ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #92 : Login 89: Golden Era ในโมงยามแห่งทองคำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 468
      20
      17 มี.ค. 60

    Login 89: Golden Era ในโมงยามแห่งทองคำ

     

                ไอควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากร่างของพลอยแล้วรวมตัวกันเป็นอวโลกิตะที่เพิ่งถูกกำจัดไป

                "ถึงจะลำบากเพราะเพลงนั่นแต่เข้าสิงแล้วควบคุมโดยตรงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทีนี้ล่ะกลับมากันได้แล้วเหล่าสานุศิษย์"

                อวโลกิตะกล่าวจากนั้นสีหน้าของเน็กส์กับนิวก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนตอนถูกควบคุม

                มิกซ์ก้มลงไปนั่งข้างๆ เพื่อดูอาการของกวินทร์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

                "เฮ้! ทำใจดีๆ ไว้นะ"

                ส่วนฟูพุ่งเข้าไปหาอวโลกิตะแล้วหวดค้อนใส่แต่กลับหยุดมือเอากลางคัน

                "หนอย...แก"

                น้ำเสียงของฟูกราดเกรี้ยวแสดงถึงความโกรธที่มีแต่กลับสั่งร่างกายให้บันดาลโทสะกับตัวต้นเหตุอย่างอวโลกิตะไม่ได้

                อวโลกิตะควบคุมพวกเด็กๆ อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง

                ฟูสบถออกมาขณะที่ร่างกายกำลังลดค้อนในมือลง

                "โธ่เว้ย ทำไมกันทั้งที่มีสติแท้ๆ แต่กลับขัดขืนอะไรไม่ได้เลย"

                "เพราะผลจากการทดลองพิเศษทำให้เจ้าสองคนมีภูมิต้านทานการแย่งชิงจิตใจจากปีศาจแต่ว่าร่างกายยังคงต้องฟังคำสั่งเราผู้ที่สร้างพวกเจ้าขึ้นมานั่นคือสิ่งที่ปลูกฝังเอาไว้พูดแบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างไหมล่ะ"

                อวโลกิตะตอบ

                เห็นดังนั้นซากิริก็เตรียมจะเปลี่ยนเป็นเทวทูตอีกครั้งแต่การเคลื่อนไหวนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาของศัตรู

                อวโลกิตะใช้พลังทำให้ดอกบัวที่อยู่ในมือของกวินทร์ลอยกลับมาอยู่ในมือแล้วอกคำสั่ง

                “ทำให้พวกมันขยับไม่ได้อีกซะ

                “เข้าใจแล้วค่ะ

                นิวเป็นคนที่ตอบรับคำสั่งแล้วเริ่มร่ายสกิล...

                “มาริโอเน็ตแดนซ์

                สร้างเส้นใยขึ้นมาจากอากาศแล้วสะบัดใยนั้นใส่ร่างของเหล่าพี่ชาย

                “คราวนี้มาเป็นหุ่นเชิดให้หนูเลยเถอะ

                เมื่อฟูและมิกซ์ถูกเส้นใยรัดพันแววตาก็เหมือนจะหลุดลอยหายไป

                ทั้งสองคนไม่มีสติอีกแล้วแต่ขยับไปตามการเคลื่อนนิ้วของเด็กหญิง

                กลายเป็นหุ่นเชิดไปจริงๆ

                "ปกติแล้วเป็นสกิลที่เอาไว้สนับสนุนในกรณีที่พวกเดียวกันขยับตัวไม่ได้ก็จะใช้เชิดให้หลบหนีออกมาจากอันตรายแต่เอามาใช้แบบนี้ก็ไม่เลว"

                อวโลกิตะพูด

                จู่ๆ ก็มีเสียงของอิซานามิดังแว้ดมาอย่างไม่พอใจ

                "อะหยังก๊ะเนี่ยคิงนี่กี้ดแต่จะใช้ละอ่อนน้อยมาสู้กับพวกฮาอย่างเดียวเลยก่อตัวเองบ่หื้ออะหยังเอาแต่สั่งๆ ตั้งกะเมื่อกี้แหล่วน่อ"

                ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์ที่ศัตรูเอาแต่ใช้ตัวประกันของมิ่งขวัญมาสู้

                แต่เพราะหล่อนแอบอยู่ข้างหลังซากิริทำให้คำพูดดูไร้น้ำหนักไป

                "นี่ฉันว่าเราอย่าไปยั่วยุให้มากเข้าจะดีกว่านะเพราะดูเหมือนของจริงกำลังจะเริ่มเร็วๆ นี้..."

                ซากิริเตือนไม่ทันจะขาดคำบริเวณรอบๆ ที่พวกเธอยืนกันก็ปรากฏเงาร่างอันเลือนลางนับสิบที่ต่อมาเงาเหล่านั้นก็เผยเป็นร่างของปีศาจชั้นสูง

                ซากิริกวาดตามองปีศาจเหล่านั้นแล้วยิ้มเจื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจ

                "ไวโรจนพุทธะ อักโษภยพุทธะ รัตนสัมภวพุทธะ อมิตาภพุทธะ อโมฆสิทธิพุทธะ แล้วก็ ยมานตกะ อืม~เมียวโอทั้งห้าก็มากันครบเลยทั้งพุทธะกับเหล่าวิทยราช ให้ตายสิวันรวมญาติพระพุทธหรือไงเนี่ย"

                "เข้าใจดีสินะทั้งหมดนั่นก็คือตัวเรา นี่คือสาเหตุที่พวกเจ้าไม่มีวันกำจัดเราไปได้เพราะเราคือผู้ที่จะโปรดสัตว์แก่มนุษยชาติจนกว่าจะหลุดพ้นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะไม่มีวันถูกหยุดยั้งถึงกำจัดตัวเราในตอนนี้ตัวเราในอนาคตก็จะกลับมา"

                อวโลกิตะตอบคำพูดประชดประชันนั่นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน

                แต่ซากิริยิ้มบางตอบรับอย่างไม่หวั่นเกรง

                " 'ซัลเวชั่นออฟเซเวียร์' หรือ 'โปรดสัตว์แห่งผู้กอบกู้' นั่นสินะสกิลติดตัวของเจ้าน่ะ"

                แต่อีกฝ่ายไม่พูดตอบกลับมาในคราวนี้

                "..."

