NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 9 (50%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.44K
      81
      3 ม.ค. 66

    เป็นไปตามที่เฟิงชิงถิงได้คาดการณ์ไว้ แม้จะใช้เวลามากหน่อยเพราะขบวนรถสินค้ามักหยุดกลางทางหากมีคนสนใจซื้อของ แต่พวกนางก็ข้ามเข้าแดนต้าหลวนมาได้อย่างราบรื่น หลังจากเข้าต้าหลวนได้แล้วเฟิงชิงถิงก็สังเกตเห็นว่าด่านชายแดนต้าหลวนในยามนี้มีคนที่แต่งกายเป็นชาวยุทธ์มากกว่าตอนที่นางเดินทางข้ามแดนไปแคว้นเจิ้ง อีกทั้งพวกเขายังมองชายร่างใหญ่ทุกคนที่เดินผ่าน เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังตามหาสือซานเหลียงอยู่

    เฟิงชิงถิงแยกกับขบวนสินค้าที่หน้าตลาดแห่งหนึ่งในยามบ่ายคล้อยที่คนยังพลุกพล่าน ก่อนแยกนางยังซื้อหมวกสานสองใบให้สือซานเหลียงและตัวนางใส่ปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างแรม

    ที่เฟิงชิงถิงตั้งใจแยกที่หน้าตลาดและเดินไปตามทางที่มีคนจำนวนมากเพราะต้องการให้นางและสือซานเหลียงกลมกลืนไปกับเหล่าชาวบ้าน ไม่ให้เหล่าชาวยุทธ์สังเกตเห็น แต่เพราะว่าคนพลุกพล่าน นางเกรงว่าจะพลัดหลงกับสือซานเหลียงจึงต้องคอยจับชายแขนเสื้อเอาไว้

    สือซานเหลียงก้มมองมือที่จับชายเสื้อเขาด้วยคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะจับมือเล็กให้มาจับมือของเขาไว้ แล้วก้มมอง

    แต่เพียงแค่นางจับมือของเขาอาการแปลกๆ ของสือซานเหลียงก็กำเริบอีกครั้ง เขามองมือเนียนบางที่จับมือใหญ่ของตนเองแล้วก็เริ่มหัวเราะออกมา ตอนแรกเฟิงชิงถิงก็รู้สึกกระดากอายที่นางต้องจับมือบุรุษเดินต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่เมื่อเห็นว่าเขาหัวเราะแปลกๆ นางก็กระชับมือเขาแน่นแล้วบอกเขาอย่างจริงจัง

    ข้าสัญญาว่าจะรีบรักษาอาการสติไม่ดีของท่านให้หายสนิทให้ได้

     

    เฟิงชิงถิงต้องการที่พักแรมราคาประหยัดจึงเริ่มหาจากโรงเตี๊ยมที่ไม่ใหญ่นัก แต่กลายเป็นว่าไม่ว่าจะโรงเตี๊ยมเล็กหรือใหญ่ต่างมีชาวยุทธ์เข้ามาพักจนเต็ม ทำให้เฟิงชิงถิงต้องใช้เวลาหาที่พักนานกว่าที่คิด

    ขณะเดินหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักนางก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังมุงดูเหตุการณ์บางอย่าง เฟิงชิงถิงไม่คิดจะเป็นจุดสนใจอยู่แล้วนางจึงเดินเลี่ยง

    ขณะที่กำลังจะเดินห่างออกไปจากกลุ่มคนเหล่านั้น เสียงชายคนหนึ่งที่ตะโกนออกมาก็ทำให้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก

    วิญญาณร้ายต้องเข้าสิงเด็กคนนี้แน่ๆ อย่าเข้าใกล้นาง

    ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นในความเป็นหมอที่ดี นางจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคนกลุ่มนั้น

    ดูสิเด็กคนนี้กระตุกใหญ่แล้ว ข้าเคยเห็นคนข้างบ้านข้าก็เป็นเช่นนี้ยามถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ดวงตาของนางเหลือกน่ากลัวเหมือนคนข้างบ้านข้าไม่ผิดเพี้ยน อย่าไปมองนาง หากดวงตาของผีร้ายเหลือกไปมองผู้ใด ผีร้ายตนนั้นจะไปหลอกหลอนให้คนผู้นั้นเกิดแต่ความวิบัติชายอีกคนตะโกนบอก

