ตอนที่ 14 : บรรพ : ๑๓ เก่งมาจากไหนก็แพ้หัวใจอย่างคุณ (Rewrite)
บรรพ 0
ว่าด้วย...เก่งมาจากไหนก็แห้หัวใจอย่างคุณ
สวัสดีวันพฤหัสฯที่แสนสดใส
ต่อไปนี้ขอยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วงหมดโปรฯ หรือเรียกอีกอย่างว่าช่วงหายหัวนั่นเอง
หายไปทั้งคนทั้งโซเชียลเลยครับ
ผมหมายถึงไอ้บีบอมนั่นแหละ ตั้งแต่ได้เจอกันวันที่ละครเวทีเสร็จ ไม่อยากจะบอกเลยว่าหลังจากนั้นคุณหลวงท่านก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ตั้งแต่เกิดมาทั้งชีวิตนิติกรคนหล่อเพิ่งจะเคยรู้จักกับคำว่าเหงาสุดก็ตอนนี้ เออ เหงาด้วย หิวด้วย
ถ้าจะถามว่าหมดโปรฯจริงไหม ก็จะขอตอบเลยว่าไม่จริงหรอกครับ
อันที่จริงมันแค่หายไปอ่านหนังสือสอบ อ่านจริงอ่านจังมากเว้ย อ่านเหมือนทั้งชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออ่านหนังสือแล้วก็ตายไปพร้อมกับประมวลกฎหมายเล่มหนาๆเท่าปาหัวไอ้แจ็คแตก แรกๆก็ไปอ่านด้วยกันอยู่หรอก พอหลังๆมานี่ ยิ่งช่วงใกล้สอบมันก็หายตัวเหมือนคนลักลอบหนีออกนอกประเทศไปเลย
โชคดีเหลือเกินผมที่ไม่เรียนตามที่พ่อเคยแนะนำ กว่าจะจบคงได้กลายเป็นคนวิกลจริตก่อนอย่างที่พวกเพื่อนๆที่เรียนนิติศาสตร์เคยบ่นเอาไว้ในเฟซ
แค่นี้ผมยังหลอนมันที่ชอบพูดคนเดียวกลางดึกจนคิดว่ามีซิกเซนส์คุยกับกุมารทองน้องจุกน้องแดงซึ่งจริงๆแล้วแค่ท่องประมวล นี่ขนาดผมชอบคณิตฟิสิกส์แล้วมาเรียนวิดวะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าไปเรียนพวกท่องจำแบบมันนี่จะไม่คางเหลืองตายเลยหรอ
อันนี้ก็ว่าสัปดาห์ละครเวทีที่ผ่านมาคือเดอะเบสความเหนื่อยกายเหนื่อยใจชิบหายแล้ว กระผมก็อยากจะนำเสนอเทศกาลนรกเข้าชิง นั่นคือเดือนแห่งการสอบไฟนอลที่ได้มาเยือนเซอร์ไวเวอร์ในมอทั้งหลายแหล่ตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกคุณจะได้พบกับปรากฏการณ์ที่หาจากไหนไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คือ วันไนท์มิราเคิล เคิล เคิล เคิล...
อยากดูหมีแพนด้าก็ไม่ต้องไปไกลถึงเชียงใหม่แล้วนะ เนี่ยเดินเข้ามาในมอตอนนี้เลยจะได้เห็นทั้งหมีทั้งซอมบี้ ใต้ตงใต้ตาก็อย่างกับคนพี้ยามาเป็นเวลา10ปี ดำยิ่งกว่าตอไม้ที่ใช้เผาถ่าน ยกตัวอย่าง เช่น ไอ้วิศวกรในช่วงนี้ เป็นต้น
งานนี้ต่อให้ตายแล้วก็ต้องจิกหัวตัวเองลุกขึ้นมาใหม่ อ่านแล้วก็ตายไปซ้ำๆอีก ตายไม่พอ ถ้าตกนรกมึงก็ต้องเอาโจทย์ลงไปทำด้วยเพราะอาจารย์บอกว่าจะตามไปคุมสอบที่นั่น
ติ้งๆๆๆๆๆๆๆ
ผมละสายตาออกจากชีทตรงหน้าไปเหลือบมองหน้าจอมือถือของตัวเองที่ดังแจ้งเตือนรัวๆว่ามีไลน์เข้ามาด้วยความรำคาญใจ จริงๆเป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้วแต่ก็ต้องอดใจไว้
อดใจเอาไว้เพื่อรอให้อ่านหนังสือจบก่อนแล้วค่อยเปิดอ่านหรอ?
เปล่าหรอก ไว้ให้กูทำโจทย์ข้อนี้จบนี่แหละที่เหลือช่างแม่ง ไม่ไหวละไอ้เหี้ย อ่านจนจะอ้วก ชีวิตต้องการโซเชียลมาเยียวยา ไม่ได้จับมือถือมาหนึ่งชั่วโมงเหมือนร่างกายจะขาดอากาศหายใจ
วิดวะหมาโสด (4)
วันนี้.
JackisDevil : คนบางคนก็ควรออกจากกลุ่มไปนะถ้ารู้ตัวว่าไม่โสด
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : วันนั้นเข้าเฟซพอดีผมนี่ลุกขึ้นยืนเลยครับ
JackisDevil : โห! ลุกขึ้นตบมือแสดงความยินดีให้กับเพื่อน?
