คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : บทที่ 12 (50%)
สองวันผ่านไป สีจิ้งส่งจดหมายมาแจ้งข่าวว่ารู้ที่ตั้งของพรรคโลหิตอัคคีแล้ว แต่เพราะช่วงนี้พรรคโลหิตอัคคีอยู่ในช่วงปิดพรรค สั่งห้ามติดต่อคนนอกจึงไม่สามารถสอบถามเรื่องญาตินามว่าสือซานเหลียงให้นางได้ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นสีจิ้งก็ยังบอกว่าจะลองสืบหาต่อไป
เฟิงชิงถิงอ่านจดหมายแล้วก็ถอนใจ นางคาดว่าที่พรรคโลหิตอัคคีปิดพรรคก็เพราะการหายตัวไปของสือซานเหลียง แต่หากติดต่อกับคนพรรคโลหิตอัคคีไม่ได้ แล้วนางจะส่งข่าวเรื่องสือซานเหลียงให้พวกเขารู้ได้อย่างไร สุดท้ายหากสีจิ้งยังสืบเรื่องไม่ได้ นางก็คงต้องพาสือซานเหลียงไปที่พรรคโลหิตอัคคีด้วยตนเอง
วันนั้นเฟิงชิงถิงนั่งคิดหาวิธีพาสือซานเหลียงไปที่พรรคโลหิตอัคคีตลอดทั้งวัน นางพยายามเค้นสมองคิดว่าหากเจอเหล่าชาวยุทธ์ระหว่างทางจะทำอย่างไร คิดถึงเรื่องแปลงโฉมให้สือซานเหลียงเพื่อไม่ให้ชาวยุทธ์จำได้ แต่หากแปลงโฉมให้เขา คนพรรคโลหิตอัคคีก็จะจำไม่ได้เช่นกัน แล้วหากพวกเขาคิดว่าเป็นสือซานเหลียงตัวปลอมเล่าจะทำอย่างไร
เฟิงชิงถิงคิดไปต่างๆ นานา พลางมองสือซานเหลียงที่นั่งมองนางอย่างเหม่อลอยเช่นกัน
“แม่นางเลี่ยงได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์เคาะประตูห้องบอกนาง
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เฟิงชิงถิงตอบ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นางกังวลใจ นางกินอยู่ที่โรงผ้าปักมาได้สี่ห้าวันแล้ว สือซานเหลียงก็กินจุขนาดนั้น นางเกรงใจซย่าเจี่ยลุ่ยที่ยอมให้พวกนางมากินเปล่าคล้ายกับสุกรสองตัว หากมีสิ่งใดตอบแทนค่ากินอยู่ได้บางนางก็คิดอยากจะช่วยแบ่งเบา แต่นางก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
เฟิงชิงถิงคิดพลางเดินไปยังห้องอาหารด้านล่างโดยมีสือซานเหลียงตามมา เรื่องกินดูท่าจะเป็นเรื่องที่เขารู้เรื่องมากที่สุด เขารู้เวลาว่ายามใดคือเวลาที่เขาต้องกินข้าว เป็นเรื่องที่เฟิงชิงถิงไม่ต้องสอนหรือคะยั้นคะยอ
ขณะที่เดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ของเรือนพัก เฟิงชิงถิงเหลือบไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนอยู่ที่หน้าประตูโรงผ้าปัก พวกเขากำลังขนผ้าลงจากรถสินค้า แต่นางสังเกตว่ามีชายสองคนที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป อีกทั้งยังขนผ้าไปพลางและมองสิ่งรอบกายไปพลางด้วย
“คนพวกนั้นเป็นคนของขายร้านผ้าเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันที่พวกเขาต้องส่งผ้ามาให้พวกเรา” ชุ่ยเอ๋อร์เห็นเฟิงชิงถิงสนใจจึงอธิบาย
ขณะนั้นเองชายคนหนึ่งก็หันมาเห็นฟิงชิงถิงเข้าพอดี สายตาของนางและเขาประสานกัน แม้จะอยู่ห่างกันพอสมควรแต่นางก็เห็นว่าสายตาของเขาดุดันและน่ากลัว เขาเลื่อนสายตาไปจากนางก่อนจะมองไปทางสือซานเหลียง
หัวใจของเฟิงชิงถิงกระตุกวูบ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ลูกจ้างหรือชาวบ้านทั่วไป ขณะที่เฟิงชิงถิงพยายามรวบรวมสติคิดว่าชายคนนี้เป็นคนกลุ่มใด เขาก็ก้าวเดินเข้ามาหานางเสียแล้ว เฟิงชิงถิงถอยหลังไปหนึ่งก้าวเลื่อนมือไปจับชายเสื้อของสือซานเหลียงโดยสัญชาตญาณ นางไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย แต่นางมั่นใจว่าเป้าหมายของเขาต้องเป็นนางหรือไม่ก็สือซานเหลียงคนใดก็คนหนึ่งแน่นอน
