ตอนที่ 12 : ตอนที่ 12
รถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่จอดลงที่หน้ารั้วบ้านอันมีอาณาเขตกว่าสองไร่
อินทัชผละตัวออกมาจากแผ่นหลังของคิง ดึงมือที่โอบรอบเอวแกร่งเอาไว้ออกมา ถอนลมหายใจยาว ๆ ออกจากอกอย่างโล่งใจที่ตัวเองมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย
คนบอกช้ามากแล้ว แต่สำหรับเขาคนขับเร็วขนาดนี้นี่หมายถึงยังมีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้คือตายช้ามากแล้วมากกว่า
อินทัชเปิดกระเป๋าจะหยิบรีโมตมากดเปิดรั้วบ้าน แต่เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีรถยนต์สีดำวาววับมาจอดเทียบบพอดีนั่นทำให้เขาหยุดชะงักการกระทำลงแล้วหันไปมองอย่างสำรวจ
ใครกัน
อินทัชตั้งคำถาม เป็นเรื่องที่ไม่บ่อยนักที่จะมีคนขับรถเข้ามาถึงตรงนี้ เพราะบ้านเขานั้นอยู่ด้านในสุดและเป็นทางตัน กรณีที่จะมีรถขับผ่านบ้านเขานั้นเป็นไปไม่ได้เลย นั่นหมายความว่ารถคันนี้มีจุดหมายหลักก็คือบ้านเขา
แล้วอินทัชก็ได้คำตอบเมื่อประตูรถที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออกมาพร้อมกับคนอ้อมไปด้านหลังรถหยิบถุงข้าวของมากมายออกมา ก่อนจะนำมาส่งมอบให้กับคนที่ทำเขาหายใจไม่ทั่วท้องตลอดระยะทางกลับบ้าน
ลูกน้องของคิงคงเอาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมาให้
“เอ่อ คือ”
“มีอะไร” เสียงราบเรียบเอ่ยถามเมื่อลูกน้องอึกอักจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
อินทัชเห็นคนเหลือบตามองมาที่เขาแล้วไม่ยอมพูดก็รู้ว่าคงไม่อยากให้เขารู้เรื่องด้วยจึงขยับตัวถอยห่างออกมา เดินไปเปิดประตูรั้วบ้านรอ
“มาดามสั่งให้แจ้งว่ายังไม่ถึงเวลา ห้ามทำอะไรก่อนเวลาเด็ดขาดนะครับ” พูดบอกคำที่มาดามส่งตรงมาให้บอกนายน้อยของบ้าน
“ฉันรู้แล้ว” มาร์คพูดบอกสายตาเหลือบมองคนที่เดินห่างออกไปอย่างรู้งาน
“นายกลับไปได้แล้ว” ละสายตาจากคนเป็นเจ้าของบ้านแล้วออกปากสั่งลูกน้องของคนเป็นพ่อ
“ขึ้นรถสิ” เมื่อลูกน้องกลับไปแล้ว มาร์คก็ออกปากกับคนที่ยังยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วบ้านพร้อมกับส่งถุงข้าวของในมือให้คนตัวบางกว่าเอาไปถือไว้
“ไม่ต้องขับเร็วแล้วนะครับ” อินทัชพูดเสียงเบาแววตาฉายแววขยาด
เป็นคนขี่กับเป็นคนซ้อนนี้ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันมากจริง ๆ
คนโดนบอกให้ขับรถช้า ๆ อีกรอบไม่ตอบอะไรเพียงแค่ขยับยิ้มที่มุมปากครั้งหนึ่ง ซึ่งมันเร็วและแผ่วเบาเสียจนคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น
คิงวาดขาขึ้นคร่อมรถเป็นคนแรก อินทัชมองตามชั่วครู่หนึ่ง ถอนหายใจรอบหนึ่งแล้วขยับขึ้นนั่งตามที่เบาะท้าย วางถุงข้าวของเอาไว้บนตัก
เมื่อคนพร้อมรถพร้อม มอเตอร์ไซด์คันหรูก็เคลื่อนตัวเข้ารั้วบ้านมุ่งหน้าสู่ตัวบ้าน
“เร่งความเร็วอีกนิดก็ได้ครับ” อินทัชพูดบอกกับคนที่ตอนนี้ขับรถช้าเสียยิ่งกว่าเต่าคลาน
ตอนเร็วก็เร็วจนหัวใจจะวาย แต่พอตอนช้าก็ช้าเกิน
บอกเขาทีว่าคิงไม่ได้ตั้งใจยียวนกวนประสาทเขา คนอะไรไม่มีความพอดีเลยสักนิด
ตั้งแต่หล่อเกินไป รวยเกินไป มีอิทธิพลเกินไป เย็นชาเกินไปแล้วนะ
ฮะ อะไรนะ ไม่ใช่เหรอ
อ้าว เขาก็คิดว่ามันเหมือนกัน พวกไปสุดในทุก ๆ เรื่อง เกินไปในทุก ๆ อย่าง