     

    [Salvation of Savior Lv(1/?)

    Element: Light

    Attribute: Demon, Reincarnation, Support, Revive

    เมื่อพลังชีวิตกลายเป็นศูนย์หากคุณเป็นผู้กอบกู้ที่มีตัวตนอยู่ในอนาคต, หักล้างความตายที่เกิดขึ้นแล้วฟื้นฟูพลังทั้งหมด]

     

                สกิลที่ว่าเป็นพลังของปีศาจเหมือนกับมนุษย์ที่ใช้พลังของเกม อิทธิฤทธิ์และอำนาจต่างๆ ก็เป็นสกิลและสำหรับมนุษย์ในยุคโบราณคงจะทำความเข้าใจมันไม่ได้จึงกลายเป็นที่มาของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ในเรื่องเล่าที่ต่อมากลายเป็นศาสนา

                "นี่ๆ คิงช่วยยิงแสงแบบเมื่อกี้อีกทีได้ก่อ"

                อิซานามิที่อนู่ข้างหลังสะกิดถามมา

                "เมื่อกี้ใช้พลังไปหมดแล้วเดิมทีฉันไม่ใช่เทวทูตสายนักรบอยู่แล้วด้วยน่ะ"

                พอตอบไปแบบนั้นอิซานามิก็หน้าถอดสีเหมือนคนป่วยกะทันหัน

                "อะหยังก๊ง! แล้วจะอี้หมู่เฮาบ่ได้ต๋ายกันหมดเร้อ!!"

                "ก็บอกไปแล้วไงว่าเธอน่ะตายไปแล้วนา"

                "หน้าสิ่วหน้าขวานจะอี้ยังจะมาเล่นมุกได้อีกเหรอก๊ะแว้กกก ฮาเองก็ไม่ได้สู้เก่งนักเก่งว่าด้วยแล้วดูไอ้หน้าโหดหมู่นี้ดิหน้ายังกะไปแกะคำว่าซักกำบ๋ออยู่บนหน้าเลยน่อ"

                หล่อนพูดพลางชี้ไปที่เหล่าวิทยราขซึ่งเป็นเทพผู้ปกป้องพุทธะจึงมีใบหน้าโหดเหี้ยมปานยักษ์อสูร

                ตอนนั้นเองปีศาจทั้งสิบตนก็เริ่มร่ายบทสวด อักขระแสงจำนวนมากมายลอยขึ้นมาเต็มบรรยากาศ ซากิริและอิซานามิตกอยู่ในวงล้อมของอาคม ไม่นานนักทั้งสองคนก็แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาต่างพากันล้มทรุดลงกับพื้น

                "นี่มันคาถาปราบมาร...เสร็จพวกมันซะแล้วสิ"

                ซากิริพูด

                "ตอนนี้พวกมันถูกชำระพลังปีศาจออกไปหมดแล้วจัดการเลยสานุศิษย์แห่งเรา"

                อวโลกิตะพูดเมื่อเห็นว่าทั้งสอวคนสิ้นฤทธิ์เดช นิวพยักหน้ารับคำสั่งนั้นแล้วควบคุมให้พี่ชายของเธอบุกไปจู่โจม

     

                สถานการณ์เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤต...

                ไทเทเนียมประเมินสถานการณ์ไว้อย่างนั้น

                ...ศัตรูสามารถคืนชีพได้ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่จะจัดการมันได้ก็มีแค่อย่างเดียวแต่ถ้ามิ่งขวัญไม่คิดสู้ก็ไม่มีประโยชน์...เธอคิดแล้วหันไปมองมิ่งขวัญที่นอนอยู่ข้างล่าง

                ถ้าเลือกจะช่วยครอบครัวก็ต้องทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแล้วฆ่าปีศาจ

                ถ้าเลือกจะเก็บความเป็นมนุษย์ไว้นายก็ต้องละทิ้งความรู้สึกแบบมนุษย์แล้วนิ่งเฉยกับทุกอย่าง

                ไม่ว่าทางไหนนายก็ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ทำไมถึงยังไม่เข้าใจอีก...

                ไทเทเนียมขบฟันคิดจนเกิดเสียงดังกรอด เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมิ่งขวัญถึงได้ยึดติดอะไรได้ไร้สาระขนาดนั้น

                "แบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสวะคลั่งศาสนานั่นเลยนะ"

                หล่อนเปรยออกมาพร้อมกับนึกถึงเรื่องในวัยเด็ก

                เธอกับผู้เป็นบิดาเคยมาที่นี่เคยมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฟอนเฟะแห่งนี้ในสมัยที่โลกยังไม่ล่มสลาย เพียงเท่านั้นก็รู้สึกเหมือนร่างแทบจะระเบิดออกมา

     

                อวโลกิตะละความสนใจจากพวกซากิริแล้วหันเหสายตามาที่กวินทร์

                "ลมหายใจคงรวยรินเต็มทีแล้วสินะ"

                ปีศาจพูดพลางมองกวินทร์ที่นอนหอบหายใจจนตัวโยนหมอบอยู่บนกองเลือด

                "..."

                เด็กหนุ่มแทบจะไม่มีเหลือสติอีกแล้ว

                "เราเองก็เป็นโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาใช่ว่าจะใจคอเหี้ยมโหดขนาดปล่อยให้ทรมานต่อไปแบบนี้หรอกนะ"

                อวโลกิตะพูดจากนั้นพลอยก็ก้าวขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้ากวินทร์

                เงื้อดาบในมือเตรียมจะฟันลงไปที่คอของเด็กหนุ่ม

                ...ในช่วงที่เหตุการณ์กำลังดำเนินไปในทางเลวร้ายนั่นเอง

                มิ่งขวัญซึ่งยังมีสติอยู่ครบแต่ถอดใจที่จะต่อสู้แล้วจึงปล่อยร่างให้นอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นมาในหัว

                'มิคาเอลมันเงียบไปแล้วเพราะอีกไม่กี่นาทีมันก็จะหายไปแล้วสินะ'

                น้ำเสียงแหบพร่าที่น่าจะเป็นเสียงของปีศาจในแอพพลิเคชั่นดังก้อง

                'เจ้าเนี่ยเหมือนกันเลยนะ'

                "เหมือนกัน?"

