ตอนที่ 2 : ตอนที่ 2
“นายกบฏนั่นเปลี่ยนรถคันใหม่มาอีกแล้ว ท่าทางจะไปออดอ้อนเสี่ยหน้าโง่สักคนมาแน่ ๆ” เสียงซุบซิบที่ดังมาเข้าหูไม่ได้ทำให้คนที่วันนี้เปลี่ยนมาขี่รถจักรยานยนต์อีกคันสะท้านสะเทือนได้
ทำไมเขาต้องใส่ใจ ในเมื่อมันไม่จริง กับแค่มอเตอร์ไซค์คันละไม่กี่ล้าน ทำไมเขาจะไม่มีปัญญาหาซื้อมาใช้เอง
แต่ต้องยอมรับว่าอดรำคาญกับเสียงแมลงหวี่แมลงวันไม่ได้ หากไม่เพราะรถคันที่เขาใช้อยู่เป็นประจำเกิดเสียขึ้นมาจนเขาต้องส่งเขาศูนย์ซ่อม เขาจะเปลี่ยนรถให้คนจับไปเป็นประเด็นทำไมกัน
อินทัชมองเมินผ่านพวกที่ซุบซิบนินทาเขาและมองมาด้วยสายตาแห่งความเหยียดหยาม เมินผ่านคนพวกนั้นแล้วเดินเข้าโรงอาหารหรูหราของทางมหาวิทยาลัย
Eminent University เป็นมหาวิทยาลัยที่ต้นตระกูลทั้งหมดทางฝั่งมารดาของเขาจบมา ตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ พ่อกับแม่ของเขาก็พร่ำบอกเสมอว่าเขาจะต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
ในวัยเด็กอินทัชไม่เข้าใจนักว่าทำไมพ่อกับแม่ของเขาต้องมาดมั่นให้เขาเข้าเรียนที่นี่นัก ทั้ง ๆ ที่มหาวิทยาลัยที่ดี ๆ ที่ประเทศที่เขาจากมาก็มีเยอะแยะ
จนกระทั่งเขาล่วงรู้ถึงคำสาปที่ส่งต่อสู่สายเลือดมายังเขานั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยคนที่รักเขาทั้งหมดของจิตวิญญาณและหัวใจ และคนคนนั้นจะต้องเรียนอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรบอกได้แน่ชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่คู่ชีวิตของบุคคลต้องคำสาปในรุ่นก่อน ๆ นั้นล้วนจบจากที่นี่ เหมือนดังเช่นที่แม่ของเขาก็พบรักกับคุณพ่อของเขาที่นี่ นั่นทำให้พ่อกับแม่ของเขาอนุมานไปแล้วว่าคู่ชีวิตของเขาจะต้องเรียนอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกท่านทั้งสองหมายมาดให้เขาเข้าเรียนที่นี่ จนถึงกระทั่งเขียนสั่งเสียเอาไว้ เหมือนคนที่รู้ล่วงหน้าว่าจะอยู่ไม่ถึงวันที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย
อินทัชสงสัยว่าพวกท่านต้องรู้เป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องน่าพิศวงและหาคำตอบไม่ได้จนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง สำหรับผู้สืบทอดคำสาปนี้
กลับมาที่เรื่องมหาวิทยาลัย Eminent University ชื่อมหาวิทยาลัยที่แปลว่าสูงส่ง อัจฉริยะ อินทัชคิดว่านักศึกษาที่ได้เข้าเรียนที่นี่โดยส่วนมากห่างไกลกับความหมายของชื่อมหาวิทยาลัยเหลือเกิน
พฤติกรรมต่ำทราม ความคิดต่ำตม
อินทัชไม่สนใจว่าในอดีต นักศึกษาหรือบุคคลที่จบไปนั้นจะเป็นดังเช่นชื่อมหาวิทยาลัยหรือไม่ แต่ ณ ปัจจุบัน เขาเห็นแต่พวกลูกคุณหนูที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ดูถูกพวกที่ฐานะไม่เทียมเท่า และเลียแข้งเลียขาพวกลูกหลานของตระกูลที่ทรงอิทธิพล เพื่อเหตุผลทางธุรกิจ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีกลุ่มคนที่แบ่งออกเป็นหลาย ๆ ชนชั้น หรือจะเรียกว่าเป็นบรรดาศักดิ์ที่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะพบมันในยุคสมัยที่ปากคนก็พูดปาว ๆ ว่าคนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นฝ่ามือที่ใช้ตบหน้าพวกคนที่พูดประโยคนั้นได้ดี
ความเท่าเทียมไม่มีอยู่จริง คนแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้ฝ่ายชายจะถูกเรียกว่าคิง ฝ่ายหญิงจะถูกเรียกว่าควีน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ยังคงเป็นคิง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความไม่เสมอภาคทางเพศใช่หรือเปล่านะ
รองลงมาจากคิงและควีนก็คืออัศวิน หรือให้เขาพูดง่าย ๆ ก็กลุ่มคนที่พร้อมจะเลียแข้งเลียขาคิงและควีนอยู่ทุกช่วงเวลานั่นแหละ ตำแหน่งนี้จะมีอยู่ฝั่งละสี่คน โดยคิงและควีนเป็นผู้ที่แต่งตั้งขึ้นมาเอง
