ตอนที่ 47 : หวงมาก
พอเดินลงจากเวทีเขาก็พาเธอไปทำความรู้จักกับคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในบริษัท เรียกว่าเก็บหญิงสาวไว้ข้างตัวไม่ยอมให้ห่าง บัวชมพูนึกเป็นห่วงธันวาที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อน
แต่เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าผู้กองหนุ่มกำลังคุยอยู่กับธีระภพและวิภาดาอย่างออกรส หัวใจเธอสั่นพร่า ต้องคอยปั้นหน้าแย้มยิ้มไม่เป็นตัวของตัวเอง มันทำให้อึดอัดเหลือเกิน พอภูวฤทธิ์หันไปคุยเรื่องธุรกิจกับลูกค้าเพลินจนลืมสนใจ เธอก็ปลีกตัวกลับไปยังวงสนทนาที่คุ้นเคยทันที
เมื่อภูวฤทธิ์หันกลับมามองข้างตัว บัวชมพูก็หายตัวไปแล้ว ดวงตาคมสอดส่ายมองหา
“โอ๊ะ”
ร่างบางเดินสะดุด และผู้กองธันวาที่อยู่ใกล้ ก็คว้าตัวเธอไว้เสียเต็มรัก
ดวงตาคมคายวาบวาวกร้าวขึ้นมา ความร้อนพุ่งขึ้นหน้า เมื่อเห็นว่าบัวชมพูกำลังอยู่ในอ้อมกอดของคู่ควงหนุ่ม มือหนากำแน่นโดยไม่รู้ตัว หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“อาจจะเป็นโครงการของปีหน้า ใช่ไหมภูวฤทธิ์”
สมิธถามความเห็นจากเขา
ชายหนุ่มหันหน้ามาพยายามปั้นหน้ายิ้ม
“คุณอาว่ายังไงนะครับ?”
เขาเสียสมาธิไปเพราะผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว นับวันบัวชมพูยิ่งมีอิทธิพลกับเขาจนเกินไป จนทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองไปทุกที...ที่วันๆ คอยแต่จะคิดถึงเธอ
“คุณเลิศถามว่าเรามีโครงการจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ไหม?”
“อ้อ...เรื่องนั้นผมคิดว่า...”
เขาต้องรวบรวมสมาธิให้มาก ถึงจะกลับมาอยู่ในวงสนทนาเรื่องธุรกิจที่แสนน่าเบื่ออีกครั้ง แต่ปรายสายตายังแอบลอบมองบัวชมพูอยู่เรื่อยๆ
‘เจ้าเสน่ห์เหลือเกินนะ’
นึกค่อนขอดอยู่ในใจ เมื่อเห็นคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะหนุ่มๆ แวะเวียนย่างกรายเข้าไปทักทายเธอ มือหนาคว้าเอาแก้วบรั่นดีในถาดเงินที่บริกรเดินผ่านมาจิบ สายตายังจับจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ในวงล้อมของชายหนุ่ม
ดูท่าว่ากลิ่นกระดังงาลนไฟของแม่หม้ายยังสาวจะหอมหวลจนชักชวนหมู่ภมรให้มาตอมดอมดมราวกับดาวล้อมเดือน
ภูวฤทธิ์ไม่ได้นับว่าเขาดื่มเข้าไปกี่แก้ว เพื่อใช้สงบสติอารมณ์ แต่มันได้ผลตรงกันข้าม
อารมณ์ที่ควรสงบกับพุ่งพล่านเกินความคุม และเมื่อหันกลับไปดูอีกที บัวชมพูก็หายไปเสียแล้ว ร่างสูงเริ่มเดินเซนิดๆ
“ไหวไหมคะคุณฤทธิ์?”
ปิยะมาศกระซิบถาม ช่วยจับท่อนแขนล่ำสันประคองเจ้านายเอาไว้
เขายกมือขึ้นห้ามเธอ
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก...คุณเห็นบัวชมพูไหม?”
“เธอออกไปแล้วนี่คะ”
“ออกไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่? กับใครคุณเห็นไหม”
เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็ผลัดกันเข้ามาคุยกับเขา ภูวฤทธิ์จึงไม่อาจจับจ้องสายตาให้อยู่แต่กับเธอได้ สุดท้ายแม่เลี้ยงสาวของเขาก็หายตัวไป
“สักครู่แล้วค่ะ ออกไปกับผู้ชายที่ผูกเนคไทสีฟ้า”
นายผู้กองธันวางั้นหรือ...เขากัดกรามแน่นโดยไม่รู้ตัว
“อ้อ! เมื่อตอนกลางวัน มีเอกสารปิดผนึกมาถึงคุณฤทธิ์ เห็นปั๊มหน้าซองว่า เอกสารสำคัญลับเฉพาะ ด้วยค่ะ”
ปิยะมาศรีบบอกก่อนจะลืมไปอีกครั้ง
ใบหน้าคร้ามนิ่วนิดๆ เอกสารสำคัญลับเฉพาะ งั้นหรือ?
