ตอนที่ 16 : ตอนที่ 16
“อย่าบังคับให้ผมต้องเลือกเลยครับ อย่าบีบบังคับผมให้ต้องทำอะไรที่ไม่อยากจะทำ” อินทัชปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำระหว่างเขาและต้นสายที่ติดต่อมาอยู่หลายลมหายใจเข้าออก ก่อนจะพูดออกมา
พูดด้วยความรู้สึกอัดอั้น พูดด้วยความรู้สึกอยากจะพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
พูดจบแล้วก็กดตัดสายทิ้งทันทีแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจจะดูทิศทางว่ามันจะไปร่วงหล่นอยู่ที่ตรงไหน
โชคดีที่พื้นบ้านถูกปูด้วยพรมที่มีความหนานุ่มอยู่พอประมาณ โทรศัพท์ของอินทัชจึงไม่แตกพังไปเสียก่อน
ตัวคนที่โยนโทรศัพท์ทิ้งอย่างไม่ใส่ใจอะไรแล้วยังคงเงยศีรษะพิงพนักโซฟา ดวงตาคู่สวยยังคงซ่อนตัวอยู่ภายใต้เปลือกตาสีมุก ปิดบังแววตาของคนเอาไว้
ภายในใจที่ยุ่งเหยิงของอินทัชกำลังตีกันอย่างไม่จบไม่สิ้น เขายังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าตอนนี้เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี
พุ่งชนทุกสิ่งทุกอย่างเลยดีไหม ไม่ต้องกังวลแล้วว่าชีวิตจะเป็นยังไง
เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการจะทำ ใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้ม แล้วจะตายเร็วตายช้าก็ช่างมัน
“แกร๊ก!” เสียงแกร๊กที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังจะตัดสินใจพังทุกเกาะป้องกันที่สร้างขึ้นมาลืมตาโพลง สะบัดหน้าไปยังทิศทางประตูอย่างรวดเร็ว
เขากำลังถูกบุกรุกบ้านโดยใครก็ไม่รู้!
อินทัชลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสและสมองเขาตื่นตัวด้วยความหวาดระแวง
คนที่ผ่านประตูรั้วบ้านเขาเข้ามาถึงในนี้ได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
อินทัชสอดมือเข้าไปใต้โซฟาเบดตัวยาว กดปุ่มปลดล็อกปุ่มหนึ่งจนเสียงดังคลิกและหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็มีวัสดุชิ้นหนึ่งตกอยู่ในมือของเขา
อินทัชดึงมือกลับออกมาจากใต้โซฟา กระชับวัสดุสีดำด้านที่อยู่ในมือจนแน่นน
เขาจะยิงก่อนที่จะถามแน่นอน
“พรึบ!” สิ้นความคิดอินทัชก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคนที่บุกรุกนั้นได้มาอยู่ทางด้านหลังเขาแล้ว เจ้าของบ้านหมุนตัวอย่างรวดเร็ว มัจจุราชกระบอกสั้นในมือที่หวังจะใช้ป้องกันตนเองถูกจ่อส่งไปในทิศทางที่มีผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว
แต่เร็วไม่เท่าคนที่บุกรุกบ้านคนอื่นเข้ามา
ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือเรียวเล็ก เอาอาวุธปืนที่อยู่ในมือไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเจ้าของตั้งตัวไม่ทัน
“ช้าเกินไป” น้ำเสียงราบเรียบพูดเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การออกอาวุธช้า แต่เป็นการกินข้าวช้าเกินไป
คนพูดมาได้อย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
แต่ผู้บุกรุกไม่ใส่ใจไม่ได้แปลว่าเจ้าของบ้านจะไม่ใส่ใจด้วย
“คุณเข้ามาได้ยังไง!” อินทัชกระชากเสียงถาม หัวใจยังคงเต้นรัวเร็วจนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมานอกอก โชคดีที่จังหวะคนแย่งปืนไปไม่ได้สัมผัสโดนมือเขา
มองคนที่บุกรุกบ้านคนอื่นอย่างหน้าตาเฉย ทั้งยังปลดอาวุธป้องกันตัวของเขาไปโยนเล่นเหมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง
ไม่สิ สำหรับคนที่เกิดมาในตระกูลที่ค้าขายอาวุธสงคราม ปืนหนึ่งกระบอกก็คงไม่ต่างอะไรกับของเล่นจริง ๆ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะใส่ใจ สิ่งที่เขาควรจะสนใจนั่นก็คือคำถามที่เขาเพิ่งจะส่งออกไปนั่นมากกว่า
คิงเข้ามาในบ้านเขาได้ยังไง บุกรุกเข้ามาเพื่ออะไร!
