลาสักเดี๋ยวได้มั้ยคะ”

     

    ชั้นบนสุดของโรงพยาบาลแฮอิน ซึ่งเป็นโซนสำหรับ ผู้ป่วย ระดับ VIP ที่เป็นบุคคลสำคัญเท่านั้นถึงจะเข้ารับการรักษาที่นี่ได้ เป็นที่ๆระดับการรักษาเป็นเลิศกว่าที่อื่น รวมถึงข้อมูลของคนไข้จะไม่มีทางเล็ดลอดออกไปได้อย่างแน่นอน

    นัมยูรินเคยได้ยินมาบ้างเรื่องที่ร่ำลือกันว่า วอร์ด VIP ของโรงพยาบาลแฮอิน นั้นหรูหรา และไฮเทคมากแค่ไหน จนมาเห็นกับตาตัวเองก็วันนี้

    “เชิญครับ”

    ยูรินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องพักที่ทาด้วยสีครีมสะอาดตา ห้องนี้กว้างพอๆกับเพนเฮาส์ของพ่อเธอเลยก็ว่าได้

     

    “อ้าวมาแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าของจอนจbนโมเอ่ยทักทายขึ้น ถึงเขาจะยังคงดูอ่อนแรงอยู่แต่แววตาของเขาก็ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน

    “สวัสดีค่ะ ดีใจมากๆเลยนะคะที่คุณอาการดีขึ้นแล้ว”

    นัมยูรินทักทายด้วยรอยยิ้มที่สดใสออกไป เธอดีใจไม่น้อยเลยที่การจัดสินใจช่วยชีวิตคนตรงหน้ามันต่อชีวิตเขาได้

    “เท่าไหร่?

    “คะ?

    “เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อสิ่งที่เธอช่วยฉันเอาไว้ล่ะนัมยูริน”

    “สิบล้าน”

    “หรือยี่สิบล้าน”

    ยูรินรู้สึกชาไปทั้งตัว กับสิ่งที่ได้ยิน นี่เขาคิดว่าเธอยอมเอาอนาคตของตัวเองเข้าไปเสี่ยง เพราะต้องการเงินจากเขาอย่างนั้นเหรอ

    จอนจินโมให้เลขาลีสืบประวัติของเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขามาหมดแล้ว และรับรู้ด้วยว่าตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังเจอกับปัญหาด้านการเงิน

    ยูรินก้มหน้าลงเพื่อปกปิดสีหน้าของตัวเอง มือเล็กกำถุงผ้าที่มีของบางอย่างอยู่ข้างในเอาไว้แน่นจนจอนจินโมสังเกตเห็นบางอย่างในมือของเธอ

    “คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับความกรุณา แต่หนูไม่ต้องการเงินของคุณค่ะ”

    “ลาก่อนค่ะ” พูดจบ ยูรินไม่รอคำตอบใดๆจากคู่สนทนา เดินหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกไปจากห้องนี้

    “เดี๋ยวก่อน!!!

    “นั่นกลิ่นอะไร?” ผู้นำแห่งตระกูลจอนมองตามกลิ่นที่เขาคุ้นเคยไปยังสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าของยูริน

     

    “ไก่ตุ๋นโสมค่ะ หนูตั้งใจทำมาฝากคุณ แต่ถ้าหนูให้คุณ คุณอาจจะต้องเสียเงินให้หนูอีกกี่ล้านวอนกันล่ะคะ” จอนจินโมรู้ตัวแล้วว่าตัวทำผิดอย่างมหันต์ที่คิดจะเอาเงินฟาดหัวเด็กผู้หญิงหน้าสะสวยคนนี้ ดูสิ น้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ น่าเอ็นดูเชียว ยอมรับเลยว่า ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกสาวมาได้ดีเลยทีเดียว

    “เฮ้อ... ฉันขอกินฟรีๆได้มั้ย”

    “ถือว่าคนแก่ๆที่กำลังป่วยอย่างฉันมันเลอะเลือนจนพูดอะไรไม่ดีออกไป อย่าถือสาฉันเลยนะ”

    “ค่ะ”