    ชาวบ้านที่มุงดูต่างถอยห่างออกมาด้วยความหวาดกลัว เฟิงชิงถิงจึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ร่างป้อมเล็กนั้นเกร็งไปทั้งร่างอีกทั้งยังกระตุกไม่หยุด ดวงตากลมโตเบิกค้าง ใบหน้ากลมแดงก่ำและเริ่มกลายเป็นสีม่วง

    ตามหลักการแพทย์ที่นางได้ร่ำเรียนมา เด็กคนนี้ไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงแต่อย่างใด นี่คือโรคอีกชนิดหนึ่ง เด็กคนนี้เป็นโรคลมชัก แต่เพราะหมอมักจะตรวจหาสาเหตุการป่วยไม่เจอ อีกทั้งอาการชักที่ดูน่ากลัวที่ไม่ต่างกับผีเข้ายิ่งทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์คิดไปต่างๆ นานา แท้จริงแล้วอาการของเด็กคนนี้หากชักไม่นานก็จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจจะมีอาการชักต่อไปอีกโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาการจะกำเริบเมื่อใด แต่จากใบหน้าที่แดงก่ำและกำลังจะเป็นสีม่วงนั้นบ่งบอกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างอุดอยู่ที่หลอดลมของเด็กน้อย สาเหตุนั้นต่างหากที่จะทำให้เด็กน้อยเสียชีวิต

    เพียงแค่ก้าวขาออกไปครึ่งก้าวในหัวของนางบอกกับว่าหากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนี้ ทหารแคว้นเจิ้งก็อาจจะแกะรอยจนเจอตัวนางได้ อีกทั้งยามนี้นางก็ไม่ได้สวมหน้ากากแปลงโฉม นั่นยิ่งทำให้ตัวตนที่แท้จริงของนางถูกเปิดโปงได้ง่ายขึ้น ความคิดนั้นทำให้ขาที่ก้าวออกไปชะงักค้าง ดวงตาคู่หวานมองไปรอบด้านเห็นคนที่แต่งกายเป็นชาวเจิ้งอยู่ไม่น้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีทหารแคว้นเจิ้งแอบแฝงอยู่ เหตุผลเหล่านี้ทำให้นางลังเล

    ดูใบหน้านางสิ กลายเป็นสีม่วงแล้ว นางกำลังถูกวิญญาณร้ายพาไปคนผู้หนึ่งตะโกนออกมา

    คล้ายเท้าของนางถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้ก้าวขาออกไปยังทางอื่น คุณธรรมในใจกับความเห็นแก่ตัวกำลังต่อสู้กันอยู่ในใจ ขณะนั้นเองมีสตรีนางหนึ่งแหวกฝูงชนเข้ามาตระกองกอดร่างเล็ก พร้อมกับร้องเรียกให้คนอื่นช่วยเด็กหญิงคนนั้นด้วยสีหน้าร้อนใจสุดขีด

    ลี่เอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ของแม่ เจ้าเป็นอะไร ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยชีวิตลูกข้าด้วย

    ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เฟิงชิงถิงก็รู้สึกผิดและก่นด่าตนเองอยู่ในใจ นี่นางยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ นางมีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์ คนป่วยใกล้ตายนอนอยู่ตรงหน้ายังลังเลไม่ยอมรักษา นางช่างเป็นหมอที่ไร้จิตสำนึกอย่างแท้จริง หากท่านปู่ของนางรู้ ท่านปู่ต้องไม่พอใจมากแน่ๆ

    เมื่อรับรู้ถึงจุดยืนของตนเองแล้วเฟิงชิงถิงก็ลากสือซานเหลียงฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาร่างเด็กหญิงผู้นั้นด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว เมื่อเดินไปถึงร่างเล็กนางก็ย่อกายนั่งลงถอดหมวกวางไว้ข้างตัวก่อนจะหันไปมองร่างของเด็กน้อยที่กระตุกชัก

    แม่หนูอย่าเข้าไป เดี๋ยววิญญาณร้ายจะเอาตัวแม่หนูไปด้วยนะ พวกเจ้าออกมาเร็วๆสตรีสูงอายุคนหนึ่งเตือนด้วยความหวังดี