“ฉันกดกริ่งเรียกหลายครั้งแล้ว” นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่อินทัชต้องการเท่าไหร่นัก
คนที่วันนี้เผชิญหน้ากับความเครียดและความกดดันมาทั้งวันสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ เพื่อหวังระงับอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นขึ้นมาของตัวเองให้มันบางเบาลง แต่มันเหมือนจะไม่ช่วยอะไรสักนิด มือเรียวกำเข้าหากันแน่น แน่นจนเล็บจิกเข้าไปที่ฝ่ามือ
ความเจ็บที่ฝ่ามือได้รับ ไม่ได้ทำให้คนที่ทั้งโกรธ ทั้งสับสน ทั้งกดดันรู้ตัวเลยสักนิดจนกระทั่ง
“โกรธก็ไปลงกับคนที่ทำให้นายโกรธ ฉันไม่อนุญาตให้นายทำร้ายตัวเอง” คนก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวอีกรอบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คว้าเอาที่ข้อมือของคนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเอง
คำพูดยืดยาวและสัมผัสอุ่นร้อนที่ข้อมือทำให้อินทัชได้สติ เขาสะดุ้งตัวสุดแรงเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เป็นอันตราย
“อย่าจับมือผม!” อินทัชแทบจะตะโกนออกมาทั้งยังสะบัดข้อมือของตัวเองจนหลุดออกจากการเกาะกุม
หัวใจที่ยังไม่ทันจะได้เต้นเป็นปกติดีเต้นรัวเร็วขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้มันมากกว่าเดิม
เขาเกือบจะพลาดไปอีกแล้ว
“นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้” คนบุกรุกบ้านคนอื่นพูดหน้าตาเฉย มองเจ้าของบ้านที่เบิกตากว้างจ้องมายังตนเองนิ่ง มองอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟาโดยที่เจ้าของบ้านมาต้องเชิญ
ขนาดบ้านของเจ้าตัวเขายังเชิญตัวเองเข้ามาได้ นับประสาอะไรกับแค่นั่งโซฟาต้องรอคนมาเชิญ
“คนที่ผมควรจะระวังตัวเป็นคนแรกเลยก็คือคุณนั่นแหละ บอกผมมาว่าเข้ามาบ้านผมได้ยังไง” อินทัชกระชากเสียงถาม อารมณ์ที่พยายามข่มกลั้นตัวเองนั้นหลุดกระจายจนหาไม่เจอแล้ว
วันนี้เขาโดนกดดัน โดนบีบคั้นมากเกินไปแล้ว!
“ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการแล้วไม่ได้”
“รวมถึงการบุกรุกบ้านคนอื่นด้วยน่ะเหรอครับ” อินทัชสวนกลับไปทันที ความหวาดเกรงใด ๆ ล้วนหายไปสิ้น
“ก็ถ้าฉันต้องการ” มาร์คตอบเสียงเรียบเรื่อย และท่าทางเรียบเรื่อยเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดของตัวเองนั่นยิ่งทำให้อินทัชอยากจะเขวี้ยงอะไรสักอย่างใส่หน้า ทำให้หน้าน้ำแข็งนั่นแตกละเอียดไปซะ
“แล้วคุณบุกรุกบ้านผมเข้ามาทำไม” คิดได้แต่ทำจริงไม่ได้ อินทัชจึงได้แต่สูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ กัดฟันถามและเน้นที่คำว่าบุกรุก
“หิว”
“อะไรนะ!” อินทัชถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คนให้เหตุผลที่บุกรุกบ้านเขาว่าอะไรนะ
“หิว” คนตอบย้ำคำเดิม ทั้งยังเอนตัวพิงกับพนักโซฟาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
อินทัชมองคนที่ย้ำคำตอบเขาพร้อมทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านตัวเองด้วยอารมณ์ที่สับสนมึงงไม่หมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะรู้สึกเช่นไร ควรจะทำยังไงดี
ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขาควรจะได้อยู่กับตัวเอง เพื่อคิดหาวิธีรับมือกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นหรอกเหรอ
“เผื่อคุณจะลืมไปว่าที่นี่คือบ้านของผม ไม่ใช่ร้านอาหาร” คนที่คิดถึงปัญหาของตัวเองขึ้นมาได้ อารมณ์ก็พุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้ง กัดฟันตอบโต้กลับเสียงเข้ม
