ตอนที่ 20 : ตอนที่ 20
“ผมกำลังจะแต่งงาน” เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบในห้องนอนกว้างทำให้คนที่นอนหลับตาพริ้มหนุนตักเจ้าของคำพูดอยู่เปิดดวงตาขึ้นมอง
ดวงตาคู่คมดุแต่ทอประกายอบอุ่นอ่อนโยนเสมอเมื่อใช้มองคนรักฉายประกายบางอย่างแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ปากสีคล้ำเพราะบุหรี่ เหนือขึ้นไปมีไรหนวดจาง ๆ ยกยิ้มบางเบา
“แต่งสิ แต่งแล้วเราก็ไปอยู่ต่างประเทศกัน” เจ้าของเสียงแหบทุ้มพูดพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมจ้องประสานไปกับดวงตาคู่สวยที่เขาหลงรัก
รักจนยอมมองข้ามอุปสรรคทั้งหลายเพื่อที่จะได้คนคนนี้มาครอบครอง
“พี่มาร์ค ผมจะแต่งงาน” ดวงตาคู่สวยเสหลบดวงตาที่มองจ้องมา เจ้าของกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วพูดต่อ
“แต่งกับคนอื่น”
ห้องนอนกว้างใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง คนที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาในตอนแรกทำเพียงแค่นั่งนิ่งเงียบ รอคอยปฏิกิริยาตอบรับจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก
คนรักที่คบกันมานานกว่าสองปี คนรักที่บัดนี้กำลังจะกลายเป็นอดีต เพราะเขาต้องเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
“หึ หึ ฮะ ฮ่า ๆๆ” เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังแผ่วเบาและเพิ่มระดับความดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะที่แสดงออกถึงความบ้าคลั่ง แต่ถึงกระนั้นถ้าตั้งใจฟังจริง ๆ จะรับรู้ได้เลยว่ามีความความขมขื่นอยู่ในน้ำเสียงนั่นไม่น้อยเลย
ใครบ้างที่จะไม่ขมขื่นเมื่ออยู่ ๆ คนรักมาบอกว่าจะแต่งงาน
“ใคร ใครอนุญาตให้นายแต่งกัน! นายเป็นของพี่ ของพี่แค่คนเดียว” พูดแล้วรวบร่างบางกว่าเข้ามากอดเอาไว้เต็มอก ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นชิ้นเอกที่ปกติมักจะแสดงออกแต่ความเย็นชานิ่งเฉยในสายตาคนนอกซบนิ่งลงที่ลาดไหล่ของคนรัก
“ผมขอโทษ” นาทีนี้ไม่มีคำใดที่สามารถพูดได้นอกจากคำ ๆ นี้
“บอกมา บอกฉันมาว่าใครที่เป็นคนสั่งให้นายทำแบบนี้ พ่อนายใช่ไหม หรือว่าปู่ของนาย บอกฉันมา ฉันจะจัดการให้” คนที่ปกติมักจะสุขุมนุ่มลึกและเดาอารมณ์ไม่ออก มาบัดนี้กับแสดงออกถึงอารมณ์มากมายที่ผสมปนเปกันมั่วไปหมด คนมีท่าทางเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวสับสน ร่างหนาผละใบหน้าที่ซบอยู่กับลาดไหล่ออกมา ฝ่ามือแทนที่เข้าบีบที่ลาดไหล่ เขย่าตัวคนไปมาอย่างต้องการหาคำตอบ
ขอแค่เพียงบอกว่าไม่เต็มใจที่จะแต่งงาน ขอแค่เพียงบอกว่าเรื่องที่จะแต่งงานเป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่พร้อมใจ เป็นเรื่องที่ถูกบีบบังคับจากทางผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบเขา
มาร์คพร้อมที่จะจัดการให้ ขอแค่เพียงคนคนนี้อยู่กับเขา
อยู่เป็นแสงสว่างให้คนแบบเขาก็เท่านั้น
“อชิ บอกฉันมาสิว่านายไม่เต็มใจ” เห็นว่าคนตัวเล็กกว่ายังคงนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไรกลับมา มาร์คก็เร่งถามหาคำตอบ
