คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 11 (50%)
การอยู่ในหอพักเรือนผ้าปักผ่านไปอย่างราบรื่น แต่เรื่องที่เฟิงชิงถิงแปลกใจคือ เหตุใดตอนเช้าสือซานเหลียงมักนอนอยู่บนเตียงของนาง เมื่อวานนางตื่นขึ้นมาก็พบเขานอนอยู่บนเตียงของนาง แต่เพราะเรื่องเข็มที่หายไปทำให้นางลืมนึกถึง ตอนค่ำนางจึงคิดว่าเขาอาจจะชอบนอนเตียงเล็ก นางจึงยกเตียงเล็กให้เขา ส่วนนางไปนอนเตียงใหญ่เอง แต่กลายเป็นว่าเช้าวันนี้เขาก็ยังนอนอยู่บนเตียงหลังเดียวกับนางอยู่ดี
ดังเช่นเช้านี้ เมื่อตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของสือซานเหลียงอยู่ห่างหน้าอกของนางไม่เท่าไหร่ นางใจหายวาบ หายงุนง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว
“สือซานเหลียง บุรุษกับสตรีไม่ควรใกล้ชิด ท่านรู้บ้างหรือไม่” นางอดจะถลึงตาใส่เขาไม่ได้
สือซานเหลียงที่นอนหลับตาอยู่ รู้สึกได้ว่าร่างบางลุกขึ้นนั่งเขาก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งตามด้วยท่าทางไม่รีบร้อน อีกทั้งยังไม่สนใจสายตาที่ถูกนางถลึงใส่หรือคำถามที่นางถาม
“สือซานเหลียงตกลงท่านชอบนอนเตียงใดกันแน่” เห็นเขาไม่ตอบนางก็เริ่มไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ข่มความไม่พอใจนั้นกลับเข้าไปเหมือนเดิม
จะเอาอะไรกับคนบ้าเช่นเขาเล่า
เฟิงชิงถิงถอนใจยาวอีกครั้ง ตั้งแต่พบสือซานเหลียงนางจำไม่ได้ว่าถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว นับจากวันที่พบกับเขาแทบจะไม่มีเช้าใดที่นางตื่นขึ้นมาอย่างสงบสุข
“เฮ้อ” นางถอนหายใจอีกครั้ง เห็นเงาคนที่เดินผ่านมายังห้องของนาง เฟิงชิงถิงก็รีบลงจากเตียงใหญ่ออกห่างสือซานเหลียงในทันที
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆ
“แม่นางเลี่ยง ตื่นหรือยังเจ้าคะ ชุ่ยเอ๋อร์ยกอ่างน้ำล้างหน้ามาให้เจ้าค่ะ”
“เข้ามาได้ชุ่ยเอ๋อร์” เฟิงชิงถิงบอกด้วยเสียงราบเรียบ
ที่จริงแล้วเฟิงชิงถิงไม่ชินกับการมีสาวใช้เท่าใดนัก ก่อนที่นางจะอยู่คนเดียวนางก็อยู่กับท่านปู่สองคนมาตลอด อยู่กันแบบชาวบ้านทั่วไปไม่มีสาวใช้ ทุกอย่างนางล้วนทำเองหมด ยามนี้มีชุ่ยเอ๋อร์ทำนู่นทำนี่ให้ นางจึงไม่เคยชิน แต่ชุ่ยเอ๋อร์ก็ยืนยันว่าเป็นคำสั่งของฮูหยินไม่อาจจะขัดได้สุดท้ายเฟิงชิงถิงจึงยินยอม
ชุ่ยเอ๋อร์ยกอ่างน้ำใบเล็กเข้ามาพร้อมกับผ้าสะอาดผืนเล็กสองผืน นางวางอ่างน้ำไว้ที่มุมห้องซึ่งมีฉากกั้นไว้ เมื่อวางเสร็จก็ส่งยิ้มให้เฟิงชิงถิง
“ขอบใจเจ้ามาก” เฟิงชิงถิงบอกด้วยใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวเพราะร้อนตัวที่อยู่ร่วมห้องกับบุรุษ แต่ก็ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามอีกเรื่อง “คุณหนูลี่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงชิงถิงคิดจะไปตรวจอาการลูกสาวของซย่าเจี่ยลุ่ยและออกไปสืบข่าวเรื่องพรรคโลหิตอัคคีด้วย