                มิ่งขวัญพูดตอบเสียงในจิตใจกลับไป

                'ใช่ ทั้งเจ้าและข้าเราต่างก็ทำเพื่อคนที่รักแต่โชคชะตาก็มักจะเล่นตลกเสมอบีบบังคับให้ต้องกลายเป็นสิ่งที่คนผู้เรารักจะต้องรังเกียจเพื่อให้สงครามศักดิ์สิทธิ์ได้ชี้นำมนุษย์ ยฮวฮ ได้ผลักไสข้าให้กลายเป็นผู้ร่วงหล่นจากสวรรค์กลายเป็นมารที่จะทำให้คำพูดของเขาถูกต้องน้ำเน่าดีเลยใช่ไหมล่ะ'

                น้ำเสียงของปีศาจเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงช่วงที่บอกว่าตนถูกผลักไส ฟังดูแปล่งๆ เหมือนกำลังตัดพ้ออย่างน้อยใจ

                'แต่ข้าพบวิธีหลุดพ้นจากความทุกข์นั่นแล้วในเมื่อเขาอยากจะให้ข้ากลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของทุกคนข้าก็จะเป็นมันแล้วก็จะทำให้เขาได้รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขารังเกียจแต่เป็นสิ่งที่เขาหวาดกลัวต่างหาก ใช่ข้าทำให้สวรรค์หวาดกลัวปีศาจได้ เจ้าเองก็ไม่สนใจจะมาร่วมกันรึมิ่งขวัญชายผู้เหมือนกับข้าผู้ถูกโชคชะตาหักหลัง'

                แต่มิ่งขวัญก็ไม่ได้พูดตอบรับอะไร

                "..."

                เอาแต่นิ่งเงียบและขบคิดอยู่ในใจ...

                เราน่ะเหรอกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวกลายเป็นของที่ศรเกลียด

                ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ เรายังคงเป็นเราอยู่...

                แต่ปีศาจกลับหัวเราะด้วยเสียงแหบๆ ของมัน

                'เฮี้ยก ฮะๆๆ จะหลอกตัวเองไปถึงไหนกันทั้งที่เจ้าก็นิ่งเฉยปล่อยให้มนุษย์ตายไปตั้งมากมายแล้วยังจะตีหน้าซื่อบอกว่าตัวเองเป็นมนุษย์อีกรึ'

                ดูเหมือนว่าความคิดจะถูกอ่านไป ปีศาจมันกำลังควบคุมจิตใจไปทีละเล็กทีละน้อย

                อยู่ดีๆ ภาพความทรงจำก็แจ่มชัดขึ้นมาในมโนจิต

                เป็นความทรงจำตอนที่เขาปล่อยให้สัตว์เทวะฆ่ามนุษย์ NPC ไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เอาแต่ยืนเฉย

                'มนุษย์ต้องมีความเมตตาแล้วเจ้าล่ะแม้แต่น้ำตายังแห้งผาก'

                ปีศาจพยายามจะดึงมิ่งขวัญให้จมลงในความสิ้นหวังมันตั้งใจจะกล่อมเขาด้วยคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจมันยั่วยุเพราะรู้ว่าเขาจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้

                'เอ้า ดูนั่นสินี่รึสิ่งที่มนุษย์ทำกันน่ะ'

                มโนภาพใหม่ปรากฎขึ้นและมีแต่มิ่งขวัญที่มองเห็นมัน

                เขาได้เห็นความทรงจำอันเจ็บปวดอีกครั้ง

                พวกครอบครัวหลังการล่มสลายถูกมนุษย์ต่างดาวฆ่าตายหมด...

                'มนุษย์ต้องมีความเห็นแก่ตัวแต่เจ้ากลับรู้สึกผิดบาปที่รอดชีวิตมาด้วยความตายของพวกพ้องเจ้าไม่มีวันเป็นมนุษย์ได้มิ่งขวัญเจ้าจะต้องเป็นปีศาจ'

                และในภาพสุดท้ายเพื่อที่จะได้ขยี้ดวงใจของเด็กหนุ่มให้แหลกสลายลงโดยสมบูรณ์มันเลือกฉายภาพตอนที่เขาผลักอิงศรเข้าไปในรถไฟเมื่อสามปีก่อน

                หากมองจากมุมของคนอื่นแล้วมันอาจจะเป็นการเสียสละที่น่าซาบซึ้ง

                แต่ความเป็นจริงแล้ว...

                'ในตอนนั้นเจ้าไม่ได้สละตัวเองเพื่อช่วยพี่ชายหรอกเจ้าแค่กลัวที่ต้องทนอยู่ในความโศกเศร้าอันเจ็บปวดทรมานหลังจากสูญเสียทุกสิ่งไปเจ้าก็เลยผลักไสชะตากรรมนั้นให้พี่ชายเจ้าขายพี่น้องเพื่อเอาตัวรอดจนหยดสุดท้ายเลยไม่ใช่หรือมิ่งขวัญ'

                หลังจากฟังคำพูดของปีศาจ

                รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเปียกที่บริเวณแก้ม

                นัยน์ตาก็ชื้นแฉะไปหมด

                ความรู้สึกผิดบาปก่อตัวหนาแน่น

                หนักอึ้งประหนึ่งก้อนหินที่จะดึงถ่วงจิตใจให้จมลงสู่ความมืด

                จมลงสู่มือของปีศาจ

                'แต่จะสนใจไปทำไมกันลองดูนั่นก่อนสิ'