ถามหาคำตอบที่เขารู้ดีมาก่อนหน้านี้แล้ว รู้แต่แค่ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง บางครั้งเขาก็แค่อยากจะหลอกตัวเองก็เท่านั้น
หลอกตัวเองว่าคนที่ก้าวเข้ามาหากัน คนที่พาตัวเองเข้ามาในโลกที่มืดมนของเขานั้นไม่ใช่คนที่จะหักหลังกันได้อย่างเลือดเย็น
ดวงตาคู่คมที่บัดนี้ไม่ได้เรียบเฉยว่างเปล่าอย่างเคย ไม่ได้อ่อนโยนอ่อนหวานดังยามที่ใช้มองคนรัก ปิดลงเพื่อเก็บซ่อนความรวดร้าวเอาไว้ นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกัน
“สวัสดีครับ” เสียงใสร่าเริงยังของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้เจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่คนเดียวเงยหน้าขึ้นมามอง
คล้ายกับว่าเสียงทักทายที่แสนจะร่าเริงไม่ได้ดังเข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าอยู่สองสามปี เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเรากับเทพเจ้าสร้างยังคงเรียบเฉยไม่ปรากฏร่อยรอยใด ๆ
“ผมขอนั่งด้วยคนนะ โต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว” เจ้าของเสียงทักทายคล้ายกับไม่รับรู้ปฏิกิริยาเมินเฉยไม่ตอบโต้นั้น ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างที่น่าสงสัยว่าคนอะไรจะร่าเริงได้ถึงขนาดนั้น
และไม่รอให้คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าอนุญาตเจ้าตัวก็พาตัวเองลงนั่งทันที
“นี่ ไม่ทานข้าวเหรอครับ หรือว่าทานอิ่มแล้ว เอ๊ะ หรือว่ายังไม่ได้ทานหว่า ไม่เห็นมีจานตั้งอยู่เลย นี่ก็ช่วงพักเที่ยงนี่นา นี่งั้นทานกับผมไหม ผมทำเองเลยนะ น้ำพริกกุ้งเสียบเนี่ย รับรองว่าอร่อยเด็ด” เสียงเจื้อยแจ้งยังคงดังไม่หยุด
ท่ามกลางความเงียบของบริเวณโดยรอบสวนหลังมหาวิทยาลัย เสียงของอชิระ ดังอยู่คนเดียว
“น่ารำคาญ” คนที่นั่งเงียบ ๆ ทอดสายตามองไปยังบ่อน้ำกว้างลุกขึ้นยืนแล้วทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะพาตัวเองเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่มาขัดความสงบของเขา
ความสงบที่เขาจะมีแค่เพียงช่วงเวลานี้และในบริเวณนี้ที่เขาบังเอิญพบเจอเท่านั้น
และมาร์คไม่เคยจะคิดเลยว่าหลังจากวันนั้นความสงบสุขที่เขามีอยู่น้อยนิดจะหายไป แล้วถูกแทนที่โดยความสดใสที่เขาไม่เคยคิดอีกเช่นกันว่าจะทำให้เขาตกหลุมรักจนปีนกลับขึ้นมาไม่ได้
“นี่ พี่จะไม่คุยกับผมเลยเหรอ เรารู้จักกันมาตั้งหนึ่งเดือนแล้วนะ ไม่สิ เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย งั้นผมแนะนำตัวก่อน ผมชื่ออชิระ พี่จะเรียกว่าอชิก็ได้ แล้วพี่ล่ะชื่ออะไร” นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ความเงียบสงบของสวนหลังมหาวิทยาลัยถูกแทนที่ด้วยด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเด็กตัวจ้อยที่แสนจะวุ่นวายในความรู้สึกของมาร์ค
