NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 7 (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.9K
      94
      29 ธ.ค. 65

    เฟิงชิงถิงมองกลุ่มทหารที่หายไปจากครรลองสายตาอย่างโล่งอก นางพาสือซานเหลียงออกมาจากที่หลบซ่อน คิดว่าต้องรีบเดินทางเข้าเขตแดนต้าหลวนให้ทันก่อนตะวันตกดิน ขณะที่คิดอยู่นั้นก็พาเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปอีกทาง แต่ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะหนีจากทหารเจิ้งได้ นางกลับถูกกลุ่มคนสำนักเมฆาขาวล้อมเอาไว้

    “แม่นางถอยออกไป คนผู้นั้นเป็นบุคคลอันตรายเขาอาจจะทำร้ายแม่นางได้” หยวนถังตะโกนบอกเฟิงชิงถิง ก่อนจะหันไปสั่งศิษย์น้อง “ระวังตัวไว้ คนผู้นี้ฝีมือกล้าแกร่งมาก” 

    เพราะเฟิงชิงถิงเปลี่ยนหน้ากากแปลงโฉม หยวนถังกับไป๋มู่จึงจำนางไม่ได้ แต่นางจำพวกเขาสองคนได้

    “พวกท่านจำคนผิดแล้วโปรดหลีกทางด้วย” เฟิงชิงถิงจับแขนของสือซานเหลียงแน่น ในใจก็คิดหาหนทางหลบหนี เมื่อมองไปด้านหลังยามนี้ก็มีเพียงแต่หุบเหวลึก

    “หรือนางถูกเขาจับเป็นตัวประกัน” ศิษย์หญิงของสำนักเมฆาขาวหันไปถามหยวนถัง ไม่สนใจวาจาของเฟิงชิงถิงแม้แต่น้อย

    “ชีวิตคนสำคัญกว่า ช่วยเหลือนางออกมาก่อนแล้วค่อยคิดหาทางจับสือซานเหลียงกลับสำนัก” หยวนถังบอก

    ศิษย์ทุกคนต่างรับคำ พุ่งเป้าไปหมายช่วยสตรีตัวเล็กให้พ้นจากน้ำมือประมุขพรรคมารก่อน มีเพียงไป๋มู่ที่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แต่ก็คิดไม่ออกมาแปลกอย่างไร

    สือซานเหลียงเห็นกลุ่มคนพุ่งเข้ามา อีกทั้งยังมีอาวุธในมือเขาก็ไม่รอช้า ปลดมือบางที่เกาะแขนเขาออกคำรามเสียงดังก่อนจะพุ่งร่างจู่โจมไปยังเหล่าศิษย์สำนักเมฆาขาวอย่างดุดัน

    เมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามา การช่วยเหลือหญิงสาวจึงเป็นอันจบไป เหล่าศิษย์สำนักเมฆาขาวต่างหันเหเป้าหมายไปที่สือซานเหลียงทันที

    “จับตัวเขาไว้” หยวนถังสั่งพร้อมกับพุ่งกระบี่ไปหาสือซานเหลียงเช่นกัน

    “ไม่ได้นะ หนีไปอาเหลียงหนีไป” เฟิงชิงถิงตะโกนบอกสือซานเหลียงแต่ไม่เป็นผล เพราะตอนนี้คนผู้นั้นกำลังต่อสู้อยู่กับศิษย์สำนักเมฆาขาวอย่างเอาเป็นเอาตาย

    ที่จริงแล้วฝีมือของสือซานเหลียงนั้นสูงกว่าคนเหล่านี้มาก หากเป็นเวลาปกติพวกเขาคงถูกสือซานเหลียงสังหารตายภายในพริบตา แต่เพราะอาการลมปราณตีกลับที่ยังไม่ได้รักษา ทำให้เมื่อเขาเดินลมปราณตามสัญชาตญาณ ร่างสูงใหญ่ก็โงนเงนโซเซ เจ้าของร่างสูงใหญ่หลบกระบี่ที่พุ่งเข้ามาด้วยท่าทางไม่คล่องแคล่วเช่นเดิม หลังจากซัดฝ่ามือใส่ศิษย์สำนักเมฆาขาวสองคน เลือดในปากก็พุ่งพรวดออกมาก่อนที่ร่างใหญ่จะล้มตึงอย่างไม่เป็นท่า