ขณะที่ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาใกล้ เฟิงชิงถิงก็สังเกตเห็นว่าใต้ดวงตาข้างหนึ่งของเขามีรอยบากอยู่ รอยบากนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น นางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อกำขวดกระเบื้องที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดแน่น แม้ใบหน้านางจะราบเรียบแต่หัวใจกลับเต้นถี่แรงด้วยความตื่นตระหนกมากขึ้นทุกที
แต่ในขณะที่ร่างของคนผู้นั้นจะเดินเข้ามาถึงซุ้มประตูเรือนพัก เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ลี่เอ๋อร์ที่น้ำตาเต็มหน้ากำลังวิ่งเขามาทางเฟิงชิงถิงเช่นกัน ร่างเล็กป้อมในชุดสีสันสดใสวิ่งผ่านชายคนนั้นตรงมาหานาง เมื่อวิ่งมาถึงแขนป้อมเล็กก็กอดขาของเฟิงชิงถิงร้องไห้ฟูมฟายไปพร้อมกับชี้ไปยังเด็กชายอีกสามคนที่วิ่งตามเข้ามา
“ท่านน้า ฮือ คนพวกนี้แหละเจ้าค่ะที่ชอบรังแกข้า เขาชอบล้อว่าข้าไม่มีพ่อ”
“ผู้ใดกันหัวฟูจอมขี้มูกโป่ง ทำตัวไม่น่ารักพ่อจึงหนีไปอยู่สวรรค์ ผู้ใดที่ว่านั้นคือลี่เอ๋อร์จอมขี้แย” เด็กชายสามคนวิ่งตามเข้ามาตะโกนล้อเด็กหญิง
“ออกไปนะ ที่นี่เป็นโรงผ้าปักของแม่ข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรกล้าเข้ามา” แม้ลี่เอ๋อร์จะน้ำตานองหน้าแต่ก็ยังต่อว่าเด็กอีกสามคนที่วิ่งตามมาล้อเลียนด้วยความโกรธ
“พ่อข้าก็เป็นลูกค้าของแม่เจ้า จะไม่มีสิทธิ์เข้ามาได้อย่างไร ล่อแล่ๆ” เด็กชายในชุดผ้าไหมชั้นดีตะโกนตอบพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
เฟิงชิงถิงเห็นชายฉกรรจ์คนนั้นถอยออกไปแต่ยังมองเหตุการณ์อยู่ นางก็ทำเป็นไม่สนใจเขา ลูบศีรษะทุยของลี่เอ๋อร์ก่อนจะเดินมายังเด็กชายในชุดผ้าไหมที่ดูท่าว่าจะเป็นหัวโจก
“เด็กน้อย ล้อเลียนผู้อื่นไม่ใช่เรื่องดี ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก”
“นั่นมันเรื่องของข้า เจ้าไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอน” เด็กชายตอบด้วยท่าทางยโส
“แม่นางเลี่ยง คุณชายผู้นี้คือบุตรชายคนเดียวของท่านต้วน ผู้มีอิทธิพลในย่านการค้าแห่งนี้เจ้าค่ะ จึงไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเอาเรื่องคุณชายท่านนี้” ชุ่ยเอ๋อร์เข้ามากระซิบ
เด็กชายคนนี้คงถูกตามใจจนเคยตัว ส่วนอีกสองคนก็คงเป็นลูกไล่คอยทำตามคุณชายน้อยผู้นี้สั่ง
“คุณชายน้อยเจ้ากลับไปเถิด สุภาพชนไม่ควรรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า” เฟิงชิงถิงเตือนอย่างสุภาพ แต่เด็กชายวัยหกขวบนั้นหาได้สนใจไม่
“ข้าชอบเสียอย่าง มีอะไร ล่อแล่ ลี่เอ๋อร์เด็กหัวฟู เร็วพวกเจ้า” คุณชายน้อยต้วนหันไปสั่งเด็กชายอีกสองคนให้ทำตาม เด็กชายสองคนนั้นเริ่มล้อเลียนลี่เอ๋อร์อีกครั้ง
เฟิงชิงถิงรู้ว่าสือซานเหลียงไม่ชอบเสียงดัง แต่ยามนี้ยังมีชายน่าสงสัยคนหนึ่งกำลังมองมานางจึงไม่กล้าเขาอยู่ห่างตัว
“น่ารำคาญ!” ในที่สุดเสียงทุ้มก็ตวาดออกมา ไม่ผิดจากที่เฟิงชิงถิงคาดเดา
เด็กชายทั้งสามได้ยินสือซานเหลียงตวาดก็เงียบกริบอีกทั้งยังถอยห่างออกไปสองก้าวเพราะความหวาดกลัว
“คุณชายขอรับ” บ่าวชายสองคนวิ่งตามเด็กชายเข้ามาด้วยท่าทีร้อนใจ
