ตอนที่ 64 : ตอนที่ 64
น่าอึดอัดชะมัด
อินทัชคิดในใจอย่างหงุดหงิดเมื่อตลอดทางที่เดินมามีแต่สายตาอยากรู้อยากเห็นจ้องมาเต็มไปหมด มันต่างไปจากสายตาเหยียดหยามที่เขาเคยเจอ ซึ่งสายตาเหยียดหยามนั้นไม่สร้างความอึดอัดให้เขาอย่างนี้ เพราะเขาสามารถมองเลยผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย
เฮ้อออ
อินทัชถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงมองดูตารางเรียนของตัวเองที่เพิ่งได้มาจากมือของคิงเมื่อสักครู่นี้
คิงย้อนกลับมาช่วยเขาจากวงล้อมของคนอื่น ๆ พร้อมกับตารางเรียนชุดใหม่ของเขาที่เจ้าตัวลืมให้
คลาสเรียนแรกของเขาวันนี้หลังจากย้ายคณะมาใหม่นั่นเป็นวิชาบังคับของสาขา ซึ่งเด็กปีหนึ่งทุกคนที่เรียนเอกประพันธ์ดนตรีจะต้องเรียน
เป็นโชคดีของอินทัชที่ภาคการศึกษาแรกของเด็กปีหนึ่งนั้นเรียนแค่วิชาศึกษาทั่วไปเท่านั้น ซึ่งเขาที่เรียนคณะคหกรรมมาก่อนนั้นก็ได้เรียนด้วย นั่นจึงไม่มีปัญหาอะไร อย่างมาก เขาที่ย้ายมาในตอนที่จะใกล้จะเริ่มสอบกลางภาคของภาคการศึกษาที่สองก็ต้องเร่งอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาในบทที่คนอื่น ๆ เรียนกันไปแล้ว
และอินทัชคิดว่ามันไม่เป็นปัญหาอะไรเลย ในเมื่อความรู้เบื้องต้น ความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการประพันธ์ดนตรีนี้เขามีไม่แพ้ใคร
อินทัชเดินไปคิดไปจนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียนตามที่เขียนไว้ในตารางเรียน เขาแหงนหน้ามองเลขห้องนิดหน่อยเพื่อความแน่ใจ และเมื่อเห็นว่ามันถูกต้องแล้วเขาก็เปิดประตูห้องเข้าไป
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ทุกสายตาก็ถูกส่งตรงมาที่เขา สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความงุนงงที่เห็นอินทัชปรากฏตัวอยู่ที่นี่
นี่ไม่ใช่คลาสเรียนรวมวิชาพื้นฐาน นี่เป็นคลาสสำหรับเด็กเอกการประพันธ์ดนตรีเท่านั้น การที่อินทัชมาอยู่ที่นี่ในขณะนี้มันน่าสงสัย
ยังไม่ทันได้มีใครส่งคำถามด้วยความสงสัยออกมา ก็มีคนอีกคนหนึ่งเดินตามหลังอินทัชเข้ามา เสียก่อน
“พอดีเลย คุณอินทัชยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เดี๋ยวแนะนำตัวให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันก่อน เอ้า นักศึกษาทุกคนนั่งที่ให้เรียบร้อย วันนี้พวกคุณจะมีเพื่อนร่วมคลาสเรียนคนใหม่เพิ่มเข้ามา คุณอินทัชจะย้ายมาเรียนที่คณะดุริยางคศิลป์ เอกประพันธ์ดนตรีร่วมกับพวกคุณนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” อาจารย์ผู้ชายวัยกลางคนพูดกับอินทัชในตอนแรก ก่อนที่จะหันไปพูดกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกมีแต่สายตางุนงง แต่เมื่อจบสิ้นคำพูดของอาจารย์ที่เป็นทั้งจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ประจำวิชา นักศึกษาคนอื่น ๆ ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“อันโนนน่ะนะ”
“อย่างอันโนนมีอะไรต้องเรียนด้วยหรือไง”
“บ้าไปแล้ว มีอันโนนมาเรียนด้วยก็กดดันแย่”
“หวังว่าเขาจะไม่มาดึงมีนให้สูงขึ้นหรอกนะ”
“อันดับในคลาสคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วสินะ”
“ที่เขาพูด ๆ กันว่าอันโนนมาที่คณะนี้ก็เพราะเรื่องนี้สินะ”
