คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #86 : Login 83: ในอุโมงค์ 2
Login
83: ในอุโมงค์ 2
พอลองมานึกดูดีๆ
แล้วตอนที่อยู่ข้างบนนั้นมิ่งขวัญจับที่มือซ้ายของเขาแต่ตอนที่ลงมากลับจับมือขวาและถ้าจำไม่ผิดตอนที่แสงจ้าจนตาพร่าก็ได้ยินเสียงของซีเซียมกับแบเรียมเรียกหากัน
‘แบเรียม!!’
‘ขอรับท่านพี่’
สรุปก็คือแบเรียมคิดจะเข้าไปจับมือซีเซียมแต่กลับเข้าใจผิดว่าเขาคือซีเซียมเพราะแสงสว่างในตอนนั้นทำให้มองเห็นแค่ลางๆ
หรือไม่ก็เป็นคำสั่งจากซีเซียมที่ให้คอยประกบติดเขาไว้จึงเข้ามาจับมือเอาตอนนั้น
ดูเหมือนจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะตอนนั้นไม่มีใครขยับเท้าออกจากที่ได้
ส่วนซีเซียมก็ยืนห่างออกไปเกินกว่าจะเอื้อมมือถึงแต่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนั้นก็คือ...
ตัวเขาเอง...
ระหว่างนี้เองส่วนหัวของปีศาจงูที่กระเด็นไปก็งอกหางขึ้นมาใหม่จากตรงส่วนที่ขาด
“...”
อิงศรหันไปดูแล้วก็คิดจะจัดการให้จบๆ
ไปก่อนที่มันจะฟื้นตัวสำเร็จจึงล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อข้างขวาซึ่งใส่สายรัดข้อมือที่มีกระเป๋าใส่แผ่นยันต์เอาไว้
แต่ภายในกลับว่างเปล่า
อิงศรลองใช้นิ้วควานหาเผื่อจะมีแผ่นยันต์เหลือๆ
ติดอยู่แต่สุดท้ายข้างในก็ไม่มียันต์เหลือแม้แต่แผ่นเดียว
แผ่นยันต์นั้นจะมีพลาสติกหุ้มเอาไว้ด้วยเพราะอย่างนั้นถึงโดนน้ำก็ไม่เป็นไรมันไม่มีทางฉีกขาดแล้วลอยหายไปตอนที่เขาตกลงมาแช่น้ำในอุโมงค์อย่างแน่นอน
ถ้างั้นมันก็หมดเพราะใช้ไปจนหมดนั่นเอง
พอลองมาคิดๆ
ดูแล้วที่ผ่านมามีเรื่องเข้ามาตลอดจนแทบไม่ได้สำรองไอเทมเลย
บิลด์มิสติกชูทเตอร์มีหัวใจที่การใช้ธนูอาคมถ้าไม่มีแผ่นยันต์ที่เป็นค่าใช้จ่ายตอนร่ายสกิลก็ทำอะไรไม่ได้
"..."
ตอนที่กังวลเรื่องไม่มีแผ่นยันต์อยู่นั่นเองปีศาจงูก็...
"ได้ยินมาจากตักษกะว่าเจ้ามีน้องชายอยู่คนหนึ่งสินะผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"
พูดมาอย่างนั้น
'ตักษกะ' ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินตอนที่ข้าวหลามซึ่งเปิดเผยตัวเองว่าเป็นอารย-สนธยาถูกพญานาคที่มาด้วยกันตอนนั้นเรียกว่า
'ตักษกะ'
หมายความว่าข้าวหลามได้แพร่ข่าวของเขาให้แก่อารย-สนธยาไปหมดแล้วสินะ
การกุมข้อมูลของศัตรูย่อมสร้างความได้เปรียบและการที่เจ้างูนั่นพูดมาตอนนี้ก็คิดได้อย่างเดียวว่ามันจงใจปั่นหัวเขา
"..."
อิงศรไม่ตอบโต้
พยายามจะไม่เดินไปตามเกมของอีกฝ่าย
ตอนนี้ต้องหาทางจัดการโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแผ่นยันต์แต่ลูกดอกก็ยิงไม่เข้าสกิลที่มีให้ใช้ได้ก็เหลือแค่
บัพ-แอโร่ว กับสกิลยิบย่อยสองสามอันที่ใช้สร้างความเสียหายไม่ได้
จนถึงตอนนี้งูก็ยังพูดของมันต่อไปเรื่อย
"ป่านนี้น้องของเจ้าคงใกล้จะถูกสามมือสังหารกอร์กอนคนอื่นจัดการแล้วล่ะมั้งมัวเอ้อระเหยแบบนี้มันจะดีรึ"
"..."
"หรือเจ้าเองก็เป็นเหมือนกับข้าถูกพี่น้องหักหลังมาเหมือนกันก็นั่นสินะพี่น้องมีแต่จะทรยศหักหลังกันไม่วันนี้ก็วันหน้ายิ่งน้องของเจ้ากลายเป็นบุตรแห่งแสงไปแล้วย่อมเหลือแค่เวลาที่จะทำให้เขากลายเป็นศัตรูของเจ้า"
ไม่รู้หรอกว่าปีศาจงูตนนี้เคยมีความบาดหมางอะไรกับพี่น้องของมันแต่คำพูดเมื่อครู่ได้ไปจุดชนวนไฟในใจเข้าเสียแล้ว
"อย่างแกจะมารู้อะไรเล่า!
ขวัญน่ะ...หมอนั่นไม่มีวันหักหลังฉัน!!"