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : เปล่า แมนยูลิเวอร์พูลเสมอไอ้สาสสสสสสสส
JackisDevil : โอ้โห
JackisDevil : จริงๆแม่งเสมอได้นี่ก็บุญแล้วนะพี่
JackisDevil : เขาบุกเป็นสิบๆ เราได้ห้าครั้งยังอยู่ยากเลย
JackisDevil : วันนั้นพี่ได้หรือเสีย
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ได้ 3,000
JackisDevil : บ๊ะๆ หลังมอเลยคืนนี้ แมนยูฮัดเดอร์สฟิลด์
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : พรุ่งนี้สอบไหมสัด
Keam : จะให้ไปติวที่ไหนกัน
JackisDevil : เดี๋ยวๆ ในกลุ่มนี้มีสี่คนถูกไหม
JackisDevil : คีมแม่งก็มาแล้ว ขึ้นว่าอ่านก็ทั้งหมดแล้ว
JackisDevil : เหมือนจะมีคนซุ่มอ่านอยู่แต่ไม่ตอบว่ะ
JackisDevil : สงสัยหนีกบดานแฟนคลับผัวโจมตี
สัด
JackisDevil : อ้าว ปรากฏตัวแล้วครับ
มึงก็คุยอยู่กับพี่อันเหมือนกันนั่นแหละ
JackisDevil : กูเลิกคุยแล้วค่ะ
JackisDevil : ตอนนี้กับสาวปกครอง น่ารักเหี้ยๆ
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ว้ายยย ตกข่าว
JackisDevil : กกอยู่กะผัวมากไปจนลืมดูข่าวสารบ้านเมืองก็งี้
สรุปจะไปอ่านหนังสือที่ๆกน
ไฟย
ไหน*
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ไอ้ห่าเปลี่ยนเรื่องเก่ง
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ใจxๆนะไม่ต้องรีบ แป้นพิมพ์ไม่หนี
JackisDevil : แต่ผัวมึงไม่แน่ 5555555555555
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : อ่อนแอ
ฅวย
JackisDevil : ดีใจจรุงงง เพื่อนจะมาอ่านหนังสือด้วย
JackisDevil : ตั้งแต่เพื่อนมีผัวมานี่เพื่อนก็ไม่ค่อยว่างมาหาเราอีกเรย
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ถุงยางเซเว่นแถวหน้าหอหมดนี่ก็น่าจะเป็นเพราะพวกมึงสองผัวเมียแน่ๆ
ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่กับเพื่อนนี่กูด่าส้นตีนไปแล้วนะ
ในหัวคิดแต่เรื่องเหี้ยๆแบบนี้หรอครับ
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : ไม่ได้เหี้ยจ้า
สิงห์คัลเลอร์ฟูล : แต่ถ้าตรวจแล้วไม่เจอโรคกูก็ได้หมดนะ อิอิ
JackisDevil : +1
Keam : หอสมุดแล้วกัน โซน 24 ชม.
Keam : กูจะไปจองโต๊ะ
ได้ๆ เดี๋ยวกูตามไปคีม
JackisDevil : อย่าเพิ่งครับเพื่อนๆ
Keam : ?
JackisDevil : อย่าเพิ่งเข้าโหมดจริงจังไอ้สัด กูตามไม่ทัน
JackisDevil : คีมมึงมารับกูที่โรงอาหารโรงชายด่วน
Keam : k
Rrrrrrrrrrrrr!
นั่นไง ตัวไม่มาแต่ก็ยังส่งเสียงตามมาหลอกหลอนจนได้
ออกจากไลน์ปุ๊บนินทาไปได้ไม่ถึงครึ่งวิ ไอ้ที่ทุกคนกำลังหมายถึงในแชทเมื่อกี้โดยไม่ได้เอ่ยชื่อถึงมันเลยก็โทรเข้ามาสายแรกในหนึ่งอาทิตย์ประหนึ่งว่ามีพรายไปกระซิบบอกจนผมจะคิดว่าไอ้จุกกับไอ้แดงนี่มีอยู่จริงๆแล้วนะ
ไม่รีรอช้าอะไรผมก็กดรับสายแล้วกรอกเสียงเหนื่อยๆของตัวเองลงไปเลยว่า
“มึงอยู่ไหน กูหิวข้าว ไม่มีเพื่อนแดก”
(ร้านหมูกระทะ)
“ไปทำอะไร”
(มาร้านหมูกระทะจะให้เอารถมาซ่อมหรือไง ถามอะไรโง่ๆ)
อืม...วันนี้ผมขอเสนออีกเลย หนังใหม่ชื่อเรื่องว่า RIP ME...กูคิดไม่ทัน ไอ้สัด อย่าให้คนหล่อต้องโมโหหิวเพราะมันจะหน้ามืดตามัวแบบนี้ หิวจนตาลาย หิวจนสมองเบลอ หินจนคิดอะไรไม่ออกจะต้มชีทแดกแทนข้าวได้อยู่แล้วครับ
“ก็แล้วทำไมไม่บอกกูตั้งแต่แรกว่าจะไปกินก่อน”