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าหายไข้แล้ว” ชุ่ยเอ๋อร์ตอบ พยายามไม่หันไปมองบริเวณเตียงหลังใหญ่ที่มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ แม้จะนั่งเงียบๆ แต่ท่าทางดุดันนั้นก็ข่มขวัญสตรีขวัญอ่อนเช่นนางไม่น้อย “ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะเข้ามาที่โรงผ้าปักและจะมาหาแม่นางเลี่ยงด้วยเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอลงไปเตรียมอาหารให้พวกท่านก่อนนะเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์บอกก่อนจะรีบออกไป
เมื่อพ้นจากประตูห้องไปได้ ชุ่ยเอ๋อร์ก็ปาดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาอย่างโล่งอก คนผู้นั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้แต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้คำรามหรือจะทำร้ายนาง แต่กลิ่นอายความดุดันนั้นก็ยังคงแผ่กระจายออกมาจนชุ่ยเอ๋อร์ไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นนาน ไม่รู้ว่าแม่นางเลี่ยงทนได้อย่างไร หากเป็นญาติของนาง นางก็คงไม่กล้าอยู่กับคนสติไม่ดีเช่นนี้ น่ากลัวเกินไป ว่าแล้วก็คิดไปถึงสิ่งที่ป้าซินสันนิษฐาน
“ท่าทางดุดันเช่นนั้นเป็นข้าอย่างไรก็ไม่มีวันรักแน่ ป้าซินต้องเข้าใจผิด” ชุ่ยเอ๋อร์ส่ายหน้ารวดเร็ว “พวกเขาจะเป็นอะไรกันบ่าวเช่นข้าก็ไม่เกี่ยวด้วยเสียหน่อย” นางรำพันกับตัวเองก่อนจะกลับไปทำงานอย่างอื่นต่อ
หลังจากเช็ดหน้าและสางผมให้สือซานเหลียงแล้วเฟิงชิงถิงก็จัดการกับตัวเองอย่างลวกๆ นางไม่อยากให้สือซานเหลียงรอนานเพราะกลัวเขาจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา อีกทั้งนางก็ไม่เคยชินที่ให้ผู้ใดมานั่งมองนางเวลาสางผม
ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะอาการลมปราณตีกลับ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนๆ เวลาที่แววตาดุดันคู่นั้นจับจ้องตรึงนิ่งไม่ไหวติงเช่นนั้น
“ไปกินข้าวกันเถิด ท่านคงรอนานแล้ว” สางผมเสร็จนางก็ลุกขึ้นบอกกับเขา กลบเกลื่อนร่องรอยความเขินอายด้วยสีหน้าราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่รู้ว่าเขาสติไม่ดี แต่หัวใจของนางกลับเต้นแรงแปลกๆ เพราะถูกเขามองนาน
แต่ยังไม่ทันออกเดิน สือซานเหลียงก็ยื่นของบางอย่างให้นางด้วยใบหน้าดุดัน นางก้มมองมือเขาที่กำบางอย่างแน่นก็ต้องแปลกใจ
“เข็มของข้า ท่านหาเจอหรือ” นางเงยหน้าถามเขาด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ เมื่อคืนนางก็พยายามหาแต่ไม่เจอ หรือว่าเมื่อวานที่เขาเอาแต่นั่งเหม่อในห้องนั่นคือกำลังมองหาเข็มให้นาง
เขาไม่ได้ตอบแต่ใบหน้านั้นดุดันกว่าเก่าคล้ายว่าต้องข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้อย่างถึงที่สุด เฟิงชิงถิงรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่คิดจะตอบนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณแล้วหยิบเข็มในมือเขา แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ปล่อยเข็มในมือให้นางง่ายๆ
