ตอนที่ 19 : ตอนที่ 19
“ฉันถามว่าใครอนุญาตให้นายใส่ไอสร้อยบ้า ๆ นี่ หา!” คนที่ถามประโยคนี้คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงของตัวเองที่เปล่งออกไปนั้นมันแตกต่างจากที่เคยเป็นมาโดยตลอด คนที่มักจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เฉยชา ไม่แสดงอารมณ์ มาในตอนนี้น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายที่ชวนให้สับสน
คนพูดพูดด้วยอารมณ์แบบไหน คนพูดพูดประโยคนี้ด้วยความหมายแบบใด
คนคนนึงจะใส่สร้อยข้อมือสักเส้น ทำไมจะต้องขออนุญาตใคร
เสียงคำถามของคิงไม่ใช่เพียงทำให้คนที่ถูกถามตกใจ แต่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็ตกใจไม่แพ้กัน พวกเขาไม่เคยเห็นคิงเป็นแบบนี้ คิงที่มักจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเฉยชา หรือไม่ก็น้ำเสียงเย็นเยียบ คิงที่ไม่เคยจะเสียอาการ คิงที่เย็นชาไร้ใจ คิงที่ไม่ใช่คนที่พวกเขากำลังเห็นอยู่นี้
ไม่ใช่แค่เพียงคนอื่น ๆ โดยรอบที่ตกใจไม่แพ้อินทัช อัศวินทั้งสี่ที่ก่อนหน้านี้ยังนั่งเคียงข้างล้อมรอบคิงก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่ออยู่เพื่อนของพวกเขาก็เดินเร็วรี่จนพวกเขาตั้งตัวไม่ติดเข้าไปหาคนมาใหม่
เพื่อนของเขาที่ก่อนหน้าอดทนเอาแต่เฝ้ามองมาได้ตลอด คนที่เคยเก็บซ่อนอารมณ์และท่าทีการแสดงออก วันนี้กับเสียอาการอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็น
อัศวินทั้งสี่สบตากันวูบหนึ่งเมื่อจับได้ว่าในน้ำเสียงที่เกี้ยวกราดนั้นมันซ่อนอารมณ์อีกอย่างเอาไว้ไม่มิด น้ำเสียงที่สั่นสะท้านพอ ๆ กับฝ่ามือที่เกาะกุมข้อมือเล็กนั่นเอาไว้แน่น
มองมาถึงตรงนี้ดวงตาของอัศวินทั้งสี่ก็เบิกกว้างกว่าที่เคยเมื่อรับรู้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนของเขาเสียอาการขนาดนี้
นั่น
ไม่ใช่ว่าคนกำลังทำร้ายตัวเองโดยรู้สึกตัวอยู่เหรอ!
คนทั้งสี่ตั้งคำถามในใจอย่างพร้อมเพียงกัน
“หมอนั่นทำอะไรให้คิงโกรธกัน”
“ตายแน่ ตายแน่ ๆ”
“คิกคิก ฉันล่ะรอวันนี้มานาน เป็นแค่กบฏแท้ ๆ แต่กล้าชูคอ”
“ฉันล่ะรอวันที่หมอนี่โดนคิงเล่นงานมานานแล้ว”
“คิก ๆ ถ้าหมอนี่ไม่ตายวันนี้จะตายวันไหนกัน”
“หุบปาก! คนที่จะตายน่ะมันพวกเธอ” เสียงพึมพรำ หัวเราะคิกคักของพวกคนที่ตั้งสติได้แล้วแล้วชอบที่จะเห็นคราวซวยของผู้อื่นดังขึ้นอย่างสนุกสนาน คนพูดพูดด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกสะใจ แต่มันไม่ใช่กับคนฟัง
กรามแกร่งขบเข้าหากันจนขึ้นเป็นสัน สีดวงตาคู่คมเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ที่โกรธมากขนาดไหน แววตาทอประกายเหี้ยมเกรียม
คนที่จะตายมันจะต้องไม่ใช่คนของเขา คนพวกนี้น่ะสิที่จะต้องตายก่อน
อินทัชเป็นของเขา ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติไหนคนก็เป็นของเขา
ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ ทั้งหมดของชีวิตเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครคนไหนมีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงไป
