ตอนที่ 11 : ตอนที่ 11
เมื่อถึงเวลามื้อกลางวัน อินทัชที่ต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจึงได้ลองเสี่ยงดวงไปที่แคนทีนวีไอพีแทน และก็เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้ คิงและพรรคพวกทั้งสี่ไม่ได้มารวมตัวกันอยู่ที่แคนทีนแห่งนี้
อินทัชเดาว่าทั้งห้าคนนั้นคงไปอยู่ที่แคนทีนธรรมดาดังเช่นสองวันที่ผ่านมา ส่วนเขาวันนี้ที่ยังมีข้าวกล่องจากเมื่อเช้าที่เขาทำมาเองหลงเหลืออยู่จึงทำให้สะดวกที่จะเอามาทานที่แคนทีนวีไอพีแห่งนี้โดยไม่ต้องเสียดายอาหารฝีมือคุณป้าเจ้าของร้านประจำ
อินทัชเลือกนั่งที่โต๊ะหนึ่งในตำแหน่งที่ค่อนข้างหลบมุมเพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแคนทีนแห่งนี้ก็ไม่ได้วุ่นวายหรือมีคนใช้บริการเยอะเท่าไหร่นั้นเพราะไปรวมตัวกันอยู่ที่แคนทีนธรรมดาตามคิงกันหมดแล้ว
ดีแล้ว
อินทัชบอกกับตัวเอง ให้เขาได้มีเวลาหายใจหายคอให้โล่งบ้าง
คนที่วันนี้ไม่ต้องปวดหัวเหมือนสองวันที่ผ่านมาคิดอย่างสบายใจ มือล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเพลงฟัง
แน่นอนว่าเพลย์ลิสเพลงทั้งหมดต้องเป็นเพลงจากฝีมือของเขาอยู่แล้ว
คนอารมณ์ดีทานข้าวจากฝีมือตัวเองไปฟังเพลงของตัวเองไป
สุขใจเหลือจะกล่าว
แต่สุขใจได้ไม่ทันเท่าไหร่ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนแปลงไป คนที่เข้าสู่โลกส่วนตัวไปเมื่อชุ่วครู่นี้มองซ้ายขวาหาสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ
มองกวาดสายตาไปทั่วก่อนจะจับจุดรวมสายตาของนักศึกษาและบุคลากรคนอื่น ๆ ได้
โทรทัศน์เครื่องหรูจอกว้างที่ถูกติดตั้งเอาไว้ทั่วมหาวิทยาลัย มีแต่ภาพไม่มีเสียงให้รำคาญ ใครจะดูก็ดู ใครไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู และปกติแล้วโทรทัศน์ที่ถูกติดตั้งทั่วทั้งแคนทีนกว่ายี่สิบเครื่องก็ไม่ได้ถูกให้ความสนใจมากนัก แต่วันนี้กลับเป็นที่สนใจของคนที่นี่ในตอนนี้
มีอะไรน่าสนใจ
อินทัชถอดหูฟังออกเพื่อที่จะใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เต็มที่ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังหน้าจอโทรทัศน์ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏ
พระเจ้า นี่มันหนังสด!
ภาพผู้ชายสามคนที่นัวเนียกันอยู่บนเตียงอย่างร้อนแรงและสำราญอารมณ์ทำให้อินทัชอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดดวงตา
แล้วแอบกลางนิ้วออกเพื่อส่องดู
คนตกใจที่อยู่ ๆ ก็เห็นหนังสดที่ค่อนข้างจะพิเศษหรี่ตาดูต่อแล้วต้องอุทานภายในใจอีกครั้ง
หนึ่งในนั้นมันคนที่โดนรองเท้าของอัศวินเฉียดหน้าไปเมื่อวานนี่!
คนที่บอกพูดว่าอยากจะได้เขาไปเป็นของเล่นบนเตียงนอน คนที่มีความคิดต่ำทรามคนนั้น!
