คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : บทที่ 13 (50%)
เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากซย่าเจี่ยลุ่ยทำให้อาการโดยรวมของเฟิงชิงถิงดีขึ้นมากในวันต่อมา อาการไข้ลดลงเหลือแต่อาการปวดระบมจากการบาดเจ็บ ที่น่ากลัวคงเป็นรอยช้ำม่วงที่ปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด และมีบางส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า สือซานเหลียงก็เอาแต่มองรอยพวกนั้นอย่างไม่วางตา
วันนี้ก็ไม่ต่างกับเมื่อวาน เฟิงชิงถิงได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกเรือนพัก ถามจากชุ่ยเอ๋อร์ก็รู้ว่าเป็นนายท่านต้วนผู้นั้น แล้วชุ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ
“แต่วันนี้นายท่านต้วนไม่ได้มาหาเรื่องเจ้าค่ะ เขาบอกว่ามาดีและต้องการพบแม่นางเลี่ยงเจ้าค่ะ”
“ต้องการพบข้า” เฟิงชิงถิงเองก็แปลกใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาเข้าพบ
เนื่องจากอาการของเฟิงชิงถิงยังไม่ดีเท่าใดนัก นางจึงให้ชุ่ยเอ๋อร์ประคองไปนั่งที่โต๊ะกลางห้องแล้วให้อีกฝ่ายไปพาคนแซ่ต้วนขึ้นมาหานาง
“แม่นางเลี่ยงใช่หรือไม่ ใช่แม่นางเลี่ยงหรือไม่” ต้วนเล่อเดินเข้ามาในห้อง เห็นสตรีใบหน้างดงามแต่ซีดเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง เขาก็กระวีกระวาดเดินมาถามอย่างกระตือรือร้น แต่เฟิงชิงถิงสังเกตว่าท่าเดินและการขยับกายเขาดูแปลกๆ
“ข้าแซ่เลี่ยง ไม่ทราบว่านายท่านต้วนต้องการพบข้าด้วยเรื่องใดเจ้าคะ” นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สือซานเหลียงเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ
เฟิงชิงถิงคิดว่ายามนี้แม้จะเดินทางไปที่พรรคโลหิตอัคคีนางก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี ทำได้แค่รักษาตัวให้ดีขึ้นอีกสักพักแล้วค่อยออกเดินทาง และเพื่อให้นางสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ นางจึงยอมให้คนแซ่ต้วนเข้าพบหาทางดูว่าจะจบปัญหานี้อย่างไรโดยไม่ต้องให้มือปราบเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ดูท่าคนแซ่ต้วนจะไม่ได้มาหาเรื่องอย่างที่นางคิด
ร่างท้วมขาวในชุดผ้าไหมเนื้อดีคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว เขาโขกหัวลงบนพื้นหลายคราดั่งว่านางเป็นบรรพชนของเขาที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ปาน
“แม่นางเลี่ยงโปรดรับการคารวะจากข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว โปรดให้อภัยข้าและลูกชายข้าด้วยขอรับ”
“ท่านต้วนมีสิ่งใดก็ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ” เฟิงชิงถิงไม่ชอบให้ผู้ใดมาคุกเข่าคารวะเช่นนี้ คนแซ่ต้วนก็อายุน่าจะใกล้สี่สิบเห็นจะได้นางเป็นลูกของเขาได้ด้วยซ้ำ แต่นางไม่มีแรงจะขัดขวางเขาจึงพยักหน้าให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปช่วยห้าม แต่กลายเป็นว่าคนแซ่ต้วนมีท่าทีตื่นตระหนกกว่าเดิม กอดขานางแน่นพลางอ้อนวอน
“แม่นางเลี่ยง ข้าจะไม่ยอมลุกขึ้นหากแม่นางไม่ยอมให้อภัยข้ากับลูกชาย”
ผลั๊ก!
