ตอนที่ 6 : ตอนที่ 6
“หล่อมาก คิงหล่อมาก จะเป็นลม”
“ฮือออ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีบุญได้เรียนรวมกับคิง แล้วนั่น ฮือออ คิงใส่กางเกงวิ่งขาสั้นแบบนั้น โอ๊ยย ใจละลาย”
“ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้วันนี้เราต้องมาเรียนรวมกับคิง ชีวิตนี้ฉันตายตาหลับแล้ว”
“ได้ข่าวมาว่าอาจารย์ประจำคลาสที่คิงเรียนอยู่ติดภารกิจด่วนกะทันหันเลยฝากคลาสเรียนของตัวเองมาเรียนร่วมกันกับเรา”
“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันขอให้อาจารย์คนนั้นติดภารกิจตลอดไป”
เสียงกรีดร้องที่ดังระงมของพวกสาว ๆ ทำให้คนที่เพิ่งจะออกจากห้องเปลี่ยนชุดมายังไม่ทันเดินพ้นขอบประตูย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย
คิงมาเรียนด้วยงั้นเหรอ
เปิดเทอมสองมาได้เกือบเดือนไม่เคยได้เรียนวิชานี้ร่วมกับคิง และตามรายชื่อที่เขาเคยเห็นคลาสเรียนวิชานี้ของเขาก็ไม่เคยมีรายชื่อคิงปรากฏอยู่ นั่นอาจจะหมายความได้ว่าคิงก็ลงเรียนวิชาวิ่งเหมือนกัน แต่คนละคลาสเรียนกับเขา
อินทัชกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็คิดว่าที่เขาสงสัยคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะเห็นว่าตอนนี้มีคนที่เพิ่มขึ้นมาอยู่หลายคนเลยทีเดียว สงสัยว่าอาจารย์ที่สอนคลาสของคิงคงจะไม่ว่าง คิงถึงต้องมาเรียนรวมกันกับพวกเขา
วันนี้คงวุ่นวายน่าดู
อินทัชคิดในใจเช่นนั้นก่อนจะเลิกใส่ใจ พาตัวเองเดินไปนั่งยังบริเวณที่นั่งประจำ รออาจารย์เช็คชื่อ
“เชี่ย โคตรขาว”
“ซี๊ดด ขาสวยจังวะ”
“แมร่ง นึกถึงตอนขาขาว ๆ เรียว ๆ นั่นมาเกี่ยวที่เอว”
เสียงพูดที่ดังขึ้นมาทันทีที่อินทัชเดินพ้นจากขอบประตูห้องเปลี่ยนชุดทำให้คนที่วันนี้ลืมเอาSpandex กางเกงรัดกล้ามเนื้อขายาวมาใส่ไว้ใต้กางเกงวิ่งขาสั้นอีกทีรู้สึกสงสัยว่าคำพูดนั้นใช่ว่าหมายถึงเขาหรือเปล่า
คงไม่หรอกมั้ง เขาก็ผู้ชายคนหนึ่ง อีกอย่างคนพวกนี้ก็รังเกียจเขากันอยู่แล้ว คงไม่มาพูดจาแทะโลมใส่เขาหรอก
อินทัชคิดอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดแทะโลมพวกนั้นเกิดขึ้นก็เพราะคนเห็นอินทัชในกางเกงวิ่งขาสั้นเผยเรียวขายาว ขาวและเนียนสวยยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก และเพราะประโยคต่อมาที่ได้ยิน ทำให้อินทัชรู้ว่าที่เขาคิดมันผิด
คำพูดต่ำตมพวกนั้นมันใช้กับเขาจริง ๆ
“แมร่ง ขาสวยกว่าผู้หญิงอีกว่ะ”
“เชี่ยเอ๊ย ถ้าได้เอามือไปลูบสักทีจะไม่ลืมพระคุณเลย”
“ผู้ชายห่าไรวะ ขาสวยกว่าผู้หญิง กูว่าแมร่งต้องเนียนมากแน่ ๆ แค่คิดว่าได้ลูบได้ไล้กูก็ขึ้นแล้ว”
“หึ เอาแมร่งมาเป็นของเล่นบนเตียงดูสักคืนสิ กูอยากรู้ว่าส่วนอื่นจะเนียนเหมือนขาไหม”
ยิ่งได้ฟังคิ้วสวยได้รูปก็ยิ่งขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจและรังเกียจความคิดต่ำทราม แววตาเปิดเผยความขยะแขยงเต็มที่
บางทีคนพวกนี้ไม่ควรมีลิ้นไว้พูด ไม่ควรมีตาไว้มองเลยจริง ๆ
ภัยสังคมชัด ๆ
“โครม!” เสียงดังโครมที่เกิดขึ้นขัดความคิดขยะแขยงของอินทัชลง เจ้าตัวหันไปมองยังทิศทางของเสียง
ทิศทางเดียวกับที่เขาได้ยินคำพูดต่ำทรามพวกนั้นดังมา