(บอกไปในไลน์แล้วไงว่ามากินข้าวกับเพื่อนแล้วจะไปอ่านหนังสือต่อ ยังไม่ได้เปิดอ่านหรอ) กรรม ผมผิดเองแหละ ปกติก็เห็นแม่งชอบโทรมาหาตลอด ผมก็เพิ่งจะได้จับมือถือก็ตอนที่แชทกลุ่มพวกหมาๆมันดังรบกวนประสาทเมื่อกี้นี่ไง
“เออๆ ช่างแม่งเหอะ”
(ยังไม่ได้กินหรอ)
“เดี๋ยวไปหากินแถวๆหน้าหอเอาเองแหละ”
ไม่อยากรบกวนมันแหละครับ ช่วงนี้มันยิ่งชอบบ่นๆว่าไม่ค่อยได้นอนเพราะอ่านหนังสือไม่ทัน ถ้าจำไม่ผิดเห็นว่าพรุ่งนี้มันก็มีสอบเหมือนกันด้วย ตอนนี้ผมแค่อยากหาอะไรกินแก้เครียดแล้วค่อยกะว่าจะไปให้ไอ้คีมติวเสริมให้ ทวนที่อ่านไปจบแล้วอีกรอบหนึ่งเฉยๆ
“แค่นี้นะ”
(ลงมารอข้างล่าง เดี๋ยวพาไป)
“อ้าว มึงกินเสร็จแล้วหรอ”
(อืม)
“ไม่ไปอ่านหนังสือกับเพื่อนต่ออ่ะ”
(เดี๋ยวพามึงไปก่อน)
“โอเค กูเก็บของแป๊บ”
จริงๆมันก็ไม่ได้หายหัวไปไหนไกลหรอกครับ ขลุกอยู่ที่หอของมันนั่นแหละ ช่วงนี้ได้อยู่ด้วยกันก็มีแค่บางทีที่ได้ไปหาอะไรกินตอนเย็น
บางวันมันเล่นบาสเสร็จก็เลยไปกินข้าวกับเพื่อนต่อเลยเพราะต้องกลับไปอ่านหนังสือ ผมเองก็เหมือนกัน มีบ้างที่ถ้าไม่อยากอ่านที่ห้องตัวเองก็ไปที่อ่านที่หอสมุด อยู่ห้องเฉยๆแล้วมันไม่มีอาหารตาครับ ไม่ค่อยมีกำลังใจในการอ่านสักเท่าไหร่
ล่าสุดที่มันมานอนค้างด้วยก็เห็นจะเป็นตอนหลังอาทิตย์ที่ละครเวทีจบ สภาพนี่ประหนึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถ เมาจนพูดไม่รู้เรื่อง มีไอ้คีมเป็นคนขับรถพร้อมกับไอ้แจ็คพี่สิงห์ที่หิ้วปีกลากลงมาส่งทิ้งไว้ใต้หอให้กูเก็บตอนตีสอง
ฝนก็ตก ฟ้าก็ร้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้มาด้วยกันได้ พาขึ้นมาถึงห้องสำเร็จมันก็สลบเหมือดไปกับเตียงเลย ตื่นมาอีกทีคือเที่ยงของอีกวัน บ่นปวดหัวจะเป็นจะตาย นอนแฮงค์สำออยให้ผมเช็ดตัวให้ทั้งวัน คนอะไรแดกเหล้าจนไข้ขึ้น ก็พึ่งเคยพบเคยเจอ
พูดถึงโทรคุยกัน ยิ่งช่วงนี้คงไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่มีหรอก ส่วนมากก็อาศัยแชทไลน์กันแทนเอา คุยได้ไม่นานมันก็เงียบใส่ละ บอกว่าขี้เกียจพิมพ์ อ่านแล้วไม่ตอบอีก จากนั้นก็หายไปเลย ผมถึงได้บ่นอยู่นี่ไงว่าเหงา
คิดอะไรไปเพลิน ห้านาทีต่อมาผมก็ลงมายืนรอมันอยู่ใต้หอในสภาพเสื้อบอลทีมรักอย่างแมนยูสีชมพูกับกางเกงบอลและรองเท้าแตะคูลๆ ไหล่สะพายกระเป๋าผ้าโครงการชวนน้องยิ้มที่บรรจุทั้งชีทเนื้อหาและโจทย์เก่าๆเอาไว้ไปฝึกทำตอนอ่านที่หอสมุด
ยืนไถมือถือเล่นๆรอไปได้ไม่นานนักก็เห็นหัวมันขับรถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้ามาหน้าหอ
“จะกินไร” และนั่นคือคำถามซึ่งสำหรับผมนับว่าเป็นปัญหาโลกแตกที่สุดถ้ามาถามช่วงที่หิวจนจะแดกช้างได้ทั้งตัวแต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอยากแดกอะไรกันแน่เพราะคิดไม่ออก
หลังมอผมนี่ก็ของกินเยอะแยะจนเลือกไม่ถูก เรื่องกินนี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตครับ ไม่เหมือนกับแดกเหล้า ใครเลี้ยงผมก็ไปได้หมดอ่ะ
“ถ้ามึงไม่ไปกินหมูทะมาก่อนกูก็ว่าจะชวนไปกินชาบูแล้วนะ” นี่พูดจริงจังครับ ที่คิดเอาไว้คร่าวๆไม่ชาบูก็หมูกระทะ คือมันเป็นอาหารจำพวกเดียวกัน นอกนั้นผมก็ไม่ได้คิดเผื่อไว้อีกแล้ว ละแม่งก็ดันไปกินตัดหน้าก่อนเฉยเลย
“ถ้าอยากกินก็ไป” นี่แหละข้อดีของมันเลย
ไม่ว่าอะไรที่อยากกินถึงจะแพงจนกระเป๋าตังค์ฉีกแค่ไหนแต่มันก็ไม่เคยห้ามกูเลยไอ้สัด เรียกได้ว่าถ้าจะล้มละลายก็คงจะล้มไปพร้อมๆกัน เหตุผลเดียวที่ผมจะไม่เลิกคบกับมันก็เห็นจะเป็นเพราะความที่บ้านมันมีอันจะกินน่ะแหละ
