ลิขิตรัก ชะตาร้าย
นางหายสาบสูญไปกว่าห้าสิบปี กลับมาคราวนี้ปรารถนาเพียงความตายใต้คมกระบี่ของเขา
ผู้เข้าชมรวม
600
ผู้เข้าชมเดือนนี้
16
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
..ห้าสิบห้าปีก่อนหน้านี้..
สวนหย่อมของสำนักเซียนหลงซวน
"หลิงหลิง!
เหยียนไป๋หลิง!"
เสียงเด็กชายวัยสิบขวบที่สวมชุดนักพรตสีขาวดอกชาเดินส่งเสียงเรียกหาสาวใช้ของตนไปทั่ว
มือถือดาบไม้สะบัดฟันยอดหญ้าที่ชูสลอนไปตลอดทาง "ไปไหนของนางกันนะ? ได้เวลากลับจากสำนักแล้วไม่ใช่หรือ?"
เด็กชายบ่นงึมงำกับตัวเอง
พอเดินไปได้อีกหน่อยเด็กชายยกมือป้องปากร้องเรียกชื่อนั้นอีก
"หลิงหลิง..."
เดินเรียกหานางมาตลอดทาง
จนมาถึงริมลำธารที่พวกเขาชอบมานั่งเล่นด้วยกันบ่อยๆก็เห็นหญิงสาวที่เขากำลังตามหาแทบตายกำลังนอนลอยชายหนุนแขนตัวเองมองท้องฟ้าอยู่ที่ใต้ต้นไห่ถางที่กำลังผลิดอกสีชมพูเต็มต้น
กลีบสีอ่อนสลับเข้มร่วงหล่นลงบนร่างเล็กเมื่อลมพัดมา
หากนางยังนอนนิ่งคล้ายจะให้กลีบดอกเหล่านั้นกลบฝังร่างนางลงไป
เจิ้งซูเมิ่งพาดดาบไม้ไว้ที่คอแล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และหยุดยืนข้างร่างเหยียนไป๋หลิงที่เพียงส่งยิ้มกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา
"จะค่ำแล้วนะ ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก?" เจิ้งซูเมิ่งถามขึ้นแล้วนั่งลงข้างๆกันนั้นเอง
เหยียนไป๋หลิงกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม
แต่ดวงตานั้นกลับมองไปยังดวงอาทิตย์สีส้มที่ใกล้จะลับขอบฟ้า
"คุณชายเป็นห่วงข้าด้วยหรือเจ้าคะ?"
"เปล่าเสียหน่อย! ทำไมข้าต้องเป็นห่วงสาวใช้อย่างเจ้าด้วยล่ะ!"
เจิ้งซูเมิ่งรีบโวยวายตอบทั้งที่แก้มตัวเองแดงก่ำขึ้นมา
เขารีบเบือนหน้าหนีหลบสายตาของหญิงสาวที่มองมาอย่างขบขัน
"อ้าว ไม่ได้ห่วงข้าหรอกหรือ แย่จัง ข้าอุตสาห์ดีใจนึกว่านายน้อยเป็นห่วงข้าเสียอีก"
"ห่วงทำไม? เจ้าเป็นถึงศิษย์ขั้นหนึ่ง
มีอะไรน่าห่วงกัน?" เด็กชายต่อล้อต่อเถียงสีหน้าจริงจัง ใครๆล้วนทราบดี ศิษย์ขั้นหนึ่งหมายถึงศิษย์ที่มีฝีมือเป็นรองแค่เพียงอาจารย์
หญิงสาวหัวเราะคิกคักเบาๆ ใช้ศอกดันร่างตัวเองขึ้นนั่งแล้วมองเด็กชาย
ถึงจะยังเด็กแต่เด็กคนนี้ก็เป็นถึงลูกชายคนโตและคนเดียวของเจ้าสำนักเมิ่งซูหยุน
ตัวนางนั้นเดิมทีเป็นสาวใช้ที่สำนักเซียนหลงซวนตั้งแต่นายน้อยของนางยังไม่เกิด
