ลิขิตรัก ชะตาร้าย - นิยาย ลิขิตรัก ชะตาร้าย : Dek-D.com - Writer
×

    ลิขิตรัก ชะตาร้าย

    นางหายสาบสูญไปกว่าห้าสิบปี กลับมาคราวนี้ปรารถนาเพียงความตายใต้คมกระบี่ของเขา

    ผู้เข้าชมรวม

    600

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    16

    ผู้เข้าชมรวม


    600

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    12
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 เม.ย. 62 / 09:56 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




    เจิ้งซูเมิ่ง ผู้สืบทอดสำนักเซียนหลงซวน หนึ่งในสี่สำนักเซียนชื่อดัง 
    ในวัยเยาว์ได้หลงรักเหยียนไป๋หลิง แต่ทว่าวันหนึ่งกลับได้เห็นนางสังหารบิดาเขาด้วยมือตนเอง




    เหยียนไป๋หลิง เซียนน้อยที่เจิ้งซูหยุน (บิดาของเจิ้งซูเมิ่ง) เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก 
    แต่วันหนึ่งกลับสังหารเจิ้งซูหยุนแล้วหายสาบสูญไป
    ห้าสิบปีต่อมา นางกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อชดใช้สิ่งที่ทำไว้ในอดีต

    แท้จริงแล้วเมื่อห้าสิบปีก่อนเกิดอันใดขึ้นกันแน่?



    ===============================================


    ..ห้าสิบห้าปีก่อนหน้านี้.. 

    สวนหย่อมของสำนักเซียนหลงซวน

    "
    หลิงหลิง! เหยียนไป๋หลิง!" เสียงเด็กชายวัยสิบขวบที่สวมชุดนักพรตสีขาวดอกชาเดินส่งเสียงเรียกหาสาวใช้ของตนไปทั่ว มือถือดาบไม้สะบัดฟันยอดหญ้าที่ชูสลอนไปตลอดทาง "ไปไหนของนางกันนะได้เวลากลับจากสำนักแล้วไม่ใช่หรือ?" 

    เด็กชายบ่นงึมงำกับตัวเอง พอเดินไปได้อีกหน่อยเด็กชายยกมือป้องปากร้องเรียกชื่อนั้นอีก 

    "หลิงหลิง...

    เดินเรียกหานางมาตลอดทาง จนมาถึงริมลำธารที่พวกเขาชอบมานั่งเล่นด้วยกันบ่อยๆก็เห็นหญิงสาวที่เขากำลังตามหาแทบตายกำลังนอนลอยชายหนุนแขนตัวเองมองท้องฟ้าอยู่ที่ใต้ต้นไห่ถางที่กำลังผลิดอกสีชมพูเต็มต้น กลีบสีอ่อนสลับเข้มร่วงหล่นลงบนร่างเล็กเมื่อลมพัดมา หากนางยังนอนนิ่งคล้ายจะให้กลีบดอกเหล่านั้นกลบฝังร่างนางลงไป


    เจิ้งซูเมิ่งพาดดาบไม้ไว้ที่คอแล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และหยุดยืนข้างร่างเหยียนไป๋หลิงที่เพียงส่งยิ้มกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา 

    "จะค่ำแล้วนะ ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก
    ?" เจิ้งซูเมิ่งถามขึ้นแล้วนั่งลงข้างๆกันนั้นเอง 

    เหยียนไป๋หลิงกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่ดวงตานั้นกลับมองไปยังดวงอาทิตย์สีส้มที่ใกล้จะลับขอบฟ้า "คุณชายเป็นห่วงข้าด้วยหรือเจ้าคะ
    ?" 

    "เปล่าเสียหน่อย! ทำไมข้าต้องเป็นห่วงสาวใช้อย่างเจ้าด้วยล่ะ!" เจิ้งซูเมิ่งรีบโวยวายตอบทั้งที่แก้มตัวเองแดงก่ำขึ้นมา เขารีบเบือนหน้าหนีหลบสายตาของหญิงสาวที่มองมาอย่างขบขัน
     

    "อ้าว ไม่ได้ห่วงข้าหรอกหรือ แย่จัง ข้าอุตสาห์ดีใจนึกว่านายน้อยเป็นห่วงข้าเสียอีก"
     

    "ห่วงทำไม
    เจ้าเป็นถึงศิษย์ขั้นหนึ่ง มีอะไรน่าห่วงกัน?" เด็กชายต่อล้อต่อเถียงสีหน้าจริงจัง ใครๆล้วนทราบดี ศิษย์ขั้นหนึ่งหมายถึงศิษย์ที่มีฝีมือเป็นรองแค่เพียงอาจารย์