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ดิฉันเอาติดมาในกระเป๋า เดี๋ยวไปหยิบให้ รอสักครู่นะคะ” เลขาคนเก่งบอก ก่อนจะลับกายหายไปทางหลังเวที กลับมาอีกครั้งพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลที่ปิดผนึกแน่นหนา
“ไม่น่ามีอะไรแล้วนะ”
เขากวาดสายตามองห้องจัดเลี้ยง แขกเริ่มขอตัวทยอยกันกลับ
“ผมฝากคุณมาศดูแลต่อด้วยด้วยนะครับ”
หัวใจเขาก็ร้อนรนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ไม่สิ...ทุกอย่างมีเหตุก็ย่อมต้องมีผล...และผลที่หัวใจเขาร้อนรน...เหตุก็เพราะว่า เขามองหาแม่เลี้ยงยังสาวคนสวยไม่เจอ และยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินว่าเธอออกไปกับนายผู้กองธันวา ที่ดูท่าว่าจะมาวินในหัวใจของหญิงสาวเสียแล้ว
ปิยะมาศยื่อนซองเอกสารให้เจ้านาย ก่อนจะขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยของงานเลี้ยงที่จบลงอย่างงดงามในค่ำคืนนี้
มือหนาฉีกซองเอกสารที่ปั๊มหน้าซองว่า ‘เอกสารสำคัญลับเฉพาะ’ ออกดูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ
กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชาไปทั้งร่าง หัวใจแทบหยุดเต้น ดวงตาคมเบิ่งค้าง หากมีไฟออกมาจากดวงตากร้าวที่ตื่นตะลึงนั่น กระดาษตรงหน้าคงจะลุกติดไฟไหม้ไปแล้ว
แต่ไม่ได้...มันจะถูกทำลายไม่ได้ เพราะนี่คือหลักฐานที่จะฉีกหน้าผู้หญิงหลอกลวงคนนั้น
ตัวเขาชา...หน้าเขาชา...หัวใจเจ็บหนึบเหมือนถูกบีบบี้ขยี้ขยำจากมือที่มองไม่เห็น
เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง...บัวชมพูทำอย่างนี้กับพ่อของเขา...กับเขา...ได้ยังไง
ผู้หญิงที่ตั้งท้องตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ยอมเป็นเมียผู้ชายแก่คราวพ่อ ถึงผัวตายเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว เจ้าหล่อนก็ไม่มีทางซื่อใสไร้เดียงสาอย่างที่แสดงออกแนบเนียน เสียจนเขาหลงเชื่อ
เธอมันนักแสดงเจ้าบทบาท นางเอกรางวัลตุ๊กตาทองที่ตีบทแตกกระจุย
ภูวฤทธิ์หัวเราะเยาะหยันตัวเองที่ช่างโง่เง่า ที่ไม่ยอมตรวจสอบให้แน่ใจถ้วนถี่ ทั้งๆ ที่มีโอกาส ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ท้าเหย็งๆ
ที่ผ่านมาเจ้าหล่อนคงหัวเราะขบขันว่าคนสกุลอัครเดชาชาญช่างโง่สิ้นดี หลอกตั้งแต่พ่อยันมาถึงกระทั่งลูก
ความโกรธเกรี้ยวแค้นเคืองที่กำลังคุสุมขึ้นมาในใจ ราวกับระเบิดเวลาที่มีพละกำลังและอนุภาพทำลายล้างมหาศาล เขาจะทำอย่างไรดี...จะลงโทษผู้หญิงปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนนั้นยังไงให้สาสม ก่อนที่จะเฉดหัวไล่ออกไปจากบ้านทั้งแม่ทั้งลูก
“ขอบคุณมากนะคะพี่ธันวา”
มือบางปลดเข็มขัดนิรภัยออกพร้อมกับหันมาขอบคุณสารถีกิติมศักดิ์ที่อุตส่าห์ไปเป็นเพื่อนแถมยังขับรถมาส่งเธออีก...ถ้าไม่มีธันวาไปด้วย ค่ำคืนนี้คงจะย่ำแย่กว่านี้
เธออึดอัด วางตัวไม่ถูก เพราะสถานะภรรยาหม้ายที่ไม่มีใครเคยรู้จักของคุณภูมิชาติ...และยังจะท่าทีแปลกๆ ของภูวฤทธิ์อีก
ครั้งหนึ่งเธอเคยอยากให้เขายอมรับเธอ แต่ตอนนี้เธอรังเกียจฐานะที่ต้องเป็นแม่เลี้ยงของเขา ฐานะที่ทุกคนได้รับรู้ว่าเธอกับเขาห่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีวันที่จะขยับเขยื้อนเปลี่ยนแปลงมาเป็นอย่างอื่นได้เลย
“ต้องขอบคุณอะไรกัน มันเป็นหน้าที่”
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มพราวมองใบหน้านวลสวยภายใต้แสงไฟในห้องโดยสารรถยนต์ที่สวยเสียจนเขาแทบอดใจไม่ไหว ขนาดว่าพาไปขับรถอ้อมเมืองเพื่อจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ ก็ยังไม่หนำใจ
“แต่นี่ไม่ใช่เวลาราชการแล้วนะคะ”
คนตอบยิ้มหวานกลับไป
“ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจ”
ดวงตาของธันวาทอแสงอ่อนลง แต่มองตรงมาที่เธอ มือหนาเอื้อมไปกุมมือน้อยเอาไว้
“แต่เป็นหน้าที่ของ...”
บัวชมพูใจหายวาบ เธอรู้ว่าธันวาคิดยังไง แต่เธอก็ไม่พร้อมสำหรับจะรับหรือปฏิเสธสถานะที่มากไปกว่าที่ยังเป็นอยู่ในตอนนี้
ชอบก็อย่าลืมกดหัวใจด้านล่าง
และคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะจ๊ะ
![]() |
|
กดติดตามผลงานของนักเขียนได้ที่เพจนี้นะจ๊ะ
จะได้ไม่พลาดการติดตามน๊า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