คุณชายน้อยต้วนเห็นเช่นนั้นก็เลิกหวาดกลัวสือซานเหลียง หันไปบอกเด็กชายทั้งสองว่า “กลัวไปไย อย่าลืมว่าบ่าวของข้านั้นเก่งกาจเพียงไร”
“คุณชายน้อย ทางที่ดีท่านไปเสียดีกว่า อย่าทำให้คนผู้นี้โมโห ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะบาดเจ็บได้” เฟิงชิงถิงเตือนเด็กชายก่อนคิดจะพาสือซานเหลียงเข้าไปด้านใน
“โมโหแล้วอย่างไร คิดว่าข้ากลัวหรือ”
เฟิงชิงถิงไม่สนใจเด็กชายอีกต่อไป นางหันไปปลอบลี่เอ๋อร์ด้วยเสียงอันดัง “ลี่เอ๋อร์ ไม่ร้อง จำเอาไว้ ยิ่งเจ้าร้องไห้แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้าอ่อนแอเพียงใด คนผู้นั้นก็ยิ่งได้ใจ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเลิกสนใจพวกเขา แล้วเขาก็จะเลิกยุ่งกับเราเอง ไปเถิด ไปด้านในกัน”
นางพาลี่เอ๋อร์และสือซานเหลียงไปที่ห้องอาหาร แต่คุณชายน้อยต้วนกลับไม่เลิกรา เขาวิ่งมาขวางพลางล้อเลียน “เด็กขี้แย ลี่เอ๋อร์ขี้แย”
เห็นคุณชายน้อยต้วนทำ เด็กอีกสองคนก็ทำตาม ทั้งสามล้อมหน้าล้อมหลังลี่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างเฟิงชิงถิงอย่างไม่กลัวเกรง ขณะเฟิงชิงถิงคิดจะจับเด็กชายผู้มีนิสัยไม่น่ารักมาสั่งสอน สือซานเหลียงผู้มีความอดทนต่ำก็ตวาดขึ้นอีกครั้ง
“น่ารำคาญ ไสหัวไป!” ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดุดันมากขึ้น เด็กชายสองคนที่เห็นต่างดวงตาแดงก่ำ รีบถอยกรูดออกมาตัวสั่นน้อยๆ เพราะความหวาดกลัว
“พวกเจ้าจะกลัวสิ่งใด” คุณชายน้อยต้วนตวาดเด็กชายทั้งสอง ที่จริงแล้วใบหน้าดุดันของสือซานเหลียงก็แทบจะทำให้เขาร้องไห้หามารดาเช่นกัน แต่เขายังจำได้ว่ามีบ่าวอีกสองคน เพราะท่านพ่อกลัวเขาจะโดนลักพาตัวไปเรียกข้าไถ่ บ่าวทั้งสองจึงรูปร่างสูงใหญ่และเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ แล้วเขาจะกลัวอะไร คิดดังนั้นก็ไม่ได้สนใจเสียงตวาดอันดุดันนั้น เริ่มต้นล้อลี่เอ๋อร์ใหม่
“คุณชายต้วนเจ้าคะ อย่าหาเรื่องคุณหนูลี่เอ๋อร์อีกเลยเจ้าค่ะ หากทำให้คนผู้นี้โกรธเกรงว่าท่านจะเป็นอันตรายได้นะเจ้าคะ เขาสติไม่ดีควบคุมตัวเองไม่ได้เจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์คิดจะช่วยแก้สถานการณ์แต่ดูเหมือนจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะเมื่อเด็กชายได้ยินว่าชายร่างสูงใหญ่หน้าตาน่ากลัวผู้นี้สติไม่ดีเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย
“สติไม่ดี ก็คนบ้านะสิ คนบ้า เจ้าคนบ้า สติไม่ดี” คุณชายต้วนเปลี่ยนคนล้อเลียนเพราะต้องการให้เด็กชายอีกสองคนเห็นว่า เจ้าบ้าเสียสติผู้นี้ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าใด
“หยุดนะ” เฟิงชิงถิงห้ามเด็กชาย เพราะนางเกรงว่าสือซานเหลียงจะโมโหและทำร้ายเด็กชายผู้นี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะยามนี้ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้าไปหาเด็กน้อยด้วยใบหน้าดุดันแววตาเริ่มโหดเหี้ยมขึ้น
“คุณชายระวังขอรับ” บ่าวชายสองคนเห็นท่าไม่ดีก็รีบมาขวางสือซานเหลียงเอาไว้ แต่สือซานเหลียงนั้นไม่ได้สนใจ เขาผลักบ่าวทั้งสองที่มาขวางด้วยมือเพียงข้างเดียว บ่าวทั้งสองก็กระเด็นไปติดกำแพงเรือนพักเสียแล้ว
“อาเหลียง ไม่ได้นะ!”