เสียงเซ็งแซ่ของนักศึกษาหลายสิบชีวิตดังขึ้นทันที ไม่มีใครเรียกอินทัชด้วยชื่อ ไม่มีใครเรียกอินทัชด้วยสรรพนามที่เคยเรียกกันก่อนหน้าแทบจะทั้งมหาวิทยาลัย
ในฐานะที่เป็นนักศึกษาคณะดุริยางค์ ในฐานะที่ชื่นชอบการแต่งเพลง ในฐานะที่เป็นคนชอบเสียงเพลง เสียงดนตรี พวกเขามองเห็นแต่อันโนน เจ้าของบทเพลงชื่อดังเท่านั้น
“เอาล่ะ พวกคุณทั้งหลายเงียบเสียงลงก่อน ให้เพื่อนใหม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แม้ว่าพวกคุณส่วนมาก ไม่สิ น่าจะทุกคนในที่นี้รู้จักเขาอยู่แล้วก็ตาม” อาจารย์วัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แนะนำตัวสิคุณอินทัช”
“ครับ สวัสดีครับ ผมชื่ออินทัช ย้ายคณะมากะทันหันไปหน่อย หวังว่าทุกคนจะไม่อึดอัดอะไรที่จะมีผมเพิ่มมาในคลาสเรียนอีกคนหนึ่ง” อินทัชพูดด้วยรอยยิ้มบางเบาหลังจากถูกเตือนให้แนะนำตัว
อินทัชไม่พูดอะไรอย่างคำว่ายินดีที่ได้รู้จัก หรือว่าฝากเนื้อฝากตัวด้วยพวกนั้น เพราะเขาไม่ได้รู้สึกหรือต้องการอย่างนั้นจริง ๆ
เขาไม่ปฏิเสธการที่จะมีคนเข้ามาเป็นเพื่อน มาทำความรู้จักกับเขา แต่การที่เข้าหาอย่างมีผลประโยชน์หรือต้องการตีสนิทเพราะอะไรบางอย่างนั้น เขาไม่ต้องการ
เขาที่เปิดเผยตัวตนของอันโนนออกมาแล้ว เขาที่คนหลาย ๆ คนรู้ว่าใกล้ชิดไม่น้อยกับคิง การเข้าหาของคนอื่น ๆ หลังจากนี้มันทำให้เขาต้องระมัดระวังมากกว่าเดิม
นี่ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการมองโลกโดยความเป็นจริงอย่างที่สุด
หลังจากที่อินทัชแนะนำตัวจบ อาจารย์หนึ่งเดียวภายในห้องเรียนแห่งนี้ก็ให้เขาไปหาที่นั่งเพื่อที่จะได้เริ่มต้นคลาสเรียนเสียที
อินทัชกวาดสายตามองหาที่นั่งก่อนจะไปเจอเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียวข้าง ๆ กับนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
“ตรงนี้มีใครนั่งหรือเปล่า” อินทัชถามเมื่อเดินเข้าไปถึงแล้ว
“ไม่มีค่ะ นั่งได้ตามสบายเลย” ตอบด้วยรอยยิ้มสดใสแบบที่ผู้ชายคนไหน ๆ ก็ชอบมอง ทั้งยังขยับเลื่อนเก้าอี้ให้อีกด้วย
“ขอบคุณ” อินทัชพูดขอบคุณเบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวนั่งลง
“อื้ม ไม่เป็นไร ไหน ๆ ต่อไปนี้เราก็จะเป็นเพื่อนกันแล้ว ขอเราแนะนำตัวก่อนนะ เราชื่อมะลิ เป็นหัวหน้าคลาสเรียนด้วย อินทัชมีปัญหาอะไรกับเรื่องเรียนมาบอกเราได้ตลอดเลยนะ” รอยยิ้มสดใสเจิดจ้าถูกส่งมาให้อินทัชอีกครั้งหลังจากเจ้าตัวพูดจบ
อินทัชมองคนที่ดูแล้วจะมีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศแล้วพยักหน้ารับ พูดขอบคุณเบา ๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับหน้าชั้นเรียนที่อาจารย์กำลังจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาแล้ว
“อินทัช”
เสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้อินทัชที่กำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนของตัวเองลงกระเป๋าหลังจากคลาสเรียนจบลงหันไปมอง เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“อินทัชเพิ่งย้ายมา พวกเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนเก่า ๆ คงไม่มี เดี๋ยวเราจะจัดการถ่ายเอกสารให้นะ พรุ่งนี้” น้ำเสียงหวังดีพร้อมกับประกายตาที่มีแต่ความจริงใจทำให้อินทัชพยักหน้าตอบรับความหวังดีนั้น
“ขอบคุณ”
“อันโนน เราขอลายเซ็นหน่อยได้หรือเปล่า”