                เสียงของปีศาจเหมือนจะบอกให้มองไปที่กวินทร์

                รู้สึกว่าจะเป็นเพื่อนของอิงศรที่มาด้วยกันเจ้าหมอนั่นเอาแต่เรียกชื่อพี่ชายห้วนๆ อยู่ตลอดจนนึกสงสัยไปว่าหมอนี่กำลังพยายามแย่งพี่ชายไปและมาอยู่แทนที่ในตำแหน่งน้องชาย เพราะในใจรู้สึกสงสัยแบบนั้นเลยทำให้ไม่ค่อยชอบหน้าซักเท่าไหร่

                'อิจฉามันใช่ไหมล่ะเจ้ามีความริษยาอยู่ในหัวใจอย่างล้มเปี่ยมเลยมิ่งขวัญ'

                ปีศาจพูดถูกเขารู้สึกอิจฉากวินทร์ที่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นของตน

                'แต่ไม่ต้องทำอะไรหรอกอีกเดี๋ยวมันก็ตายแล้วถ้าระบบของเกมยังไม่กลับมาเจ้านั่นไม่มีทางรอดแหงแซะเพราะงั้นมาใช้ความตายของเจ้านั่นฉลองการเกิดใหม่ในฐานะปีศาจกันดีกว่าเนอะมิ่งขวัญ'

                ปีศาจยื่นข้อเสนอมาพร้อมกันนั้นหัวใจของมิ่งขวัญก็ตกเป็นของมัน

                แต่ทว่า...

                จู่ๆ ก็มีมโนภาพหนึ่งลอยขึ้นมาเหมือนฟองสบู่

                ได้ยินเสียงดังออกมาจากฟอง

                'ก็เผื่อถ้าใครนั่งรถไฟมาที่นี่แล้วมันประสงค์ร้ายกับพวกเราล่ะก็จะได้จัดการพวกมันก่อนไง'

                'แบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเป็นฆาตกรน่ะสิ'

                นั่นเป็นบทสนทนาของเขากับอิงศรเมื่อสามปีก่อน

                อิงศรติดตั้งระเบิดเอาที่เสาค่ำสถานีหลังจากค้นพบรถไฟ

                ซึ่งในตอนนั้นตัวเขายังไม่เข้าใจว่า...

                ทำไมถึงต้องทำอะไรแบบนั้น

                ทำไมถึงต้องพยายามขนาดนั้น

                ทำไมถึงทำตัวน่ากลัว

                ...แต่ตอนนี้เขามีคำตอบมากพอที่จะตอบคำถามของตัวเองในวัยเด็กได้ไม่รู้จักหมดเลยทีเดียว

                ตอนนี้เองที่เขาเพิ่งสังเกตว่ากวินทร์นอนจมกองเลือดอยู่ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่มองด้วยความริษยากลับไม่เห็นมัน

                นั่นเพราะตอนนี้เขาเข้าใจกองเลือดที่นอนอยู่ใต้ร่างนั้นอย่างถ่องแท้กว่าเมื่อก่อน

                "งั้นเหรอ..." มิ่งขวัญพึมพำ "...มันเป็นอย่างนั้นเองหรอกเหรอ"

                เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจอยู่คนเดียวแล้วหลับตาลง

                ที่นี่...

                ในตอนนี้...

                เมือเวลานี้มาถึง.... มิ่งขวัญได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง

                เหมือนเช่นที่ผ่านมาเขาทำลายตัวตนเดิมแล้วกลายเป็นคนใหม่

                ขณะเดียวกัน

                "ลาขาดล่ะนะท่าเต้นนายห่วยมากเลยขอบอก"

                พลอยพูดแล้วตวัดดาบมุ่งไปที่คอของกวินทร์

                ในวินาทีนั้นเองมิ่งขวัญก็ดีดตัวลุกขึ้นมาจับดาบแล้วออกวิ่ง

                วิ่งเต็มแรงจนร่างกายแทบจะเสียดสีกับอากาศ

                มิ่งขวัญมาหยุดอยู่หน้าคมดาบที่พลอยตวัดลงมาแล้วใช้ดาบขัดมันเอาไว้

                เสียงโลหะแหลมสูงดังก้องหลังการปะทะ

                พลอยรู้สึกตัวหลังจากนั้นก็กระโดดถอยฉากไปตั้งหลักเสียไกล

                แล้วพ่นคำพูดที่จะทำร้ายจิตใจมิ่งขวัญ

                “อ้าวๆ นี่หรือว่าเกิดเสียดายชีวิตขึ้นมาแล้วล่ะเนี่ยสันดานมนุษย์แท้ๆ เลยนะพอจวนเจียนจะไปไม่ว่าใครก็...

                “ก็จริงอย่างที่เธอว่าแหละนะ...

                แต่ก็ถูกขัดเอาไว้ มิ่งขวัญตอบรับคำพูดของหล่อน

                “...ฉันน่ะคงเป็นมนุษย์ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละเพราะงั้นฉันก็จะเลิกเป็นมนุษย์!

                พอประกาศคำพูดนั้นออกไปไทเทเนียมก็ตะโกนลงมาจากบนมือของพระพุทธรูป

                “มิ่งขวัญนายพูดจริงใช่ไหม!

                พอหันไปหล่อนก็ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

                “ถ้างั้นคงเข้าใจนะว่านี่หมายถึงอะไร มันคือวิธีเดียวที่จะฆ่าศัตรูที่เป็นอมตะได้!!

                มิ่งขวัญพยักหน้ารับว่าเข้าใจความหมายที่หล่อนต้องการจะสื่อ

                สามนิ้วนั่นหมายถึงจำนวนครั้งที่ต้องละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปเพื่อที่จะวิวัฒนาการเป็นร่างนั้น

                “แล้วหลังจากจัดการปีศาจนี่ได้เราก็จะกลายเป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง

                มิ่งขวัญพึมพำ

                ...ยังมัวลังเลอะไรอยู่อีกล่ะเราลุกขึ้นมาอีกครั้งเพราะตัดสินใจไปแล้วนี่

                เพราะที่ผ่านมาเรากลัวมาตลอด กลัวว่าจะต้องโดดเดี่ยว

                กลัวว่าจะถูกทอดทิ้งเพราะงั้นเราถึง...