    ก่อนหน้านี้ที่อาการเขาไม่กำเริบเพราะไม่เคยเดินลมปราณ เวลาเตะต่อยมีเรื่องกับผู้อื่นเขาก็ใช้เพียงแค่แรงและความคล่องแคล่วที่มีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ยามเมื่อต้องใช้ขึ้นมาจริงๆ อาการจึงกำเริบเช่นนี้

    “สือซานเหลียง” เฟิงชิงถิงเห็นสือซานเหลียงนอนหงายอยู่บนพื้นใบหน้าซีดขาวก็ตกใจ

    “ในเมื่อจับตัวกลับไปยากลำบากนัก ก็สังหารเขาเสีย” ศิษย์สำนักเมฆาขาวคนหนึ่งเอ่ยพร้อมกับคิดจะแทงกระบี่เข้าใส่

    “ไม่ได้นะ” เฟิงชิงถิงวิ่งเข้ามากอดร่างใหญ่ที่นอนหายใจรวยรินเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ

    “แม่นางถอยไป พวกเราจะกำจัดมารยุทธภพ” ศิษย์สำนักเมฆาขาวอีกคนเอ่ย

    “เขาเป็นภัยใดกัน เขาเคยไปฆ่าล้างสำนักพวกท่านหรือไร เขาไปเข่นฆ่าข่มขืนชาวบ้านหรือไร พวกท่านช่วยบอกทีว่าเหตุใดพวกท่านจึงต้องสังหารเขา” นางพยุงชายหนุ่มขึ้นนั่ง จับชีพจรเขาไปพลางเอ่ยถามคนเหล่านั้น

    “เรื่องนั้น” ศิษย์สำนักเมฆาขาวตอบไม่ได้

    “เขาคิดการณ์ไม่ควร คุมอำนาจของคนในวังหลวงหวังช่วงชิงความเป็นใหญ่ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ เรื่องนี้เป็นความจริง มีน้อยคนนักที่รู้” หยวนถังอธิบาย

    “นั่นไม่เป็นเรื่องจริง ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสามารถชิงบัลลังก์กลับคืนมาจากเสด็จอาผู้เป็นทรราชได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะสือซานเหลียงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ” นางขึงตาใส่หยวนถัง

    มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่า แท้จริงแล้วสือซานเหลียงและคนพรรคโลหิตอัคคีเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ช่วยให้เซิ่งอี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชิงบัลลังก์กลับมาจากเสด็จอาผู้ชั่วร้ายของเขาได้สำเร็จ นอกจากนางก็มีเพียงหยุนซิงเย่พี่สาวร่วมสาบานและคนในราชสำนักไม่กี่คนเท่านั้น และด้วยเหตุผลบางประการทุกอย่างก็ยังคงเป็นความลับอยู่เช่นเดิม แต่เรื่องที่สือซานเหลียงคิดจะชิงบัลลังก์นั่นเอามาจากที่ใดกัน

    “แม่นางคงถูกคนผู้นั้นหลอกเสียแล้ว เรื่องนั้นต่างหากเล่าที่ไม่เป็นความจริง ข้าเองที่บอกกับแม่นางก็เพื่อหวังให้เจ้ากระจ่างแจ้ง”

    “เขาไม่ได้ทำสิ่งใด พวกท่านต่างหากที่ใส่ร้าย” หญิงสาวหยัดตัวยืนขึ้น ใช้ร่างของตนเองขวางอยู่ระหว่างคนสำนักเมฆาขาวกับสือซานเหลียง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมให้สือซานเหลียงต้องตายด้วยเรื่องที่เขาไม่ได้ก่อเป็นอันขาด!

    “ศิษย์พี่ สตรีนางนี้พูดจาไม่รู้เรื่อง อย่าไปคุยกับนางให้เสียเวลาเลย” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ย ศิษย์คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย ก้าวย่างเข้ามาตรงหน้าอีกครั้ง

    “อย่าเข้ามานะ หากท่านคิดจะทำอะไรกับเขาต้องผ่านข้าไปก่อน” เฟิงชิงถิงสัมผัสได้ถึงลมที่พัดกรรโชกมาจากทางด้านหลัง นางล้วงเข้าไปในสาบเสื้อที่เก็บขวดกระเบื้องใบหนึ่งเอาไว้

    “สตรีตัวเล็กเช่นเจ้าจะทำสิ่งใดพวกเราได้”