รองลงมาจากอัศวินก็จะเป็นทหาร คนพวกนี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของอัศวินอีกที ดังนั้นการที่คิงจะแต่งตั้งใครขึ้นเป็นอัศวิน ก็มักจะเลือกคนที่มั่นใจว่าจะไม่มีทางหักหลังตัวเองแน่ ๆ
และชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสารบบพวกนี้ก็คือชนชั้นชาวบ้าน คนพวกนี้มักจะเป็นพวกที่ไม่มีอำนาจใด ๆ และมักจะถูกพวกชนชั้นสูงทั้งหลายมองข้ามอยู่ตลอดเวลา
แต่ถึงจะบอกว่าชาวบ้านเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว ยังมีอีกชนชั้นหนึ่งที่ต่ำยิ่งกว่า นั่นก็คือพวกที่ถูกเรียกว่า กบฏ
ที่จริงไม่อาจเรียกได้ว่าพวก เพราะในตอนนี้ทั้งมหาวิทยาลัยมีอยู่เพียงคนเดียวที่ถูกเรียกว่าเป็นกบฏ และคนคนนั้นก็คือเขาเอง
ที่จริงอินทัชไม่ต้องการสร้างความเด่นและความแปลกแยกให้ตัวเอง เพราะตามที่เขารู้มา พ่อกับแม่ของเขาก็ยังครองตำแหน่งคิงและควีนตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งจนจบปีสี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่นับจากรุ่นของพวกท่านทั้งคู่ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ยังไม่มีใครทำได้อย่างนั้น อินทัชคิดว่านั่นเป็นเพราะคำสาปที่คุณแม่ของเขาครอบครองอยู่ในตอนนั้น
แต่ในวันที่ทำการคัดเลือกคิงและควีนประจำปี รวมถึงเป็นวันเดียวกับที่สถาปนาการปกครองของคิงคนใหม่ เขามีงานเร่งด่วนทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมได้ นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นกบฏในทันที
บางทีนี่อาจเป็นคำตอบของที่มาข่าวลือของเขาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบกับการที่เขาเปลี่ยนทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล ทำให้ไม่สามารถสืบสาวไปยังต้นตระกูลได้ นั่นทำให้คนพวกนั้นต่างปักใจเชื่อว่าเขาเป็นพวกคนไร้หัวนอนปลายเท้า เป็นพวกที่อาศัยลูกไม้หรือช่องทางบางอย่างเข้ามาเรียนที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ค่าเทอมเทอมหนึ่งสามารถให้ครอบครัวของชนชั้นกลางใช้ดำรงชีวิตได้ถึงสามปี
และบางทีนี่อาจเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่งของพวกที่คิดว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้คืออาณาจักรอันกว้างใหญ่ ที่ตัวเองปกครองและมีอำนาจล้นเหลือจนใช้มันไปรังแกใครก็ได้ที่เห็นต่างกับตนเอง
ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลาเลยจริง ๆ
หัวสมองคิดอะไรไปเรื่อย จนกระทั่งเท้าก้าวเข้ามาในแคนทีนของมหาวิทยาลัย ความคิดของอินทัชจึงได้หยุดชะงักลง
ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วแคนทีนเพื่อหาที่นั่งว่าง ก่อนจะพบว่าไม่มีที่เหลือว่างสำหรับเขาเลย
อินทัชขมวดคิ้วแปลกใจที่มันเป็นเช่นนี้ โดยปกติแล้วเวลานี้แคนทีนไม่เคยจะเต็มสักครั้ง เพราะลูกหลานคนมีเงินทั้งหลายเลือกที่จะใช้บริการแคนทีนวีไอพีที่ตั้งอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งมากกว่า แคนทีนธรรมดาที่แม้จะหรูหรา แต่เมื่อไม่มีคำว่าวีไอพีต่อท้าย จึงมักจะถูกมองข้ามไป แล้ววันนี้เพราะอะไร คนถึงได้แห่มาใช้บริการที่นี่จนไม่มีที่ให้เขาได้นั่งกัน
อินทัชกวาดสายตาไปทั่วอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าจุดรวมสายตาของนักศึกษาคนอื่น ๆ มักจะไปจบยังที่ที่หนึ่ง
และนั่นก็ทำให้อินทัชได้รับคำตอบว่าทำไมวันนี้แคนทีนแห่งนี้ถึงได้คนพลุกพล่านนัก
มาร์ค เมธัส โอ คอนเนอร์ คิงคนปัจจุบันที่ดำรงตำแหน่งมาสามปีซ้อนแล้ววันนี้มาใช้บริการแคนทีนนี้แทนที่ห้องอาหารส่วนตัวนี่เอง!