คาดไม่ถึงว่าจะมีรสนิยมแบบนี้อยู่จริง ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไปเป็นของเล่นบนเตียงนอนของผู้อื่นหรอกหรือ
หรือว่าคนจะมีรสนิยมที่สับเปลี่ยนได้กัน
อินทัชคิดอย่างสับสนมึนงง
ช่างเป็นรสนิยมที่เขาไม่สามารถเข้าได้ถึงและอยากจะทอดถอนใจ
อินทัชทอดถอนสายตาตัวเองกลับมา ใสหูฟังเข้าที่หูของตัวเองอีกครั้ง หวังว่าเสียงเพลงของตัวเองจะช่วยกล่อมเกลาความรู้สึกที่หดหู่จากสิ่งที่เห็นให้กลับมาดีได้ดังเดิม
ดวงตาคู่สวยมองอาหารตรงหน้าที่เพิ่งจะทานได้ไม่เท่าอย่างเสียดาย บอกตามตรงว่ากินไม่ลงแล้ว
ภาพที่เห็นนี่มันติดตามากจริง ๆ เขาจะต้องเอาน้ำมนต์มาล้างตาเสียแล้ว
คนที่ไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องนี้ ทั้งประสบการณ์บนเตียงยังเป็นศูนย์คิดกับตัวเองในใจ
“นั่นมันเรวัชนี่ใช่ไหม”
“หมอนั่นไง คนที่โดนรองเท้าอัศวินเฉียดหน้าเมื่อวานที่ยิมตอนคลาสเรียนวิ่งน่ะ”
“ลูกเจ้าของธุรกิจโรงแรมใช่ไหม”
“น่ารังเกียจชะมัด รสนิยมแปลกประหลาด”
“หน้าตาก็ดี ไม่คิดว่าจะมั่วเซ็กส์แบบนี้”
“ป่านนี้มุดหน้าลงดินไปแล้วมั้ง อับอายขายขี้หน้าจริง ๆ”
“อยากจะอ้วก อี๋ แหวะ”
“วันนี้เรวัชมาเรียนหรือเปล่า”
“เฮ้ย แต่ดูจากทรงผมแล้วเหมือนจะเป็นคลิปเก่าใช่ไหม”
“น่าจะเป็นคลิปเก่าจริง ๆ มั่วตั้งแต่เด็กเลยเหรอเนี่ย”
“ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่หมอนั่นยังจะมีหน้าออกงานสังคมอีกไหม”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังอย่างอื้ออึงของคนอื่น ๆ ทำให้อินทัชเร่งเสียงให้เพิ่มขึ้นเพื่อที่เขาจะไม่ต้องมาฟังถ้อยคำอะไรแบบนั้น
แต่ถึงจะเร่งเสียงจนสุดอย่างไร ถ้อยคำวิจารณ์เหล่านั้นก็ยังคงดังเข้าหูเขาอยู่ดี อินทัชตัดสินใจเก็บกล่องข้าวของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากแคนทีนวีไอพีที่มีแต่เหล่าลูกหลานผู้ดีนั้นอย่างเงียบ ๆ
อินทัชที่เดินออกจากแคนทีนวีไอพีเพราะหลีกเลี่ยงเสียงน่ารำคาญก็ยังไม่พ้นกับเสียงที่ไม่พึงประสงค์อยู่ดีเมื่อตลอดทางที่เขาเดินผ่านนั้นมีแต่ผู้คนพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
ดูท่าแล้วหลายวันต่อจากนี้ หัวข้อที่ผู้คนพวกนี้จะหยิบยกขึ้นมานินทาคงจะไม่ใช่เขาแล้ว
นี่ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือเสียใจดี
คนก้มหน้าก้มตาเดินต่ออย่างระอากับสิ่งที่ได้ยิน แต่อาการเร่งรีบเดินแล้วก้มหน้าก้มตาก็ทำให้เขาชนเข้ากับคนอื่น
“พลั่ก”
“ขอโทษ ๆ ครับ” คนที่เดินชนคนอื่นจนตัวเองเซแทบจะล้มถ้าไม่ใช่เพราะมีมือของคนดึงต้นแขนเอาไว้จนตัวเขาเซถลาเข้าไปชนอกของเจ้าตัว อินทัชคิดว่าตัวเองคงได้เผชิญกับอาการเจ็บร้าวที่ก้นกบอีกรอบ พูดขอโทษระรัวโดยที่ยังไม่ทันได้มองหน้าคู่กรณี
“เดินไม่ระวัง” เพราะเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เมื่อเช้าเขาก็เพิ่งจะได้ยินมาทำให้อินทัชรู้ได้ทันทีเลยว่าคนที่เขาเดินชนนั้นเป็นใคร
คนหลีกหนีความวุ่นวายมาเจอสาเหตุหนึ่งของความวุ่นวายเงยหน้าขึ้นมอง ผละร่าง ดึงแขนออกมาจากการเกาะกุมของคิง
โชคดีที่คนดึงแขนไม่ใช่ดึงมือเขาเอาไว้
“เอ่อ ขอโทษที่ไม่ระวัง แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยเอาไว้ครับ” อินทัชพูดขอโทษและขอบคุณอีกครั้ง
“นายไม่ได้อ่อยคิงใช่หรือเปล่า มุกแบบนี้สาว ๆ ชอบใช้กันบ่อย ๆ นี่” ลอยซ์กอดอกหรี่ตาพูดเบา ๆ แต่ดวงตาฉายความหยอกล้อที่อีกคนไม่ทันได้สังเกตเห็น