“อันโนน ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหม” หัวหน้าคลาสเรียนสาวอย่างมะลิยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของนักศึกษาหญิงสองคนที่เข้ามาใกล้ก็ดังขึ้นจนมะลิต้องกลืนคำที่จะพูดลงคอไป
นอกจากนักศึกษาสาวทั้งสองแล้ว คนอื่น ๆ ก็เมียง ๆ มอง ๆ มาด้วยเช่นกันแต่ติดตรงที่บางคนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเช้าที่หน้าตึกคณะด้วย ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้ามาหาอินทัช ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความต้องการ
“ไม่เซลฟี่นะ” อินทัชที่พยักหน้าตอบตกลงแล้ว ขยับตัวถอยห่างคนที่ถือโทรศัพท์เปิดกล้องแล้วขยับเข้ามาประชิดตัวเขา
อินทัชคิดว่าถ่ายรูปที่เจ้าตัวหมายถึงนั่นคือถ่ายรูปเดี่ยว
“อ่า ขอโทษที” นักศึกษาหญิงคนนั้นขยับตัวออกห่างพลางพูดขอโทษ ก่อนที่จะยกกล้องถ่ายรูปอินทัชเดี่ยว ๆ
เมื่อเห็นอย่างนั้นอินทัชก็ลงมือเซ็นลานเซ็นของเขาให้กับอีกคน และคนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าอินทัชยอมแจกลายเซ็นก็รีบเข้ามารุมล้อมเพื่อที่จะขอลายเซ็นอินทัชบ้าง โดยมีมะลิยืนมองจากวงนอกไม่เข้ามาร่วมวงด้วย
“อินทัช ไปทานข้าวกลางวันด้วยกันไหม” หลังจากที่ทุกอย่างกลับมาสงบเรียบร้อย คนที่รุมล้อมอินทัชอยู่ทยอยเดินหายไปจนหมดหลังจากที่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ทั้งห้องเรียนก็เหลือเพียงแค่หัวหน้าห้องสาวกับอินทัชที่เพิ่งย้ายคณะมาเท่านั้น
“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะนะคะ แต่บังเอิญฉันก็จะชวนอินไปทานข้าวด้วยเหมือนกัน” อินทัชยังไม่ทันจะได้ให้คำตอบอะไรแก่เพื่อนร่วมคลาสเรียนคนใหม่ เสียงใส ๆ หวาน ๆ ของผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเขาเสียก่อน อินทัชค่อย ๆ หมุนตัวไปมองว่าใครคือคนที่จะมาชวนเขาไปทานข้าวด้วยอีกคน
เฌอแตม อินทัชเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนที่มาใหม่ ผู้หญิงคนนี้หายหน้าหายตาไปจากเขานานพอสมควร หลังจากวันที่มาปรึกษาเรื่องงานที่ต้องทำร่วมกันวันนั้นก็หายไปเลย
อ่า พูดถึงเรื่องงาน โชคดีที่กำหนดการส่งงานถูกเลื่อนไปเป็นหลังสอบกลางภาค เขาที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้วจึงได้โล่งอก
ว่าแต่เฌอแตมมาก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้พูดคุยกับเธอในเรื่องนี้เลย แม้ว่าเขาจะย้ายคณะแล้ว แต่วิชานั้นก็เป็นวิชาเลือกพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคณะสามารถเลือกเรียนได้ เขาจึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะเรียนมันต่อไป
“คุณหนูเฌอแตม” มะลิเอ่ยชื่อคนที่มาใหม่และขัดจังหวะการชวนเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของเธอไปทานข้าวด้วยกัน
“ไม่คิดว่าเธอจะรู้จักฉันด้วย” เฌอแตมเดินเข้ามาแล้วหยุดที่ข้างอินทัชก่อนจะเอียงคอพูด
“ใครจะไม่รู้จักทายาทเพียงคนเดียวของอัศวะราชล่ะ” มะลิยิ้มน้อย ๆ ขณะตอบ ในขณะที่อินทัชเบิกตากว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าอัศวะราช ทั้งคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ยังเป็นทายาทคนเดียวของอัศวะราช
นั่นแปลว่าผู้หญิงคนนี้ คือคนที่ตาแก่บ้าอำนาจนั่นมั่นหมายจะให้เขาเกี่ยวดองด้วย!
