ตอนที่ 18 : ตอนที่ 18
เช้าวันรุ่งขึ้นที่แสนจะสดใสในความรู้สึกของคนที่เพิ่งจะได้รับอิสระที่ต้องแรกมาด้วยชีวิตสิบปีของตัวเอง
อินทัชบิดกายไล่ความง่วงงุนและเกียจคร้าน ดวงตาทอดมองออกไปยังด้านนอกหน้าต่าง มองดวงตะวันที่วันนี้เขารู้สึกว่ามันเจิดจ้ากว่าปกติ
เขาเหมือนคนที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยออกจากที่คุมขัง เหมือนนกที่กำลังจะได้โผบินออกจากกรง อินทัชรู้สึกอย่างนั้น รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มริมฝีปาก เริ่มต้นวันใหม่ของชีวิตกันเถอะ
หลังจากนั่งซึมซับความรู้สึกเป็นอิสระบนเตียงอยู่นาน คนที่ตัดสินใจละทิ้งชีวิตสิบปีของตัวเองเพื่ออิสระเพียงหนึ่งปีก็ลุกขึ้นพาตัวเองเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจะอาบน้ำเตรียมตัวไปเรียน
ดวงตาคู่สวยจ้องมองตัวเองอยู่ด้านหน้ากระจกสลับกับมองไปยังนาฬิกาเรือนเล็กที่ตั้งอยู่
เวลายังเหลืออีกเยอะ วันนี้เขาตื่นเช้ากว่าทุก ๆ วัน
ไหน ๆ วันนี้ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่อิสระอันแสนสั้นของเขาแล้ว เขาก็ควรจะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ บ้าง
อย่างเช่นเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ทรงผมเดิมที่ตัดมานานเริ่มน่าเบื่อแล้วสำหรับเขา
อินทัชเดินออกจากห้องน้ำกลับไปยังห้องของตัวเอง เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อมองหาของบางอย่างที่เขาซื้อเก็บเอาไว้ใช้
บัตเตอร์เลี่ยน
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ร่างโปร่งบางที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนสั้นผาดผ่านท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่น่ากลัวว่าจะหลุดก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องน้ำอีกรอบ
ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงเครื่องกลการทำงานของบัตเตอร์เลี่ยนในมือเรียวบางของอินทัชเท่านั้นที่ดังอยู่ มือขวาจับอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนทรงผมอย่างแน่นหนา ออกแรงไถบัตเตอร์เลี่ยนไปบนศีรษะด้านซ้ายจนเส้นผมนุ่มสลวยของตัวเองร่วงหล่นลงกับพื้น
จัดแต่งปรับเปลี่ยนมุมอยู่นานจนได้ทรงที่พอใจ มือเรียวก็วางบัตเตอร์เลี่ยนลงบนเคาท์เตอร์กระจก ดวงตาคู่สวยฉายแววพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง มันอาจจะไม่ได้ดีมากเหมือนกับฝีมือของช่างทำผมชื่อดัง แต่มันก็ไม่ใช่ผลที่ช่างฝีมือสมัครเล่นจะทำได้แน่นอน
คนที่ตอนนี้อยู่ในทรงผมที่เรียกว่า Side Swept Undercut หรืออันเดอร์คัตแบบกวาดด้านข้างพาตัวเองไปอาบน้ำอีกรอบเพื่อจัดการกับผมบางส่วนที่ร่วงหล่นบนลำตัว จัดการอาบน้ำสระผมใหม่ทั้งหมด
“เกือบจะสายแล้ว!” คนที่วันนี้นับว่าเป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงของตัวเองพูดขณะที่จอดรถเข้าที่แล้วเรียบร้อย หลังจากจัดการดับเครื่องยนต์รถแล้วก็เร่งรีบหยิบเอกสารสำหรับใช้เรียนและกระเป๋าสัมภาระต่าง ๆ ลงจากรถ
ขาเรียวสวยที่ยาวกว่าช่วงตัวทำให้คนตัวสูงโปร่งใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูสวยไปเสียหมดขยับก้าวเดินอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไปให้ถึงห้องเรียนก่อนที่จะสาย