เขาไม่มีทางยอมอีกต่อไปแล้ว
เห็นแววตาของเพื่อน คนทั้งสี่ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้เพื่อนก็เผลอผงะถอยห่างออกหนึ่งก้าว
คิงของพวกเขากำลังโกรธจนถึงขีดสุดมากจริง ๆ ตั้งแต่รู้จักกันมานี่เป็นครั้งที่สองเท่านั้นที่เขาได้เห็นว่าคนโกรธจนตาเปลี่ยนสีเหมือนดังเช่นคำกล่าวขานที่มีมาตั้งแต่สมัยต้นตระกูลของเจ้าตัว
ความเหมือนกันแม้กระทั่งดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีอ่อนเมื่อยามที่โกรธมาก ๆ เข้า นั่นทำให้คนคนนี้ถูกพูดว่าเป็นท่านมาร์ค แม็กซิมัส โอ คอนเนอร์ผู้เป็นเจ้าตระกูลกลับชาติมาเกิด
“ออกไปให้หมด หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงค่อยเข้ามาใหม่” ลอยซ์เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้จากความโกรธเกรี้ยวของเพื่อน เขาหันไปสั่งให้พวกคนที่หน้าซีดตัวสั่นเพราะโดนคิงขู่ฆ่าให้ออกไปจากบริเวณนี้ให้หมด
“ออกไปสิ!” เห็นผู้คนยังคงนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ คนที่อยู่ในสระว่ายน้ำยังไม่ขยับพาตัวเองขึ้นจากสระก็ตวาดสั่งอีกรอบ
จะอยู่ให้ถูกฆ่าตายจริง ๆ หรือยังไงกัน
คนที่ตอนนี้โกรธจนไม่มีสติยั้งคิดแล้วย่อมทำทุกอย่างที่อยากทำแล้วจริง ๆ
พวกเขายังไม่ต้องการเพิ่มงานอำพรางคดีตายหมู่ในตอนนี้
อินทัชเองที่ยังไม่หายตกใจกับคำถามที่แสนจะเกรี้ยวกราดของคิง มาเจอคนที่ส่งเสียงเกี้ยวกราดสาดใส่ความตายให้นักศึกษาคนอื่น ๆ อีก ก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อเสียงสั่งการให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากชมรมของลอยซ์ดังขึ้น อินทัชก็เริ่มได้สติกลับมา
“ปะ ปล่อยผม” พยายามบิดข้อมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมที่แน่นหนานั้น ทั้งที่สัมผัสได้ถึงแรงสั่นน้อย ๆ นั่นแท้ ๆ แต่ทำไมแรงถึงได้มากนัก มากจนเขาออกแรงทั้งบิดทั้งดึงก็ยังไม่สามารถดึงข้อมือของตัวเองให้ออกมาเป็นอิสระได้
“คิง” โฬมบีบลงเบา ๆ ที่บ่าเพื่อนด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เพื่อนอยู่ในอารมณ์โกรธที่อยากจะลงเช่นนี้ เขาที่แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่เตือนสติ ก็เกรงกว่าข้อมือเล็ก ๆ ของคนที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนเขาเสียอาการขนาดนี้จะข้อมือหักไปเสียก่อน
แรงบีบเบา ๆ ที่บ่าเพื่อเรียกสติไม่ได้ทำให้คิงมีสติกลับมาเลยสักนิด คนยังคงเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือจนกระทั่งได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดนั่นแหละ สติถึงได้กลับมา ยินยอมผ่อนแรงลงแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือที่เล็กกว่านั่นให้เป็นอิสระ
“นายรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป” เห็นเพื่อนนิ่งเงียบไป ลอยซ์ก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังพยายามข่มอารมณ์อยู่ ไม่ให้เผลอทำให้คนเจ็บตัวไปมากกว่านี้ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่เพราะพวกเขาก็รู้เรื่องมาไม่น้อยจากคำบอกเล่าของเพื่อนและคำบอกเล่าที่ส่งต่อกันมา และมีหลายเรื่องที่พวกเขาร่วมกันลงมือทำแล้วเกี่ยวข้องกับคนคนนี้ นั่นทำให้ครั้งนี้เขาก็อดไมได้ที่จะยื่นแกเข้าไปก้าวก่าย
“ผมทำอะไร” อินทัชขมวดคิ้วตั้งคำถามกลับไป มันไม่เชิงงุนงงกับคำถาม เพียงแต่เขาสับสน
ถามแบบนี้นั้นหมายความว่ายังไง
คนพวกนี้รู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอ
ใช่สิ คนพวกนี้จะต้องรู้อะไรมาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะมีปฏิกิริยาต้องด้ายแดงที่ข้อมือของเขาขนาดนี้ทำไม ถ้าเป็นคนไม่รู้อะไรเลยก็แค่มองว่ามันเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น
แต่ท่าทีของทั้งห้าคนนี้โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจสูงสุดกับไม่ได้แสดงออกว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งบนร่างกายของเขา
แล้วถ้ารู้ คนพวกนี้รู้ลึกถึงไหนกัน
อินทัชมีคำถามกับตัวเองเช่นนั้น และโดยทันทีเขาก็มีคำตอบให้ตัวเองว่าคนพวกนี้ต้องรู้ รู้มากกว่าที่เขารู้ด้วยซ้ำไป
เมื่อได้คำตอบให้ตัวเองเช่นนั้น แววตาที่ตอนแรกยังคงมีความงุนงงสับสนปรากฏอยู่กับทอประกายวาววับ บางทีเขาอาจจะได้คำตอบในเรื่องที่เขาอยากรู้ก่อนเวลาที่ตั้งไว้ก็ได้
“นาย” ลอยซ์อยากจะพูดอะไรที่มากกว่านี้ อยากจะจับคนคนนี้มาเขย่า ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ไม่กล้า ไม่กล้าทั้งเรื่องที่จะจับคนมาเขย่า ไม่กล้าทั้งเรื่องที่จะพูดอะไรมากกว่านี้
เรื่องนี้สมควรให้เพื่อนของเขาตัดสินใจ
“บอกมาสิว่าผมทำอะไร บอกมาสิว่าทำไมการที่ผมจะใส่สร้อยสักเส้นหนึ่งถึงต้องขออนุญาตคนอื่นก่อน” อินทัชส่งคำถามขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
ไม่ต้องผิดสัญญาอีกข้อที่ให้ไว้กับผู้เป็นมารดา เขาจะหาคำตอบเอากับคนพวกนี้นี่แหละ
“เพราะชีวิตนี้ของนายเป็นของฉัน เพราะความต้องการของฉันคือสิ่งที่นายจะต้องรับรู้” คนพูดตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะปล่อยข้อมือของอีกคนให้เป็นอิสระแล้วเดินหันหลังจากไป
“เฮ้อออ” ลอยซ์ถอนหายใจเล็กน้อยส่ายหน้าเบา ๆ อย่างระอาแล้วเดินตามเพื่อนออกไป ตามด้วยอัศวินที่เหลืออีกสามคน
อินทัชมองตามหลังคนที่ทิ้งท้ายประโยคไว้แบบนั้น
ชีวิตของเขาก็คือของเขา แล้วต่อจากนี้ความต้องการของเขาคือสิ่งที่เขาจะใส่ใจ
ก็เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไงว่าหากความต้องการของตัวเองยังไม่ถูกเติมเต็ม จะไปสนใจความต้องการของคนอื่นทำไม เขาเองในตอนนี้ก็กำลังทำแบบนั้นอยู่ แล้วทำไมถึงได้มาบอกว่าความต้องการของตัวเองคือสิ่งที่เขาต้องรับรู้กัน