ร่างท้วมที่กอดขานางอยู่ถูกเท้าขนาดใหญ่ภายใต้รองเท้าหุ้มข้อถีบเข้าให้เต็มเปา จนร่างที่ถูกถีบหงายหลังกลิ้งหลุนๆ อยู่สามตลบก่อนจะหยุดอยู่ที่กำแพงห้องอย่างไม่เป็นท่า เฟิงชิงถิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่คนผู้นั้นก็หาได้ยอมแพ้ไม่ เขารีบตะเกียกตะกายตั้งหลักก่อนจะคลานเข้าหานางอีกครั้ง
“อาเหลียงอย่าทำเขา”
สือซานเหลียงเห็นเช่นนั้นก็ตั้งท่าจะถีบอีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงหวานร้องห้ามเขาก็ชะงัก แต่ก็มองชายร่างท้วมที่คลานเข้ามาใกล้ด้วยสายตาไม่ชอบใจ
เฟิงชิงถิงตกใจที่อยู่ดีๆ สือซานเหลียงก็ถีบคนแซ่ต้วนจนกลิ้งไปไกล พอคนผู้นั้นคลานกลับเข้ามาสือซานเหลียงก็ทำท่าจะถีบอีก นางร้องห้ามไปตามสัญชาตญาณไม่คิดว่าสือซานเหลียงจะหยุดการกระทำไม่ถีบคนแซ่ต้วนจริงๆ แม้นางจะแปลกใจแต่ก็มีเรื่องที่สนใจมากกว่า
“นายท่านต้วนท่านลุกขึ้นมาเถิด” นางบอกคนแซ่ต้วนอีกครั้ง
ตอนแรกต้วนเล่อคิดจะคลานเข้าหา แต่เห็นเท้าใหญ่ที่เง้อขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากแต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้น ยกมือไหว้นางดั่งคนขอชีวิต “ได้โปรดเถิดแม่นางเลี่ยง โปรดให้อภัยลูกข้าและข้าด้วยเถิด ต่อไปนี้ข้าสัญญาว่าจะสั่งสอนเขาดีๆ ไม่ให้เขาไปรังแกผู้ใดอีก”
ท่าทางยามที่ต้วนเล่อยกมือไหว้ทำให้สาบแขนเสื้อตกไปถึงข้อศอก เฟิงชิงถิงสังเกตเห็นว่าแขนสองข้างของเขามีรอยม่วงคล้ำอยู่หลายแห่ง ดูก็รู้ว่าร่องรอยนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน
“แขนท่านไปโดนสิ่งใดมา” นางถาม
“เอ่อ...ข้าหกล้ม ข้าหกล้ม” คนแซ่ต้วนตอบอย่างลนลาน
เฟิงชิงถิงไม่อยากจะเชื่อ แต่สายตาของเขานั้นเหมือนวิงวอนต่อนางว่าอย่าถามเขาอีกเลย นางจึงไม่ได้ถามต่อ และไม่คิดจะต่อความยาวเรื่องต่างๆ อีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด เรื่องอื่นก็ขอให้แล้วต่อกัน ฝั่งของข้าเองก็ผิดที่ไม่สามารถคุมสติอารมณ์ได้ คุณชายต้วนเองก็เป็นแค่เด็ก ยังไม่รู้ประสา”
“ไม่ขอรับ ไม่ๆ คนของแม่นางไม่ผิด ไม่ผิดสักนิด เป็นลูกชายของข้าเองที่ไม่รู้เรื่อง ต่อไปข้าจะสั่งสอนให้เขาเอาแต่ร่ำเรียน ไม่ออกไปหาเรื่องผู้ใดอีกเป็นอันขาด”
“ขอบคุณท่านต้วนที่ใจกว้าง เช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถิด”
ได้คำตอบที่พอใจแล้วต้วนเล่อก็ยอมลุกขึ้นด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนจะเจ็บยอกไปทั้งร่าง เฟิงชิงถิงมองออกเพราะนางเป็นหมอ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ ขณะกำลังจะลุกขึ้นต้วนเล่อก็รีบห้ามเอาไว้
“แม่นางไม่ต้องลุก แค่ท่านให้อภัยพวกเราก็ถือว่าเป็นบุญคุณมากแล้ว ต่อแต่นี้ท่านไม่ต้องห่วงว่าลูกของข้าจะมารังแกคุณหนูลี่อีก ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่นอน ส่วนนี้เป็นเงินปลอบขวัญของข้าให้แม่นางเลี่ยงโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ต้วนเล่อยื่นกล่องไม้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่มาให้นางด้วยมืออันสั่นเทา
“ข้าไม่ต้องการเงินปลอบขวัญ แต่ก็ขอบคุณน้ำใจของท่าน”
“ไม่ได้ๆ ท่านต้องรับไว้ แม่นางโปรดรับเงินนี้ไว้ด้วยเถิด ข้าขอร้องแม่นาง” ต้วนเล่ออ้อนวอนด้วยดวงตาแดงก่ำทำท่าจะร่ำไห้ออกมา
เมื่อเห็นความลำบากใจของเขาแล้ว นางจึงรับกล่องเงินนั้นไว้ เมื่อรับเสร็จ ต้วนเล่อก็ยื่นของอีกอย่างให้นาง มันเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง
“ข้าไม่ได้เปิดอ่านแน่นอน ขอแม่นางโปรดวางใจ”
เฟิงชิงถิงมองจดหมายในมือเขา ต้วนเล่อไม่สนใจรีบยัดจดหมายใส่มือนางคล้ายว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นดั่งเปลวไฟที่กำลังเผามือเขาจนทนไม่ไหวต้องรีบส่งต่อให้คนอื่น เมื่อเขายัดจดหมายใส่มือเฟิงชิงถิงได้สำเร็จก็รีบร้อนเอ่ยลาและจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ชุ่ยเอ๋อร์ก็อดที่จะบ่นถึงท่าทางประหลาดของเขาไม่ได้