ทั้ง ๆ ที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องหาข้อมูลของเพื่อนคนนี้เอาไว้บ้าง แต่อินทัชก็ลืมทุกครั้งเมื่อมีเรื่องอื่นให้ใส่ใจมากกว่า มาคราวนี้เขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเจอตอเข้าอย่างจัง
ฝ่ายเฌอแตมที่โดนเปิดเผยข้อมูลขอบครัวก่อนก็สะบัดหน้าไปมองคนที่เธอต้องการมาหาอย่างรวดเร็ว เธอไม่คิดที่จะบอกอีกฝ่ายในตอนนี้ว่าเธอเป็นใคร
อย่าน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ที่เขาต่อต้านครอบครัวพิทักษ์ดำรงกุล เธอรู้ทันทีว่าเมื่อเขารู้ว่าเธอคือคนที่พิทักษ์ดำรงกุลมั่นหมายจะให้อินทัชแต่งงานด้วย เจ้าตัวจะต้องถอยห่างและสร้างกำแพงขึ้นมากั้นขวางเธอไว้แน่นอน
ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เฌอแตมไม่ต้องการให้คนที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายถอยห่างเธอไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เธอวางแผนจะทำอะไรมากมายเพื่อเขา
“อินคะ” เฌอแตมเรียกคนที่มองหน้าเธอนิ่ง เสียงเบา ๆ ที่เปล่งออกมามีความกลัวปะปนอยู่ในนั้นไม่น้อยเลย กลัวว่าเธอจะโดนเกลียด
อินทัชกะพริบตาเบา ๆ แล้วเก็บสีหน้าความคิด แววตากลับมาราบเรียบ เขาไม่ต้องการแสดงออกให้เธอคิดอะไรมากนัก เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าเธอรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของเขามาบ้าง
แต่หากเขาคิดไม่ผิด เฌอแตมคงจะต้องรู้แล้วว่าเขาคือคนที่ครอบครัวของเธอหมายหมั้นเอาไว้ให้เธอ
“เธอมาก็ดีแล้ว เราจะได้คุยกันเรื่องงานที่ยังค้างเอาไว้” อินทัชพูดด้วยท่าทีที่ไม่สามารถอ่านได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“งั้น..”
“ไปด้วยกันไหมล่ะ” มะลิที่กำลังจะเอ่ยขอตัวเมื่อได้ยินอินทัชพูดอย่างนั้นก็โดนขัดจังหวะขึ้นมาก่อนโดยคนที่เธอตั้งใจชวนไปทานข้าวด้วยกัน
สิ้นคำชวนของอินทัช สองสาวสวยก็หันหน้ามามองกันโดยอัตโนมัติ ประกายตาหยั่งเชิงเกิดขึ้นในดวงตาของแต่ละฝ่าย
“เอ่อ มะ”
“ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” มะลิที่กำลังจะตอบปฏิเสธเพราะไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร เธอเพียงแค่ต้องการจะหาเพื่อนสักคนก็เท่านั้น เด็กทุนที่ไม่มีเพื่อนคบอย่างเธอ มาเจออินทัชที่เคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คิดว่าน่าจะเข้าใจ เข้ากันได้ดี แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสาวสวยลูกคุณหนูมาเกี่ยวพันด้วยอย่างนี้ เธอเองก็ไม่อยากจะเจอปัญหา แต่ยังปฏิเสธไม่ทันจบเสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“เฮ้อ” อินทัชลอบถอนหายใจแผ่วเบากับการปรากฏตัวขึ้นขัดจังหวะของคนสองคนในวันนี้ ก่อนหน้าก็เฌอแตม คนที่เขาเพิ่งรู้ว่าถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นของเขา มาตอนนี้ก็ผู้ชายเจ้าเล่ห์ร้ายกาจที่แสดงออกให้เขารู้ว่าเจ้าตัวคิดอย่างไรกับเขา
รู้สึกเหมือนตัวเองจะเจอเรื่องปวดหัวอย่างไรชอบกล
อินทัชคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ในมุมหนึ่งของแคนทีนวีไอพี โต๊ะอาหารที่มีผู้ร่วมโต๊ะถึงแปดคนตกอยู่ในความเงียบงันแทนที่จะคึกครื้นเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ร่วมโต๊ะแล้ว
อินทัชกวาดสายตามองซ้ายที มองขวาทีแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเป็นผู้เปิดปากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“ไม่ไปซื้อข้าวกันหรือไง” ถามเสียงเหนื่อยหน่าย เขาเองนั่นไม่มีปัญหาเพราะกล่องข้าวหรูที่วางอยู่ตรงหน้าจากฝีมือของมาดามนิลาถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา
คิงเป็นผู้นำมันมาให้ และแน่นอนว่ามันยังร้อน ๆ อยู่ เพราะมาดามนิลาเพิ่งจะให้คนของเธอนำมันมาส่งก่อนที่จะพักเที่ยงเพียงแค่ไม่กี่นาที
อ้อใช่ มาดามนิลาไม่ได้มาขายอาหารที่แคนทีนธรรมดาอีกแล้ว ร้านนั้นเธอยกให้ผู้ช่วยของเธอดูแลต่อไป
“งั้นเฌอขอไปซื้อสั่งข้าวก่อนนะ แล้วเราค่อยคุยกัน” สาวสวยพูดเสียงหวาน ดวงตามองตรงมาที่อินทัชเพียงคนเดียว เจตนาชัดเจนว่าประโยคที่พูดออกไปนั้นบอกกล่าวแก่อินทัชเท่านั้น พูดจบเธอก็ลุกขึ้นเต็มความสูง เบี่ยงหน้าไปยังร้านอาหารที่ต้องการ
มะลิเห็นว่าเฌอแตมลุกขึ้นไปก่อนแล้ว เธอมองคนอื่น ๆ ที่มีกล่องข้าววางอยู่ตรงหน้าแล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อไปหาซื้ออาหารบ้าง
นึกตำหนิตัวเองในใจที่เลือกหาเพื่อนที่ดูแล้วจะเข้าหาได้ยากยิ่งกว่าคนอื่น ๆ เสียอีก และตำหนิตัวเองที่พาตัวมาอยู่ท่ามกลางศึกชิงนาย
หนึ่งทายาทตระกูลผู้ทรงอิทธิพลอันมีเบื้องลึกเบื้องหลังน่าหวาดหวั่น มาร์ค เมธัส โอ คอนเนอร์ และอีกหนึ่ง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลนายทหารเก่าแก่ เฌอแตม เฌอติกานต์ อัศวะราช
ว่าแต่ว่าอินทัชเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้มีคนระดับนั้นสองคนมาแย่งชิงอย่างนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะเขาคืออันโนนอย่างนั้นหรือ
ไม่น่าใช่
แต่ช่างเถอะ อินทัชจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ ของเพียงแค่เป็นเพื่อนที่ดีให้เธอได้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
เด็กสาวผู้ได้ทุนเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้และไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวคิดในใจขณะที่เดินไปซื้ออาหาร
“ไหนบอกเจอกันตอนเลิกเรียนไงครับ” เมื่อสองสาวลุกออกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว อินทัชก็หันไปถามคนที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา
“ก็เลิกเรียนช่วงเช้าไง” มาร์คตอบเสียงเรียบ ขยับมือไปเลื่อนกล่องอาหารของอินทัชมาเปิดให้ ท่ามกลางสายตาที่มองมาของอัศวินทั้งสี่
เพื่อนสนิทผู้ควบตำแหน่งอัศวิน ลูกน้องข้างกายมองคิงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตานักที่เห็นคนปฏิบัติดูแลคนอื่นอย่างนี้ แต่เมื่อคิดอีกที สำหรับอินทัชแล้ว ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลย หลายสิ่ง หลายอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นคิงทำ ก็ได้เห็นเมื่อมีอินทัชเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้พวกเขาควรจะชินได้แล้วหากเห็นคิงทำอะไรที่แปลกไป
อินทัชบึนปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากปากของคิง
ยียวน กวนประสาท อยากจะได้เจ้าชายน้ำแข็งคืนมาจริง ๆ เลย
อินทัชคิดในใจ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเมื่อกล่องข้าวที่ถูกเปิดจนกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูกชวนให้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความหิวถูกส่งกลับมาอยู่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง
“หิวก็กินไปก่อน” มาร์คบอกคนที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ตาจ้องมองอาหารในกล่อง มุมปากเขายกยิ้มด้วยความเอ็นดู คนคนนี้เรื่องกินคือเรื่องสำคัญเสมอ