สำหรับคลาสเรียนเช้านี้อาจารย์ประจำวิชาค่อนข้างจะเข้มงวดและตรงต่อเวลามากถึงมากที่สุด สายเพียงเสี้ยววินาทีก็ถือว่าสาย และบทลงโทษสำหรับผู้ที่มาสายมักจะไม่จบลงแค่ที่การตัดคะแนน นั่นทำให้นักศึกษาทั้งหลายไม่กล้าที่จะเข้าคลาสเรียนสาย
ทันแฮะ คนที่เข้าห้องมาแล้วไม่พบอาจารย์ผู้สอนเป่าลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอกก่อนจะก้าวเดินไปยังที่นั่งประจำของตัวเอง
วันนี้เป็นอีกหนึ่งคลาสเรียนรวมนั่นทำให้ห้องเรียนของวันนี้ค่อนข้างที่จะใหญ่กว่าคลาสเรียกปกติ และมีนักศึกษาหลายสิบชีวิตที่นั่งอยู่ในห้องนี้
คนที่เข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายเดินไปนั่งหลังห้องโดยเมินผ่านสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองตามจนหน้าหัน
มองตามคนที่วันนี้เปลี่ยนลุคใหม่จนจำแทบจะไม่ได้ มองตามคนที่เพียงแค่เห็นแวบแรกก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไป
“นั่น กบฏใช่ไหม”
“หมอนั่น…ดูเปลี่ยนไปหรือเปล่า”
“ไม่สิ ไม่ได้ ฉันจะตกหลุมรักกบฏไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าได้เสี่ยคนใหม่เลยต้องปรับลุคตัวเองใช่ไหม”
“หมอนั่น อยู่ ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนไป”
“ช่วงสองสามวันมานี้เห็นวนเวียนอยู่รอบตัวคิง ไม่ใช่ว่าจะใฝ่สูงเข้าหาคิงหรอกใช่ไหม”
“ได้ใกล้ชิดกับคิงนิดหน่อยก็เลยจะเปลี่ยนตัวเองงั้นสิ หวังสูงไปหน่อยล่ะมั้ง”
“เสียดายไม่น่าเป็นกบฏเลย ไม่งั้นฉันจีบไปแล้ว”
หลากหลายคำพูด หลากหลายทิศทางของใจความประโยคที่นักศึกษาในชั้นเรียนรวมที่พูดพึมพำออกมาเมื่อดึงสติกลับมาอยู่ที่ตัวเองได้ แต่ถึงอย่างนั้นสายตาก็ยังคงมองไปยังคนที่เข้ามาใหม่อยู่ดี
ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาขนาดพอดีตัว ปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ดเผยผิวขาว ๆ ให้ผู้คนได้มอง ท่อนล่างสวมกางเกงยีนแบรนด์ดังสีซีดกระชับเผยเรียวขาสวยที่ผู้หญิงบางคนยังต้องอิจฉา รองเท้าคัทชูสีดำวาววับ แต่นั่นไม่ได้เรียกสายตาของคนเท่ากับทรงผมใหม่ที่เจ้าตัวลงมือไถข้างด้วยตัวเอง
อันเดอร์คัตแบบกวาดด้านข้างทำให้คนที่ปกติก็ดูหน้าสวยแต่พอตัดผมทรงนี้ก็ทำให้เจ้าตัวดูหล่อขึ้นมา หรืออาจจะเรียกได้ว่าทั้งหล่อทั้งสวยแล้วแต่คนจะมอง และยังจิลสามชิ้นที่ใบหูข้างซ้ายนั่นอีก
อินทัชกลายเป็นใครอีกคนที่เพื่อนร่วมคลาสเรียนไม่คุ้นเคย
คนที่ตกเป็นเป้าสายตาและตกเป็นหัวข้อสนทนาของคนอื่นใช่ว่าจะไม่รู้ตัว อินทัชรู้ว่าเขาในวันนี้กลายเป็นที่สนใจของคนอื่นอีกแล้ว รู้ แต่ก็ไม่สนใจเหมือนเดิม
ไม่สิ ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิม แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะบอกว่าไม่สนใจสายตาของคนอื่น แต่พฤติกรรมบางอย่างของเขาก็ยังคงแสดงออกถึงการระมัดระวังอยู่ดี แต่หลังจากนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
อะไรที่เขาไม่จำเป็นต้องแคร์ เขาจะไม่แคร์ อะไรที่เขาไม่ต้องสนใจ เขาจะไม่สนใจ และใครที่เขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้า เขาก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน!