คนที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับพื้นที่เงียบสงบที่เขาครอบครองมานานตั้งแต่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นความวุ่นวายที่มาร์คไม่เคยถามตัวเองว่าแล้วทำไมไม่หลีกหนีไปเสียเองล่ะ หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างที่ทำให้คนวุ่นวายคนนี้หายไป
มาร์คไม่กล้าถาม เพราะไม่กล้าตอบตัวเองว่าเขานั้นเริ่มที่จะชอบความวุ่นวายนี้แล้ว
“มาร์ค ฉันชื่อมาร์ค” นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาแนะนำตัวให้ใครสักคนรู้จักด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่เกิดขึ้นโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน
“พี่รอนานไหม นี่ผมทำน้ำพริกกุ้งเสียบของโปรดมาให้พี่ด้วยน้า แถวบัวลอยเป็นของหวานด้วย” วันเวลาผันผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วจากที่พวกเขาได้พบเจอกันในวันแรก จากเด็กน่ารำคาญที่มาทำลายความเงียบสงบ จากเด็กที่พูดจาเรื่อยเปื่อยไปเองคนเดียว จากเด็กที่ก้าวเข้ามาเป็นคนรู้จัก มาวันนี้เด็กคนนี้ก้าวเข้ามาเป็นคนรักของเขาแล้ว
พวกเขาเพิ่งจะตกลงคบกันเมื่อวานนี้เอง
คนที่ปกติใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์เพราะสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ มาวันนี้เริ่มมีรอยยิ้มบางเบาประดับริมฝีปากบ่อยครั้ง ดวงตาที่คมดุเย็นชาก็มีความอ่อนโยนแฝงเข้ามา และมันถูกมอบให้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขาเพียงเท่านั้น
คนที่มือเปื้อนเลือดคนอื่นมามากมาย คนที่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมมาเยอะเกินจะเอ่ยถึง คนแบบเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้พบกับดวงตะวันที่สดใสขนาดนี้ ไม่เพียงแต่พบ เขายังคงได้มาครอบครองอีกด้วย
“Pie and Mash พี่ทำมาด้วย ที่อชิบ่นอยากกินไง” มือหนาเปิดกล่องที่บรรจุอาหารชนิดหนึ่งมาเปิดออกให้คนตรงข้ามได้ดู รอยยิ้มบนเรียวปากหยักเปิดกว้างขิ้นอีกเมื่อเห็นรอยยิ้มชอบใจของคนที่เขาตั้งใจทำมาให้
“ว้าววววว พี่ทำเป็นด้วยเหรอครับ น่าแปลกใจมากเลยนะเนี่ย” อชิระยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย วางของทุกอย่างในมือตัวเองลงแล้วคว้าเอากล่องอาหารที่บรรจุเมนูที่ตัวเองอยากกินไปครอบครอง ยกขึ้นสูดดมแล้วทำท่าเคลิบเคลิ้มเหมือนได้ครอบครองสิ่งล้ำค่า
“หึหึ” คนที่ทำอาหารมาเซอร์ไพรส์คนรักตัวน้อยทำเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วยกมือขึ้นยีผมนุ่มลื่นนั่นเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
อยู่เป็นแสงสว่างให้พี่ไปนาน ๆ เลยนะ
มาร์คขอในใจอย่างนั้น โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่เขาขอให้เป็นแสงสว่างให้กับเขาไปนาน ๆ ก็คือคนที่ทำให้ชีวิตเขามืดมนมากขึ้นกว่าเดิม
คนที่ฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น คนที่บอกให้เขาปล่อยมือจากตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ต้องการ
(ต่อ)