    “ไก่ตุ๋นโสมน่ะ ของโปรดของฉันเลยนะ” มาเฟียวัยกลางคนส่งยิ้มไปให้ยูริน รอยยิ้มเอ็นดูที่เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายมันคือรอยยิ้มที่เขามอบให้กับลูกสาวคนโตของเขา ตอนสมัยที่เธออายุสิบขวบได้ล่ะมั้ง

    “ได้สิคะ แต่ถ้าอร่อยแล้วคุณเกิดติดใจ ครั้งหน้าหนูคิดราคาไก่คุณตัวละห้าหมื่นวอนนะคะ” ยูรินพูดออกไปยิ้มๆ

     

    ตลอดสองสัปดาห์ที่จอนจินโมรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีนัมยูรินที่แวะเวียนทำนู่นทำนี่มาให้เขาทาน ทำให้เวลาตั้งสิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีเด็กผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างยูรินมาคอยอยู่เป็นเพื่อน

    โดยที่ยูรินไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนป่วยที่เธอคอยมาเยี่ยมนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่ และจอนจินโมก็ไม่คิดที่จะบอกออกไป เพราะกลัวว่ายูรินจะกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เขา

    “คุณลุงรู้มั้ยคะ ว่าถ้าเราถอนหายใจหนึ่งครั้ง อายุสั้นไปสิบปีเลยนะคะ” เสียงเจื้อยแจ้วของยูรินดังขึ้น เมื่อเธอเห็นว่า คนป่วยเอาแต่ถอนหายใจจากความเครียดบางอย่าง

    “ถ้าอย่างนั้น อีกเดี๋ยวฉันคงจะตายแล้วล่ะ”

    “อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกๆของคุณลุงคงเสียใจแย่”

    “ลูกฉัน? หึหึหึ”

    “คนโตป่านนี้ก็คงอยู่กับครอบครัวจนลืมฉันไปแล้ว ส่วนลูกคนเล็กน่ะเหรอ ป่านนี้คงไปไล่ยิง เอ่อ คงมัวแต่ทำงานจนลืมพ่อคนนี้ไปแล้ว”

    “แปลว่าลูกๆของคุณลุงโตกันหมดแล้วสิคะ” คนป่วยพยักหน้าแทนคำตอบ

    “หนูก็นึกว่า ลูกๆของคุณลุงยังเด็กอยู่ซะอีก เพราะคุณลุงดูยังไม่แก่เลยนะคะ”

    “เข้าใจพูดนะเราน่ะ แต่ถ้ามีลูกสาวน่ารักๆอีกสักคนก็คงจะดี”

     

    “นี่จองกุกกำลังจะมีน้องจริงๆเหรอที่รัก”

    “จริงค่ะ แปดขวบแล้วเพิ่งจะมีน้องสงสัยโวยวายยกใหญ่แน่ๆ”

    “คงต้องให้จองกุกมีน้องสาวแล้วล่ะ จะได้รู้จักมอบความรักให้คนอื่น เผื่อจะได้อ่อนโยนกับเขาบ้าง”

    “ดีสิคะ ถ้ามียัยตัวเล็กๆน่ารักๆอีกสักคน คุณคงต้องไว้หนวดยาวกว่านี้แน่ๆ”

    “ผมจะไว้ให้ยาวถึงขาเลยก็ได้ แค่ใครอย่ามาแตะต้องลูกสาวของผมก็พอ”

     

    “คุณลุงคะ”

    “คุณลุง!!” ยูรินตกใจเมื่อสังเกตได้ถึงแววตาเศร้าสร้อยที่ปรากฏขึ้นจากคนตรงหน้า

    “เอ่อ ฉันแค่...”

    “เดี๋ยวหนูไปขออนุญาตคุณพ่อให้นะคะ”

    “ขออนุญาต?