    หญิงสาวหัวเราะคิกคักเบาๆ ใช้ศอกดันร่างตัวเองขึ้นนั่งแล้วมองเด็กชาย ถึงจะยังเด็กแต่เด็กคนนี้ก็เป็นถึงลูกชายคนโตและคนเดียวของเจ้าสำนักเมิ่งซูหยุน

    ตัวนางนั้นเดิมทีเป็นสาวใช้ที่สำนักเซียนหลงซวนตั้งแต่นายน้อยของนางยังไม่เกิด จากสถานะสาวใช้ธรรมดาที่มีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู
     แต่ด้วยเมิ่งซูหยุนมองเห็นบางอย่างในตัวนางจึงได้รับนางมาเรียนในสำนักด้วย และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ร่ำเรียนและบำเพ็ญเพียรมาหลายสิบปี ในที่สุดความสามารถก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุดที่เหล่าเซียนน้อยทั้งหลายวาดฝัน คือศิษย์ขั้นหนึ่ง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดฝัน ไม่คิดว่าเด็กกำพร้าเช่นนางจะได้รับโอกาสเช่นนี้มาก่อน

     

    จากนั้นเป็นต้นมา นางจึงตั้งมั่นว่าชีวิตนี้จะอุทิศตัวและภักดีเพื่อสำนัก สกุลเมิ่ง และเมิ่งซูหยุนผู้เป็นนาย จนกว่าชีวิตจะดับสูญไป 


    "ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงเจ้าค่ะ" นางทำหน้าราวกับกลั้นหัวเราะ นายน้อยของนางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ..ทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่แยแส แต่แท้จริงแล้วแอบสนใจอยู่ไม่น้อย
     

    "ไม่ต้องมายิ้มเลย ปล่อยข้าตามหาเจ้าซะทั่ว คิดจะแกล้งกันหรืออย่างไร
    ?" เขายังบ่นอุบอิบ 

    เหยียนไป๋หลิงเบิกตากว้างน้อยๆ "ตามหาข้าทั่วเลยหรือเจ้าคะ
    ?" 

    เจิ้งซูเมิ่งที่เพิ่งรู้ตัวว่าดันหลุดปากพูดไปแล้วก็รีบบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องคุย ทั้งยังแกล้งปั้นหน้าหงุดหงิด "เปล่าเสียหน่อย! อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลยน่ะ! กลับบ้านได้แล้ว ข้าหิวข้าว!"
     

    "เอ๋
    นายน้อยรอทานข้าวพร้อมกับข้าหรือเจ้าคะ?" นางอดไม่ได้ที่หยอกเขาต่อ 

    เจิ้งซูเมิ่งทำเชิดหน้าอย่างยโสตามที่นางคาดการณ์ "เปล่า ข้าแค่ยังไม่หิว" ปากแข็งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
     

    "เจ้าค่ะ ไม่หิวก็ไม่หิว" นางลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปยังเด็กชายที่ปัดมือนางออกเบาๆ
     

    "ข้าลุกเองได้" เจิ้งซูเมิ่งรีบลุกขึ้นมาก่อนจะปัดเศษหญ้าสีเขียวออกจากเสื้อคลุมของตน พอหันกลับมาอีกที
     

    "นายน้อยเจ้าค้า
    ~" ร่างหญิงสาวที่สูงกว่าเขากลับไปยืนป้องปากตะโกนเรียกเขาอยู่ไกลๆ "ถ้าช้าข้าไม่รอนะเจ้าค้า~" 

    เจิ้งซูเมิ่งเห็นเข้าก็โกรธจนตัวสั่น "หนอย! คิดว่าวิชาตัวเบาของข้าจะตามเจ้าไม่ทันรึ
    ?! แน่จริงก็รออยู่ตรงนั้นสิ!" เขาตะโกนกลับไปพลางตั้งท่าจะไล่ตามสุดฝีเท้า 

    เหยียนไป๋หลิงกลับยืนหัวเราะ "ก็มาเสียทีสิเจ้าคะ นายน้อย!"
     

    เด็กชายแสยะยิ้มรับคำท้าก่อนที่ร่างจะหายไปด้วยวิชาตัวเบาที่ฝึกฝนมาอย่างเต็มกำลัง..
     