“โทษที พอดีรองเท้ามันหลวมอยู่ ๆ ก็หลุดแล้วลอยไปหาพวกนายได้ยังไงไม่รู้” เสียงพูดขำ ๆ ไม่ได้สำนึกผิดว่ารองเท้ากีฬายี่ห้อหรูของตัวเองลอยเฉียดหน้าคนไปแค่เสี้ยวมิลลิเมตรเท่านั้นของลอยซ์ ผู้เป็นหนึ่งในอัศวินของคิงทำให้บรรยากาศในโรงยิมเงียบสนิทลงทันที
ใครเชื่อคำพูดของอัศวินหน้ายิ้มคนนี้ก็บ้าแล้ว
“เอ่อ มะ ไม่เป็นไรครับ” ไม่เชื่อ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ใครกันกล้ามีปัญหากับอัศวินเพื่อนสนิทของคิง
คนว่ามาอย่างไรก็ต้องตามนั้น
เรวัชที่รองเท้าเฉียดหน้าไปได้แต่พูดว่าไม่เป็นไรสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทั้ง ๆ ที่ภายในใจก่นด่าไปเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
ถ้าเพียงตระกูลของเขามีอำนาจมากกว่านี้อีกสักนิด เขาก็คงจะไม่ต้องมานั่งเกรงใจคนพวกนี้อีกแล้ว
ทำไมนะ ทำไมเขาไม่เกิดในตระกูลที่ดีกว่านี้กัน
ในใจคิดคร่ำครวญไปร้อยแปดแต่ความจริงหนึ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือก้มเก็บรองเท้าไปคืนให้เจ้าของ ทั้ง ๆ ที่จะว่ากันตามจริงแล้วตัวเองคือผู้เสียหายที่สมควรจะได้รับคำขอโทษ
แต่คำขอโทษจากใครล่ะ ลอยซ์ อัศวินของคิง ทายาทเจ้าของบริษัทที่ผลิตการ์ดฝีมือดีมากมายส่งให้ผู้มีอิทธิพลที่ต้องการการอารักขาอย่างแน่นหนานั่นน่ะเหรอ
ฝันเอาคงง่ายกว่า
“ลอยซ์ รองเท้านายน่ะ ไม่ใช่ว่าเปื้อนคราบสกปรกไปแล้วเหรอ ทิ้งไปเถอะ” ครูซ อัศวินที่ได้ฉายานักฆ่าหน้าเปื้อนยิ้มจากคนทั้งมหาวิทยาลัยถามเสียงติดตลก
แต่คนที่เก็บรองเท้ามาคืนเจ้าของอย่างเรวัชกับหัวเราะไม่ออก
รองเท้าเฉียดหน้าเขาไปตกลงที่พื้น และเขาก็เป็นคนก้มเก็บมา
ทั้ง ๆ ที่ครูซอาจจะหมายถึงว่ามันเปื้อนฝุ่นที่พื้น แต่เรวัชกลับรู้สึกว่าคราบสกปรกที่อัศวินผู้ลงโทษคนด้วยรอยยิ้มกว้างคนนี้หมายถึงเขามากกว่า
“จริงด้วยสินะ ใช้การไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องทิ้งอย่างเดียว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฝากนายเอาไปทิ้งด้วยเลยแล้วกัน” ว่าแล้วก็ลงมือถอดรองเท้าตัวเองอีกข้างส่งให้คนที่ตอนนี้สีหน้าจืดเจื่อนจนดูแทบไม่ได้แล้ว
“เอ่อ ได้ครับ” ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับรองเท้าอีกข้างมาถือ
มือที่ถือรองเท้าสีขาวราคาแพงจิกแน่นจนแทบจะฝังลงไปในเนื้อผ้าใบ
ถ้าเพียงเขามีโอกาส แม้จะเพียงแค่นาทีเดียว สาบานเลยว่าเขาจะเหยียบมันพวกนี้ให้จมธรณี
“ฮัลโหล เอารองเท้ามาให้ฉันที่ยิมเก้าคู่หนึ่ง” เมื่อคล้อยหลังผู้ที่เขาฝากรองเท้าไปทิ้ง ลอยซ์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งการคนของตัวเอง
ในใจนึกว่ามันเรื่องอะไรกันที่เขาจะต้องมาเสียรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดที่กว่าจะได้มาครอบครองต้องรออยู่หลายวันแล้วยังเพิ่งจะได้ใส่วันนี้วันแรกไป
บางทีเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่ควรจะรีบร้อนลงมือก่อนเลยจริง ๆ น่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นไปก่อน
คนที่ลงมือเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะคิดให้ดีร้องคร่ำครวญในใจด้วยความเสียดาย