“เดี๋ยวรอสองคนนั้นก่อน จะได้กินพร้อมกัน” อินทัชส่ายหน้าพร้อมพูดปฏิเสธ ตามมารยาทแล้วก็ควรจะรอทานพร้อมกันทั้งโต๊ะ
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที สองสาวที่ไปสั่งอาหารก็กลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม รอเวลาให้อาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ ระหว่างนี้อินทัชเลยชวนเฌอแตมคุยถึงเรื่องงานที่ต้องทำร่วมกัน โดยมีคนอื่น ๆ นั่งฟังเงียบ ๆ
“งั้นตกลงตามนี้นะ” อินทัชพูดสรุปทิ้งท้ายเมื่อตกลงเรื่องงานกันเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงเขาและเฌอแตมก็แบ่งส่วนกันทำตั้งแต่แรกแล้ว แต่คุยคราวนี้ก็เพื่อเจาะลึกเนื้องานที่มากกว่าเก่า
และเป็นจังหวะที่พอเหมาะเพราะหลังจากที่คุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว อาหารที่สองสาวไปสั่งไว้ก็มาเสิร์ฟพอดี
“เธอยังไม่ได้แนะนำตัวให้เรารู้จักเลยนะ” โฬมพูดขึ้นหลังจากทานอาหารไปได้สักพัก อินทัชเงยหน้าจากอาหารขึ้นมองผู้พูดก่อนจะเบนสายตาไปหาคนที่ถูกชวนคุยกลาย ๆ เขาขยับปากจะกล่าวแนะนำเพื่อนร่วมคลาสเรียนคนใหม่ให้คนอื่น ๆ ได้รู้จัก เพราะโดยมารยาทแล้วก็ควรจะเป็นหน้าที่ของเขาเมื่อเขาเป็นคนชวนให้มะลิมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน แม้ว่าก่อนหน้านั้นมะลิจะเป็นผู้ที่ชวนเขาก่อน และพวกเขามาร่วมโต๊ะอาหารกันได้เพราะคิงเป็นผู้สั่งก็ตาม
“ฉันนึกว่าคุณรู้ไปยันประวัติครอบครัวเจ็ดรุ่นของฉันแล้วเสียอีก” ยังไม่ทันที่อินทัชจะได้พูดแนะนำตัวให้เพื่อนใหม่ มะลิก็พูดขึ้นมาก่อน แววตารู้เท่าทันถูกส่งให้กับโฬม และนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าตัวคนถามได้ดี
มะลิเป็นฉลาด หลังจากที่เธอรู้ว่าอินทัชต้องมีความสำคัญกับคิงแน่ ๆ เธอก็รู้ว่าประวัติของคนที่จะได้เข้าใกล้อินทัช หรือต้องอยู่รอบ ๆ ตัวอินทัชนั้นจะต้องถูกส่งไปให้คิงแล้วอย่างแน่นอน และประวัติคนธรรมดา ๆ อย่างเธอ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็คงจะปรากฏอยู่ในมือของคิงแล้วเป็นแน่ นี่ยังไม่รวมถึงว่าทุนที่เธอได้รับนั้นมันเป็นทุนจาก โอ คอนเนอร์อีกด้วย
อินทัชเบิกตากว้างขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้น และยังทันได้เห็นแววตารู้เท่าทันที่อีกฝ่ายส่งให้กับโฬม
เอาล่ะ เขาชักจะถูกใจเพื่อนใหม่คนนี้เสียแล้ว จะมีใครที่กล้าต่อกรกับอัศวินข้างกายคิง หากนับเพียงแค่คนธรรมดา ๆ เขาเพิ่งจะเห็นมะลิเป็นคนแรก!
เห็นอินทัชมองไปที่มะลิด้วยแววตาพึงพอใจ มีรอยยิ้มที่ริมฝีปาก เฌอแตมก็เผลอกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ กับเธอ ตอนนั้นเธอก็เข้าหาอินทัชด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้ที่จริงแล้วอินทัชเป็นใคร เธอก็นับได้ว่าหลงรักที่อินทัชเป็นอินทัชไม่สนใจเบื้องหลังหรือชาติกำเนิดฐานะวงศ์ตระกูล แล้วทำไมอินทัชถึงได้ตั้งกำแพงขวางกั้นเธอ
เฌอแตมคิดอย่างน้อยใจ
โดยลืมไปว่าคนที่เธอควระหวาดระแวง คนที่เธอควรจะเห็นเป็นคู่แข่งนั้นคือใครอีกคนที่นั่งเงียบ ๆ แต่แผ่รังสีความเย็นเยือกออกมา
มาร์คไม่ขัดข้องหากอินทัชอยากจะเป็นเพื่อนกับมะลิ เมื่อเขาได้ประวัติส่วนตัวของเจ้าหล่อนมาไว้ในมือและมันเพียงพอที่จะบอกว่าในตอนนี้เธอสามารถเป็นเพื่อนกับอินทัชได้ เพียงแต่เขาไม่ถูกใจแววตาพึงพอใจของอินทัชที่มีให้กับอีกฝ่ายก็เท่านั้น
มาร์คหวงทุกสิ่งที่เป็นของอินทัช หวงแม้กระทั่งแววตา หวงแม้กระทั่งรอยยิ้ม