                ผลักศรเข้ารถไฟไปในวันนั้น

                ปล่อยให้ผู้คนที่เดอะเธียเตอร์ตาย

                ก็เพราะกลัวว่าถ้าเราไม่ใช่มนุษย์อีกแล้วศรก็จะทอดทิ้งเรา

                เพราะว่าโลกนี้เหลือแค่ศรเท่านั้นแล้วแต่ว่า...

                “เพราะตอนนี้ไม่ได้มีแค่ศรคนเดียวแล้วแต่มีพลอย มีฟู มีมิกซ์แล้วก็ผู้คนอีกมากมายที่อยากจะปกป้องเพราะงั้นถึงจะต้องกลายเป็นคนโดดเดี่ยวฉันก็จะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว!

                มิ่งขวัญปฏิญาณพร้อมกับตั้งดาบแล้วปาดมือลงไปบนนั้น

                “สตาร์เซเบอร์!

                พลันก็เกิดประกายแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวห้อมล้อมใบดาบ

     

    [Star Saber Lv(4/4)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Enhance, Weapon, Saber

    (Cast Cost) สวมใส่อาวุธที่มี Attribute Saber; ทำให้การโจมตีด้วยดาบกลายเป็นธาตุแสง , Atk + 50 , Spd + 50; อาบแสงแห่งดวงดาวลงบนศาสตราแล้วเปิดหนทางสู่อนาคตด้วยคมดาบแห่งความหวัง]

     

                อวโลกิตะตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงของมิ่งขวัญด้วยการให้เน็กส์เล็งเป้ามาทางนี้

                “วาโยราโอ

                ลำแสงสีเขียวที่ฉีกกระชากทุกอย่างได้พุ่งตรงเข้ามา

                แต่มิ่งขวัญไม่หลบเพราะถ้าหลบกวินทร์ก็จะโดนลำแสงนั่นพรากลมหายใจสุดท้ายไป

                หากไม่รีบจัดการอวโลกิตะแล้วคลายผนึกให้ระบบเกมกลับมาเป็นปกติกวินทร์ก็จะต้องตายอย่างแน่นอนดังนั้น...

                “โฟตอนชิลด์!

                มิ่งขวัญยืดแขนซ้ายออกไปรับลำแสงนั้นเอาไว้พร้อมกับโล่ที่เปล่งแสงสว่างออกมา

     

    [Photon Shield Lv(4/4)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Enhance, Item, Shield

    (Cast Cost) สวมใส่ไอเทม Shield; สร้างบาเรียที่ทำให้ความเสียหายจากสกิลไร้ผลในตอนที่ร่ายสกิลนี้ออกมาเป็นเวลา 2 วินาที จากนั้นได้รับบัพเพิ่มค่าต่อต้านธาตุ + 50 , Def + 50 , Special Def + 50; ห่อหุ้มโล่ด้วยแสงสว่างปกป้องพวกพ้องด้วยแสงแห่งดวงดาว]

     

                แสงจากโล่ดูดกลืนการโจมตีนั้นแล้วสลายมันให้หายไป

                แล้วตอนนี้ก็มีบัพครบสามอย่าง

     

    มิ่งขวัญ Lv. 90 (Proto Shield) (Star Saber) (Photon Shield)

    [/....2690:16000.....]

     

                ขณะเดียวกันอวโลกิตะก็เปลี่ยนแผนแล้วสั่งให้ทุกคนหันความสนใจมาทางนี้แทน

                “ปล่อยทางนั้นไว้แล้วมาหยุดเจ้านี่ก่อน!

                นิวที่ชักใยฟูกับมิกซ์ก็เรียกให้ทั้งสองคนกลับมาทางฟากนี้

                มิ่งขวัญเริ่มแน่ใจหลังจากมองรูปแบบการบุกนั้นเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังลนลานเพราะการเคลื่อนไหวของเขาไม่เป็นไปตามที่คิด

                ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ให้พลอยใช้สกิลโจมตีเข้ามาเป็นหลักและให้นิวคอยเชิดพวกฟูเป็นแนวหน้าให้แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสั่งให้ทุกคนตะลุมบอนเข้ามาแทน

                อย่างไรก็ตามต่อให้ตอนนี้จะกลับไปใช้รูปแบบเดิมก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว

                “เอนแฮนซ์รีชาร์จ

                มิ่งขวัญร่ายสกิลแล้วแสงที่ห้อมล้อมดาบกับโล่ก็ดับวูบลง

                วินาทีต่อมาที่ใบดาบก็ปรากฏลูกไฟยูนิทสีทองอร่ามสามลูก

     

    [Enhance Recharge Lv(1/1)

    Element: -

    Attribute: Support, Awakening

    (Cast Cost) สละ Enhance Buffs ทั้งหมดที่มี; ได้รับ Awakening Unit จำนวนและสีตามธาตุของบัพที่สละไป; ย้อนกระแสพลังปลุกเสกศาสตรากลายเป็นเศษเสี้ยวของพลังแห่งการตื่นขึ้น]

     

                มิ่งขวัญตั้งดาบในมืออีกครั้งแล้วร่ายสกิล

                “รอยัลเซเบอร์!