คนที่คิดเช่นนั้นทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาใช้มาประจำสำหรับคลาสเรียนนี้ เมื่อนั่งลงแล้วก็จัดการเปิดกระเป๋าหยิบอุปกรณ์การเรียนและเอกสารประกอบการเรียนขึ้นมาเตรียมพร้อมเอาไว้ รออาจารย์ผู้สอน
เพียงเสี้ยววินาทีที่อินทัชจัดการกับข้าวของบนโต๊ะเรียนเสร็จ อาจารย์ผู้สอนในวัยประมาณห้าสิบต้น ๆ ก็เดินเข้ามา
นักศึกษาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อทำความเคารพอาจารย์
“เอาล่ะ หวังว่าคงจะไม่มีใครขาดเรียนวิชาของฉัน” หลังจากบอกให้นักศึกษานั่งลงได้ อาจารย์หญิงวัยกลางคนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ก่อนที่จะเริ่มการสอนโดยไม่เสียเวลาใด ๆ อยู่อีก
การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างราบรื่นและน่าเบื่อในความรู้สึกของนักศึกษารวมถึงอินทัชด้วย ดวงตาของเขาทอดมองไปยังนอกหน้าต่างบ้างสลับกับจ้องมองหน้าจอที่ปรากฏเนื้อหาตามเสียงเนิบ ๆ ของอาจารย์ผู้สอน
เสียงเนิบ ๆ ที่ต่างจากน้ำเสียงเข้มงวดในช่วงแรกทำให้ความง่วงงุนของคนฟังเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อีกทั้งวิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจและสอนไม่ค่อยเข้าใจทำให้อินทัชอยากจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ติดที่เขายังคงเกรงใจและให้เกียรติอาจารย์อยู่
อาจารย์เป็นคนเก่ง แต่สอนคนไม่เก่ง หรือจะบอกว่าจบมาเพราะการเรียน ไม่ใช่การสอนก็คงจะจริง
“สำหรับการสอนวันนี้จบลงแค่นี้ แต่ฉันมีการบ้านให้พวกคุณไปทำมาส่ง จากหัวข้อที่โชว์บนสไลด์นี้ทั้งสามหัวข้อ ให้พวกคุณไปจับคู่กันมาแล้วเลือกทำรายงานหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาส่ง จากรายชื่อนักศึกษาทั้งหมดที่ดิฉันมี พวกคุณจะจับคู่กันได้ครบคู่แน่นอน” คำสั่งของอาจารย์หญิงผู้เข้มงวดเรียกเสียงอื้ออึงของนักศึกษาแต่ละคนได้ดี และเริ่มมีนักศึกษาบางส่วนทำการจับคู่กันแล้ว บางคนก็โชคดีที่กลุ่มของตัวเองสามารถแบ่งคู่กันได้ลงตัว บางคนเหลือเศษก็ไปหาเพื่อนที่พอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้างจับคู่ แต่อินทัชไม่ได้เป็นเช่นนั้น
คนที่วันนี้จัดการปรับเปลี่ยนลุคต้อนรับอิสระของชีวิตถอนหายใจยืดยาวอย่างเบื่อหน่าย หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ สินะเรื่องการจับคู่ทำรายงานของนักเรียนนักศึกษาเนี่ย
ตอนนี้เขาไม่ได้มีปัญหาว่าจะจับคู่ไม่ได้ เพียงแต่เขารู้ดีว่าไม่มีใครอยากจะอยู่กับเขา และที่ผ่านมาเขาโชคดีที่การจับคู่หรือจับกลุ่มมักจะไม่ลงตัว เหลือเขาเพียงคนเดียว แต่มาวันนี้เขาไม่ได้โชคดีอย่างนั้น
อินทัชที่เบื่อหน่ายการจับคู่ทำรายงานไม่ได้กระตือรือร้นที่จะลุกขึ้นหาคนมาทำร่วมด้วย ทำเพียงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิม ปล่อยให้คนอื่นจับคู่กันไปให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเหลือใครเขาก็คู่กับคนนั้น ไม่ยุ่งยากดี
“เอ่อ” นั่งรออยู่นานหลายนาทีจนคนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงอึกอักอยู่หน้าที่นั่งของตัวเอง
อินทัชที่นอนซบหน้าลงกับแขนเงยหน้าขึ้นมาหาเจ้าของเสียงอึกอักนั้น ก่อนจะพบผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใบหน้าเสี้ยวบนถูกปกปิดด้วยแว่นทรงกลม แต่มันไม่ได้ทำให้หญิงสาวดูเนิร์ด กลับกันมันยิ่งทำให้ดูน่ารักน่ามอง และดูเป็นสาวหวาน
“คือว่าเหลือเศษแค่เราคนเดียว”