“เฮ้ย” คนที่คิดออกนอกเรื่องไปไกลร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ คนที่เขาบอกให้เพิ่มความเร็วขึ้นหน่อยก็เร่งความเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ถ้าคว้าเอวเอาไว้ไม่ทันนี่มีหน้าแหกแน่ ๆ
คนหวิดหน้าแหกไถลพื้นไม่เห็นรอยยิ้มแตะต้มมุมปากที่หาได้ยากยิ่งของคนขับ
น่าแกล้งมากจริง ๆ
“คิงนั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” ในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเมื่อเข้ามาถึงในห้องนั่งเล่น อินทัชก็พูดกับคนเป็นแขก (ที่เขาไม่ได้เชิญ) ทันที
“มาร์ค” คนนอกจากจะไม่นั่งแล้วยังพูดชื่อตัวเองอีก
อินทัชถอนหายใจแผ่วเบาแบบที่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ เหตุการณ์นี้คุ้น ๆ เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานใช่ไหม
“ครับ” ได้แต่ยิ้มแกน ๆ รับคำไปอย่างนั้น ไม่เห็นจะเข้าใจว่าเรียกคิงหรือมาร์คสำคัญยังไง เพราะถึงอย่างไรก็หมายถึงเจ้าตัวอยู่ดี
“ฉันไปช่วย” และประโยคนี้ของคิงทำให้อินทัชต้องเงยหน้ามองคนอย่างรวดเร็ว
หูเขาฝาดไปหรือเปล่า คิงนี่นะจะช่วยเขาทำอาหาร
“ไม่ต้อง!” อินทัชปฏิเสธเสียงหลงอย่างลืมตัว เขายังไม่อยากจะได้ห้องครัวใหม่
ไม่ได้อยากจะดูถูกหรือว่าอะไร แต่เขาคิดสภาพไม่ออกเลยว่าผู้ชายแบบคิงเข้าครัวทำอาหารแล้วจะเป็นอย่างไร
“เดินนำไปสิ” เหมือนไม่ได้ยินที่เจ้าของบ้านปฏิเสธ คว้าถุงข้าวของที่อยู่ในมือเรียวเล็กมาถือเอาไว้ แล้วออกปากให้คนเดินนำหน้าเข้าครัว
อินทัชหันรีหันขวางอย่างตัดสินใจไม่ถูกอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินนำไปยังห้องครัว
เอาไว้ถ้าคนใช้การไม่ได้ ค่อยหาวิธีไล่ออกมา
เมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว มาร์ควางถุงข้าวของที่ลูกน้องนำมาให้บนโต๊ะตัวใหญ่ตรงกลางห้องครัวเรียบร้อยแล้ว อินทัชก็ตรงเข้าไปรื้อดูทันทีว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อพบว่ามีกุ้งสดมาด้วย แต่นั่นยังไม่เท่าขุยมะพร้าวที่ดูแล้วน่าจะเป็นขุยมะพร้าวน้ำหอม
นั่นคือวัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำพริกกุ้งเสียบแน่ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าลูกน้องของคิงจะจัดการของแบบนี้มาให้ นึกว่าจะซื้อกุ้งเสียยบที่พร้อมใช้งานมาให้แล้วเสียอีก แล้วยังรู้งานว่าต้องใช้ขุยมะพร้าวในการอบกุ้งเสียด้วย
น่าแปลกใจจริง ๆ
แต่แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ อินทัชจัดการลงมือเอาวัตถุดิบต่าง ๆ ออกมาเรียงก่อน แล้วตัดสินใจที่จะทำน้ำกระเจี๊ยบเป็นอย่างแรกเพราะต้องใช้เวลาเคี่ยวนานกว่าครึ่งชั่วโมง
“ถ้าวันนี้ทำบัวลอยไข่หวานด้วยน่าจะไม่ทันนะครับ” อินทัชพูดเมื่อเห็นว่านี่ก็เริ่มจะเย็นแล้ว อาหารแต่ละอย่างที่คิงอยากกินนั้นล้วนแต่ต้องใช้เวลาทั้งนั้น กว่าจะทำเสร็จ หิวจนเป็นลมพอดี
คนโดนทักท้วงเลิกคิ้วนิดหน่อย นิดหน่อยจริง ๆ ก่อนที่แววตาจะวาววับขึ้นมาชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนไปราบเรียบตามเดิม
“ถ้าอย่างนั้นไว้วันเสาร์ก็ได้ วันนั้นนายว่างทั้งวัน” และคำตอบของคิงก็ทำให้อินทัชเผลออ้าปากค้าง
ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนั้นไปได้ วันเสาร์เขาก็ยังต้องเจอหน้าคิงอีกเหรอ อุตส่าห์ดีใจว่าจะมีเวลาหายใจคล่อง ๆ ไปสองวัน เสาร์ อาทิตย์
“หิวแล้ว” คนที่เหมือนไม่รับรู้ว่ากำลังทำให้คนอื่นลำบากใจพูดต่อ นั่นทำให้อินทัชดึงสติกลับมาที่เรื่องของตอนนี้อีกครั้ง
ช่างเถอะ ๆ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ในตอนนี้ คนเอาแต่ใจ อยากจะมาก็ช่าง เขาก็แค่ต้องระวังตัวให้ดี ให้มากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น
อินทัชบอกกับตัวเองอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ใจในลึก ๆ แล้วรู้สึกดีอย่างไม่รู้ตัว
เหมือนวันเวลาที่เงียบเหงาของเขาจะค่อย ๆ หายไป
“คิง เอ่อ มาร์คคอยเคี่ยวน้ำในหม้อไว้นะครับ” เมื่อจัดการเติมน้ำ เติมดอกกระเจี๊ยบแห้งลงในหม้อเรียบร้อยแล้ว ก็นำลงบนเตาที่เปิดไฟกลาง ๆ แล้วบอกคนที่เอ่ยปากว่าจะช่วยให้คอยเคี่ยวน้ำเอาไว้
“อืม” มาร์ครับคำเบา ๆ แล้วเดินมารับช่วงต่อคว้าไม้พายที่อินทัชวางเอาไว้ด้านข้างหม้อมาเคี่ยวน้ำในหม้อ
ส่วนอินทัชที่ผละออกจากตรงนั้นก็มาจัดการปลอกกุ้งเพื่อที่จะนำไปอบต่อ
“ผมคิดว่าจะได้กุ้งเสียบแห้งมาเสียอีก” อินทัชที่ถึงขั้นตอนนำกุ้งมาอบควันด้วยขุยมะพร้าวน้ำหอมแล้วพูดถามอย่างอดไม่ได้
“ฉันไม่ชอบ” คนที่ยืนเคี่ยวน้ำใส่ดอกกระเจี๊ยบแห้งตามสั่งให้คำตอบ
อินทัชพยักหน้ารับ เป็นคำตอบที่จบทุกข้อสงสัยจริง ๆ
ในระหว่างที่อบกุ้งอยู่นั้น อินทัชก็เดินมาจัดการตักกะปิและหั่นพริกขี้หนูสดใส่ครกเพื่อที่จะทำการโขลกให้เข้ากัน แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือโขลก สากกะเบือที่วางอยู่ด้านข้างก็ถูกแย่งไปก่อน
“ฉันจัดการเอง นายไปเคี่ยวน้ำไป” ออกปากสั่งแล้วก็ลงมือโขลกน้ำพริกทันที
อินทัชมองคนที่มาแย่งงานไปทำอย่างสับสนอยู่ชั่วครู่ เห็นคนท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ยังเหมือนคนที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ทำไม่เป็นเริ่มโขลกกระปิกับพริกที่อยู่ในครกก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันช่างคุ้นเคยในความรู้สึกของเขานัก
เหมือน เหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
อินทัชสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกนั้นออกไปเมื่อรู้สึกว่าเขาคงจะเพ้อเจ้อไปเอง เขาจะไปเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาจากที่ไหนได้กัน
บอกตัวเองอย่างนั้นแล้วหันไปสนใจกับน้ำกระเจี๊ยบที่อยู่ในหม้อมากกว่า
“อชิ หอมแดงซอยล่ะ” เสียงถามของคนที่แย่งหน้าที่โขลกกระปิไปเองทำให้อินทัชหันไปมองอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะครับ” คนคนนี้เรียกเขาว่าอะไรนะ
“ฉันถามว่าหอมแดงซอยอยู่ไหน” คิงเงยหน้าจากครกขึ้นมาพูดเสียงเรียบ แววตาไม่ปรากฏร่องรอยอะไร
อินทัชมองสำรวจอย่างต้องการมั่นใจว่าเขาแค่หูเพี้ยนไปเอง คนไม่ได้พูดอะไรอย่างที่เขาได้ยิน
“เอ่อ อยู่ตรงนั้นครับ” เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ อินทัชก็ชี้ไปยังมุมโต๊ะที่เขาวางของเตรียมเอาไว้
เห็นคนคว้ามาเทใส่ครกแล้วจัดการต่ออินทัชก็หันกลับไปใส่หม้อน้ำบนเตาอีกครั้ง
ได้แล้วมั้ง
เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปจนได้ที่แล้ว กุ้งที่เขาอบควันเอาไว้น่าจะใช้ได้แล้ว อินทัชก็ผละออกจากหม้อหน้าเตาไปสนใจกุ้งเสียบแทน
พยักหน้าพึงพอใจเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วและเมื่อหันไปเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในครกนั้นได้ที่แล้วก็เดินเข้าไปหาคิง
“เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง มาร์คเดินไปดูน้ำกระเจี๊ยบเถอะ” พูดบอกพร้อมกับเดินเข้าไปแทนที่
อินทัชเริ่มจัดการปรุงส่วนผสมต่าง ๆ เข้าด้วยกันตามสูตรที่เขาได้รับสืบทอดมาจากผู้เป็นแม่ที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลอีกที
“ผมว่าผมลืมหุงข้าว” คนที่จัดการกับเมนูที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จแล้วพูดเสียงแห้งเมื่อเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
มาร์คหันหน้ามองคนที่สารภาพออกมาแล้วส่ายหน้าเบา ๆ
“แหะ ๆ เดี๋ยวผมจัดการเดี๋ยวนี้เลย น่าจะเสร็จพอดีกับน้ำกระเจี๋ยบ” อินทัชรีบพูดแล้วรีบทำตามที่พูดทันที
“ระหว่างนี้ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนได้นะ” เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และรอน้ำกระเจี๊ยบเย็นลง อินทัชก็พูดขอตัวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าคนที่ควรจะเกรงใจคืออีกคนมากกว่า
“อยากอาบบ้าง”
“แต่มาร์คไม่มีเสื้อผ้ามา” อินทัชย่นคิ้วพูด รู้สึกว่าคนชักจะทำตัวคุ้นเคยกับบ้านของเขาเกินไปหน่อย
“เฮ้ออ ผมพอจะมีเสื้อกับกางเกงตัวใหญ่อยู่บ้าง ไม่รู้คุณจะใส่ได้หรือเปล่า” เห็นคนยังจ้องมองมานิ่งแต่แฝงความกดดัน อินทัชก็ถอนหายใจใส่ให้รู้แล้วรู้รอดแล้วพูดอย่างจำยอม
“ลองดู” แค่สองคำเท่านั้นที่ทำให้อินทัชต้องไปค้นเสื้อผ้ามาให้คนวุ่นวายได้ใส่
เมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญหายเข้าห้องน้ำไปแล้ว อินทัชก็ไปเปิดเพลงฟังอย่างเคยชินที่ว่าปกติเขาจะอาบน้ำทีไรต้องเปิดเพลงจากลำโพงในห้องรับแขกให้ดังเข้าไปในห้องน้ำทุกที
และการทำอย่างนั้นไม่ต่างอะไรกับการเปิดเผื่อแพร่คนทั้งบ้าน แต่โดยปกติแล้วอินทัชอยู่บ้านคนเดียงจึงไม่ได้มีปัญหาอะไร
เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเช่นทุกวัน
“นายฟังเพลงพวกนี้บ่อยเหรอ” เมื่อจัดการกับอาหารเสร็จแล้ว อินทัชก็ได้รับคำถามจากคนที่เขาไม่คิดว่าจะชวนเขาคุยก่อนเลยสักนิด
“ทำไมครับ ไม่ชอบเหรอ” ถามแล้วก็รอลุ้นคำตอบอย่างไม่รู้ตัว
เพลงพวกนี้ที่มาร์คพูดถึงก็คือเพลงของเขาทั้งนั้น เป็นเพลงที่คัดมาแล้วว่าเหมาะกับการฟังไปทานข้าวไปที่สุด
อินทัชชอบที่จะจัดการเพลย์ลิสเพลงแบบนี้ เพลงฟังตอนอาบน้ำ ตอนทานข้าว ตอนขับรถ ก่อนเข้านอน เขาจัดแยกไว้เป็นหมวดหมู่
“ชอบ…คนแต่ง”
“คะ ครับ” อินทัชถามลิ้นพันกัน รู้สึกว่าคำพูดของคิงมันแปลก ๆ
“หึหึ หมายถึงคนแต่งเพลงนี้เก่งดี แต่งกี่เพลงก็เพราะทุกเพลง ฉันชอบ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบเม้น คิงญาณทิพย์55555555
แล้วคนอะไรเนียนจัง 5555
มีความรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนอชินี่ชื่อเก่าใช่ม่ะ แบบตอนเด็กเคยรู้จักกันมาก่อนไรงี้ //คาดว่าป้าร้านอาหารที่แคนทีนจะเป็นคุณหญิงแม่คิงเค้านั่นแหละ ...