“แต่ฉันยังไม่รู้จักเธอเลยนะ คงไม่รังเกียจใช่ไหมคะถ้าฉันจะขอเป็นเพื่อนกับเธออีกคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าต่อไปเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ” รอยยิ้มหวานของเฌอแตมถูกส่งให้กับมะลิ
อินทัชผินหน้าไปมองคนที่พูดประโยคเมื่อสักครู่ ถ้อยคำที่เป็นมิตร รอยยิ้มที่แสนหวาน แต่อินทัชคิดว่าประกายตาของเธอมันดูแปลก ๆ ชอบกล
แต่จะว่าไป เฌอแตมในตอนนี้ก็ดูจะต่างกับเฌอแตมที่เขาเคยได้เจอก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกัน ผู้หญิงที่ท่าทางขี้กลัว ขี้อายคนนั้นหายไปแล้ว กลายเป็นผู้หญิงที่มาดมั่นขึ้นแม้จะคงความอ่อนหวานเอาไว้ก็ตาม
“เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักกันเอง คิงกับอัศวินทั้งสี่นี้พวกเธอคงรู้จักกันดีอยู่แล้วผมคงไม่ต้องแนะนำอะไร ส่วนนี่มะลิครับเป็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนและหัวหน้าคลาสเรียนของผม ส่วนนี่เฌอแตม เป็นเอ่อ เพื่อนที่รู้จักการในคลาสเรียนรวม เราต้องทำงานด้วยกัน” เมื่อแนะนำเฌอแตม อินทัชก็นิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าจะแนะนำเธออย่างไรดี จะว่าไปเขาเองอาจจะเป็นคนที่รู้จักเฌอแตมน้อยที่สุดในบรรดาทุกคนที่ร่วมโต๊ะอยู่นี่เลยก็เป็นได้
แววตาของทายาทตระกูลทหารเก่าแก่วูบไหวเมื่ออินทัชแนะนำตัวเธออย่างห่างเหินเช่นนั้น
เธอคือคู่หมั้นคู่หมายที่ทางตระกูลเห็นชอบแล้วต่างหาก
สาวหวานได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าที่จะพูดออกไปดด้วยกลัวว่าระยะห่างระหว่างตัวเองและอินทัชจะเพิ่มขึ้น
“อินคะ เฌอขอตัวก่อนนะคะ ไว้วันหลังเราทานข้าวด้วยกันใหม่นะ” เฌอแตมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพูดขอตัวทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะทานข้าวไปได้ไม่กี่คำ เธออยากจะได้เวลาเตรียมตัวมากกว่านี้หน่อย ครั้งนี้ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาร่วมโต๊ะกับคนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะคนที่แผ่รังสีวามเย็นชาออกมาอย่างต่อเนื่องอย่างคิง
อินทัชพยักหน้าเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดตอบรับเรื่องการทานอาหารด้วยกันในครั้งต่อไป เขาที่เพิ่งรู้ถึงฐานะเบื้องหลังของเธอนั้นแน่นอนว่าจะต้องหาวิธีรับมือก่อน
หากเธอต้องการเป็นเพื่อนกับเขาอย่างใจจริง และมีความต้องการที่จะปฏิเสธงานหมั้นที่เขาไม่มีทางเห็นชอบและยินยอม เขาและเธอก็จะเป็นเพื่อนกันได้
แต่จากการแสดงออกอย่างไม่ปิดบังของเธอ อินทัชคิดว่าสิ่งที่เขาหวังไว้นั้นเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องยาก
เพราะฉะนั้น เขาจะต้องเว้นระยะห่างจากเฌอแตมไว้ให้มากเสียหน่อย
คิดถึงตรงนี้อินทัชก็ลอบถอนหายใจ ความจริงเฌอแตมก็ไม่เลวเลย หากได้เป็นเพื่อนกับเธอก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ติดตรงที่การใกล้ชิดเธอมาก ๆ อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือให้ตาแก่เจ้าเล่ห์นั่นได้ในสิ่งที่ต้องการ
ในระหว่างที่อินทัชกำลังขบคิดในใจ ดวงตาคู่คมของมาร์คก็ไม่ได้ละสายตาไปจากอินทัชเลยแม้แต่เสี้ยววินาที โดยที่การกระทำของเขาก็ตกอยู่ในสายตาของคนที่เหลืออีกที
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” หลังจากที่ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบได้ชั่วครู่หนึ่ง มาร์คก็เปิดปากถามอินทัชขึ้นมาก่อน และแน่นอนว่ามันเป็นการกระทำที่ชวนให้คนอื่น ๆ ที่ได้ยินนั้นต้องใส่ใจ
คิงถามก่อน? คิงชวนคุยก่อน?