    “ก็ขออนุญาต มาเป็นลูกสาวให้คุณลุงจนกว่าคุณลุงจะหายป่วยไงคะ” รอยยิ้มและคำพูดของยูรินทำให้จอนจินโมลืมอดีตที่ทำให้เขาเจ็บปวดไปได้บ้าง เขาได้แต่คิดในใจว่า เด็กผู้หญิงที่น่ารักคนนี้ ถ้าเขาได้มาเป็นลูกสาวจริงๆก็คงจะดีสินะ

     

     

    ปัจจุบัน

    ห้องทำงานของจอนจองกุก ตอนนี้มีสี่ชีวิตที่นั่งอยู่ภายในห้อง ใบหน้าของพวกเขาตึงเครียดอยู่ไม่น้อย เพราะกำลังใช้ความคิด

    “แล้วมึงจะเอายังไง” ซอกจินเอ่ยถามออกมาในที่สุด แต่จอนจองกุกก็ยังคงเอาแต่เงียบตั้งแต่ออกจากงานมาแล้ว

    “สิ่งที่มึงทำได้ ก็คือแต่งงานตามที่นายใหญ่ต้องการ ไม่อย่างนั้นนายใหญ่เอาจริงแน่”

    “แต่งงาน?

    “เหอะ จะให้แต่งกับใคร แต่งกับยัยคนสวนนั่นเหรอ” ในที่สุดจองกุกก็พุดออกมาจนได้ อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหน เขาก็ไม่อยากแต่งทั้งนั้นแหละ

    “มึงดูไม่ออกจริงๆเหรอวะ ว่าผู้หญิงคนนั้นดูยังไงก็ไม่ใช่คนสวน ผิวขาวอมชมพูนุ่มนิ่มไปทั้งตัวขนาดนั้น”

    “มึงมองกูด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง” จีมินถามขึ้นเมื่อจู่ๆจองกุกก็ตวัดสายตามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

    “เปล่ากูก็แค่มองมึงปกติ”

    “มองกูแบบนี้แปลว่ารักกู?

    “โฮซอกฮยอง ส่งมันไปดูแลสาขาที่ปูซานที เบื่อขี้หน้ามัน”

    “โอ๊ะๆๆๆ จอนเจค เพื่อนร้ากกก อย่าไล่กูไปเลยน้า กูก็แค่แซว เค้าย้อเย่นเฉยๆ”

    “มึงไปใช้คำปัญญาอ่อนไกลๆกู” นั่นคือคำพูดที่ลอยออกมาจากสายตานิ่งๆที่จอนกุกใช้มองเพื่อนสนิท


    “พ่อนะพ่อ ทำไมต้องเอาเรื่องแต่งงานมาเป็นข้อตกลงด้วยวะ เมียนะโว้ยไม่ใช่หมา จะได้หามาได้ง่ายๆ”

    “แล้วนายน้อยจะทำให้เป็นเรื่องยากไปทำไมล่ะ”

    “เออ นั่นดิ” จอนจองกุกเหมือนเริ่มได้สติจากคำพูดของจองโฮซอก

    “แต่กูขอถามหน่อยเถอะ มึงไปเอาผู้หญิงคนนี้มาจากไหนวะ"

    "เก็บมาจากข้างทาง เจอ...ก็เก็บมาเลย" จองกุกตอบจีมินออกไปส่งๆ

    "ข้างทาง!!! จองกุก เมียหรือมะม่วง?"

    "มะม่วงยังน่ากินมากกว่ายัยนี่อีก" ผู้หญิงอะไร หาความน่ากินไม่ได้เลยสักนิดนี่ขนาดลองเทสต์รสชาติไปแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือจืดชืด แค่จูบยังทำไมเป็นเลย ถึงปากจะนุ่มนิ่มเหมือนเยลลี่ก็เถอะ(ได้ข่าวว่าแกไปบังคับน้องนะไอ้พี่เจคใครเค้าจะจูบตอบแก)

     

    “ฮยองผมควรทำไง” จองกุกถามทั้งโฮซอกและซอกจินพร้อมกัน

    “มึงเล่นประกาศต่อหน้าคนเป็นร้อย ทุกคนเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว กูว่าถ้ามึงต้องการตำแหน่งจากนายใหญ่ มึงก็ต้องแต่งงานกับเธอไปก่อน” ซอกจินเสนอความคิด