ยามนี้มีคนแปลกหน้าที่นางไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใดยืนดูอยู่ นางจึงไม่กล้าผลีผลามนำยาในขวดกระเบื้องออกมาใช้ ทำได้แค่กอดร่างหนาเอาไว้จากด้านหลังเหมือนที่เคยห้ามเขาคราก่อน แต่ครั้งนี้เขาน่าจะโมโหมากเพราะเขาไม่ได้สนใจที่นางกอดร่างเขาไว้ ยังเดินตรงไปหาเด็กน้อยทั้งที่นางยังกอดเขาอยู่ “ชุ่ยเอ๋อร์มาช่วยข้าหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์ ตอบเสียงสั่น นางเดินเข้ามาแต่ก็ไม่กล้าแตะต้องสือซานเหลียงแม้แต่น้อย
“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก ก็แค่คนบ้าจะทำอะไรได้” คุณชายน้อยต้วนบอกด้วยเสียงสั่น แต่ก็ยังไม่เลิกล้อเลียน “เจ้าบ้า เจ้าบ้าๆ”
“หนีไปคุณชายน้อย!” เฟิงชิงถิงพยายามรั้งร่างของสือซานเหลียงเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล
บ่าวชายทั้งสองกลับมาขวางสือซานเหลียงอีกครั้ง พวกเขาปล่อยหมัดเข้าใส่สือซานเหลียง แต่สือซานเหลียงหลบได้อย่างรวดเร็ว ถีบบ่าวทั้งสองจนลอยไปร่วงอยู่กับพื้นสลบเหมือดในทันที หลังจากนั้นก็ตรงไปหาเด็กชายที่ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความตกใจ ไอสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
จากที่กอดเขาไว้จากด้านหลัง เฟิงชิงถิงจึงเปลี่ยนมาขวางหน้าเขาเอาไว้
“ไม่ได้นะอาเหลียง!”
อารมณ์ที่เดือดดาลทำให้เขาปัดร่างบางออกไปให้พ้นทาง แรงปัดของเขาทำให้ร่างด้านข้างของนางชนกำแพงอย่างแรง แต่เมื่อเห็นว่ายามนี้สือซานเหลียงกำลังจะทำร้ายคุณชายน้อยผู้นั้น นางก็ขบริมฝีปากข่มความเจ็บปวดตามร่างกายพยายามเข้าไปห้ามเขาอีกครั้ง
สือซานเหลียงแรงมากเพียงใด นางรู้ดี แค่ลงมือครั้งเดียวเด็กคนนี้อาจจะตายได้ นางเห็นมือใหญ่เงื้อขึ้นกลางอากาศก่อนจะพุ่งเป้าไปที่ร่างป้อมเล็ก ร่างบางจึงถลาไปที่ร่างเด็กชายกอดร่างป้อมไว้พร้อมกับหลับตาแน่นเพื่อเตรียมใจรับความเจ็บปวดที่กำลังจะโถมเข้ามา ไม่ทันที่นางจะได้หายใจเข้าด้วยซ้ำ ร่างของนางก็สั่นสะเทือนอย่างแรงคล้ายถูกก้อนหินก้อนใหญ่พุ่งเข้ามาชน แต่นางรู้ว่าสิ่งที่พุ่งเข้าชนหัวไหล่นั้นไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นฝ่ามือของสือซานเหลียงนั่นเอง
แค่ถูกมือหนาฟาดมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ร่างบางก็รวดร้าวไปทั้งร่างพร้อมกับความเจ็บปวดที่ถาโถมรุนแรง ของเหลวบางบางอย่างทะลักออกมาจากหลอดอาหารขึ้นมาที่ลำคอ ก่อนจะพุ่งออกปากเป็นสีแดงสด สิ่งนั้นคือเลือดนั่นเอง นางกระอักเลือดเพียงแค่ถูกสือซานเหลียงฟาดหัวไหล่แค่คราเดียว
แม้ยามนี้สติของนางเลือนรางเต็มที แต่ก็พยายามฝืนเอาไว้ ข่มความเจ็บปวดคลายอ้อมกอดจากเด็กชายก่อนจะบอกกับเขา “หนีไป”