“ผมขอโทษ” เห็นคนรักปิดเปลือกตาลงเพื่อซ่อนความรวดร้าวที่เผยออกมาให้เห็นเพียงชั่วแวบ คนที่เพิ่งจะแจ้งเรื่องสำคัญของตัวเองไปก็ทำเพียงเอ่ยขอโทษอย่างแผ่วเบา มือเรียบสวยยื่นไปอย่างต้องการจะสัมผัสร่างกายที่แข็งเกร็งนั่น แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจชักมือกลับมา
มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อต่อไปเขาไม่อาจจะสัมผัสคนคนนี้ได้อีกแล้ว
“ใครต้องการคำขอโทษของนายกัน” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำพูดอย่างไม่ยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง ดวงตาคู่คมยังคงหลบซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท
ตอนนี้เขาทำได้แค่ปิดเปลือกตาลงมาเท่านั้น แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มาร์คสาบานว่าเขาจะปิดหัวใจเขาให้แน่นหนากว่าเดิม จะไม่เผลอเปิดล็อคกลอนให้คนคนนี้ก้าวเข้ามา
แต่เมื่อไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ เมื่อไม่อาจจะแก้ไขอดีตได้อีกแล้ว เขามีแต่จะต้องทำให้ปัจจุบันเป็นไปอย่างที่ใจเขาต้องการก็เท่านั้น
“พี่ต้องการอะไร พี่บอกผมได้เลย ผมจะทำเพื่อไถ่โทษ” อชิระพูดเสียงด้วยน้ำเสียงที่เขาคิดว่ามันหนักแน่น แต่แท้ที่จริงแล้วมันแผ่วเบาราวกับกระซิบ
“ความต้องการของฉันเหรอ นายไม่รู้มันจริง ๆ งั้นเหรอ” เปลืกตาสีเข้มเปิดออกเพื่อเผยให้เห็นดวงตาคู่คมที่บัดนี้ไม่เหลือร่องรอยแห่งความเจ็บปวด มีแต่ความเย้ยหยันที่แสดงออกมาให้เห็น
ไม่รู้ว่าเย้ยหยันอะไร ระหว่างคำถามของคนที่กำลังจะเป็นอดีต หรือความต้องการของเขาที่อีกฝ่ายทำเป็นไม่รับรู้
ไม่ใช่ว่าเขาแสดงออกไปแล้วเหรอ ไม่ใช่ว่าในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือคำพูดว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังจะทิ้งกันอย่างนั้นหรอกเหรอ
มาร์คกำลังรู้สึกอ่อนแออย่างที่ไม่เคยจะเป็น และคนอย่างเขาไม่ควรจะมีความรู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้ และโลกกำลังจะถล่มลงมา
“ผม”
“หึ อยากจะแต่งก็แต่งไป แต่นายต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน” มองคนที่พูดเพียงคำเดียวแล้วเงียบไปเนิ่นนาน รอคอยด้วยความหวังว่าคนคนนี้จะมีคำอธิบายอะไรมาพูดให้เขาฟังมากกว่านี้ แต่เมื่อมันไม่มี ไม่มีคำใดที่เพิ่มเติมออกมา มาร์คก็แค่นเสียงในลำคอ ผุดกายลุกขึ้นยืนเหยียดตรง เปล่งวาจาที่ทำให้คนฟังเงยหน้ามองตามอย่างรวดเร็ว และกว่าอชิระจะจับใจความได้ เจ้าของห้องนอนกว้างในบ้านหลังนี้ก็เดินหายออกนอกห้องไปแล้ว
“เฝ้าเอาไว้ คนหายไปเมื่อไหร่ พวกนายก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่” อชิระที่วิ่งตามออกมาทันได้ยินประโยคคำสั่งเหี้ยมเกรียมนั้น ก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะขึ้นรถแล้วเหยียบคันเร่งจากไปอย่างรวดเร็วจนเขาตามไม่ทันแล้ว
“คุณอชิระเข้าไปด้านในเถอะครับ อย่าให้พวกผมต้องใช้กำลัง” คนที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าคนเอาไว้หันมาขวางทางคนรักของเจ้านายไม่ให้ออกไปจากที่นี่ได้ ก่อนจะสบตากับเพื่อนร่วมงานวูบหนึ่ง