ชั่ววินาทีที่อินทัชเผลอทอดสายตามองไปยังคนที่ทำให้เขาไม่มีโต๊ะนั่งกินข้าววันนี้นิ่ง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คนเงยหน้ามาสบตาเขาพอดี
แววตาราบเรียบแต่ทรงพลังนั้นคงจะทำให้ที่ได้สบตานั่นสั่นสะท้านด้วยความหวาดเกรง
อินทัชเผลอจ้องมองตอบกลับไป ความคุ้นเคยเกิดขึ้นกับเขาอย่างไม่รู้ที่มา
ไม่รู้เพราะอะไรอินทัชถึงได้รู้สึกว่าตัวเองคุ้นเคยกับแววตานั้นนัก คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
“เฮ้ นายเห็นหรือเปล่า นายกบฏนั่นกล้าจ้องตาคิงด้วย ชักจะจองหองมากเกินไปแล้ว เป็นแค่คนไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไม่รู้อาศัยวิธีไหนหาเงินมาจ่ายค่าเทอมที่นี่แท้ ๆ”
“ฉันว่าหมอนั่นคงจะไม่อยากใช้ชีวิตสงบสุขที่นี่แล้วแน่ ๆ คิงใจดีปล่อยให้มันลอยหน้าอยู่แบบสบาย ๆ แล้วแท้ ๆ ยังจะกล้าเสนอหน้าไปจ้องตาคิงอีก คนอย่างนี้ฉันว่าคิงไม่ควรจะปล่อยไว้”
เสียงซุบซิบที่ดังมาเข้ามาให้ได้ยินไม่ได้ทำให้อินทัชถอนสายตากลับมา เขายังคงยืนประสานสายตากับผู้ที่เป็นใหญ่ในหมู่นักศึกษาและหมายรวมไปถึงการมีอำนาจในระดับที่อาจารย์หลาย ๆ คนยังไม่กล้าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่แล้วศึกสายตาก็เป็นอันต้องจบลงเมื่อควีน ผู้หญิงที่มีอำนาจสูงสุดเดินมาบดบังระยะสายตาพอดี นั่นจึงทำให้อินทัชรู้สึกตัวและละสายตากลับมา ก่อนจะหันหลังเดินออกจากแคนทีนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าตัวเองยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยสักนิด
“เด็กนั่น จะเรียกว่าใจกล้าหรือโง่เง่าดี”เจตวิชน์ หนึ่งในสี่อัศวินและเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของผู้ดำรงตำแหน่งคิงมาสามปีซ้อนพูดเบา ๆ แต่ก็ดังพอจะให้ได้ยินกันทั้งโต๊ะอาหาร รวมถึงผู้มาใหม่อย่าง โรส โรสิตา ผู้ที่เพิ่งจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นควีนในปีนี้หลังจากที่ควีนคนก่อนซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเธอจบการศึกษาออกไป
“ก็แค่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง ในเมื่อกล้าที่จะอวดดีใส่ มาร์คก็ทำให้มันรู้ไปเลยสิคะว่าใครเป็นใคร” พูดเสียงแหลมสูง พาตัวเองทิ้วตัวลงนั่งร่วมโต๊ะ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครเชิญ
นี่เป็นโอกาสไม่กี่ครั้งที่ควีนอย่างเธอสามารถเข้าใกล้คิงอย่างมาร์ค เมธัสได้ แล้วทำไมเธอจะต้องปล่อยให้หลุดมือ
คนที่เพิ่งจะครอบครองตำแหน่งได้เพียงสองเดือนคิดในใจ
“เมื่อไหร่” น้ำเสียงราบเรียบกับคำสองคำของผู้เป็นคิง ทำให้ควีนคนใหม่มีสีหน้างุนงงขึ้นมา
“คะ มาร์คหมายถึงอะไรคะ”
“เมื่อไหร่ที่ฉันอนุญาตให้เธอเรียกชื่อฉันได้ เมื่อไหร่ที่ฉันอนุญาตให้เธอนั่งร่วมโต๊ะ”
ประโยคเพียงสองประโยคที่ถูกส่งมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนฝ่ามือล่องหนตบเข้าที่หน้าอย่างจัง รู้สึกว่าหน้าตัวเองชาขึ้นมาทันที
และเจ้าของฝ่ามือล่องหนก็ลุกขึ้นยืนก้าวเดินออกจากโต๊ะ ปล่อยคนที่ยังหน้าชาไว้ไม่หาย ให้อยู่ตรงที่เดิมกับอัศวินของเธอทั้งสี่คน
“ขนาดโรเซ่ พี่สาวของเธอยังไม่เคยได้นั่งร่วมโต๊ะกับคิง แล้วเธอนับเป็นตัวอะไรกัน” โฬม อีกหนึ่งในสี่ผู้เป็นอัศวินของคิงพูดทิ้งท้าย ทำให้คนหน้าชายิ่งกว่าเดิม
ควีน แม้จะดูเหมือนเป็นรองเพียงแค่คิง แต่ถ้าเป็นเพียงควีนที่ไม่ได้รับความรักจากคิง อำนาจของควีน ก็ไม่อาจสู้ผู้ที่เป็นอัศวินข้างกายคิงได้
นั่นคือสังคมภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แรงอะ คิง