อินทัชหันสายตาไปมองคนที่พูดประโยคนั้นขึ้นมา
“อ่า โชคดีที่ผมไม่ใช่สาว ๆ ขอตัวก่อนนะครับ ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” อินทัชพูดตอบรัวเร็วแล้วรีบเดินออกมาทันที ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดอะไรอีก
ทิ้งสายตาที่มองตามไว้เพียงด้านหลัง
“รู้หรือเปล่าว่าการเดินชนจะไม่เกิดขึ้นถ้ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมองทาง” ดวงตาคู่คมถอนสายตาที่มองตามไปแล้วกลับมามองคนข้างตัวที่พูดประโยคนั้นขึ้นมา
“แล้วถ้าคนหนึ่งไม่มองทาง แต่อีกคนมองมาตั้งแต่ระยะหลายร้อยเมตรแล้วล่ะ” อีกคนก็ส่งคำถามต่อด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มที่แต่ดวงตาแสนจะวิบวับ แบบที่ถ้าไม่ใช่พวกเขาห้าคนก็จะไม่มีคนอื่นได้เห็น
อ่อ ต้องบอกว่ามีคนคนหนึ่งที่ได้เป็นข้อยกเว้น แต่คนที่เป็นข้อยกเว้นกลับดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว
“นั่นแปลว่าตั้งใจยังไงล่ะ” และคำตอบที่ได้ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่รับส่งเป็นลูกคู่กันได้อย่างดี จนกระทั่งดวงตาคู่คมที่ผู้คนแสนจะกลัวเมื่อถูกปรายตามองมองมานั่น เสียงหัวเราะถึงได้ค่อย ๆ หายไป
เอายังไงดี กลับเอง หรือต้องรอ หรือยังไง
อินทัชที่เลิกเรียนแล้วถามตัวเองในใจอย่างสับสนว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อดี ถ้าเป็นปกติเขาคงไม่ลังเลเลยที่จะกลับบ้าน แต่ว่าเมื่อเช้าคำพูดของคิงที่ทิ้งท้ายเอาไว้นั่นทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูก
คนพูดเหมือนว่าให้เขาทำเมนูที่อยากกินนั่นให้ จะให้คนเตรียมส่วนผสม เครื่องปรุงต่าง ๆ ไว้ให้ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเขาตีความถูกหรือเปล่า แล้วถ้าถูก เขาจะต้องไปทำที่ไหนกัน
บ้านเขาหรือเปล่า บอกตามตรงว่าไม่อยากจะต้อนรับแขกเท่าไหร่ แค่เพียงเมื่อวานก็ทำเขาอึดอัดใจได้มากแล้ว
แต่ถ้าจะให้ไปที่บ้านคิง
อันนั้นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีอีกเช่นกัน
ทำไมไป ๆ มา ๆ แล้วเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเรื่องมากอยู่กัน ไม่สิ ๆ ไม่ใช่เขาที่เรื่องมาก คิงต่างหากที่ทำอะไรแปลกประหลาด
ดูเหมือนจะจงใจเข้าหาเขาผิดปกติ ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายหรือเจตนาอะไรกันแน่
คงไม่ใช่ว่ารู้ถึงความลับอะไรของเขาใช่หรือเปล่า
ไม่หรอก ๆ ไม่น่าจะรู้
ตกใจสงสัยก่อนที่จะปฏิเสธความคิดนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อคิดว่าถ้าคิงจงใจเข้าหาเขาเพราะล่วงรู้ถึงความลับต้องสาปที่เขาปกปิดเอาไว้ คนน่าจะฉวยโอกาสจับมือเขาไปได้หลายรอบแล้ว ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือเป็นแน่ อย่างเช่นที่ชนกันเมื่อครู่นี้ยังไง
อินทัชให้คำตอบตัวเองแล้วทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ได้สังเกตเลยว่าในขณะที่ตัวเองยืนถกเถียงกับตัวเองในใจนั้น บรรยากาศรอบข้างก็แปรเปลี่ยนอีกแล้ว สาเหตุก็เป็นเพราะคนที่นักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยเกรงกลัว คนที่อยู่ปีสามคณะบริหารธุรกิจ มาตอนนี้กลับเดินมาหยุดที่หน้าคลาสเรียนวิชาพื้นฐานของเด็กปีหนึ่งคณะคหกรรมเสียแล้ว
ไม่ใช่ว่าคิงมาหากบฏหรอกใช่ไหม
สามวันมานี้มีแต่เรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!
และถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่ทุกคนก็ต้องเชื่อเมื่อคิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของกบฏที่ทุกคนพร้อมใจกันโยนฐานะนี้ไปให้โดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจจะรับมัน
เมื่อคนเดินมาหยุดลงตรงหน้า อินทัชที่สับสนมึนงงอยู่จึงค่อยรู้ตัว และได้คำตอบของคำถามแล้ว
อินทัชมองคิงนิ่งอยู่ชั่วครู่ ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วมองไปรอบ ๆ เห็นสายตาที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ช่วงสามวันมานี้ดูจะวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างจงใจ
อินทัชไม่พูดอะไร เขาไม่อยากจะพูดอะไรให้คนได้จับจ้องอีก เขาเดินนำหน้าคิงออกมาจากหน้าห้องเรียน เดินไปยังทิศทางที่จะพาตัวเองไปยังลานจอดรถที่มีรถของเขาจอดอยู่ จนเมื่อคิดว่าพ้นสายตาของคนอื่นแล้ว จึงได้พูดกับคนที่เดินตามมาอย่างติด ๆ ว่า
“ผมจะขับรถไปเอง คิงจำทางไปบ้านผมได้ใช่ไหมครับ” ในที่สุดอินทัชก็เลือกว่าไปบ้านเขาคงจะอึดอัดน้อยกว่าไปบ้านของคิง
อีกอย่าง ยังไม่รู้จุดประสงค์ของคนแน่ชัด อย่าพาตัวเองเข้าไปในถิ่นของเขาจะดีกว่า
“นายไปกับฉัน” คนไม่ตอบว่าจำทางได้หรือไม่ได้ แต่พูดประโยคที่อินทัชคิดว่ามันช่างเอาแต่ใจตัวเองออกมา
“ผมจะขับรถไปเองครับ ไม่อยากจอดทิ้งไว้ที่นี่แล้ว” อินทัชรู้สึกว่าถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ในวันนี้ เหนื่อยใจมากจริง ๆ
คนเอาแต่ใจตัวเองมองคนตัวบางกว่านิ่งสลับกับมองรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ที่จอดอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่ทำให้อินทัชสับสนมากกว่าเดิม และอยากจะถอนหายใจให้หนัก
“นายจัดการขับรถฉันไปที่บ้านด้วย” คนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งการเพียงเท่านั้นแล้วก็ตัดสายทิ้ง ก่อนที่จะหันมาพูดเสียงเรียบไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเจ้าของรถว่า
“ฉันขี่ นายซ้อน”
แค่สี่คำ แค่สี่คำที่อินทัชไม่ปฏิเสธนั่นทำให้ในเวลานี้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้ สภาพที่กอดเข้าที่เอวแกร่งของคนหน้านิ่งแนบแน่น ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคใบใหญ่แนบไปกับแผ่นหลังแกร่ง
คนขับเร็วเหมือนกับว่าจะรีบไปตายที่ไหน
อินทัชที่ตอนแรกใช้มือจับไว้ที่ท้ายรถเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่เมื่อคนออกรถ สองแขนของเขาก็ต้องรีบสอดเข้าเท่าเอวแกร่งนั่นอย่างรวดเร็ว
คิดว่าถ้าช้ากว่านั้นอีกเพียงนิด เขาคงได้ลงไปนอนวัดพื้นถนนแล้ว
คนอะไรขับรถเร็วชะมัด เร็วแบบที่คนชอบความเร็วอย่างเขายังต้องหวาดเกรง เร็วแบบที่ไม่กลัวเลยว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาตัวเองนั่นแหละจะเจ็บหนัก เพราะไม่ได้สวมหมวกกันน็อคและอุปกรณ์ป้องกันใด ๆ
“ขับช้า ๆ หน่อยครับ” อินทัชอดไม่ได้ที่จะพูดให้คนผ่อนความเร็วลงหน่อย แต่เพราะเสียงลมที่ปะทะทำให้เสียงของเขาไปไม่ถึง ความเร็วที่ควรจะลดน้อยลงเพราะคำขอจึงไม่เกิดขึ้น
จนกระทั่งรถมาติดไฟแดงนั่นแหละ
“นายพูดว่าอะไร” คิงถามคนที่พยายามจะพูดอะไรกับเขาหลายรอบแล้ว
“ขับช้า ๆ หน่อยครับ” อินทัชพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“อะไรนะ”
“ช้า ๆ หน่อยครับ” เห็นว่าคนไม่ได้ยินที่พูด อินทัชก็เปิดกระจกหมวกขึ้นแล้วขยับปากไปใกล้หูคนกว่าเดิม พูดช้า ๆ ชัด ๆ
“ฉันช้ามานานแล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เฮ้!!! พวกนายคุยเรื่องเดียวกันใช่มั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยย ทำไมมันทะแม่งๆ555555555555
หมายถึงรถจ้าพี่จ้าขับข้าหน่อยจ้าน้องกลัว
แล้วอินก็มีความแอบส่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าบันเทิงอะนะ
สงสารเรวัช