คำสั่งแบบนี้ แปลว่าคนกำลังโดนกักขังแน่นอน
“อย่ามาขวางทาง” อชิระบอกกับคนที่ขัดขวางไม่ให้เขาได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ สีหน้าแววตาเผยความกังวลชัดเจนเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะแบบไหน
เขาตัดสินใจผิดพลาดที่เลือกจะบอกเรื่องแต่งงานต่อหน้ามาร์คโดยตรง
เขาควรจะเขียนจดหมายบอกหรือไม่ก็เลือกช่องทางอื่น หรือไม่ก็ไม่ใช่ใสถานที่ที่มีแต่คนของอีกฝ่ายแบบนี้
คราวนี้เขาพลาดไปจริง ๆ
“คุณอชิระก็ได้ยินที่เจ้านายผมสั่งแล้วนี่ครับ กลับเข้าไปข้างในเถอะครับ อย่าทำให้ผมลำบากใจ” เจ้าของใบหน้าที่นิ่งเรียบไม่แพ้เจ้านายพูดเสียงนิ่งเรียบ
คนคนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนรักของเจ้านาย แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเหนือไปกว่าคำสั่งของเจ้านายเขาเด็ดขาด
ไม่ใช่เพราะกลัวตายตามคำขู่ เพราะรู้ว่าคนอย่างมาร์ค แม๊กซิมัส โอ คอนเนอร์ไม่เคยขู่ คนพูดจริงทำจริง แต่ที่เขาปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพราะบุญคุญที่อีกฝ่ายมีให้คนเดนตายอย่างเขาต่างหาก
หากเจ้านายสั่งให้เขาไปตาย วิชน์จะไม่มีทางชักช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว
อชิระที่รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางออกไปจากบ้านหลังนี้ได้อย่างง่ายดายนักก็ตัดสินใจหมุนตัวหันหลังเดินเข้าบ้าน คิดหาวิธีที่จะกลับออกไปโดยที่ไม่ถูกขัดขวาง
“ปัง!”
“โอ๊ย!”
เสียงปืนที่ดังสนั่นก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ดวงตาคู่คมที่บัดนี้แข็งกร้าวอ่อนกำลังลงเลยสักนิด คนเผยแววตาเหี้ยมเกรียมก่อนที่จะส่งลูกกระสุนปืนออกจากรังปืนไปอีกรอบโดยที่คราวนี้เล็งไปที่ขาด้านขวาหลังจากที่นัดก่อนหน้านั้นฝังทะลุขาด้านซ้ายไปแล้ว
ยิงที่ขาก่อน มันจะได้ไม่มีทางวิ่งหนีไปไหนได้อีก
เสียดาย ถ้าเขาตัดใจทำอย่างนี้กับอชิระได้ เขาคงไม่ต้องมานั่งเจ็บปวดที่หัวใจอย่างนี้
“บอกกูมาว่าใครใช้ให้มึงเอายานรกมาใส่ลงในลังสินค้าของกู” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมถูกส่งออกไป
คนที่ทำการค้าอาวุธมานาน ส่งมอบมัจจุราชให้คนไปก็เยอะ แต่ไม่เคยมีความคิดที่จะค้ายานรกพวกนี้ มาตอนนี้คนของเขาจับได้ว่าในลังสินค้าที่กำลังจะถูกส่งให้กับกองกำลังติดอาวุธติดแถบชายแดนในประเทศเพื่อนบ้านมียานรกพวกนั้นซุกซ่อนอยู่กว่าหมื่นเม็ด
มาร์ครู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคนอื่นเหยียบหัว
แล้วคนที่เพิ่งจะถูกเหยียบย่ำหัวใจมาจะทนได้ยังไงกัน
“อึก กู อึก ไม่บอกมึงหรอก” คนถูกยิงจนขาสองข้างไม่อาจจะขยับได้ ได้แต่นอนกองอยู่กับพื้นกลืนน้ำลายอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วพูดตอบไป แต่ว่าแม้จะตอบไปอย่างนั้น แววตาก็ไม่อาจปิดกลั้นความรู้สึกหวาดกลัวไว้ให้พ้นจากสายตาของคนที่นั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้