    “ถอยไป” เฟิงชิงถิงเตือนอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังไปมองสือซานเหลียงที่ยามนี้เขามองข้ามไหล่นางไปจ้องศิษย์สำนักเมฆาขาวด้วยสายดุดันและไม่คลายความระแวงระไว “ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องท่านเอง” นางคลี่ยิ้มเพื่อให้เขาคลายกังวลก่อนจะหันกลับไปเผชิญกับคนสำนักเมฆาขาว

    หญิงสาวไม่ได้รับรู้ว่าหลังจากนางหันกลับไป สายตาของสือซานเหลียงที่มองเหล่าศัตรูก็เลื่อนมามองแผ่นหลังบอบบางด้วยแววตาประกายบางอย่างที่แม้แต่ตัวคนบ้าเช่นสือซานเหลียงเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

    “อย่าเสียเวลากับนางอีกเลย จับตัวนางไว้แล้วค่อยจัดการคนผู้นั้นก็สิ้นเรื่อง” ศิษย์อีกคนเอ่ยก่อนจะพุ่งร่างเข้าหาเฟิงชิงถิงหวังจะจับตัวนางออกมา

    “ช้าก่อน!” เฟิงชิงถิงตะโกนเสียงดังทำเอาศิษย์สำนักเมฆาขาวคนนั้นชะงักนิ่งด้วยความแปลกใจ

    “มีเรื่องใดอีก”

    “พวกท่านรู้สึกอะไรหรือไม่” หญิงสาวขยับมือเปิดจุกขวดกระเบื้องในสาบแขนเสื้ออย่างแนบเนียน

    “รู้สึกสิ่งใด” หยวนถังถาม

    “ลมอย่างไรเล่า มันกำลังพัดจากด้านหลังข้าไปหาพวกท่าน” นางคลี่ยิ้ม

    “แล้วอย่างไร” ศิษย์คนหนึ่งถาม

    “ได้กลิ่นสิ่งใดหรือไม่”

    เหล่าศิษย์สำนักเมฆาขาวต่างสูดดมกลิ่นนั้น

    “อย่าสูดเข้าไป!” ไป๋มู่ตะโกนบอก 

    แต่ไม่ทันเสียแล้ว ร่างในชุดสีฟ้าอ่อนสิบกว่าคนต่างโงนเงนอย่างอ่อนแรงก่อนจะล้มตึงลงไปบนพื้นทีละคน เหลือไป๋มู่เป็นคนสุดท้าย เขาโงเงนไปมามองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาปรือปรอย

    “เจ้าใช้สิ่งใดกับพวกข้า”

    เฟิงชิงถิงปิดจุกขวดกระเบื้อง มองไป๋มู่อย่างพิจารณาก่อนจะตอบกลับ “ท่านไม่ต้องห่วง ยาที่พวกท่านสูดดมเข้าไปนั้นเป็นเพียงยาสลบ มันอาจจะทำให้พวกท่านเจ็บปวดทรมานยามฟื้นขึ้นมาและขยับตัวไม่ได้อีกหลายวันเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอันตรายต่อพวกท่านแต่อย่างใด ที่ข้าทำก็แค่ต้องการจะช่วยชีวิตสือซานเหลียงเท่านั้น เขาไม่ใช่คนเช่นที่พวกท่านเข้าใจ” 

    “เจ้าคือผู้ใดกันแน่ และมีสัมพันธ์ใดกับสือซานเหลียง” เปลือกตาไป๋มู่เริ่มหนักจนไม่อาจจะฝืนถ่างต่อไปได้ ไม่ทันได้ฟังคำตอบ เปลือกตาของเขาก็ปิดสนิท ร่างสูงล้มตึงลงไปกับพื้นอีกคน

    เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เพราะข้ารู้จักเขา แต่พวกท่านไม่” นางตอบเหล่าคนที่หลับใหลจากฤทธิ์ยาก่อนจะรีบกลับไปหาสือซานเหลียง 