เด็กชายเห็นเลือดที่กบปากและใบหน้าหวานที่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ทะลักออกมาพร้อมกับพยักหน้ารัวเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เด็กชายจะได้ขยับไปไหนร่างเล็กก็ถูกหิ้วขึ้นมาด้วยฝีมือของสือซานเหลียง
เฟิงชิงถิงคิดว่าสือซานเหลียงจะทำร้ายเด็กน้อย นางจึงขืนร่างที่รวดร้าวไปทั้งตัวยื่นแขนที่สั่นระริกจับแขนแข็งแรงไว้ เพื่อจะบอกเขาว่าอย่าทำร้ายเด็ก แต่ยังไม่ทันเอ่ยสือซานเหลียงก็โยนร่างเด็กชายออกไป แล้วรีบจับร่างบางของนางหันมาหาเขา
ดวงตาคู่ดุดันมองเลือดที่ไหลออกจากปากเล็กและใบหน้าหวานที่ขาวซีด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มือหนาปาดริมฝีปากที่ถูกโลหิตฉาบเอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่าปาดไปแล้วของเหลวสีแดงฉานก็ยังไหลออกมาอีกเขาก็ใช้มืออันใหญ่โตที่เริ่มสั่นเทาปาดที่ริมฝีปากที่ซีดอย่างเบามือลง ทำแบบนั้นอยู่สองรอบเลือดก็ยังไม่หยุดไหล เจ้าของมือใหญ่ก็ยิ่งลนลานจับร่างเล็กไปทั่ว ก่อนจะรวบร่างบางมากอดพร้อมกับคำรามเสียงดังคล้ายกับสัตว์ป่าที่กำลังคลุ้มคลั่ง
“หมั่นโถว หมั่นโถว!”
เด็กชายที่ถูกโยนออกมาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก พอลุกขึ้นได้ก็ร้องไห้เสียงดัง รีรออยู่ไม่นานเพราะทำอะไรไม่ถูก เมื่อตั้งสติได้เขาก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งบ่าวที่นอนสลบเอาไว้อย่างไม่สนใจ
“แม่นางเลี่ยง” ชุ่ยเอ๋อร์เห็นเลือดที่ออกจากปากเฟิงชิงถิงก็คิดจะเข้าไปช่วย แต่กลายเป็นว่าสือซานเหลียงหันขวับตวัดสายตามองชุ่ยเอ๋อร์ด้วยแววตาโหดเหี้ยมพร้อมกับกอดร่างบางเอาไว้แน่น ท่าทางดุดันน่ากลัวนั้นทำเอาชุ่ยเอ๋อร์ไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้แม้แต่ก้าวเดียว
เพราะถูกสือซานเหลียงกอดแน่น เฟิงชิงถิงจึงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง นางบอกเขาด้วยเรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายว่า “อาเหลียงอย่ากอดแรงข้าเจ็บ”
แล้วทุกอย่างก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ สติอันเลือนรางบอกว่านางคงฝืนต่อไปไม่ไหว สุดท้ายความมืดก็เข้ามาแทนที่พร้อมกับสติที่ดับวูบลง
ร่างใหญ่ที่มองร่างบางในอ้อมกอด เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของนางปิดสนิท ดวงตาคู่คมเข้มก็เบิกกว้างมากขึ้น สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก คล้ายกับเด็กที่กำลังหลงทาง เขากอดร่างบางแน่นอย่างหวงแหนก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้า คำรามเสียงดังคล้ายกับสัตว์ป่าที่เจ็บหนักก็ไม่ปาน
“อ๊ากกกก”
----
ฮูหยินของข้า วางจำหน่ายในเมพครบสองเล่มแล้วนะคะ ใครสนใจเล่มไหนกดด้านล่างได้เลยจ้า
ความคิดเห็น