แล้วความสงสัยทุกอย่างก็ถูกคลี่คลาย หลังจากเฟิงชิงถิงเปิดจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่าน ข้อความในนั้นเป็นเนื้อความเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ว่า
‘ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ดูแลท่านประมุขอย่างดี พวกเราพรรคโลหิตอัคคีซึ้งในน้ำใจของแม่นางยิ่งนัก แต่เพราะยามนี้สาขาพรรคที่ด่านชายแดนต้าหลวนถูกชาวยุทธ์จับตาอยู่ ไม่สะดวกที่จะต้อนรับท่านประมุขกลับไป รอไม่นานให้พวกเราวางใจที่ซ่อนตัวใหม่แล้วจะรีบมารับตัวพวกท่านไปทันที ระหว่างนั้นโปรดพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ และไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีผู้ใดตามแม่นางและท่านประมุขเจอ’
ลงชื่อด้านท้ายจดหมายว่า ‘ถานเฟิง ทูตซ้ายพรรคโลหิตอัคคี’
เฟิงชิงถิงเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดนายท่านต้วนผู้นั้นจึงเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากไม่ใช่ถูกคนของพรรคโลหิตอัคคีสั่งสอนแล้วจะมีผู้ใดได้อีกเล่า
ดังนั้นจดหมายฉบับนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า คนพรรคโลหิตอัคคีรู้แล้วว่าสือซานเหลียงอยู่ที่ใด ยามนี้ก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น คิดแล้วนางก็โล่งใจไปอีกเปราะหนึ่ง
อาการบาดเจ็บของเฟิงชิงถิงดีขึ้นตามลำดับ แม้ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนานหน่อย แต่การบาดเจ็บของนางก็ไม่เป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตเท่ากับช่วงแรกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่ต้องลำบากใจอยู่ดี
เรื่องที่น่าลำบากใจที่สุดคือเรื่องธุระส่วนตัวของนาง ก่อนหน้านี้นางลุกไม่ไหวเพราะอาการบาดเจ็บและพิษไข้จึงยอมอับอายที่ต้องทำธุระในห้องโดยให้สือซานเหลียงรออยู่นอกห้องแต่ดีที่มีฉากกั้นและประตูห้องกั้นเอาไว้ถึงสองชั้นนางจึงยังพอทำใจได้
หลังจากนอนพักรักษาตัวได้เจ็ดวันและพอลุกไหวจึงคิดว่าใช้สุขาดีที่สุด เพราะคิดว่าแค่หลบไปไม่นานสือซานเหลียงคงไม่สนใจเหมือนเช่นเมื่อก่อนแต่ครั้งนี้กลับต่างกันเพราะสือซานเหลียงกลับเดินตามนางมาคล้ายว่าไม่ยอมให้นางคลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด
“อาเหลียงไม่ต้องตามข้ามา” เฟิงชิงถิงหน้าร้อนผ่าวเมื่อสือซานเหลียงเดินตามมาถึงหน้าสุขา
“ท่านเหลียงคงจะเป็นห่วงแม่นางเลี่ยงน่าดูนะเจ้าคะ รีบเข้าสุขาไปเถิดเจ้าค่ะ ดูท่าคงไม่ไปไหนแน่ๆ” ซินฝูที่วันนี้มีหน้าที่ดูแลนางเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านป้า ข้าเดินกลับเองได้ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง” เฟิงชิงถิงหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม
“เช่นนั้นป้าไปก่อนนะเจ้าคะ หากมีสิ่งใดก็เรียกป้าหรือชุ่ยเอ๋อร์ได้นะเจ้าคะ” ซินฝูบอกก่อนจะจากไป
เมื่อเหลือเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงเพียงสองคนนางจึงบอกกับเขาให้ถอยห่างห้องสุขาไป แต่สือซานเหลียงหรือจะเข้าใจ
เฟิงชิงถิงจึงจูงเขาเดินห่างจากห้องสุขาไกลกว่าเดิม แต่เมื่อนางเดินกลับไปที่ห้องสุขาเขาก็เดินตามมาด้วย
นางอยากจะร้องไห้
“เช่นนั้นปิดหูเอาไว้” เฟิงชิงถิงสั่ง
สือซานเหลียงไม่ขยับเฟิงชิงถิงจึงต้องเดินไปหาเขาใช้แขนข้างที่ไหล่ไม่เจ็บยกมือเขาปิดหูทีละข้าง “ห้ามเอามือลงจนกว่าข้าจะออกมา” นางบอกเขาก่อนจะปิดหูอีกข้างของเขาไว้
ก่อนเข้าสุขานางก็มองเขาอีกครั้ง เห็นเขายังเอามือปิดหูเช่นที่นางทำไว้ก็เข้าห้องสุขาได้อย่างสบายใจขึ้นเล็กน้อยแต่ที่นางไม่รู้คือแม้นางจะปิดหูเขาไว้แต่เพราะเขามีพื้นฐานวรยุทธ์ที่ดีแม้จะทำเช่นนั้นเขาก็ยังพอได้ยินเสียงนางอยู่ดี
หากนางรู้ คาดว่าอย่างไรคงไม่ยอมให้เขาอยู่หน้าห้องสุขาเด็ดขาด!
ความคิดเห็น