                พลางไถลมือไปกับใบดาบทำให้แสงห้อมล้อมกลายเป็นดาบแสง พลอยบุกเข้ามาประชิดตัวจึงใช้ดาบแสงรับดาบสีดำของหล่อนไว้

     

    [Royal Saber Lv(4/4)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Enhance, Weapon, Saber

    (Cast Cost) สวมใส่อาวุธที่มี Attribute Saber; ทำให้การโจมตีด้วยดาบกลายเป็นธาตุแสง , Atk + 100; อาบแสงสักดิ์สิทธิ์ลงบนศาสตราแล้วฟาดฟันศัตรูด้วยคมดาบแห่งความภักดี]

     

                “โทษทีนะพลอยแต่ทนเจ็บหน่อยล่ะ

                มิ่งขวัญกล่าวก่อนแล้วจึงออกแรงผลักดาบที่ยันเอาไว้กลับไปพร้อมกับส่งร่างของเด็กสาวลอยละลิ่ว

                ลอยไปชนโดนนิวที่กำลังเชิดฟูกับมิกซ์จนล้มกลิ้งโคโล่ไปบนพื้น เป็นผลให้การควบคุมอีกสองคนหยุดชะงักไปด้วยฟูกับมิกซ์จึงล้มลงก่อนจะย้ายมาถึงฟากนี้

                ดังนั้นจะใช้จังหวะนี้เตรียมพิธีกรรมสุดท้าย...

                “จ่ายหนึ่งโกลด์ยูนิทติดตั้งดีไวซ์

                มิ่งขวัญร่ายสกิลแล้วให้ดาบแสงดูดกลืนลูกไฟยูนิทเข้าไปทันใดนั้นแสงที่ห้อมล้อมก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า

                “พัฒนาเป็นรอยัลเซเบอร์จัสติค

                การพัฒนาดาบทำให้มีพลังต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นแต่มิ่งขวัญไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

     

    [Saber Device, Justice Lv(1/1)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Weapon, Device, Awakening

    (Cast Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล; ติดตั้ง Device ลงใน Buffs ที่มี Saber อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , เมื่อโจมตีปกติสำเร็จจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม 20% จากความเสียหายที่ทำได้; เร่งพลังแสงให้ร้อนแรงจนลุกไหม้]

     

                "จ่ายอีกยูนิทพัฒนาต่อเนื่อง"

                ดาบกลืนลูกไฟเข้าไปแล้วแสงก็ยิ่งเจิดจ้าและยืดขยายใบดาบให้ยาวขึ้น

     

    [Saber Device, Rebellion Lv(1/1)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Weapon, Device, Awakening

    (Cast Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล; ติดตั้ง Device ลงใน Buffs ที่มี Saber อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , เพิ่มระยะโจมตีปกติด้วยดาบให้กว้างและไกลขึ้น; เร่งกำลังแสงให้ยืดยาวออกไป]

     

                "รอยัลเซเบอร์รีเบลเลี่ยน"

                มิ่งขวัญตวัดดาบออกไปทันทีเพราะนิวที่กลิ้งไปกับพลอยตั้งหลักได้และสั่งให้ฟูกับมิกซ์จู่โจมเข้ามา ดาบรับค้อนของฟูไว้ ส่วนกระสุนที่มิกซ์ยิงก็ใช้โล่รับเอาไว้

                ต่อจากนั้นพลอยก็พุ่งเข้ามาพลางฟาดดาบ

                "เพิ่มพลังของดาบขึ้นไปแบบนี้นี่นายคิดจะฆ่าพวกเราจริงๆ รึไง

                แล้วสบถมาอย่างนั้น

                "ไม่ใช่!"

                มิ่งขวัญตอบแล้วดันศาสตราวุธของทั้งสองคนกลับจนกระเด็นไปตามกัน จังหวะนั้นเองเขาก็ร่ายสกิลพัฒนาดาบอีกครั้ง

                จ่ายหนึ่งยูนิทแล้วพัฒนา

                ดาบกลืนลูกไฟอันสุดท้ายเข้าไป แสงที่ห้อมล้อมก็พลันลุกไหม้ด้วยเพลิงไฟสีฟ้าคราม

                "รอยัลเซเบอร์ลิเบอเรเตอร์"

     

    [Saber Device, Liberator Lv(1/1)

    Element: Light

    Attribute: Buffs, Weapon, Device, Awakening

    (Cast Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล; ติดตั้ง Device ลงใน Buffs ที่มี Saber อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , อาจจะล้างสถานะทั้งหมดของเป้าหมายที่ถูกโจมตี; อาบคมดาบด้วยเพลิงสีครามที่ใช้ขับไล่ปีศาจ]

     

                ดาบของมิ่งขวัญได้มาถึงขั้นสูงสุดของการพัฒนา คมดาบซึ่งถูกโอบอุ้มไว้โดยเพลิงไฟสีครามมีอำนาจชำระล้างให้บริสุทธิ์สถิตย์อยู่

                แล้วนั่นก็... เป็นการละทิ้งความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ไปทั้งหมด

                ยังจะพัฒนาไปอีกงั้นเหรอนี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

                พลอยพูด

                สานุศิษย์แห่งเรารีบทำลายดาบเล่มนั้นก่อน

                อวโลกิตะสั่ง

                ขณะเดียวกันเสียงของลูซิเฟอร์ก็ดังกระซิบขึ้นในจิตใจ

                ฮะๆๆ ใช่ต้องอย่างนี้สิสหายของข้าเจ้าเลือกได้ถูกต้องแล้วมิ่งขวัญสังเวยพวกมันด้วยคมดาบของเจ้าแล้วถือกำเนิดใหม่เป็นปีศาจ...

                ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก

                มิ่งขวัญพูดแล้วชูดาบในมือขึ้น แววตาในยามนั้นไร้ซึ่งความลังเลมีแต่ความตั้งมั่นที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

                ฉันจะไม่ลังเลอีกแล้ว เวพ่อนไนซ์!!”

                สิ้นคำเด็กหนุ่มก็ขว้างโอกาสสุดท้ายที่จะรักษาความเป็นมนุษย์ขึ้นไปข้างบน

                ดาบได้แตกสลายลงพร้อมกับความเป็นมนุษย์ของมิ่งขวัญ

                เพลิงไฟที่โอบล้อมคมดาบได้รับการปลดปล่อยแล้วสร้างมิติบิดเบี้ยวที่มีลักษณะเป็นแกนหมุนวนของแก๊สและควันไฟขึ้นมา

                มิติของห้องเกิดการบิดเบี้ยวและแสดงภาพของอวกาศอันยิ่งใหญ่

                ขอสาบานว่าจะจับคมดาบเล่มนี้ฟาดฟันเพื่อความยุติธรรม คมดาบของยอดฝีมือแห่งอนาคตที่ก้าวข้ามกาลเวลามาจงมอบโมงยามแห่งทองคำให้ฉันด้วย

                มิ่งขวัญร่ายสกิล...