อินทัชเลิกคิ้วมองคนที่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาเจ้าตัวก็สะดุ้งแรงและก้มหน้าก้มตาพูดรัวเร็ว
“สะดวกใจหรือเปล่า” ถาม อินทัชส่งคำถามไปอย่างนั้น
“สะ สะดวก เราสะดวก” คนพูดตอบอึกอัก เงยหหน้ามาสบตาเพียงแวบเดียวแล้วก้มหน้าลงไปใหม่
“งั้นเหรอ” อินทัชรับคำอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เมื่อเทียบคำตอบกับปฏิกิริยาดูแล้วมันค่อนข้างจะขัดแย้งกัน
แต่นั่นแหละ ในเมื่อเธอไม่ปฏิเสธ เขาเองก็ไม่เรื่องมากอะไร
“โอเค งั้นนั่งลงก่อนสิ” อินทัชยกกระเป๋าตัวเองขึ้นมาวางบนตัก ทำให้เก้าอี้ด้านข้างของเขาว่างพอจะให้คนที่จะทำรายงานร่วมกันกับเขานั่งลง
อินทัชชวนให้นั่งเพื่อที่จะได้พูดคุยถึงหัวข้อที่จะเลือกทำ และจะได้แบ่งส่วนกันทำไปเลยทีเดียว
“อยากทำหัวข้อไหน” อินทัชถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ถามดวงตาก็ทอดมองไปยังหน้าห้อง จับจ้องหน้าจอที่ปรากฏหัวข้อรายงาน
“ความแตกต่างระหว่างแฟนคลับหรือแฟนเพลงดีไหม” นี่เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้มนุษย์ ดังนั้นหัวข้อแต่ละหัวข้อที่ถูกกำหนดมาจึงเป็นการยกตัวอย่างระหว่างคนสองกลุ่ม อย่างเช่นอีกหัวข้อหนึ่งก็จะเป็นความแตกต่างของคนในเมืองหรือคนในชนบท
“เหตุผลล่ะ” อินทัชถามหาเหตุผลทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็สนใจที่จะทำในหัวข้อนี้เหมือนกัน เขาเองก็พอจะรู้มาบ้างโดยประสบการณ์ส่วนตัวว่าแฟนคลับแตกต่างจากแฟนเพลงอย่างไร
เขาที่มีแต่แฟนเพลง ไม่มีแฟนคลับเลยสักคนเดียว
“เอ่อ เราว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราดีน่ะ เราเป็นทั้งแฟนเพลงทั้งแฟนคลับ ดังนั้นข้อมูลบางอย่างเราก็พอจะบอกได้และก็เข้าถึง เข้าใจอยู่” นักศึกษาสาวที่เหลือเศษอยู่คนเดียวจนต้องมาจับคู่กับคนที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากจะเข้าใกล้พูดอธิบายออกมา ในจังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อพูด แต่เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาคู่สวยที่วันนี้ถูกแต่งจนคมกริบก็สะดุ้งเบา ๆ และก้มหน้าลงอีกรอบ ปางแก้มมีริ้วรอยแดง ๆ เกิดขึ้น
อินทัชที่มองตามปฏิกิริยานั้นมีรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก
ตอนแรกเขาคิดว่าเธอรังเกียจหรือไม่ก็กลัว แต่พฤติกรรมอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเขินเขาหรอกเหรอ
อ่า นี่มันความรู้สึกใหม่ชัด ๆ มีผู้หญิงมาเขินเขาเนี่ย
“งั้นตกลงเลือกหัวข้อนี้แหละ” อินทัชละสายตาจากคนแก้มมีสีเลือดฟาดขึ้นมาแล้วพูดสรุปหัวข้อ ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการแบ่งหน้าที่กันหาข้อมูล หรือวิธีการจัดทำรีเสิร์ช ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นานจนกระทั่งแบ่งหน้าที่กันลงตัวอินทัชก็เก็บของเตรียมจะออกจากห้อง
“พรึ่บ อ๊ะ” เสียงสะบัดมือดังขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงร้องตกใจของผู้หญิง
“บ้าเอ๊ย ขอโทษที พอดีผมไม่ชอบที่จะให้ใครมาจับมือ” คนที่สะบัดมือของเพื่อนร่วมคู่ทำรายงานออกพูดขอโทษ ยิ่งเห็นคนทำหน้าเสียก็รู้สึกแย่นิดหน่อย
“คือ เรา เราไม่ได้ตั้งใจนะ แค่จะถามว่าถ้าเรามีเรื่องไม่เข้าใจหรือสงสัยเรื่องงานเราจะติดต่ออินได้ยังไง แล้วก็เอ่อ คือเรายังไม่ได้แนะนำตัวเลยด้วย” คนที่โดนสะบัดมือทิ้งพูดอธิบายเสียงสั่นนิด ๆ หน้าซีด แววตารื้นไปด้วยหยดน้ำ