    ลูกข้าไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงสตรีที่กอดร่างเล็กของเด็กหญิงเอาไว้หันไปบอกกับสตรีสูงอายุด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา

    ห้ามกอดเด็กเช่นนั้น ให้ข้าดูเองเฟิงชิงถิงแย่งร่างเล็กออกมาจากอ้อมกอดของสตรีนางนั้น วางร่างเล็กลงบนพื้นอีกครั้ง

    แม่นางระวังวิญญาณร้ายจะมาแก้แค้นเจ้าเอานะ

    เฟิงชิงถิงไม่สนใจคำเตือนของชาวบ้าน ยามนี้ร่างเล็กที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มกระตุกลดน้อยลง ทำให้ร่างกายที่เกร็งเครียดนั้นผ่อนคลายลงบ้าง นางไม่แน่ใจว่าที่กระตุกน้อยลงเพราะเด็กน้อยกำลังจะขาดอากาศหายใจหรือไม่ หญิงสาวจับคางเล็กของเด็กน้อยให้อ้าปาก เมื่อมองเข้าไปในปากเล็กก็เป็นไปตามคาด นางเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งคาอยู่ที่ลำคอจึงตัดสินใจใช้มือล้วงเข้าไป โชคดีที่ตอนนี้อาการกระตุกของเด็กน้อยผ่อนคลายลงมากแล้วทำให้สามารถเปิดปากให้อ้ากว้างได้ เพราะหากง้างปากในขณะที่มีการเกร็งกระตุกรุนแรงอาจจะทำให้กระดูกที่ถูกง้างหักได้

    นางกำลังทำสิ่งใดชาวบ้านต่างมองการกระทำของเฟิงชิงถิงด้วยความอยากรู้ มารดาของเด็กน้อยก็เช่นกัน นางสะอื้นเงียบๆ อยู่ข้างเฟิงชิงถิง

    ด้วยความสงสัย เหล่าคนที่มุงดูอยู่จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมา รอบข้างที่เงียบลงทำให้อาการเกร็งของเด็กหญิงผ่อนคลายขึ้นอย่างน่าประหลาด

    เฟิงชิงถิงล้วงมือเขาไปในปากของเด็กน้อยเพื่อนำเอาสิ่งที่นางมองเห็นออกจากลำคอของเด็กน้อย แม้จะเจ็บเพราะถูกกัดนางก็ทน จนสุดท้ายนางก็นำสิ่งที่อยู่ในปากของเด็กน้อยออกมาได้สำเร็จ สิ่งนั้นคือน้ำตาลปั้นก้อนหนึ่งนั่นเอง

    เมื่อนำน้ำตาลปั้นออกจากปากเด็กน้อยได้แล้ว นางก็จัดท่าให้เด็กน้อยนอนตะแคงซ้ายให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว ไม่นานใบหน้าสีม่วงก็เริ่มจากกลายเป็นสีแดงก่อนจะกลับมาเป็นสีขาวอมชมพูพร้อมกับร่างเล็กที่เริ่มชักน้อยลงและหยุดชักในที่สุด

    ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างมองเฟิงชิงถิงเป็นตาเดียว เด็กหญิงที่ร่างเกร็งกระตุกดวงตาเหลือกค้างยามนี้หยุดกระตุกแล้ว นางกะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะถามเฟิงชิงถิงที่นั่งประคองร่างเล็กให้นอนตะแคงด้วยแววตาสงสัย หวาดกลัวและเหนื่อยหอบ

    เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ

    คำถามนั้นทำให้เหล่าคนที่มุงดูต่างสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่

    วิญญาณปีศาจร้ายออกจากร่างเด็กคนนี้แล้วชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    แม่นางเจ้าทำได้อย่างไรทุกสายตาที่จับจ้องเด็กน้อยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเฟิงชิงถิงทันที

    ลี่เอ๋อร์ ลูกแม่แม่ของเด็กน้อยผวาเข้าหาร่างเล็กที่เฟิงชิงถิงประคองอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะจับที่ใดดี จึงได้แต่ละล้าละลัง

    นางไม่เป็นไรแล้วเฟิงชิงถิงบอก ประคองร่างเล็กให้ผู้เป็นแม่ประคองต่อ

    ลี่เอ๋อร์สตรีนางนั้นกอดลูกสาวพร้อมกับร้องไห้ออกมา

    ท่านแม่เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะเด็กน้อยในอ้อมกอดของมารดาเอ่ยถามด้วยความงงงวย

    แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจสองแม่ลูกอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต่างมองเฟิงชิงถิงเป็นตาเดียว คำถามก็ยังมีเพียงคำถามเดียวที่พุ่งเป้ามา

    แม่นางเจ้าทำได้อย่างไร

    เมื่อครู่เพราะหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ช่วยคนก็ถือว่าผิดต่อหลักการ แต่ยามนี้เล่า นางจะตอบคนเหล่านี้ว่าอย่างไร นางมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีชาวเจิ้งรวมอยู่ในกลุ่มที่มามุงดูไม่น้อย พวกเขาเป็นทหารแคว้นเจิ้งปลอมตัวมาหรือไม่นางก็ไม่อาจคาดเดาได้

    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะบอกคนเหล่านั้นด้วยเสียงอันดังแต่ก็ยังอึกอักเล็กน้อย

    ข้าเป็นหมอ...เป็นหมอผี

    คำตอบของนางทำเอาเหล่าคนมุงดูยิ่งขยับออกห่างไปอีกหนึ่งก้าว คล้ายกับกลัวสิ่งใดสักอย่าง เฟิงชิงถิงไม่ได้คิดจะสนใจท่าทีเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่แล้วก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจปนเลื่อมใส

    เมื่อครู่อย่างไรเล่า พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นางร่ายคาถาใดสักอย่างก่อนจะล้วงมือเข้าไปในปากของเด็กคนนี้ แล้วของบางอย่างก็หลุดออกมา วิญญาณร้ายนั่นเอง นางขับไล่วิญญาณร้ายให้เด็กคนนี้

    จริงด้วย ข้าก็เห็น มันเป็นก้อนสีน้ำตาลน่ากลัว ต้องเป็นวิญญาณร้ายแน่ๆ แม่นาง อาคมของเจ้าแก่กล้ายิ่งนักชาวบ้านอีกคนเอ่ยเสริม

    ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยแล้วมองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาเลื่อมใสไปตามๆ กัน

    เจี่ยลุ่ย เจ้าโชคดีเหลือเกินที่มีหมอผีเดินทางผ่านมาพอดี ไม่เช่นนั้นลูกสาวของเจ้าต้องถูกวิญญาณร้ายพาตัวไปแน่ๆชายคนที่รู้จักมารดาของเด็กน้อยเอ่ยขึ้น

    ซย่าเจี่ยลุ่ย แม่ของเด็กหญิงมองเฟิงชิงถิงอย่างสำนึกในบุญคุณ ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือลี่เอ๋อร์ของข้า

    นางเคยมีอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่เพราะยังเป็นห่วงอาการของเด็กน้อย เฟิงชิงถิงจึงอดที่จะถามประวัติการป่วยไม่ได้

    ซย่าเจี่ยลุ่ยมองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาตกตะลึงก่อนจะตอบเสียงเบา เคยเป็นครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ ตอนที่เป็นไข้

    ไม่ได้การณ์แล้ว นั่นแสดงว่าลูกสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายตามรังควานนะสิชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ย

    ลูกสาวข้าไม่ได้มีวิญญาณร้ายตามรังควาน!” ซย่าเจี่ยลุ่ยหันไปตวาดคนผู้นั้นทันควัน

    เด็กคนนี้ มีอาการไข้สูงและต้องการพักผ่อน ข้าหมายถึงต้องดูให้แน่ใจก่อนไอชั่วร้ายหมดไปจากร่างเด็กหรือยังเฟิงชิงถิงขัดขึ้น นางไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมาก อีกทั้งยามนี้ก็มีเหล่าชาวยุทธ์มุงดูอยู่ไม่น้อย ดีที่สือซานเหลียงยังคงยืนนิ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเขาจึงไม่เป็นจุดเด่นมากนัก นางคิดว่าช่วยเด็กคนนี้เสร็จแล้วค่อยหาทางแยกตัวออกไปเงียบๆ คงดีกว่า

    บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว เช่นนั้นข้าจะพาท่านไปซยาเจี่ยลุ่ยบอก ร่างของนางดูบอบบางอ้อนแอ้นแต่สามารถอุ้มร่างเล็กของเด็กหญิงอายุประมาณสี่ขวบขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×