                ทันใดนั้นเองจากแกนหมุนของมิติที่บิดเบี้ยวเหนือห้องโถงก็ปรากฏร่างสีทองขนาดมหึมาเลื้อยออกมา มันคือจักรกลที่มีท่อนบนเป็นมังกรท่อนล่างเป็นหางปลา แกนกลางลำตัวซึ่งเชื่อมท่อนบนกับล่างเอาไว้มีลักษณะเหมือนกับหลุมดำที่ถูกบีบอัดเป็นก้อนทรงกลม

                ทุกคนต่างมองเหตุอัศจรรย์นี้ม่วางตาและโดยเฉพาะอวโลกิตะ

                นี่มัน...เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์

                ที่แสดงสีหน้าหวั่นเกรงต่อสิ่งนั้น

                นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!’

                น้ำเสียงของลูซิเฟอร์ฟังดูลนลาน

                มังกรบินอ้อมลงไปอยู่ข้างหลังมิ่งขวัญ ก้มหน้ามองลงมาแล้วพูดว่า...

                คนหนุ่มผู้แสวงหาอนาคตเอ๋ย หากเจ้าปรารถนาจะก้าวเดินต่อไปก็จงอ้าแขนรับดวงตะวันแห่งวงแหวนสวรรค์นี้ไว้แล้วเปล่งประกายอย่างเจิดจรัสหากไม่เช่นนั้นแล้วก็จงมอดไหม้เป็นจุลเพราะนี่คือทางเลือกที่ไม่มีวันหวนกลับ

                สิ้นคำมังกรก็อ้าปากพ่นไฟ ไฟสีครามแบบเดียวกับที่โอบอุ้มดาบโถมใส่ลงมาบนร่างของมิ่งขวัญ

                เด็กหนุ่มรับเพลิงนั้นไว้ ไฟโอบล้อมร่างกายแต่มันไม่ร้อนเลยกลับกันคนที่เป็นฝ่ายร้อนจนต้องทุรนทรายคือปีศาจที่สิงสถิตอยู่ภายใน

                อ๊ากก!! ร้อนๆๆๆ ร้อนเกินไปแล้ว!!!’

                เสียงของลูซิเฟอร์แผดคำรามอย่างทรมานขณะเดียวกันก็มีอีกเสียงดังซ้อนทับขึ้นมา

                ศักดิสิทธิ์...จะศักดิ์สิทธิ์เกินไปแล้วคนผู้นี้อ๊ากกกก!!!’

                บางทีคงเป็นมิคาเอลปีศาจอีกตนที่สถิตอยู่ในดาบ

                ปีศาจในตัวกำลังหลอมละลายเพราะเพลิงไฟสีคราม

                มังกรที่อยู่ข้างหลังได้สลายตัวเองเป็นอณูแสงสว่างจำนวนมหาศาลราวกับน้ำในมหาสมุทรแล้วมหาสมุทรแสงเหล่านั้นก็ไหลมารวมกันยังร่างที่ลุกโชนของมิ่งขวัญ เพลิงไฟสีครามกลายเป็นอาภรณ์สีแดงก่ำสวมใส่ให้เสร็จสรรพประดับด้วยชิ้นส่วนเกราะสีทองคำดูอร่ามตา

                ไฟที่เหลือไหลขึ้นไปด้านบนรวมตัวเป็นก้อนทรงกลมอันร้อนแรงที่เปล่งแสงสว่างอย่างเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน มิ่งขวัญใส่มือขวาเข้าไปในพระอาทิตย์สีครามนั่นแล้วเสียงของมังกรก็ดังขึ้น

                พลังแห่งมังกรจะสถิตอยู่กับเจ้า

                มิ่งขวัญดึงมือกลับออกมาและคว้าเอาทวนทองคำที่ร้อนระอุจนมีไอควันลอยกรุ่น

                แล้วทันใดนั้นเอง ปีกมารของลูซิเฟอร์ที่งอกอยู่บนหลังก็ถูกไฟเผาทำลายจากนั้นปีกทองคำก็กางสยาย มิ่งขวัญใช้อีกมือล้วงเข้าไปในพระอาทิตย์คราวนี้คว้าเอาโล่ทองคำติดกลับมา

                วงแหวนเพลิงจะเป็นความหวังให้เจ้า

                แล้วปีกเทวทูตของมิคาเอลก็มอดไหม้ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยปีกทองคำ

                พลังทั้งสองจะรวมเป็นหนึ่งและเปิดหนทางสู่อนาคต

                สิ้นเสียงดวงตะวันสีครามก็ร่วงหล่นทับใส่ร่าง มิ่งขวัญหลับตาลง อาบเพลิงไฟนั้นด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นในพลังที่เอ่อล้นออกมาจากสกิลพร้อมกันนั้นเสียงของมังกรก็ดังกังวานเป็นครั้งสุดท้าย

                “ในโมงยามแห่งทองคำนี้จงขานนามแห่งสัตย์สายานว่าเจ้าจะฟาดฟันอริร้ายทั้งปวงเพื่อความยุติธรรม!

                ไฟที่โอบล้อมร่างไว้แผ่กระจายออกแล้วหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงหนึ่งร่างที่ส่องประกายแสงทองคำเจิดจรัสราวกับดวงดาวกับวงแหวนเพลิงฟ้าอัสดงหมุนกวัดแกว่งอยู่เบื้องหลัง

                มิ่งขวัญลืมตาแล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับทวนตวัดมันขึ้นด้วยสองมือพร้อมกับป่าวประกาศคำสาบาน

                เวพ่อนไนซ์ โกล์ดกาแลนต์!!