ไม่ใช่ว่ามันเลี้ยงอะไรผมบ่อยนะ ส่วนใหญ่ก็จะหารครึ่งกัน แต่อย่างที่บอกไงครับว่าแม่งไม่เคยห้ามผมเลย
ไม่เหมือนกับพวกไอ้แจ็คไอ้คีมที่คอยแต่จะขัดคออยู่ตลอดเวลาเพราะต้องเก็บเงินเอาไว้ไปลงกับขวดเหล้าตอนเย็น ผมก็กลายเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์เพราะพวกมันสองตัวเนี่ย ซึ่งสุดท้ายทรัพย์ก็ละลายหายไปกับน้ำเมาเหมือนเดิม
“หรือจะกินข้าว มันจะได้อิ่มกว่า ไม่แพงด้วย มึงไม่มีร้านไหนแนะนำหรอ”
“ไปยูเซนเตอร์ไหม”
“ช่วงนี้มีแต่เด็กติวฯ คิวยาวกว่าจะได้แดกอีกว่ะ”
“ตลาดมอ” แหม่ พูดไม่คิดเลย
“ไม่เอา คนเยอะ กูไม่ชอบให้คนมอง”
แหล่งรวมนักศึกษาเลยครับตรงนั้น เรียกได้ว่าไม่มีใครในมอที่ไม่รู้จักเพราะเป็นตลาดเล็กๆของมอแต่ขายแม่งเกือบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า วิกผม เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ของกิน ไปยันกิจการเจ้าแม่ดูดวงทะลวงใจ
ซึ่งเวลานี้คนน่าจะอัดกันแน่นเป็นปลากระป๋อง ที่นั่งก็ไม่ค่อยจะมี อย่าได้คิดครับว่าผมจะเอาตัวไปเดินให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ยิ่งช่วงนี้แล้วไปกับมันนะให้เลิกคิดไปได้เลย
กว่าจะหนีมรสุมคำถามจากคนที่ทักมาเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับมันอาทิตย์แรกๆที่ตัดสินใจขึ้นสถานะบนเฟซบุ๊กซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่พลาด ผมกะว่าจะตั้งใจให้แค่เพื่อนพี่จีนคนนั้นเห็น แต่ก็พลาดที่ผมลืมคิดไปถึงเลยว่าคนติดตามเฟซมันเกือบจะถึงสองหมื่น แถมยังลืมปิดสาธารณะอีก
ตอนนั้นทั้งเพื่อนทั้งพี่ก็ทักมาถามรัวๆ ไหนจะเพจของเจ๊อารุ่ยที่รวบรวมโมเมนต์ที่ผมเคยคุยกับมันตั้งแต่ปีพะโล้มาเรียงต่อกันยาวเป็นสตอรี่เพื่อยืนยันอีกทีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คนที่เห็นในภาพก็เป็นคนจริงๆไม่ใช่พลังงานหรือสัมภเวสีวิญญาณแต่อย่างใด
สรุปว่าอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ผมก็ต้องปิดเฟซตัวเองไปเพื่อตัดรำคาญ เพิ่งจะได้มาเปิดก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ดีที่คนส่วนใหญ่คิดว่าโดนเพื่อนแกล้งกันขำๆ เรื่องมันเลยซาๆไปแล้วบ้าง ใครมาถามอีกผมก็แค่ยิ้มทำเป็นเฉยๆ ถ้าอยากรู้มากก็ไปหาเสือกเอาเอง
ผมหันกลับไปมองไอ้คนที่นั่งทำหน้านิ่งเหมือนง่วงอยู่ตลอดเวลาซึ่งถือหมวกกันน็อคอยู่บนหลังเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ตอนแรกก็คิดว่าคงจะโดนมันด่ากลับมาว่าเรื่องมากอีก แต่เปล่าเลย จากที่ก่อนหน้านั้นมันทำแค่หน้านิ่งๆ จู่ๆก็แปรเปลี่ยนเป็นกระตุกยิ้มขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“สมองกับตัวก็เท่านี้แต่ทำไมเก่งจังวะ”
“อ้าว ไอ้สัด” ก่อนหน้านั้นยังด่าว่ากูโง่อยู่เลย ผมควรดีใจไหม รู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง
เรื่องสมองไม่เท่าไหร่ ผมรู้ตัวเองดีเว้ยว่าไม่ใช่คนเก่งมากหรือฉลาดอะไร การเรียนก็พออยู่ในระดับกลางๆ ชินแล้วกับการโดนมันด่าว่าเป็นหมาไม่พอยังเสือกเป็นหมาโง่อีก แต่เรื่องขนาดตัวนี่ขอเถียงได้ไหม สูงห่างกูไม่ถึงสิบเซนติเมตร ทำมาเป็นกร่าง
“กูพูดไม่ค่อยเก่ง ถนัดแต่ฟังคนอื่นมากกว่า จนบางทีก็เงียบเลยทำให้ดูเป็นคนน่ากลัว ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาพูดด้วยเท่าไหร่”
“......