    =
     ปัจจุบัน = 


    "ปิศาจพรรค์นี้ จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือเลยรึ
    ?" บุรุษผู้มีสายตาเย็นชาเอ่ยเรียบๆอย่างดูแคลนเมื่อจ้องมองร่างปิศาจที่ตัวสูงเท่าต้นหูหยางที่อยู่ตรงหน้า ชุดนักพรตสีขาวพระจันทร์ สาบเสื้อคลุมกุ๊นขอบด้วยสีทองบ่งบอกชนชั้นเจ้าสำนักของเขาได้เป็นอย่างดี

    "ซูเมิ่ง อย่าได้ประมาทมัน ความสามารถที่สามารถเพิ่มจำนวนตัวเองได้ในพริบตาแบบนั้น หากไม่จัดการให้ดีเราเองก็มีสิทธิ์แย่เหมือนกันนะ" ผู้กล่าวเตือนคือเซี่ยเฉิน ศิษย์พี่ของเขา
     

    "ไม่ว่ามันจะแบ่งตัวงอกร่างออกมามากแค่ไหน ก็ไม่ครณามือข้าหรอก" อีกฝ่ายเอ่ยอย่างทรนง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยตลอดเวลา ดวงตาลึกล้ำยิ่งกว่าก้นบึ้งมหาสมุทร "ความสามารถเช่นนั้นช่างไร้ความหมายสิ้นดีเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า"
     

    เซี่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่ยืนยิ้มดูชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าแสดงฝีมือก่อน
     

    เขายกกระบี่ขึ้นตั้ง เพียงแค่ตั้งสมาธิก็ปรากฎเงากระบี่นับร้อยห้อมล้อมร่างกายเขา เมื่อดึงกระบี่เข้ามาและผลักออกไป เงากระบี่รอบกายเขาก็อันตรธานไปในชั่ววิบตา เซี่ยเฉินยกยิ้มมุมปาก วิชาหมื่นพันเงากระบี่นี้หากมิใช่ศิษย์น้องของเขาคงไม่ใช้ออกง่ายดายเพียงนี้แน่ และที่กระบี่เหล่านั้นหายไปก็มิใช่ว่าซูเมิ่งไม่เก่งพอ แต่เพราะมันสลายกลายเป็นคมกระบี่อันเล็กจนแทบมองไม่เห็นต่างหาก

     

    การใช้ปราณควบคุมเศษคมกระบี่เหล่านั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อผู้ใช้เป็นถึงระดับชั้นเจ้าสำนัก ย่อมใช้ออกได้ดังใจโดยไม่ต้องร่ายอาคมเลยสักนิด

    พริบตาต่อมา เจ้าปิศาจร้ายก็ถูกคมกระบี่ที่มองไม่เห็นทิ่มแทงเข้าทุกส่วนของร่างกายจนเลือดของมันสาดไปทั่ว มันร้องคำรามโหยหวนจากความเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่บังเกิดกับผิวกายพร้อมกันทั่วทั้งตัว ก่อนจะล้มลงไปนอนที่พื้นจนพื้นสั่นสะเทือนความความใหญ่โตของลำตัว


    เจิ้งซูเมิ่งเรียกดาบกลับคืนสภาพเดิมเมื่อเห็นวี่แววชัยชนะลอยอยู่ตรงหน้า แต่เซี่ยเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น
     

    "ข้าว่ามันแปลกๆนะ ซูเมิ่ง"
     

    ชายหนุ่มชะงักมือและจ้องมองร่างยักษ์อย่างเพ่งพินิจทุกการกระทำ
     

    "หากมันจะตายง่ายๆ คงไม่ต้องถึงมือพวกเราหรอก"
     

    "อืม..นั่น!" เซี่ยเฉินร้องขึ้นเมื่อเห็นก้อนเนื้อเริ่มผุดขึ้นจากรอยแผลที่อยู่บนตัวของเจ้าปิศาจทั้งสอง
     

    หนึ่งรอยแผล ก่อเกิดหนึ่งก้อนเนื้อ
     

    และมันกำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ..
     