    “มันไม่ใช่แค่นั่นดิ ไหนจะเรื่องทายาทอีก ฮยองจะให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จัก แล้วมีลูกกับเธอตามที่พ่อบอกอ่ะนะ  นรกชัดๆ ไล่ผมไปยิงกบาลพวกทรยศที่จีนยังง่ายกว่า”

    “มันก็แค่การทำลูกป๊ะวะไอ้เจค เราผู้ชายนะโว้ย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยาก” ความตั้งใจของจีมินคืออยากพูดให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้น แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอย่างจอนจองกุก

    “ผมคิดว่า นายน้อยควรจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไปก่อน ให้ได้ตำแหน่งมาอยู่ในมือก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง”

    “ขอแค่เราตกลงกับผู้หญิงคนนั้นให้ดีๆ ผมว่าผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะสร้างปัญหาให้เรา แต่เราจำเป็นต้องสร้างข้อตกลงและผลตอบแทนให้ชัดเจน”

    “พอทุกอย่างอยู่ในมือของนายน้อย  นายน้อยกับผู้หญิงคนนั้นก็ต่างคนต่างไป ตามข้อตกลง ไม่ต้องมีข้อผูกมัดต่อกัน” ข้อเสนอของโฮซอกทำให้จอนกุกคิดตาม

    “ถือว่าเป็นข้อดีนะ ที่นายน้อยเลือกผู้หญิงคนนี้มา”

    “ดียังไง ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้”

    “ตอนนี้เธอไปไหนซะล่ะ?” คำถามของเลขาคนสนิททำให้อีกสามคนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าผู้หญิงแปลกหน้าที่จองกุกดึงเข้ามาในข้อตกลงครั้งนี้ได้หนีหายไปแล้ว

    “ก็ถ้านายน้อย ไปคว้าเอาหนึ่งในผู้หญิงที่มามอบความสุขให้นายน้อยมาล่ะก็ ความยุ่งยากมาเยือนแน่”

    “เพราะพวกเธออยากได้มึง” 

    จีมินพูดขึ้นมา จองกุกไม่ชอบสุงสิงกับมนุษย์เพศหญิงสักเท่าไหร่ มันเลยทำให้เขาไม่เคยคิดที่จะมีเเฟนเลยตั้งเเต่ลืมตาดูโลกมา 25 ปี เเต่เขาก็คือ ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความต้องการ เเละระดับว่าที่ผู้นำของ บลูอิเกิ้ลอย่างเขา ย่อมมีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่จะเข้าหา เเต่ก็ใช่ว่าจองกุกจะคว้าทุกคนที่เข้าตามานอนด้วยหมดซะเมื่อไหร่ เขาเลือกเเล้วเลือกอีกว่าใครที่เขาจะมาปรนเปรอเขา สุดท้ายก็มีอยู่เเค่สองสามคนที่จะได้เข้าถึงเตียงของจอนจองกุก 

    เเต่มันก็เเค่ร่างกายเท่านั้น จองกุกเเทบจะไม่ได้จำชื่อพวกเธอด้วยซ้ำ เสร็จกิจก็จ่ายเงินเเล้วจบไป ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพวกเธอไม่ได้ต้องการเพียงเเค่เงิน ผู้หญิงพวกนั้นต้องการที่จะครอบครองเขาทั้งตัวเเละหัวใจ เเต่นั่นมันคือเรื่องที่พวกเธอกำลังฝัน เเละเเน่นอน ความฝันมันไม่มีวันเป็นความจริงได้

    “แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่” ถ้านัมยูรินอยากแต่งงานกับจองกุก อยากครอบครองเขาเหมือนผู้หญิงหลายๆคน ป่านนี้เธอคงนั่งรอเป็นเจ้าสาวของเขาไปแล้ว ไม่ใช่หนีหายหัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้หรอก

    และอีกอย่างหนึ่ง จอนจองกุกสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยว่า พ่อของเขามีความสัมพันธ์อะไรกับผู้หญิงคนนั้นกันแน่ ทั้งคำพูดและสายตาที่พ่อของเขามองยัยคนสวนนั่น มันดูไม่ธรรมดา เขาเชื่อว่าไม่นานเขาจะต้องรู้ให้ได้

    แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็คือ เขาจะต้องไปตามหายัยคนสวนขี้แยคนนั้นให้เจอก่อน เพราะเขาไม่อยากมีปัญหากับพ่อ หากต้องเปลี่ยนตัวคนที่จะมาเป็นเจ้าสาวกำมะลอของเขา

    ปึ่ก!!!