“เอาจริงกูเป็นคนที่โคตรหัวแข็ง ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง มาเถียงหรือมาเอาเปรียบตัวเองมากนะมึงรู้ไหม แต่มึงเป็นคนแรกที่ไม่กลัวกู”
“ล...แล้วไงวะ” ตอนนี้กูเริ่มกลัวละ
“ก็ไม่แล้วไง แค่เวลากูอยู่กับมึงแล้วแม่งโคตรไม่เป็นตัวของตัวเอง มันน่าหงุดหงิดนะที่แค่เพราะว่าคนๆนั้นเป็นมึงแต่กูกลับยอมฟังทุกอย่างโดยที่ไม่อยากจะหาเหตุผลอะไรมาโต้แย้ง ถึงบอกไงว่าตัวแค่นี้ทำไมเก่งจังเลย”
“……”
กริบ
ที่เงียบไม่ใช่อะไรครับ คิดไม่ทันมันอีกแล้ว ในขณะที่ผมก็กำลังเอ๋อแดกพยายามประมวลคำพูดอันยืดยาวของมันเมื่อครู่ แต่ก็ถูกตัดยานแม่ด้วยการที่โดนมันสวมหมวกกันน็อคใส่หัวเข้าให้ด้วยความรุนแรง พร้อมกับประโยคที่ทำให้ผมอึ้งกิมกี่ไปอีกดอกว่า
“ไม่ไปตลาดมอก็ดี กูก็ไม่ชอบให้ใครมามองมึงเหมือนกัน เป็นแฟนกูน่ารักแค่กับกูก็พอแล้ว ใส่เอาไว้นั่นแหละ ถึงร้านค่อยถอดออก”
ลองนึกภาพคนขับหัวไม่สวมหมวกกันน็อคแต่คนที่สวมดันเป็นคนซ้อนท้ายอย่างผมแทนสิ
กูล่ะอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับเซิ้งเป็นทำนองเพลงกระติบข้าวเหลือเกิน
**********
สรุปก็ได้มากินชาบูอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรกครับ
ไหนคุณหลวงท่านบอกว่ารับประทานหมูกระทะมาแล้วไง มาถึงนี่กูเห็นมันแดกเยอะกว่ากูที่หิวอีก มาประมาณ 5 โมงกว่าๆตอนนี้เกือบจะ 2 ทุ่มแล้ว แดกคุ้มมาก เรื่องแดกไว้ใจมันได้ ไม่แปลกใจเลยทำไมตัวมันใหญ่เท่าควายขนาดนี้
แน่นอนครับว่าผมเป็นคนที่อิ่มก่อน ระหว่างที่นั่งให้อาหารย่อยรอของหวานมาเสิร์ฟก็เลยเอามือถือขึ้นมาไถเล่น เช็คอินบอกพิกัดหน่อยพร้อมติดแฮชแท็กเชียร์แมนยูสุดที่รักยอดดวงใจด้วยเพราะว่าวันนี้มีเตะ ถึงจะไม่ได้ดูแต่ตัวผมก็แสดงความรักด้วยการใส่เสื้อแมนยูมาแล้วเรียบร้อย
ไม่ใช่ไรหรอก เสื้อผ้าใสเล่นตัวอื่นยังไม่ได้ซัก ตอนนอนก็กะว่าจะใส่ซ้ำอีก ใครจะว่าซกมกยังไงก็ช่าง ไม่สนครับเพราะผมหล่อ
นั่งเล่นมือถือไปได้สักพักแบตเครื่องตัวเองก็หมด ใช้มาตั้งแต่ม.5 คงจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนใหม่สักทีเพราะแบตเสื่อมแล้ว มุมหน้าจอบนขวาก็แตก ไม่รู้ตกกระแทกพื้นไปแล้วกี่ครั้ง ยิ่งตอนเมาๆแล้วยื่นไปขอไลน์สาวในร้านเหล้าแล้วเผลอทำหลุดมือนะ เรียกได้ว่าทั้งคนทั้งโทรศัพท์แม่งก็แอดเวนเจอร์พอๆกันอ่ะครับ
ผมนั่งรอมันกินนานจนรู้สึกเซ็งขึ้นมาเลยขอยืมมือถือมันมาเล่นต่อ เข้าแอปนู่นแอปนี่เพื่อดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนมือเผลอไปกดเข้าแอปสีเขียวๆซึ่งมันก็ไม่ได้ตั้งรหัสผ่านไว้ ดูเหมือนไม่มีอะไรนะ แต่พอเห็นแชทล่าสุดที่มันคุยกับไอ้ JackisDevil เมื่อเช้าเท่านั้นแหละ จากที่ไม่มีอะไร ทุกอย่างก็ดูจะอันตรายไปหมดเลย
ไม่รอช้านิ้วเจ้ากรรมมันก็กดเข้ามาเอง มีแค่สองประโยคสุดท้ายของไอ้แจ็คที่ว่า ‘ตามนั้น’ ‘กูบอกเลยมีแต่แจ่มๆทั้งนั้นเว้ย เจอกันๆ’ กับประโยคตอบรับ ‘อืม’ ของมัน นอกนั้นด้านบนก็เป็นข้อความเสียงทั้งหมด
ตอนนี้ผมไม่มีหูฟังซะด้วย เปิดเสียงดังก็ไม่ได้ ถ้าจะเอาเครื่องแนบหูเลยมันก็จะผิดสังเกตอีก นับว่าเป็นจุดจบของความขี้เสือกจริงๆ
สุดท้ายเลยต้องยอมจำใจกดออกมาแม้ว่าในใจมันร้อนรนอยากเสือกมากกว่านี้ก็ตามที ยิ่งมีคำที่ไอ้แจ็คเคยแซวเอาไว้ในไลน์กลุ่มเมื่อตอนเย็นก่อนจะออกมา มันก็ยิ่งทำให้ผมคันปากอยากจะถามออกไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวมันจับได้อีกว่าแอบเช็คไลน์
ทันทีที่ออกมาจากแอปเจ้าปัญหานั่นได้ หลังจากนั้นผมก็ได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของการแดกเหมือนโลกจะแตกของมันตอนที่มีแจ้งเตือนของเฟซบุ๊กดังขึ้นมาว่ามีคนแท็กรูปเข้ามาให้
ผมเหลือบไปมองเจ้าของมือถือที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังก้มหน้าก้มตายัดกุ้งลวกตัวเบ้อเร่อพร้อมกับดูดวุ้นเส้นเข้าปากในคราเดียวก็พอจะรู้ว่ามันยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยแอบกดเข้าไปดูอีก