    "แย่ล่ะสิ แค่มีแผล มันก็แบ่งตัวได้แบบนี้เลยรึ
    ?!" เซี่ยเฉินเบิกตามองขณะครุ่นคิดหาวิธีรับมือและคำนวณจำนวนของพวกมันอยู่ในใจ แต่แล้วก็เลิกคำนวณเพราะบาดแผลจำนวนมากที่เจิ้งซูเมิ่งก่อไว้ บัดนี้มันทำให้จำนวนของหน่อปิศาจพวกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล

    "เราต้องหยุดการแบ่งตัวพวกนั้น!" เซี่ยเฉินเตรียมชักกระบี่ของตนออกมาบ้าง แต่ก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อยเมื่อปราณสายการโจมตีของทั้งเขาและเจิ้งซูเมิ่งมีแต่จะยิ่งทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น และมากขึ้นอีก
     

    เจิ้งซูเมิ่งไม่รอช้า เขาเปลี่ยนกลยุทธ์โดยตั้งใจให้อาคมที่จะสาปมันให้เป็นหินแทน แต่ยังไม่ทันได้ขยับ กลับปรากฎคลื่นน้ำแข็งสีขาวขนาดใหญ่จากอีกฝากของชายป่าก็พุ่งเข้าใส่ปิศาจตัวนั้น ทำให้มันถูกแช่แข็งในก้อนผลึกน้ำแข็งจนหมดโอกาสที่จะแบ่งตัวได้อีก อย่าว่าแต่จะแบ่งตัวเลย แค่จะขยับตัว มันก็มิอาจทำได้

    "เหยียนไป๋หลิง!" เซี่ยเฉินร้องเรียกหญิงสาวในชุดสีเหลืองต้นหลิวด้วยความดีใจระคนแปลกใจ เขาไม่คิดว่าจะได้เจอนางอีกครั้งหลังจากที่นางหายสาบสูญไปกว่าห้าสิบปี
     

    แต่แล้วเซี่ยเฉินก็ต้องหยุดปากเมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารจากชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ เมื่อหันไปก็เห็นเจิ้งซูเมิ่งเบิกตากว้างหลังได้ยินนามนั้นที่เขาเพิ่งหลุดปากเรียกออกไป
     

    "เหยียนไป๋หลิง.. "
     

    ณ ตอนนี้เซี่ยเฉินด้แต่รู้สึกเกลียดชังตัวเองที่ไม่คิดให้ดีก่อนจะเรียกขานนามนั้นออกไปต่อหน้าเจิ้งซูเมิ่ง
     

    หญิงสาวร่างผอมบางนั้นแล่นถลาลงพื้นอย่างงดงาม พร้อมกับเก็บกระบี่คู่ใจกลับเข้าฝัก ทันทีที่กระบี่กลับเข้าฝักอย่างเรียบร้อย ก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างสัตว์ร้ายอยู่เบื้องหลังก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปพร้อมๆกับชีวิตของมัน
     

    เหยียนไป๋หลิงจ้องมองร่างสูงสง่าเบื้องหน้าตนก่อนจะเปรยยิ้มออกมา
     

    "ท่านโตขึ้นมากนะคะ นายน้อยเจิ้งซูเมิ่ง"
     

    "ชื่อของข้าไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างเจ้าเอ่ยเรียก"
     

    "นั่นสินะเจ้าคะ" หญิงสาวจ้องมองแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีก ทว่าแววตานั้นเศร้าสร้อยเหลือทน นางก้าวเท้าช้าไปหาเขา
     

    เจิ้งซูเมิ่งชักกระบี่ออกมา หากนางยังคงเดินไปอย่างไม่เกรงกลัว จนกระทั่งปลายกระบี่ทิ่มเข้าที่ไหล่ซ้ายของนาง หากนางก้าวเท้าเข้าไปอีกเพียงก้าวเดียวหรือเขาออกแรงไสกระบี่ไปเบื้องหน้าอีกหน่อย ร่างนางคงไม่พ้นจะได้บาดแผล
     

    "ไม่ได้นะ! ซูเมิ่ง! เจ้าฆ่านางไม่ได้นะ!! แค่กๆ!!" เซี่ยเฉินร้องห้าม แต่ก็กระอักเลือดออกมาคำโต
    เพราะสุขภาพและร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรงด้วยโรคประจำตัว

    เหยียนไป๋หลิงเงยหน้ามองเจิ้งซูเมิ่ง ทั้งคู่จ้องมองกันและกันอย่างไม่มีใครสนใจคำพูดของเซี่ยเฉิน

    "ฆ่าข้าซะ นายน้อย.. " หญิงสาวหลับตาลง "อย่างที่ข้าฆ่าท่านซูหยุน.. "
     

    คมดาบตวัดวูบอย่างเร็วจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ทัน แล้วเปลวเลือดก็สาดกระจายจากร่างเล็กเป็นทางตามแรงวาดของคมดาบนั้น..
     

     

     


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น