ใครบ้างจะไม่หวาดกลัวคนคนนี้ มาร์ค โอ คอนเนอร์ เด็กหนุ่มจากสลัมที่พาตัวเองก้าวเข้ามาในวงการมืด แย่งชิงตลาดมืดไปครอบครองเกือบครึ่งด้วยวัยเพียงแค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบปี เริ่มจากชีวิตที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นเสี้ยนหนามชิ้นโตของผู้มีอิทธิพลคนอื่น
“ดี มึงไม่บอก งั้นลิ้นที่มึงมีอยู่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เพียงคนพูดอย่างนั้น ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้ใจ ส่งมีดพับขนาดเล็กให้เจ้านาย
“ที่จริงฉันอยากจะได้มีดที่มันทื่อ ๆ หน่อย แต่ถือว่าเป็นโชคดีของมึงก็แล้วกันที่มันไม่มี เจ็บไม่นานหรอก ไม่ต้องกลัวไป” คนที่มักจะมีใบหน้าเฉยชา คราวนี้กลับปรากฏรอยยิ้มบางเบา แต่มันไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีเลยสักนิด
ยิ่งเห็นคนลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ร่างโชกเลือดก็ขยับตัวถอยหลังอย่างหวาดกลัวมากเท่านั้น แต่โชคไม่ดีที่ไม่อาจถอยหนีไปได้ไกล เพียงแค่ชั่วลมหายใจเข้าออก คนที่ตอนนี้เปรียบเสมือนมัจจุราชก็เข้าประชิดตัวได้แล้ว
“อ้าปากหน่อย อ้ากว้าง ๆ ไม่งั้นเหรอ ไม่เป็นไร ฉันมีผู้ช่วยมา” คนยิ่งพูดยิ่งเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกขณะ หันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่รอรับคำสั่งเข้ามาจัดการง้างปากคน
คนหนึ่งงจัดการบิดกรามคนที่มีทีท่าตื่นกลัวจนแทบจะประคองสติไม่อยู่จนกรามเบี้ยวผิดรูป อีกคนจัดการจับดึงลิ้นเอาไว้
“ฉึบ” เพียงเสี้ยววินาทีเพียงชั่วพริบตา สิ่งที่ควรจะอยู่ในปากก็หลุดออกมากองอยู่ที่พื้น พร้อมกับสติของเจ้าของที่หลุดลอยไปแล้ว
คนสลบลงทันทีโดยที่ลิ้มรสความเจ็บปวดได้ไม่นาน
“สกปรก” เจ้าของร่างแกร่งเหยียดกายเต็มความสูงพูดอย่างรังเกียจ มือหนาที่เปื้อนเลือดหนอนสกปรกขยับจะเช็ดกับเสื้อที่สวมใส่อยู่ แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสก็ชะงักมือลง
เสื้อตัวนี้อชิระซื้อให้เขาตอนวันครบรองที่คบกันได้หนึ่งปี
และเขาก็ใส่มันในวันที่คนซื้อบอกว่ากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่น
หึ ตลกสิ้นดี
“เอามันไปส่งคืนให้กับเจ้าของมัน บอกเจ้าของมันด้วยว่า หนอนสกปรกตัวนี้ฉันคืนให้ แต่อชิระฉันไม่คืน แล้วอย่าหวังว่าจะได้คืนไป คนเป็นของฉัน ใครหน้าไหนอย่าหวังว่าจะมาแย่งชิงไป บอกว่าให้ตัดสินใจด้วยว่าจะอยู่อย่างสงบเป็นพ่อตาให้ฉันเคารพทั้ง ๆ ที่ยังมีลมหายใจ หรืออยากจะให้ฉันถือพวงหรีดไปวางบนหลุมศพ”
ไหนใครงงงงงงงงง เราจะแอบเฉลยให้ก็ได้ว่านี่ย้อนอดีตข้ามภพข้ามชาติกันเลยยย ตอนนี้ก็ย้อนไปอดีตชาติของทั้งคู่ มันก็จะหน่วง ๆ หน่อย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮื่อออ หน่วงจริงๆรจริงมาก แล้วสายเลือด(หรือคำสาป)มันเกิดขึ้นได้ยังไงอ่ะ ถ้าบอกว่าสายเลือดมันก็ต้องสืบมาจากอชิ(ใช่ม่ะ) งั้นอชิก็ต้องมีลูกกำคู่หมั้นคนนั้นหรอ? หรือยังไง? เพราะมาร์คก็มาเกิดที่ตระกูลตัวเอง งั้นอชิก็ต้องเกิดในตระกูลเดิมของตัวเองเหมือนกันดิ