จากสถานะสาวใช้ธรรมดาที่มีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู แต่ด้วยเมิ่งซูหยุนมองเห็นบางอย่างในตัวนางจึงได้รับนางมาเรียนในสำนักด้วย
และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ร่ำเรียนและบำเพ็ญเพียรมาหลายสิบปี
ในที่สุดความสามารถก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุดที่เหล่าเซียนน้อยทั้งหลายวาดฝัน
คือศิษย์ขั้นหนึ่ง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดฝัน
ไม่คิดว่าเด็กกำพร้าเช่นนางจะได้รับโอกาสเช่นนี้มาก่อน
จากนั้นเป็นต้นมา
นางจึงตั้งมั่นว่าชีวิตนี้จะอุทิศตัวและภักดีเพื่อสำนัก สกุลเมิ่ง
และเมิ่งซูหยุนผู้เป็นนาย จนกว่าชีวิตจะดับสูญไป
"ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงเจ้าค่ะ" นางทำหน้าราวกับกลั้นหัวเราะ นายน้อยของนางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ..ทำเป็นไม่สนใจ
ทำเป็นไม่แยแส แต่แท้จริงแล้วแอบสนใจอยู่ไม่น้อย
"ไม่ต้องมายิ้มเลย ปล่อยข้าตามหาเจ้าซะทั่ว คิดจะแกล้งกันหรืออย่างไร?" เขายังบ่นอุบอิบ
เหยียนไป๋หลิงเบิกตากว้างน้อยๆ "ตามหาข้าทั่วเลยหรือเจ้าคะ?"
เจิ้งซูเมิ่งที่เพิ่งรู้ตัวว่าดันหลุดปากพูดไปแล้วก็รีบบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องคุย
ทั้งยังแกล้งปั้นหน้าหงุดหงิด "เปล่าเสียหน่อย!
อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลยน่ะ! กลับบ้านได้แล้ว ข้าหิวข้าว!"
"เอ๋? นายน้อยรอทานข้าวพร้อมกับข้าหรือเจ้าคะ?" นางอดไม่ได้ที่หยอกเขาต่อ
เจิ้งซูเมิ่งทำเชิดหน้าอย่างยโสตามที่นางคาดการณ์ "เปล่า ข้าแค่ยังไม่หิว"
ปากแข็งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
"เจ้าค่ะ ไม่หิวก็ไม่หิว"
นางลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปยังเด็กชายที่ปัดมือนางออกเบาๆ
"ข้าลุกเองได้"
เจิ้งซูเมิ่งรีบลุกขึ้นมาก่อนจะปัดเศษหญ้าสีเขียวออกจากเสื้อคลุมของตน
พอหันกลับมาอีกที
"นายน้อยเจ้าค้า~" ร่างหญิงสาวที่สูงกว่าเขากลับไปยืนป้องปากตะโกนเรียกเขาอยู่ไกลๆ
"ถ้าช้าข้าไม่รอนะเจ้าค้า~"
เจิ้งซูเมิ่งเห็นเข้าก็โกรธจนตัวสั่น "หนอย!
คิดว่าวิชาตัวเบาของข้าจะตามเจ้าไม่ทันรึ?! แน่จริงก็รออยู่ตรงนั้นสิ!"
เขาตะโกนกลับไปพลางตั้งท่าจะไล่ตามสุดฝีเท้า
เหยียนไป๋หลิงกลับยืนหัวเราะ "ก็มาเสียทีสิเจ้าคะ นายน้อย!"
เด็กชายแสยะยิ้มรับคำท้าก่อนที่ร่างจะหายไปด้วยวิชาตัวเบาที่ฝึกฝนมาอย่างเต็มกำลัง..