“ฉันรู้” คนบุกรุกบ้านคนอื่นด้วยเหตุผลว่าหิวพยักหน้ารับรู้
“รู้แล้วคุณมาทำไม” อินทัชที่ตอนนี้อารมณ์เหนือทุกความกลัวต่าง ๆ ถามกลับไปอีกครั้ง
“น้ำพริกกุ้งเสียบ”
“ถ้าผมให้แล้วคุณจะกลับไปใช่ไหม” อินทัชหลับตาแน่นแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ก่อนจะถามไปแบบนั้น
ถ้าเขาให้แล้วคนจะกลับบ้านตัวเองไป เขาจะยกให้ทั้งกระปุกเลย ช่วยรีบ ๆ กลับไป ปล่อยให้เขาได้มีเวลาคิดหาวิธีรับมือกับปัญหาสักนิด
“รอเดี๋ยว” เห็นคนมองนิ่งไม่ตอบอะไรกลับมาอินทัชก็ตีความไปเองว่าคนรับข้อเสนอแล้วจึงได้เอ่ยปากบอกให้รอแล้วจึงหมุนกายเดินไปยังห้องครัวเพื่อจัดการนำน้ำพริกที่ยังเหลืออยู่มาให้คน
ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา ถึงขนาดบุกรุกบ้านคนอื่นเพื่อน้ำพริกกระปุกเดียว
พูดถึงเรื่องบุกรุกบ้าน เห็นที่ว่าเขาจะต้องหาวิธีป้องกันการบุกรุกที่ได้ผลมากกว่านี้
อินทัชคงไม่รู้ ไม่รู้ว่าวิธีป้องกันที่เขาใช้อยู่นี่มันดีที่สุดแล้ว เพียงแต่มันยังไม่สามารถรับมือกับความสามารถของมาร์คได้ก็เท่านั้น
อย่างที่คนมีอำนาจและอิทธิพลพูด ไม่มีอะไรที่เจ้าตัวอยากได้แล้วไม่ได้
“เอ้า ได้ของแล้วก็เชิญกลับไปได้แล้ว” อินทัชที่กลับมาพร้อมกับน้ำพริกกระปุกใหญ่ในมือ วางของลงบนโต๊ะให้กับคนที่นั่งสบายอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งพูดบอกให้คนกลับออกไปได้แล้ว
“บอกเมื่อไหร่ว่าจะกลับ” คนถามโดยไม่ปรายตามองของที่ถูกวางไว้บนโต๊ะเลยสักนิด
และคำถามนั้นถึงกับทำให้เจ้าของบ้านโมโหจนหน้าแดง
เขาชักจะอดทนไม่ไหวแล้ว
และไม่อยากจะอดทนแล้วด้วย!
“คิดว่าเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเลยงั้นเหรอ ไม่คิดถึงใจ ไม่คิดถึงความต้องการของคนอื่นเลยสักนิดเลยเหรอ” อินทัชถาม ถามอย่างคนที่อยากจะได้คำตอบจริง ๆ
มันเป็นคำถามที่ไม่ใช่แค่เพียงต้องการถามคนตรงหน้านี้เท่านั้น แต่เป็นคำถามที่เขาต้องการถามทุกคนที่ใช้อำนาจของตัวเองมาขู่บังคับเขาด้วยเช่นกัน
“ตราบใดที่ความต้องการของตัวเองยังไม่ถูกเติมเต็ม ทำไมจะต้องไปใส่ใจความต้องการของคนอื่น”
ไร้ใจ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนคนนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นคนไร้ใจ
คำตอบนี้ของคนเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดได้ดี
นั่นสิ ในเมื่อความต้องการของตัวเองยังไม่ถูกเติมเต็ม แล้วทำไมจะต้องใส่ใจความต้องการของคนอื่น
แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้นไม่ได้ ทำไมเขาถึงเป็นคนที่ยึดหลักนั้นไม่ได้
ทำไมเขาถึงต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำให้ความต้องการของคนอื่นสมหวัง ทั้ง ๆ ที่ความต้องการของเขายังไม่เป็นจริงเลยสักอย่าง
ทำไมกัน!
นี่เป็นนิยายเรื่องแรกของเราเลยที่บรรยากาศโทนเรื่องมันอึมครึมขนาดนี้ แถมนายเอกของเรายังตกเป็นรองคนอื่นเขาขนาดนี้
แหะ จริง ๆ ค่อนข้างจะแต่งยากเหมือนกันเพราะเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมานายเอกของเราค่อนข้างจะเป็นต่อคนอื่นเขาพอสมควร แถมยังมีคนคอยซัพพอร์ตสนับสนุน ดังนั้นเรื่องนี้ลองฉีกออกมาสักหน่อย อาจจะขัดใจใครหลาย ๆ คน แต่เราจะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดนะคะ
ฝากด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสารน้องงงงง
น้องเลือกอะไรไม่ได้สักอย่างงงงแง้วววววววววววววววววววววววว