เข้ามาก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่เป็นรูปพวกเพื่อนๆในกลุ่มของมันถ่ายรวมกันที่ร้านหมูกระทะแท็กมาให้ มีอยู่ 4 รูปด้วยกัน แต่ก็ต้องมาติดใจตรงรูปสุดท้ายที่พวกมันเบะปากใส่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อีกตัว
ซองนิติปืนใหญ่ เด็กปืนโต ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ลงในอัลบั้ม: หมูกระทะราคา99บาทหรือจะสู้ชาบูแพงๆมีทั้งกุ้งทั้งหมูสไลด์และหวานใจนั่งกินด้วย —ที่ ร้านTหมูกระทะ99 กับ Wisavakorn Bumrungkiat และคนอื่นๆ อีก 3 คน
ถูกใจ แสดงความคิดเห็น แชร์
You Yuttachai แดกไปได้สองคำ เมียโทรมาบอกว่าหิวข้าว คนบางคนก็ทิ้งตะเกียบ เทเพื่อนแล้วก็วิ่งออกไปเลย
อุ่น อุ้นอุ๊นนน อยู่นี่หมูก็หยาบไง ของก็น้อย ที่นู่นคงจะมีคนแกะกุ้งตัวใหญ่ๆให้กิน
JayJay Jattapon เอาหน่อยๆ ช่วงนี้ต้องอ่านหนังสือสอบ เพื่อนคงต้องการกำลังใจ
ซองนิติปืนใหญ่ เด็กปืนโต ไม่กล้าโทรหาเลยกลัวจะรบกวนเวลาดินเนอร์ของเพื่อน ถ้ากินเสร็จแล้ว พวกกูทุกคนจะไปรอหอสมุดที่เดิมนะครับ #คนติดเมีย2017-Forever
เฮ้อ
เมื่อไหร่ผมจะหลุดพ้นจากคนพวกนี้ซักที พวกเพื่อนๆที่ว่าเหี้ยแล้วนี่ยังมีพวกนิติศาสตร์มาคอยรังควาญอีก ติดเหี้ยอะไรล่ะ วันๆแม่งก็เอาแต่อ่านหนังสือ เวลาอยู่ด้วยกันแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ แค่คิดแล้วก็ช้ำใจ
แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งครับที่พวกมันพูดถูก
อืม ก็นั่นแหละ ใช่! กูเป็นคนแกะกุ้งให้มัน ไอ้แสรด มากับสายแดกที่แท้ทรู ตกลงผมหรือมันกันแน่ที่อยากกิน
**********
หลังจากกินชาบูเสร็จโดยที่มีผมเป็นผู้ทำหน้าที่เปรียบเสมือนทาสในเรือนเบี้ยคอยลวกและแกะกุ้งให้คุณหลวงท่านกินตลอดคอร์ส
จากนั้นเราสองคนก็ตรงดิ่งกลับไปที่หอสมุดเลย มาถึงก็แยกย้ายกันนั่ง ไอ้บอมไปนั่งกับเพื่อนนิติศาสตร์ของมันอยู่อีกมุมหนึ่ง ผมก็ไปให้คีมมันติวให้อยู่อีกฝั่งพร้อมหน้าพร้อมตากับไอ้แจ็คและพี่สิงห์ เห็นเหี้ยๆอย่างนี้เวลาอ่านหนังสือพวกมันก็จริงจังมากนะครับ
จริงจังได้ไม่เกินห้าบรรทัดก็จับมือถือขึ้นมาเล่นอีกละ
แป๊บๆ ไอ้แจ็คเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวพี่สิงห์ก็ออกไปคุยโทรศัพท์กับกิ๊กบ้าง สารพัดพันแปดข้ออ้าง สับรางก็แทบจะไม่ทัน เหลือผมคนเดียวเนี่ยที่ยังนั่งติวให้ไอ้คีมมันด่าว่าโง่แล้วโง่อีก ก็แค่ลืมสูตรเองไหมล่ะ คำก็โง่สองคำก็โง่ ไอ้บอมไม่อยู่ ไอ้ห่านี่ก็คัฟเวอร์มาด่ากูแทนเพื่อนมัน รักกันดีจริงๆ
พอพวกสองตัวนั้นกลับเข้ามาก็ยังมาขอให้คีมมันติวให้อีกรอบ เป็นแบบนี้จนท่านลอร์ดของขึ้น จากที่ควรจะไปหน้าใหม่แล้วก็ไม่ได้ไปไหนสักที 5 ทุ่มปุ๊บคีมมันก็เลยประกาศแยกเลยเพราะรำคาญพวกแม่ง ไปอ่านเองที่หอคงจะง่ายกว่า ดีนะที่ผมอ่านจบไปแล้วก่อนหน้านั้น
ท้ายสุดเลยต้องพากันแยกย้ายกลับอย่างที่ว่าครับ ผมที่มากับไอ้บอมเลยต้องนั่งอ่านรอมันอีกสักประมาณ 10 นาทีได้ ไม่นานมันก็เดินสะพายเป้ออกมาด้วยท่าทางรีบๆ
“รอนานไหม”
“ไม่อ่ะ กลับเถอะ กูง่วงแล้ว” มันพยักหน้ารับแล้วเดินแว็บหายไปทำอะไรสักอย่างก่อนจะเดินตามหลังออกมา
เมื่อมาถึงห้องผมคิดว่ามันจะกลับไปหาเพื่อนแต่เปล่าครับ มันทำแค่เดินไปนั่งอ่านต่อที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องของผม อ่านไปตาก็จ้องมือถือไป ดูบอลด้วยไง เหมือนจะเป็นอาร์เซนอลกับเอเวอร์ตันแมทช์คู่ที่สองของวันนั่นแหละ
เห็นดังนั้นผมเลยเลิกสนใจแล้วเข้าไปอาบน้ำก่อน อาบเสร็จก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมเพราะเพิ่งจะเปลี่ยนไปตอนที่จะออกไปข้างนอกเมื่อ 5 โมงเย็นนี่เอง
ผมนอนเช็คมือถืออีกนิดๆหน่อยๆเป็นกิจวัตรก่อนเข้านอนเหมือนที่ชอบทำประจำ ดีที่มีสอบบ่ายเลยนอนดึกได้ เล่นไปเล่นมาก็เผลอหลับ แต่ยังไม่ทันได้หลับสนิทดีก็รู้สึกตัวขึ้นประมาณตีหนึ่งกว่าๆ เพราะได้ยินเสียงบอมมันเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับก้มลงมากระซิบ
“หมาโง่”
“อือ”