= ปัจจุบัน =
"ปิศาจพรรค์นี้ จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือเลยรึ?" บุรุษผู้มีสายตาเย็นชาเอ่ยเรียบๆอย่างดูแคลนเมื่อจ้องมองร่างปิศาจที่ตัวสูงเท่าต้นหูหยางที่อยู่ตรงหน้า ชุดนักพรตสีขาวพระจันทร์
สาบเสื้อคลุมกุ๊นขอบด้วยสีทองบ่งบอกชนชั้นเจ้าสำนักของเขาได้เป็นอย่างดี
"ซูเมิ่ง อย่าได้ประมาทมัน
ความสามารถที่สามารถเพิ่มจำนวนตัวเองได้ในพริบตาแบบนั้น
หากไม่จัดการให้ดีเราเองก็มีสิทธิ์แย่เหมือนกันนะ" ผู้กล่าวเตือนคือเซี่ยเฉิน
ศิษย์พี่ของเขา
"ไม่ว่ามันจะแบ่งตัวงอกร่างออกมามากแค่ไหน ก็ไม่ครณามือข้าหรอก"
อีกฝ่ายเอ่ยอย่างทรนง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยตลอดเวลา
ดวงตาลึกล้ำยิ่งกว่าก้นบึ้งมหาสมุทร
"ความสามารถเช่นนั้นช่างไร้ความหมายสิ้นดีเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า"
เซี่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่ยืนยิ้มดูชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าแสดงฝีมือก่อน
เขายกกระบี่ขึ้นตั้ง เพียงแค่ตั้งสมาธิก็ปรากฎเงากระบี่นับร้อยห้อมล้อมร่างกายเขา
เมื่อดึงกระบี่เข้ามาและผลักออกไป เงากระบี่รอบกายเขาก็อันตรธานไปในชั่ววิบตา
เซี่ยเฉินยกยิ้มมุมปาก
วิชาหมื่นพันเงากระบี่นี้หากมิใช่ศิษย์น้องของเขาคงไม่ใช้ออกง่ายดายเพียงนี้แน่
และที่กระบี่เหล่านั้นหายไปก็มิใช่ว่าซูเมิ่งไม่เก่งพอ
แต่เพราะมันสลายกลายเป็นคมกระบี่อันเล็กจนแทบมองไม่เห็นต่างหาก
การใช้ปราณควบคุมเศษคมกระบี่เหล่านั้นมิใช่เรื่องง่าย
แต่เมื่อผู้ใช้เป็นถึงระดับชั้นเจ้าสำนัก
ย่อมใช้ออกได้ดังใจโดยไม่ต้องร่ายอาคมเลยสักนิด
พริบตาต่อมา
เจ้าปิศาจร้ายก็ถูกคมกระบี่ที่มองไม่เห็นทิ่มแทงเข้าทุกส่วนของร่างกายจนเลือดของมันสาดไปทั่ว มันร้องคำรามโหยหวนจากความเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่บังเกิดกับผิวกายพร้อมกันทั่วทั้งตัว
ก่อนจะล้มลงไปนอนที่พื้นจนพื้นสั่นสะเทือนความความใหญ่โตของลำตัว
เจิ้งซูเมิ่งเรียกดาบกลับคืนสภาพเดิมเมื่อเห็นวี่แววชัยชนะลอยอยู่ตรงหน้า
แต่เซี่ยเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น
"ข้าว่ามันแปลกๆนะ ซูเมิ่ง"
ชายหนุ่มชะงักมือและจ้องมองร่างยักษ์อย่างเพ่งพินิจทุกการกระทำ
"หากมันจะตายง่ายๆ คงไม่ต้องถึงมือพวกเราหรอก"
"อืม..นั่น!"
เซี่ยเฉินร้องขึ้นเมื่อเห็นก้อนเนื้อเริ่มผุดขึ้นจากรอยแผลที่อยู่บนตัวของเจ้าปิศาจทั้งสอง
หนึ่งรอยแผล ก่อเกิดหนึ่งก้อนเนื้อ
และมันกำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ..
"แย่ล่ะสิ แค่มีแผล มันก็แบ่งตัวได้แบบนี้เลยรึ?!" เซี่ยเฉินเบิกตามองขณะครุ่นคิดหาวิธีรับมือและคำนวณจำนวนของพวกมันอยู่ในใจ
แต่แล้วก็เลิกคำนวณเพราะบาดแผลจำนวนมากที่เจิ้งซูเมิ่งก่อไว้
บัดนี้มันทำให้จำนวนของหน่อปิศาจพวกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล
"เราต้องหยุดการแบ่งตัวพวกนั้น!"