“ฮื่ม...” ยิ่งเฟิงชิงถิงพยายามดึงเข็มในมือเขาออก เขาก็ยิ่งกำเข็มแน่น พร้อมกับคำรามในลำคออีกต่างหาก
ยื้อกันไปมาอยู่นานสุดท้ายเฟิงชิงถิงก็เงยหน้าขึ้นถามเขา
“สือซานเหลียง ท่านไม่ได้หามาให้ข้าหรอกหรือ”
คิ้วหนาขมวดแทบจะเป็นปม ใบหน้านิ่วด้วยความขัดใจ เขาแหงนหน้าคำรามเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งจนเฟิงชิงถิงสะดุ้ง แต่เขาก็ยอมปล่อยเข็มในมือแล้วหันหลังให้
เฟิงชิงถิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะรีบเก็บเข็มลงในกระบอก คิดว่าการยอมคืนเข็มให้นางเป็นเรื่องขัดต่อความรู้สึกของเขามาก แต่เขาก็ยอมคืนให้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอย่างไร ดวงตาคู่หวานมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่ชอบเข็มก็เพราะนาง นางจึงสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้หากไม่จำเป็นถึงชีวิตของผู้ใดนางจะไม่ใช้เข็มกับเขาอีกเป็นอันขาด
นางเดินไปลูบแขนของเขาเอ่ยอย่างปลอบโยน “สือซานเหลียง ข้าสัญญาว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช้เข็มกับท่านอีก ไปกินข้าวกันเถิด” เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่ตอบรับกับคำพูดของนาง เฟิงชิงถิงจึงเดินออกไปห้องอาหารโดยมีสือซานเหลียงเดินตาม
ร่างสูงใหญ่เดินตามมาอย่างว่าง่าย คิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกพร้อมกับสายตาคู่ดุดันที่เลื่อนไปมองแขนที่เพิ่งถูกลูบเบาๆ อย่างเหม่อลอย ก่อนจะรำพันออกมา “หมั่นโถว”
“ข้ารู้ว่าท่านหิวแล้ว นี่อย่างไรเล่าเรากำลังไปกินข้าว” นางยิ้มตอบ คิดว่าเขาคงหิวข้าว ไม่ได้คิดว่าเขามีความหมายอื่นแฝงแต่อย่างใด
กินอาหารเช้าเสร็จไม่นาน ซย่าเจี่ยลุ่ยก็มาพอดี นางจูงลูกสาวเข้ามาหาเฟิงชิงถิง มีไฉ่เอ๋อร์ตามมาด้วย
“ลี่เอ๋อร์ มาคารวะและขอบพระคุณ แม่นางเลี่ยงเสีย” ซย่าเจี่ยลุ่ยบอกกับลูกสาว วันนี้เห็นว่าอาการของเด็กหญิงดีขึ้นมาก ไข้ก็แทบไม่มีจึงรีบพานางมาขอบคุณผู้มีพระคุณเสียก่อน
“ลี่เอ๋อร์คารวะแม่นางเลี่ยงเจ้าค่ะ ขอบพระคุณมากที่ช่วยชีวิตลี่เอ๋อร์เอาไว้เจ้าค่ะ” เด็กน้อยทำตามคำสั่งมารดาอย่างว่าง่าย พวงแก้มสีขาวอมชมพูสีเรื่อกว่าครั้งที่แล้ว แต่เมื่อเห็นบุรุษร่างใหญ่ท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ข้างผู้ที่มารดาเรียกว่าแม่นางเลี่ยงเด็กน้อยก็อดจะหวาดกลัวไม่ได้
“เด็กดี” เฟิงชิงถิงยิ้มก่อนจะตรวจชีพจรให้เด็กน้อย “อาการดีขึ้นมากแล้วแต่ยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ฮูหยินไม่น่าพานางออกมาตากลมเลย” เห็นคนอื่นเรียกซย่าเจี่ยลุ่ยว่าฮูหยิน เฟิงชิงถิงจึงเรียกตาม
“ข้าอยากให้ลี่เอ๋อร์มาขอบคุณแม่นางเลี่ยงไวๆ ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ต้องแอบออกไปข้างนอกอีกแน่ ข้าไม่ไว้ใจ” ซย่าเจี่ยลุ่ยรู้นิสัยลูกสาวดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่วงอาการของเด็กน้อยอยู่ดี “แม่นางเลี่ยง ไม่ทราบว่าอาการของลี่เอ๋อร์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่”