    สือซานเหลียงในยามนี้แม้ใบหน้าจะดูซีดขาว แต่เขาก็ไม่ได้สลบ ถือว่าโชคเข้าข้างคนทั้งสองแล้ว เพราะด้านหลังนางและสือซานเหลียงเป็นหุบเหว ลมจึงพัดจากทางด้านหลังนางไปทางคนสำนักเมฆาขาว หญิงสาวใช้โอกาสที่ลมพัดแรงเปิดขวดยาสลบที่นางปรุงเองลอยไปตามลมให้พวกศิษย์สำนักเมฆาขาวสูดดมเข้าไป โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าสือซานเหลียงที่อยู่ด้านหลังจะสูดยาสลบเข้าไปด้วย

    ขณะที่เฟิงชิงถิงเดินไปถึงตัวของสือซานเหลียง เขายังคงนั่งนิ่งมองนางอย่างไม่ละสายตา 

    “สือซานเหลียง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

    หญิงสาวรีบเช็ดคราบเลือดบริเวณหนวดและเคราให้เขา ก่อนจะจับชีพจรตรวจอาการ เป็นตามคาด เพราะลมปราณที่ตีกลับแต่เขาก็ยังฝืนใช้จึงทำให้ร่างกายรับไม่ไหวกระอักเลือดออกมาอีกทั้งยังช้ำในอีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ไม่สาหัสถึงตาย

    “ท่านลุกไหวหรือไม่ เราต้องออกไปจากที่นี่” นางถามพลางพยุงร่างสูงใหญ่ให้ลุกขึ้นยืน

    แม้กระทั่งยามเฟิงชิงถิงพยายามพยุงให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น สายตาคู่ดุดันก็ยังคงมองมายังนางไม่คลายจนนางเริ่มคิดว่าเขาจะมีอาการบ้ามากกว่าเดิมหรือไม่

    นี่ยังบ้าไม่พออีกหรือ!? 

    แต่ที่น่าแปลกคือแววตาดุดันที่เขามองมานั้นกลับไม่ได้ดูดุดันหรือเหม่อลอยเช่นเดิม

    เพราะยังคิดหาสาเหตุของแววตานั้นไม่ได้ อีกทั้งแม้จะทำให้คนสำนักเมฆาขาวสลบไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะปลอดภัย เฟิงชิงถิงจึงหยุดคิดและเลิกสนใจ คิดหาหนทางพาสือซานเหลียงเอาตัวรอดต่อไป

    ด้วยอาการช้ำในของสือซานเหลียงทำให้ไม่เหมาะกับการเดินทางอย่างยิ่ง คาดว่าวันนี้นางและเขาคงเดินทางไปไม่ถึงประตูเมืองด่านของต้าหลวน นางพาเขาไปได้ไม่ไกลสือซานเหลียงก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เฟิงชิงถิงจึงจำเป็นต้องบอกให้เขานั่งรอ ส่วนนางก็เดินไปหาสถานที่เหมาะสำหรับพักค้างแรม หญิงสาวเจอถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากทางที่ผู้คนต้องเดินทางผ่านสักเท่าใดนัก ปากถ้ำนั้นไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อเดินเข้าไปลึกๆ ด้านในถ้ำกลับกว้างใหญ่และโอ่อ่า อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของสัตว์ร้าย

    เฟิงชิงถิงตัดสินใจพาสือซานเหลียงมาพักในถ้ำแห่งนี้ ก่อนที่ตัวนางจะเข้าไปในถ้ำก็ไม่ลืมทำลายร่องรอยก่อนจะหากิ่งไม้ต่างๆ มาปิดปากถ้ำเอาไว้เพื่ออำพราง

    สือซานเหลียงเองก็คงทรมานไม่น้อยเพราะหลังจากที่เข้ามาถึงด้านในถ้ำเขาก็นั่งนิ่งแต่ครางเสียงหนักๆ ออกมาตลอดเวลา เฟิงชิงถิงให้เขากินอาหาร ส่วนนางก็ฝังเข็มให้เขาไปพลาง แต่น่าแปลกว่าแม้เขาจะเห็นเข็มของนางแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแข็งขืนเช่นทุกวัน นางคิดว่าเขาคงรู้ว่านางทำเพื่อรักษาเขาก็เป็นได้

    หลังจากฝังเข็มเสร็จหญิงสาวก็กินอาหารส่วนของตนเองเล็กน้อย ส่วนสือซานเหลียงก็กลับมาเป็นคุณชายเหม่อเช่นเดิม จากแสงรำไรที่พอจะลอดเข้ามาได้ นางก็เห็นว่าแม้เขาจะเหม่อลอยแต่หัวคิ้วของเขากลับขมวดมุ่น อีกทั้งเหงื่อยังผุดจากหน้าผากอีกต่างหาก

    หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้สัมผัสโครงหน้าใหญ่ก็พบกว่าผิวของเขาร้อนมาก นางไม่รอช้าหายาให้เขากิน ก่อนจะฝังเข็มให้เขาอีกครั้ง หลังจากฝังเข็มเสร็จนางก็จัดท่าให้เจ้าของร่างสูงใหญ่นั่งพิงผนังถ้ำ ไม่นานเขาก็หลับตาลงหัวคิ้วไม่ได้ขมวดเหมือนตอนแรก

    แม้ยามนี้จะเป็นวสันต์อันแสนเย็นสบาย แต่การที่อยู่ในถ้ำลึกบวกกับอากาศที่เย็นขึ้นหลังพระอาทิตย์ตกดินก็ทำเอาเฟิงชิงถิงเริ่มรู้สึกหนาว แต่สำหรับสือซานเหลียงที่เพิ่งบาดเจ็บเพราะอาการลมปราณตีกลับนั้นยิ่งกว่าหนาวสั่น ร่างใหญ่ที่หลับตาพิงผนังถ้ำเริ่มครางออกมา ตอนแรกก็เป็นเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง เขาครางฮือ ฮือ จนเฟิงชิงถิงที่นั่งสัปหงกอยู่ที่ผนังถ้ำอีกฝั่งต้องเงี่ยหูฟัง

    “หนาว” 

    ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาเป็นคำ นางพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลืมตาหรือหลับตา ได้ยินเพียงเสียงขยับตัวไปมาเท่านั้น

    ตะวันตกดินไปนานแล้ว เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่ามีคนอยู่ในถ้ำ เฟิงชิงถิงจึงไม่ก่อไฟ ในถ้ำที่สลัวในยามกลางวันจึงมืดสนิทในยามกลางคืน นางได้ยินเสียงทุ้มครางไม่เป็นภาษาอีกครั้งก็เดาว่าเขาน่าจะไม่สบายตัวบางอย่าง 

    หญิงสาวคลานเปะปะไปตามถ้ำที่มืดสนิทตรงไปหาเสียงครางที่ดังบ้างเบาบ้าง

    “สือซานเหลียง ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่” 

    นางคาดว่าคงใกล้เขามากแล้วเพราะเสียงที่ดังอยู่ไม่ห่าง แขนเสลายื่นไปตรงหน้าเพื่อควานหาร่างใหญ่ในความมืด แต่ไม่คาดว่ายังไม่ทันที่นางจะควานหาเจอ เขากลับควานหานางเจอเสียก่อน

    แขนของนางถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ก่อนจะกระชากจนร่างบางถลาไปด้านหน้า จากท่าคลานเข่ากลายเป็นนอนคว่ำอย่างรวดเร็ว นางตกใจร้อง “อ๊ะ!” แค่คำเดียว คางนางก็กระแทกกับบางอย่างแต่ไม่เจ็บมากเท่าที่คิด เอวของนางเหมือนมีบางอย่างเลื้อยมาทาบก่อนจะโอบรัดพร้อมกับเสียงทุ้มที่อยู่ใกล้นางแบบที่เรียกได้ว่าจ่อใบหู

    “หนาว” 

    ดวงตาคู่สุกใสเบิกกว้างในความมืด แม้จะมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ทุกส่วนในร่างกายของนางกลับตื่นตัวอีกทั้งประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ ก็ยังไวกว่าเดิม

    ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากใต้ร่างของนางทำให้รู้ว่า นางไม่ได้นอนคว่ำอยู่บนพื้นหินที่เย็นและแข็ง ความอ่อนนุ่มแต่ตึงแน่นที่นางกดทับอยู่ทำให้รู้ว่า ไม่ได้นอนอยู่บนพื้นดินที่แห้งผาก เสียงหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะคงที่และลมหายใจร้อนผ่าวที่เฉียดผ่านใบหูของนางไปเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ยามนี้นอนอยู่บนร่างของใครคนหนึ่ง และเสียงที่ครางออกมาว่าหนาวอีกครั้งทำให้นางมั่นใจว่าตอนเองจะนอนอยู่บนร่างของผู้ใดไปได้ หากไม่ใช่...คนบ้าสือซานเหลียง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×