อินทัชถอนหายใจ นี่เขาได้เพื่อนร่วมงานเจ้าน้ำตามาหรือเปล่า
“ขอโทษอีกทีนะ เอาเป็นว่าผมแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ชื่ออินทัช เรียนอยู่คณะคหกรรม” อินทัชพูดขอโทษอีกครั้งแล้วแนะนำตัวด้วยชื่อและคณะที่เรียน ด้วยรู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกันกับเขาแน่นอน
“อื้ม เราชื่อเฌอแตม เรียกเฌอเฉย ๆ ก็ได้ เรียนอยู่คณะนิเทศ”
“โอเค อันนี้เมลล์ผม มีอะไรเมลล์มาถามก็ได้” อินทัชจดชื่อเมลล์ของตัวเองลงกระดาษและส่งให้กับคนที่แนะนำชื่อตัวเองเสร็จแล้ว
“ขอบใจนะ” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นขณะที่ยื่นมารับกระดาษไป อินทัชจ้องมองมือที่ยื่นมาอย่างระวังโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นปฏิกิริยาที่เป็นไปโดยอัตโนมัติแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องระวังตัวขนาดนั้นแล้วก็ได้
เขาเป็นอิสระต่อความต้องการใด ๆ ของคนอื่นแล้ว
เมื่อออกจากชั้นเรียนมาอินทัชก็มุ่งตรงไปยังชมรมในทันที สัปดาห์นี้เขายังไม่ได้เข้าไปที่ชมรมแม้แต่ชั่วโมงเดียว ดังนั้นถ้าวันนี้เขาเข้าชมรมไม่ครบสามชั่วโมง สัปดาห์ต่อไปเขาต้องเข้าชมรมเพิ่มเป็นสองเท่า
ไม่เอาแบบนั้นจะดีกว่า
เมื่อมาถึงชมรม อินทัชก็จัดการเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับลงว่ายน้ำ เขาจัดการเก็บของทุกอย่างลงล็อคเกอร์และจัดการล็อคด้วยลูกกุญแจ
ไม่กลัวของหาย แต่กลัวจะได้ของที่ไม่ต้องการเพิ่มเข้ามามากกว่า
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จอินทัชก็เดินไปยังทิศทางของสระน้ำ เขาเปิดประตูห้องชมรมออกไปก็พบเจอเข้ากับกลุ่มคนหลายสิบชีวิต
คนเข้าชมรมเยอะแบบนี้เป็นปกติเลยเหรอ
อ่อ คงไม่ใช่
ทันทีที่ตั้งคำถาม อินทัชก็ได้คำตอบเลยเมื่อสายตากวาดไปเห็นคนที่ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนก็ดึงดูดผู้คนได้เสมอ
คิงและอัศวินทั้งสี่
อินทัชสบตากับคนที่เมื่อวานทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเขาไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตเขาไม่ควรที่จะต้องสนใจความต้องการของคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ความต้องการของตัวเองยังไม่ถูกเติมเต็ม
คนที่เป็นตัวเร่งให้เขาเลือกชีวิตที่อิสระในวันนี้
อินทัชเห็นคนจ้องมองสบตามาอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่คนจะเลื่อนสายตาลงมาเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง
อินทัชก้มมองตามสายตาของคิง จนไปหยุดที่ด้ายแดง
ด้ายแดงที่ทำให้เขามีอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระที่มีชีวิตอยู่ในหนึ่งปีนี้ หรืออิสระที่เร็วขึ้นมาอีกสิบปี
คนที่ตายก็คือคนที่ได้พบอิสระไม่ใช่เหรอ
“ใครให้นายใส่สร้อยบ้า ๆ นี่กัน!” คนที่ก้มหน้ามองด้ายแดงที่ข้อมือแล้วคิดไปไกล กว่าจะรู้ตัวว่ามีคนเดินมุ่งหน้ามาหาก็ตอนที่ถูกประชิดตัวแล้ว
ข้อมือเล็กถูกกระชากกำโดยคนที่ตัวโตกว่า น้ำเสียงที่กระชากถามแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว และสั่นพร่า
“ฉันถามว่าใครอนุญาตให้นายใส่ไอสร้อยบ้า ๆ นี่ หา!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อะไรด้ายมันทำมายยยยยยยยยยยยยยยยยยย อยากรู้ด้ายมันเป็นห่าอะไรนักหนาสำคัญ
ป.ล.อินทัชต้องหล่อมากแน่ๆเลย อ่านแล้วยังอยากจะตามไปกรี๊ดด
โอยยบีบหัวใจมาก เกิดอะไรขึ้นนน