เฟิงชิงถิงมองซย่าเจี่ยลุ่ยก่อนจะยิ้มให้เด็กน้อย “เช่นนั้นลองบอกท่านน้ามาสิว่าวันก่อนนั้น ก่อนที่ลี่เอ๋อร์จะไม่รู้เรื่องว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มีเรื่องใดกัน”
เด็กหญิงเม้มปากแน่นจนซย่าเจี่ยลุ่ยแปลกใจ “มีเรื่องที่ไม่ได้เล่าให้แม่ฟังหรือลี่เอ๋อร์”
ดวงตาคู่สุกใสเริ่มแดงก่อนจะมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เสียงเล็กบอกอย่างอู้อี้ “ลี่เอ๋อร์อยากกินน้ำตาลปั้น จึงออกไปซื้อ เมื่อซื้อเสร็จก็เดินกลับบ้าน แต่ระหว่างทางเจอต้วนอี่เข้า เขาล้อลี่เอ๋อร์ที่ลี่เอ๋อร์ไม่มีท่านพ่อ ลี่เอ๋อร์โกรธเขามากผลักเขาล้มแล้วก็วิ่งหนีมา หลังจากนั้นลี่เอ๋อร์ก็จำไม่ได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าค่ะ” เอ่ยจบน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงเผาะลงข้างพวงแก้มทั้งสองข้าง
“ลี่เอ๋อร์...” ซย่าเจี่ยลุ่ยเดินเข้าไปสวมกอดลูกสาว น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน “ไม่มีท่านพ่อแต่แม่คนนี้ยังอยู่ แม่จะดูแลลี่เอ๋อร์จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้เจ้าเอง”
“ท่านแม่” เด็กน้อยกอดมารดาพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“ลูกแม่” เพราะสงสารลูกสาวจับใจ ซย่าเจี่ยลุ่ยจึงพาลร้องไห้ตามลูกสาวไปด้วย แต่ทั้งสองก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มตวาดออกมา
“รำคาญ!”
เฟิงชิงถิงหน้าแดงด้วยความอับอาย จะให้เขาอยู่ห่างจากนาง นางก็ไม่ไว้ใจเกรงว่าจะไปทำร้ายผู้อื่น จึงได้แต่ให้เขาอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ นางกระตุกแขนเสื้อของสือซานเหลียงที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ ไม่ให้เขาเอ่ยสิ่งใด รีบหันไปยิ้มกับสองแม่ลูก
“ลี่เอ๋อร์หากคราวหน้าเด็กคนนั้นมาหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าก็ไม่ต้องสนใจรู้หรือไม่ ยิ่งเราสนใจเด็กเกเรพวกนั้นก็ยิ่งได้ใจ อยู่ในนี้อาจจะอึดอัด อยากออกไปด้านนอกหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” ลี่เอ๋อร์ตอบด้วยเสียงสั่นๆ เพราะกลัวสือซานเหลียงที่ดุดัน
“เช่นนั้นท่านน้าขอคุยกับท่านแม่ของเจ้าสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”
เด็กน้อยพยักหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาอีกครั้ง
“พาคุณหนูไปกินของว่างที่ห้องอาหารเถิด” ซย่าเจี่ยลุ่ยหันไปบอกสาวใช้คนสนิท อุ้มเด็กหญิงขึ้นมาซับน้ำตาก่อนจะให้ไฉ่เอ๋อร์พาออกไป
“ฮูหยินโปรดอย่าได้ถือสาอาเหลียง” เฟิงชิงถิงบอกกับซย่าเจี่ยลุ่ย หลังจากที่ลี่เอ๋อร์ถูกพาออกไปแล้ว
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ” ซย่าเจี่ยลุ่ยคลี่ยิ้มจริงใจ
เฟิงชิงถิงเห็นเช่นนั้นก็เบาใจก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่อง
ความคิดเห็น