    จองกุกมองตามบางอย่างที่ซอกจินวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา

    “นี่ประวัติของผู้หญิงคนนั้น”

    “โห...ฮยอง รวดเร็วมาก” ปาร์คจีมิน ปราบปลื้มในความรวดเร็วด้านข้อมูลข่าวสารที่มันเป็นงานถนัดของคิมซอกจินอยู่แล้ว

    “นัมยูริน”

    “ชื่อยูรินจริงๆสินะ”

    มาเฟียหนุ่มสลัดภาพและเสียงที่พ่อของเขาเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นออกไปจากหัวไม่ได้เลยจริงๆ

     

    “กูว่ามึงควรออกไปตามว่าที่เมียมึงได้แล้วนะ อย่าเสียเวลาเลย” จีมินบอกออกไปแบบนั้นเพราะเพื่อนของเขาควรรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็ว

     

    จอนจองกุกละสายตาจากข้อมูลขอผู้หญิงที่ชื่อ นัมยูริน พร้อมกับความรู้ใหม่ที่ว่า เธอไม่ใช่คนสวน ตรงกันข้าม ยูรินมีชีวิตราวกับเจ้าหญิง แต่เป็นเจ้าหญิงที่ตอนนี้พระราชวังโดนพายุทอร์นาโดพัดถล่ม จนวังพังทลายลงไปหมดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยที่จะทำให้ ยัยเจ้าหญิงวังถล่ม ยอมทำตามข้อเสนอของเขา

    “กูคงไม่ต้องเสียเวลาไปตามหายัยนั่นให้เหนื่อยหรอก”

    “รอให้นัมยูริน มาหากูถึงที่จะดีกว่า”

    “โฮซอกฮยอง ติดต่อไปที่โรงพยาบาล ฮันรยู”

    “แล้วจัดการกับคนไข้ที่ชื่อ นัมคิบอม ซะ”

    “นี่มึงจะเล่นพ่อเมียเลยเหรอ ”

    คิมซอกจินแซวออกมาขำๆ จองกุกเองไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่รอยยิ้มมุมปากที่มักปรากฏขึ้นเมื่อจอนกุกมั่นใจว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ มันทำให้ซอกจินวางใจ

     “แต่ดูท่าทางจะยากนะ เธอดูกลัวมึงมาก ไม่งั้นเธอไม่หนีมึงไปแบบนี้หรอก”

    “หึ หนีได้ ก็หนีไป”

    “เป็นผู้ล่า มันสนุกจะตาย มึงก็รู้”

    100%

    End Ep.02

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ยูรินหนีไปลูกกกกกกกกก

    ขออภัยที่ไปไม่ถึงสปอย อีกนิดค่า อีกนิดเดียว นิดเดียวจ้า จะพยายามมาลงให้เรื่อยๆนะคะ เนื้อเรื่องอาจดำเนินช้าหน่อยถ้าเคยอ่านผลงานก่อนๆของไรท์มา ไรท์ก็อดรำคาญตัวเองไม่ได้ ที่ต้องเดินเรื่องแบบเก็บรายละเอียดทุกเม็ด มาค่อยๆกระดึ๊บไปด้วยกันนะคะ อีพีนี้ปวดหัวมากกับศัพท์ทางการแพทย์ ถ้ามีข้อผิดพลาดขออภัยด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำได้เลยน้า

    ปล. ไรท์ขอพี่หมอแทฮยองได้มั้ยคะ

    ฝาก สตรีมเเท็ก  #พี่เจคใจเย็น ด้วยน้า


    ชื่อทางการติดต่อไรท์

    twt : @Lilyn_T_V

    Facebook group : Lilyn-Fic


     

    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×