“นอนต่อเถอะ แค่จะบอกวันนี้กูกลับไปนอนหอนะ” มันลูบหัวผมเหมือนกำลังกล่อมให้หลับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องลุกขึ้นลืมตามองหน้ามันตรงๆ ถึงตอนนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปเก็บข้าวของเข้ากระเป๋าเป้ Adidas ใบเก่าๆใบโปรดของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พรุ่งนี้มีสอบไหม” มันถามขึ้นระหว่างที่เก็บของก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลังเมื่อเสร็จ คงจะเพราะว่าเห็นผมลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงมองมันแทนที่จะล้มตัวลงกลับไปนอนเหมือนเดิม
“มี”
“กี่โมง”
“บ่าย”
“เหมือนกัน กลับแล้วนะ”
“เดี๋ยว” ผมรั้ง
มันหยุดชะงักแล้วเลิกคิ้วหันมามองผมด้วยใบหน้าซื่อๆ ซึ่งผมก็ไม่ตอบอะไรนอกจากเดินลงจากเตียงแล้วไปหยิบของที่มันทำตกเอาไว้อยู่ใต้โต๊ะอ่านหนังสือ จริงๆก็เห็นก่อนหน้านั้นนานแล้วแต่ไม่ได้บอกเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว
แต่การที่มันยืนตัวแข็งทื่อ มองหน้าผมเหมือนกำลังอึ้งๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกใจหรือกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ เมื่อผมยื่นซองฟอยล์ซิปล็อคคืนไปให้ และอาการนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่ามันไม่รู้ตัวเลย
“มึงทำตก”
“ไม่ใช่ของกู” แล้วก็ปฏิเสธหน้าด้านๆทั้งที่ผมเห็นมันหล่นตอนมันหยิบชีทออกมาจากกระเป๋าแท้ๆ แล้วแม่งยังมีหน้าไม่ยอมรับกลับคืนไปอีก ก็ใช่ไง ที่ผมถืออยู่เนี่ยมันคือถุงยางอนามัยยี่ห้อดีที่ยังไม่ได้ใช้เกือบ 4 ซองเลยมั้ง
แต่เรื่องแค่นี้แต่ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างนี้วะ
“โกหกทำไม กูเห็นว่ายังมีอีกซองนึงอยู่ในกระเป๋าตังค์มึง”
มันทำตาโตขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วพยายามเก๊กหน้าให้นิ่งเหมือนเดิม ที่รู้เพราะตอนอยู่ร้านชาบูมันไปเข้าห้องน้ำแล้วฝากผมจ่ายตังค์ให้พอดี คงจะลืมนึกถึงและผมก็เป็นคนหยิบเงินออกจากกระเปามันเองถึงเห็นไง ยี่ห้อเดียวกันด้วย ถ้ารวมกับ 4 ซองที่เหลือก็เป็น 5 ซอง แล้วอีกซองหายไปไหน
เมื่อเห็นว่าผมจ้องหน้ามันไม่ลดละ สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายยอมถอนหายใจยอมรับแล้วยื่นมือมาหวังจะเอาคืนไป แต่ผมยึดไว้
“โอเคๆ กูขอโทษ”
“ขอโทษทำไม มีอะไรปิดบังกู”
“เปล่า”
“กล้าพูดว่าเปล่าแต่พกเหี้ยอะไรนักหนาตั้ง 5 ซอง”
“เผื่อๆไว้ กันฉุกเฉิน”
“ไม่ใช่ว่าแอบเก็บเอาไว้ไปใช้กับคนอื่นลับหลังกูหรอ”
“หมาโง่ กูจะทำแบบนั้นทำไม” มันผลักหัวผมแล้วพยายามหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องขำๆ พร้อมกับยื่นมือมาเอาคืนไปเก็บใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความเร็วสูงก่อนจะเดินไปสวมรองเท้าผ้าใบเตรียมตัวออกจากห้องหน้าตาเฉย
“ตลกหรอ”
“โทษที ไม่คิดว่ามึงจะซีเรียส”
“กูเห็นนะว่ามึงคุยไลน์อะไรกับไอ้แจ็ค”
นั่นไง พอพูดเรื่องนี้ก็เหมือนจะได้ผลทันทีเมื่อมันหยุดชะงักแล้วหันมาจ้องหน้าผมพร้อมกับคิ้วที่ขมวดกันยิ่งกว่าเดิมเหมือนไม่เข้าใจ
“แอบเช็คไลน์กูหรอ”
ก็ไม่อยากจะทำหรอก รู้ว่าทำแบบนี้มันเหมือนคนไม่เชื่อใจกัน แน่นอนว่าเวลาที่ผ่านมาผมไว้ใจมันตลอด เชื่อสนิทใจเพราะมันเป็นคนแบบนี้ไง เงียบๆ ซื่อๆ ถึงจะดูนิ่งจนบางทีเหมือนดุ แต่ถ้าดูดีๆแล้วมันก็เป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไรคนหนึ่ง คงต้องโทษมือของผมที่แม่งเผลอกดเข้าไปอ่านเอง
แล้วเป็นไงล่ะ สิ่งที่เห็นเหมือนเป็นการเหยียบคำว่า ‘เชื่อใจ’ ของผมที่มีให้จมดินและยับเยิน
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง วันนั้นที่มึงเมามาอ่ะจริงๆแล้วก่อนหน้านั้นนัดกันไปดีลผู้หญิงมาใช่ไหม”
“อย่าเสียงดังมันดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน กูรีบกลับไปอ่านหนังสือ มึงก็รีบไปนอนได้แล้วเดี๋ยวตื่นสาย”
“สัด ไม่นอน กูจะคุยตอนนี้”
อธิบายมา ปฏิเสธเลยว่าไม่จริง โกหกผมก็ได้ อย่างน้อยมันก็คงจะทำให้รู้สึกดีกว่าการที่แม่งเอาแต่นิ่งแล้วบอกปัดแบบนี้ไหมวะ
“จิน มันดึกแล้ว อย่างี่เง่าได้ไหม”
“เออ! กูมันงี่เง่าไง แต่แค่มึงตอบมา ผู้หญิงก็คือคนที่ชื่อน้ำทิพย์ที่มึงคุยด้วยในไลน์ใช่ไหม”
“.........”