เซี่ยเฉินเตรียมชักกระบี่ของตนออกมาบ้าง
แต่ก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อยเมื่อปราณสายการโจมตีของทั้งเขาและเจิ้งซูเมิ่งมีแต่จะยิ่งทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น
และมากขึ้นอีก
เจิ้งซูเมิ่งไม่รอช้า เขาเปลี่ยนกลยุทธ์โดยตั้งใจให้อาคมที่จะสาปมันให้เป็นหินแทน
แต่ยังไม่ทันได้ขยับ
กลับปรากฎคลื่นน้ำแข็งสีขาวขนาดใหญ่จากอีกฝากของชายป่าก็พุ่งเข้าใส่ปิศาจตัวนั้น
ทำให้มันถูกแช่แข็งในก้อนผลึกน้ำแข็งจนหมดโอกาสที่จะแบ่งตัวได้อีก
อย่าว่าแต่จะแบ่งตัวเลย แค่จะขยับตัว มันก็มิอาจทำได้
"เหยียนไป๋หลิง!" เซี่ยเฉินร้องเรียกหญิงสาวในชุดสีเหลืองต้นหลิวด้วยความดีใจระคนแปลกใจ
เขาไม่คิดว่าจะได้เจอนางอีกครั้งหลังจากที่นางหายสาบสูญไปกว่าห้าสิบปี
แต่แล้วเซี่ยเฉินก็ต้องหยุดปากเมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารจากชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ
เมื่อหันไปก็เห็นเจิ้งซูเมิ่งเบิกตากว้างหลังได้ยินนามนั้นที่เขาเพิ่งหลุดปากเรียกออกไป
"เหยียนไป๋หลิง.. "
ณ
ตอนนี้เซี่ยเฉินด้แต่รู้สึกเกลียดชังตัวเองที่ไม่คิดให้ดีก่อนจะเรียกขานนามนั้นออกไปต่อหน้าเจิ้งซูเมิ่ง
หญิงสาวร่างผอมบางนั้นแล่นถลาลงพื้นอย่างงดงาม พร้อมกับเก็บกระบี่คู่ใจกลับเข้าฝัก
ทันทีที่กระบี่กลับเข้าฝักอย่างเรียบร้อย
ก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างสัตว์ร้ายอยู่เบื้องหลังก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปพร้อมๆกับชีวิตของมัน
เหยียนไป๋หลิงจ้องมองร่างสูงสง่าเบื้องหน้าตนก่อนจะเปรยยิ้มออกมา
"ท่านโตขึ้นมากนะคะ นายน้อยเจิ้งซูเมิ่ง"
"ชื่อของข้าไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างเจ้าเอ่ยเรียก"
"นั่นสินะเจ้าคะ" หญิงสาวจ้องมองแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีก
ทว่าแววตานั้นเศร้าสร้อยเหลือทน นางก้าวเท้าช้าไปหาเขา
เจิ้งซูเมิ่งชักกระบี่ออกมา หากนางยังคงเดินไปอย่างไม่เกรงกลัว
จนกระทั่งปลายกระบี่ทิ่มเข้าที่ไหล่ซ้ายของนาง หากนางก้าวเท้าเข้าไปอีกเพียงก้าวเดียวหรือเขาออกแรงไสกระบี่ไปเบื้องหน้าอีกหน่อย
ร่างนางคงไม่พ้นจะได้บาดแผล
"ไม่ได้นะ! ซูเมิ่ง! เจ้าฆ่านางไม่ได้นะ!! แค่กๆ!!" เซี่ยเฉินร้องห้าม
แต่ก็กระอักเลือดออกมาคำโตเพราะสุขภาพและร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรงด้วยโรคประจำตัว
เหยียนไป๋หลิงเงยหน้ามองเจิ้งซูเมิ่ง
ทั้งคู่จ้องมองกันและกันอย่างไม่มีใครสนใจคำพูดของเซี่ยเฉิน
"ฆ่าข้าซะ นายน้อย.. " หญิงสาวหลับตาลง
"อย่างที่ข้าฆ่าท่านซูหยุน.. "
คมดาบตวัดวูบอย่างเร็วจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ทัน
แล้วเปลวเลือดก็สาดกระจายจากร่างเล็กเป็นทางตามแรงวาดของคมดาบนั้น..
ผลงานอื่นๆ ของ 雨衣 อวี่อี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ 雨衣 อวี่อี
ความคิดเห็น