“นายจะเอายังไงต่อ” เสียงเรียบสนิทของเจตวิชน์ถามคนที่ตอนนี้เอาแต่นั่งสาดน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสาย ขวดเหล้าที่ว่างเปล่าวางยู่ที่พื้นแล้วหนึ่งขวด ส่วนขวดที่สองนี้ก็เหลืออีกไม่มากแล้ว เพื่อนอีกสามคนนั่นนอนกองไปแล้วเรียบร้อย แต่เจ้าของบ้านผู้ที่ทำให้พวกเขาต้องมาร่วมวงดื่มนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะเมามายเลยสักนิด
คนดื่มเหล้าเหมือนกับดื่มน้ำเปล่า
“มาร์ค” เห็นเพื่อนไม่ตอบ เจตวิชน์ก็เอ่ยเรียกชื่อที่นานนานครั้งพวกเขาจะเอ่ยเรียก เมื่อไหร่ที่เรียกชื่อนั่นเป็นที่รู้กันว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นการพูดในฐานะเพื่อน เพื่อนที่ไม่ได้ควบตำแหน่งคนใต้ปกครอง
คนถูกเพื่อนเรียกชื่อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกลับไปเลยสักนิด มองตาคู่คมของเจ้าตัวยังคงเหม่อมองออกไปยังด้านนอก แต่เป็นการมองแบบไม่มีจุดหมาย หรือบางทีจุดหมายอาจจะไกลเกินกว่าที่ตาจะมองเห็น
“นายจะโกรธก็ไม่ผิด แต่ที่เด็กคนนั้นทำก็ไม่ผิดเหมือนกัน นายรู้ทุกเรื่อง นายรู้มากกว่าคนอื่นอยู่คนเดียว ในขณะที่เด็กคนนั้นไม่รู้อะไรเลย และเขาก็โดนกดดันในทุกทาง ลองคิดกลับกันว่าเป็นนาย นายจะทำยังไง” เจตวิชน์พูดพลางสังเกตสีหน้าของเพื่อนไปพลาง ในตอนนี้เขาเรียกความกล้าที่จะพูดกับเพื่อนในเรื่องนี้ ก็เพราะไม่อยากเห็นเรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้
หากเพียงเพื่อนของเขาวางสิ่งที่อยู่ในใจลงสักนิด อะไร ๆ มันก็คงจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่
คนที่ควรจะวางเรื่องในใจลงสักนิดยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรออกมาให้เพื่อนได้เห็น เพียงแต่ในใจเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน
เรื่องบางเรื่องไม่ได้วางลงได้ง่ายขนาดนั้น
ไม่อย่างนั้นเขาจะทั้งรักทั้งแค้นอยู่แบบนี้ได้ยังไงกัน
“มาร์ค” เจตวิชน์เรียกเพื่อนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเพื่อนยังคงนิ่งเงียบ
“ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนสาปหมอนั่นแท้ ๆ สาปให้คนที่มองข้ามความต้องการได้รับรู้ในสิ่งที่ฉันต้องการบ้าง ไม่ใช่ให้ฉันเป็นคนที่ทำในสิ่งที่หมอนั่นต้องการอยู่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้น หมอนั่นก็คือหมอนั่นสินะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะชีวิตไหน หมอนั่นก็ไม่เคยที่จะยอมรับรู้ความต้องการของฉันเลยสักครั้ง ฮะ ฮ่า ๆๆ” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังตามหลังประโยคยืดยาวที่เจตวิชน์ไม่แน่ใจว่าคนพูดกับเขาหรือเพียงแค่ตัดพ้อกับตัวเองเท่านั้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ผู้นำตระกูลคนแรกรึเปล่า.....สาปน้องสุดท้ายคนเจียนตายก้อคือนายนั่นแหละน้องไม่รู้ น้องถูกกดดันทุกทางทั้งๆที่เป็นตระกูลตัวเองแต่กลับไม่รู้อะไรเลย น้องน่าสงสารมากๆเลยนะ
อิพี่มีอะไรทำไมไม่พูด!?!?!!!???
สงสารพระเอก สาปเค้าเเต่มาเสียใจเองงง