                เพื่อแลกกับพลังเด็กหนุ่มได้สาบานว่าจากนี้ไปขอให้คนที่ต้องต่อสู้มีแค่เขาคนเดียวนอกเหนือไปจากนั้นเขาจะแบกรับหน้าที่ปกป้องมันไว้เอง

                แล้วในวันนั้น... ในโมงยามแห่งทองคำ...

                มิ่งขวัญก็ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

                แต่มันรวดเร็วเกินไป มันได้กลายเป็นย่างก้าวที่นำไปสู่การพังทลาย

                สู่จุดจบ...

                แต่ยังมีความหวังอยู่...

                ความหวังที่มีชื่อว่ากวินทร์เงยหน้ามองมิ่งขวัญที่กำลังจะทำลายตัวเอง

                มิ่ง..ขวัญ...นายจะทำ...อย่างนั้น..ไม่ได้นะ

     

    [Weaponize! Gold Galant  Lv(1/1)

    Element: Light

    Attribute: Ultimate, Transform, Gold, Awakening

    (Cast Cost) สละ Buffs ธาตุแสงที่มี Saber หรือ Shield อยู่ใน Attributeและติดตั้ง Device ตั้งแต่ 3 อันขึ้นไป , ร่าย ขอสาบานว่าจะจับคมดาบเล่มนี้ฟาดฟันเพื่อความยุติธรรม คมดาบของยอดฝีมือแห่งอนาคตที่ก้าวข้ามกาลเวลามาจงมอบโมงยามแห่งทองคำให้ข้า’;

    ขณะร่ายสกิลนี้จะไม่ถูกขัดขวางและไม่ได้รับดาเมจ , ล้างสถานะทั้งหมดออกแล้วTransform (Transform: ไม่ถือเป็นสถานะ ไม่มีระยะเวลาคงอยู่ ไม่สามารถถูกล้างได้ ไม่ถูกยกเลิกหรือทำให้ไร้ผล) สืบทอดผลของ Buffs ธาตุแสงที่มีอยู่ทั้งหมดก่อนจะร่ายสกิลนี้รวมถึง Device ที่ติดตั้งเอาไว้ใน Buffs นั้น; รับพลังจากอวตารแห่งนักษัตรมังกรแล้วสวมใส่นวัฒกรรมเหนือกาลเวลาเป็นนักรบแห่งทองคำผู้พิชิตความชั่วร้ายทั้งปวงด้วยความยุติธรรม]


    ***ตอนนี้ยาวไปมากเพราะรายละเอียดสกิลที่แทรกเข้าไปต้องขอโทษด้วยครับที่จริงตอนนี้กะจะแยกเป็นสองส่วนไว้สำหรับอาทิตย์หน้าอีกตอนหนึ่งแทนแต่เนื่องจากตอนที่แล้วค่อนข้างสั้นบวกกับถ้าหั่นตอนเดี๋ยวมันจะยืดยาวเอาเลยตั้งใจให้อาทิตย์หน้าจบอวโลกิตะActตั้งแต่วันอังคารเลย สำหรับโกลด์กาแลนต์นั้น เป็นภาษาเยอรมันที่แปลงจาก Gold Gallant อีกทีถ้าใครที่รู็จักบัดดี้ไฟท์อาจจะคุ้นเคยกับ โกลด์ริทเตอร์มาก่อนแรงบันดาลใจท่าไม้ตายของมิ่งขวัญก็มาจากนั่นแหละครับ(ฮา) 

    [ตรงนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้นะ ไรท์แค่มาระบายเฉยๆ]

    เนื่องจากการเขียนที่สื่ออารมณ์ของตัวละครได้ไม่เต็มที่ของไรท์อาจทำให้ผู้อ่านทุกท่านไม่เข้าใจคอนเซปความกลัวของมิ่งขวัญกัน ช่วง Login 88 เลยต้องเขียนบรรยายว่าขวัญมีความคิดอ่านในการดำเนินชีวิตค่อนข้างผิดปกติไปจากธรรมดามาก

    ประมาณว่าย้ำคิดย้ำทำน่าจะได้มั้ง(ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่) เมื่อพบกับความผิดพลาดมิ่งขวัญก็จะหาสาเหตุแล้วปรับปรุงตัวเพื่อให้หนีจากความผิดพลาดนั้นๆ แต่พอแยกกับศรแล้วมาอยู่ในโลกที่มันไม่มีกฏเกณฑ์ไม่มีอะไรมาปกป้องคำตอบของการปรับตัวที่ออกมาก็คือการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นซึ่งนั่นจะต้องทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแ พอคำตอบมันดันเป็นสิ่งที่ไม่อยากจะเป็นแถมรู้อีกว่าถ้าเป็นแล้วมันจะเกิดปัญหาตามมาคืออาจจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันก็เลยกลายเป็นอุปสรรค์ไป

    ในช่วงท้ายของตอนนี้ได้เอาตัวปีศาจเข้ามาพูดจูงใจเพื่อทำให้ขวัญได้คำตอบว่าทำไมตัวเองถึงถึงรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ไม่ได้แล้วก็ตีความคำตอบจากบทสนทนากับศรออกมาว่าเพราะเขาอยากเป็นฝ่ายที่ปกป้องไม่ใช่ถูกปกป้องจึงยอมตัดใจเรื่องรักษาความเป็นมนุษย์และจะกำจัดอวโลกิตะเพื่อปกป้องทุกคนแม้ว่ามันจะทำให้เลเวลอัพและสูญเสียความเป็นมนุษย์ก็ตามครับ

    ที่กล่าวไปข้างบนคือความตั้งใจของไรท์แต่เขียนออกมาแล้วเหมือนจะไปกันคนละฟากเลย (=w=') เอาเป็นว่าตามที่อ่านไปในเนื้อเรื่องนั่นแหละครับท่านใดเข้าใจว่ายังไงก็ตามนั้นเลยไม่ซีเรียส แล้วเจอกันใหม่วันอังคารนะคร้าบบ~~***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×