นี่ใช่คิงที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดีจริง ๆ หรือ
มะลิเลิกคิ้วเล็กน้อยและคิดในใจ แต่เมื่อสายตาเลื่อนไปเจออินทัชเธอก็นึกขึ้นได้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันมีข้อยกเว้นเสมอ
และข้อยกเว้นของคิงก็เห็นว่าจะเป็นกบฏที่คนทั้งมหาวิทยาลัยแต่งตั้งขึ้นมาคนนี้
“ปัญหาอะไรครับ” อินทัชเลิกคิ้วถามอย่างงุนงงเมื่ออยู่ ๆ คิงก็ถามออกมาแบบนั้น
“เปลี่ยนคณะเรียนวันแรก” มาร์คขยายความในคำถามของเขา
“อ้อ ไม่มีปัญหาอะไรครับ ส่วนที่เรียนไปแล้ว มะลิใจดีจะถ่ายเอกสารมาให้พรุ่งนี้” ประโยคหลังอินทัชหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับเพื่อนใหม่
มะลิยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไปเมื่อเห็นแววตาเย็นชาที่ส่งมาของคิง
คิงคงไม่ได้หวงแม้กระทั่งรอยยิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช่ไหม คนขี้หวงแบบนั้นมีแค่เพียงพระเอกนิยายอย่างเดียวใช่ไหม
มะลิถามตัวเองในใจอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“วันพรุ่งนี่เธอเอาเอกสารที่ต้องถ่ายทั้งหมดมาหาฉัน” โฬมพูดอย่างรู้หน้าที่ ไม่ต้องรอให้คิงส่งสายตาสั่งความ
“จริง ๆ ฉันขอยืมเอกสารเธอไปจัดการเองก็ได้นะ” อินทัชที่เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเพื่อนใหม่คงจะยุ่งยากไม่น้อยกับการที่จะต้องมาจัดการเรื่องพวกนี้ให้เขาทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นและไม่ใช่หน้าที่ของเธอ สีหน้าและแววตามีความละอายใจอยู่ไม่น้อยเลย
“ให้โฬมจัดการ” มาร์คพูดเบา ๆ แต่เป็นอันจบเรื่องนี้ไปโดยทันที
“งั้นเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเธอ เย็นนี้ฉันเลี้ยงอาหารนะ” อินทัชพูดกับเพื่อนใหม่ที่ตัวเองถูกใจไม่น้อยเลย
“ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างฉันไม่ว่างด้วย” มะลิส่ายหน้าปฏิเสธ
“วันหลังก็ได้” อินทัชยังคงไม่ลดความพยายาม หากเป็นคนอื่นเขาคงจะปล่อยเลยตามเลยไปแล้ว แต่สำหรับมะลินั้นเขาทั้งถูกใจทั้งถูกชะตาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนกับเธอสูงกว่าคนอื่น ๆ
“บอกตามตรงนะ หลังเลิกเรียนฉันไม่ว่างเลยต้องทำงานพิเศษ” มะลิพูดอย่างไม่ปิดบังและไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย การเป็นเด็กทุนเพียงไม่กี่คนในมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยผู้รากมากดี มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยที่เธอจะต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่นและถึงแม้ว่าจะได้ทุนเต็มจำนวนจากโอ คอนเนอร์ ทั้งค่าเรียน ค่าอยู่ ค่ากิน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ที่เธอจะต้องทำงานหาเงินมาเพื่อรองรับตรงนั้น
“เธอทำงานพิเศษ ถามได้ไหมว่างานอะไร” อินทัชถามด้วยความระมัดระวัง
“ก็หลายอย่าง บางวันก็สอนพิเศษ บางวันก็พนักงานเสิร์ฟ” คนที่รับจ้างทำงานหลายอย่างยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หร่า น้ำเสียง สีหน้า แววตาไม่ได้แสดงออกว่าต้องการให้ใครมาสงสารเลยสักนิด
“คิง มะลิไว้ใจได้ไหม” อินทัชพยักหน้ารับคำตอบของเพื่อนใหม่ก่อนจะเอนตัวเข้าหาคนที่นั่งข้าง ๆ พูดกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู ถามกับคนที่มั่นใจว่าจะต้องให้คำตอบที่เชื่อถือได้แก่เขา
“ได้” มาร์คตอบเสียงเบาทว่าหนักแน่นในความรู้สึกของอินทัช
เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของคนที่เขาเชื่อมั่น อินทัชก็หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับมะลิ
“สนใจมาทำงานกับฉันไหม แต่แน่นอนว่าต้องผ่านการทดสอบจากฉันก่อนนะ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อืม มีความอยากให้น้องลงมือเอง 555
ความเนียนนี้ น้องอินไม่ทันพี่เค้าอีกแล้วววว