“มึงโกรธกูที่กูไม่ยอมให้มึงตอนนั้น ตั้งแต่วันนั้นมึงก็ไม่มาค้างที่หอกูอีก มาแล้วก็แอบหนีไปเข้าห้องน้ำ เอาโทรศัพท์เข้าไป ถ่ายรูปตัวเองส่งไปให้เขาดูด้วย เอาตรงๆมึงแอบคุยกับเค้าใช่ไหมวะ ตอบดิ เงียบทำเหี้ยไร!”
ตอนนี้ผมแม่งรู้สึกว่าตัวเองโคตรหัวเสีย โกรธมากจนควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ เลยอดที่จะพุ่งเข้าไปกำคอเสื้อของมันแล้วดันให้หลังชิดผนังไม่ได้ น่ากลัวนะคนที่นิ่งใส่ไม่ยอมพูดแบบนี้ แล้วยิ่งผมรั้นที่จะเอาคำตอบจากมันเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำหน้าเหนื่อยใจพร้อมถอนหายใจมากเท่านั้น
ไอ้เหี้ยเอ๊ย ก็พยายามไม่คิดแล้วไงเพราะกลัวตัวเองจะกลายเป็นคนงี่เง่าในสายตามัน แต่ถ้าจะให้อยู่แบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยิ่งมันทำท่าทีเบื่อหน่ายใส่แบบนี้ผมยิ่งเขว ตอนจีบใหม่ๆก็ดีอยู่หรอก แต่พอได้เป็นแฟนกันแล้วก็เหมือนจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่ทำไมวะ ทำไมคนๆนั้นต้องเป็นผม ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายที่โมโหจนขาดสติ ทั้งที่คนเลือกเดินเข้ามาหาก่อนเป็นมันแท้ๆ
ทำไมต้องเป็นผมฝ่ายเดียวด้วยที่ทุรนทุรายแบบนี้
“จิน”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อ ใช่ไง กูมันผู้ชาย ไม่ได้น่ารัก ไม่ได้สวย อ้อนก็ไม่เป็น พูดจาก็ไม่เพราะไม่เข้าหูเหมือนผู้หญิง มึงจะเบื่อเข้าสักวันก็คงไม่แปลกหรอกว่ะ”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ไปนอนก่อน เดี๋ยวพานอน”
“อยากให้นอนมากมึงก็มานอนกับกูสิ จะเอาก็เอาเลยไอ้เหี้ย กูพร้อมแล้วก็ได้!”
“........”
คงเพราะว่าสุดท้ายแล้วคนที่เหมือนจะตายรังกลับกลายเป็นผมเองที่ไม่อยากปล่อยให้มันหายไปไหน
จู่ๆมันก็เกิดความกลัวขึ้นมาในใจซะเอง
ความรักที่ไม่ได้เหมือนกับคนทั่วไป แน่นอนว่าการรักเพศเดียวกันแบบนี้ก็เป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่ ซึ่งนั่นแหละที่มันทำให้ผมกลัว ผมกลัวว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะเบื่อผมเข้าในตอนที่กลับมาคิดได้ว่ามันก็แค่ความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลองคนหนึ่งสุด ท้ายเราก็ต้องเลิกรากันไป
“รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“........”
“ที่บอกว่าพร้อมนี่มึงพร้อมมากแค่ไหน”
“........”
อย่างน้อยมันก็คงจะมากพอๆกับที่เว็ปดราม่าสีน้ำเงินในเน็ตที่มันบอกกูมาละวะ
ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรดลใจให้พูดแบบนั้น รู้แค่ว่าถ้ามันทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ผมก็คงไม่มีอะไรที่จะเสียแล้ว
แต่ตอนนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่พูดแบบนั้น ออกไป เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาก็โดนอีกฝ่ายกระชากคอเข้าไปรุกจูบ พร้อมกับผลักลงที่เตียงแล้ว
“ไม่ตอบแบบนี้ อย่ามาร้องไห้ขอให้กูหยุดทีหลังแล้วกัน”
ก็เหี้ยละ
เฮ้ย...
tbc.
#มนุษย์นิติสังคมและคนรัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เสี้ยนมากก็ไปเหอะ หงุดหงิด รู้แหละว่าไม่มีอะไร ก็แค่อีเว้นท์ แต่สายตาเบื่อหน่าย ไม่ยอมอธิบายคืออะไร คุยกันพรุ่งนี้ อะไรวะ คิดว่าเค้าจะนอนหลับปะ จินก็ถามปกติอ่ะ แต่ไม่อธิบายเหตุผมเ-้ยไรเลย