แต่เมื่อเห็นสีหน้าแววตาเยียบเย็นของคิงแล้วก็คิดได้ทันทีว่า
ดีแล้วที่เขาชิงลงมือก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเรื่องยุ่งยากให้เขาจัดการที่หลังอีกก็เป็นได้
อินทัชมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นด้วยความงุนงง เขายังจับต้นชมปลายไม่ถูกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หันมาอีกทีก็คือรองเท้าของอัศวินข้างกายคิงคนนั้นก็ตกอยู่ข้างกายเจ้าของเสียงที่อินทัชจำได้ว่ามันเป็นเจ้าของประโยคที่จะเอาเขาไปเป็นของเล่นบนเตียงนอน
เจ้าของความคิดเลวทรามคนนั้น
คนที่กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมอัศวินของคิงถึงได้ขว้างรองเท้าใส่หน้าคนอื่นเผลอมองไปยังกลุ่มคนที่เขาคิดสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ทำอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ดวงตาคู่สวยเผลอสบเข้ากับดวงตาเย็นชาของคิงเข้า
สวย
เย็นชา ไร้ก้นบึ้ง แต่ก็สวย
อินทัชเผลอชมในใจอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมา
คุ้นเคย
เขาเหมือนจะคุ้นเคยกับดวงตาที่ไร้ก้นบึ้ง เหมือนดั่งหุบเหวลึกชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บคู่นั้น คุ้นเคยเหมือนว่าเขาเคยมองมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน คุ้นเคยเหมือนจะเป็นดวงตาที่เขาชอบมอง
เพียงแต่อินทัชไม่รู้ว่าเขาไปคุ้นเคยมันได้อย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกคุ้นเคยนี้ถึงได้เกิดขึ้นมา
“นาย” เสียงเย็นชาราบเรียบจากคนที่เขาสบตาอยู่ดังขึ้น นั่นทำให้อินทัชหลุดออกจากห้วงภวังค์ความรู้สึกที่ชวนให้หาคำตอบ
คิงใช่ว่าเรียกเขาหรือเปล่า
สงสัย เลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่ไม่ได้ออกเสียงถามไปตามตรงหรือว่าขานรับคำเรียกนั้น
“ฉันไม่อยากเห็นนายแต่งตัวอย่างนี้อีก รำคาญ”
พูดจบคนก็เดินออกจากยิมไปทันทีตามด้วยบรรดาอัศวินข้างกายทั้งสี่ ทิ้งให้คนที่ได้รับคำสั่งมาใหม่มองตามตาปริบ ๆ
เมื่อเช้าคิงบอกไม่อยากเห็นหน้าคนอีก คนก็ลาออกออกไป มาตอนนี้บอกไม่อยากเห็นเขาแต่งตัวแบบนี้อีก
แล้วเขาควรจะทำยังไง
อินทัชขมวดคิ้วมุ่นกับตัวเอง ก่อนที่จะตอบคำถามให้ตัวเองว่า ไม่เห็นต้องทำอะไร เพราะถึงยังไงคิงกับเขาก็เรียนกันคนละคลาสอยู่แล้ว คงไม่มีโอกาสได้มาเรียนร่วมกันแบบวันนี้บ่อย ๆ หรอก เพราะฉะนั้น คำสั่งที่ไร้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลแบบนั้นเขาไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ อีกอย่างถ้าไม่ใช่วันนี้เขาลืมเอา Spandex มา เขาก็ไม่ได้แต่งตัวอย่างนี้อยู่แล้ว
คิดได้อย่างนั้นก็ยักไหล่เบา ๆ เลิกสนใจเรื่องนี้อีก เดินไปนั่งยังที่นั่งประจำตามความตั้งใจเดิม โดยไม่สนใจสายตาที่มองมาแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ
ทำไมต้องสนใจ สายตาแปลก ๆ เขาได้รับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้ามันไหนไม่ได้มองมาที่เขาด้วยสายตาแบบนี้น่ะสิ ถึงจะเรียกว่าแปลกอย่างแท้จริง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หวงไปอีกกกกกกก