พออิงศรตะหวาดกลับไปแบบนั้นก็เหมือนจะเห็นว่าดวงตาของงูหรี่แคบลงคล้ายกับกำลังยิ้มย่องอย่างพอใจเพียงแต่ใบหน้าของอสรพิษนั้นไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ดีนักเลยเป็นอย่างที่เห็น
พลาดไปเสียแล้ว...
เมื่อครู่เขาเผลอปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนขาดสติไปชั่วขณะถึงจะแค่เป็นการแย้งคำพูดอีกฝ่ายเพราะมันแทงใจดำก็ตามแต่นั่นก็เป็นหลักฐานว่าเมื่อเป็นเรื่องของมิ่งขวัญแล้วเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
เพราะความรู้สึกผิดบาปที่เคยทิ้งมิ่งขวัญเอาไว้
เพราะความละอายที่มีชีวิตรอดมาได้ด้วยการเสียสละครอบครัว
อดีตที่คิดว่าเคยเอาชนะได้แล้วด้วยพลังสนับสนุนจากพวกพ้องใหม่ในเมตไตรยแต่มันกลับหวนคืนมาและโจมตีเขาอีกครั้ง
"..."
อิงศรขยับตัวไม่ได้
อารมณ์กับเหตุผลกำลังตีกันจนยุ่งเหยิง
ถ้าเคลื่อนไหวในสภาพที่การตัดสินใจกำลังลดลงแบบนี้อาจทำให้เพลี่ยงพล้ำความนึกคิดนี้กำลังตรึงร่างกายของเขาเพื่อรอให้อารมณ์สงบลงและกลับมามีสติยั้งคิด
แต่ความโกรธก็ไม่ยอมให้ทำแบบนั้น
หากอารมณ์ยังเอาชนะความคิดได้อยู่แบบนี้ล่ะก็...
จู่ๆ แบเรียมก็พูด
"ขออภัยที่ต้องเสียมารยาทนะแต่ว่าที่พี่ชายปีศาจพูดมาเมื่อครู่มันไม่ค่อยจะเข้าหูข้าพเจ้าซักเท่าไหร่"
แล้วออกมายืนขวางข้างหน้า
อิงศรได้สติคืนมาเพราะตกใจกับการกระทำของมนุษย์ต่างดาว
ความสงสัยช่วยกดความโกรธที่แล่นขึ้นมาอย่างหุนหันลงจจนสามารถกลับมาคิดอย่างมีเหตุมีผลได้อีกครั้งแล้วมันก็ทำให้ชวนสงสัยขึ้นมาว่าความอดทนขอวตัสเองมันน้อยถึงขนาดที่โดนคำพูดแค่นั้นยั่วยุเอาได้ง่ายๆ
เลยหรือ?
"แล้วไอ้ความน่าหงุดหงิดที่กำลังรู้สึกอยู่เนี่ยก็เป็นพลังของพี่ชายด้วยงั้นสิ"
ที่แบเรียมพูดมาทำให้ความสงสัยกระจ่างในทันที
ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นเรื่องขอบมิ่งขวัญถึงได้ยั่วยุเขาสำเร็จง่ายๆ
แต่เจ้าปีศาจงูเองก็คงใช้พลังอะไรซักอย่างเพื่อชักจูงจิตใจให้หวั่นไหวไปตามคำพูดด้วยเป็นแน่
ถ้าที่บอกว่ามิ่งขวัญกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่เป็นเรื่องจริงสถานการก็น่าเป็นห่วงอย่างมาก
พวกปีศาจของอารย-สนธยาอาจจะมีความสามาถที่เล่นงานจิตใจแบบนี้ได้อีก
มิ่งขวัญที่อารมณ์ร้อนและหัวรั้นคนนั้นคงจะเดินตามเกมของศัตรูเอาได้ง่ายๆ
"ชิ
นี่เผลอแค่แปเดียวก็คิดฟุ้งซ่านอีกแล้วเหรอเนี่ย"
อิงศรพึมพำกับตัวเองเพื่อเรียกสติอีกครั้ง
แค่เผลอใจไปแวบหนึ่งในหัวก็ยุ่งเหยิงไปหมด
แล้วตอนนั้นเองเสียงยานคางของปีศาจก็พูดมาว่า...
“เจ้าเดาถูกครึ่งเดียวนะบุตรแห่งแสงเป็นเรื่องจริงที่พวกเจ้าได้ถูกพลังอาคมปลุกปั่นอารมณ์กับความรู้สึกแต่ว่านั่นไม่ใช่พลังของข้าหรอกแต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยเขตแดนพลังของสี่จาตุมหาราชิกาเหล่าทวยเทพผู้คุ้มครองอารย-สนธยาแห่งนี้”
สรุปว่าที่คาดเดากันไว้นั้นถูกต้องแล้ว...
ปีศาจยังคงพูดต่อไปอีก
”พวกเราแต่เดิมก็คือมารอวตารร่างจำแลงของความบ้าคลั่ง ภายในเขตแดนที่ปลุกปั่นอารมณ์ความรู้สึกจนคุ้มคลั่งก็เหมือนเป็นพลังให้แก่พวกเราที่เคยถูกจองจำด้วยอมฤตได้ฟื้นคืนพลังกลับไปในยุคสมัยอันรุ่งโรจน์”
แต่แบเรียมก็พูดขัดคำพูดของอีกฝ่าย
“โอเคพอแค่นั้นแหละพี่ชายขี้เกียจจะฟังแล้วเพราะงั้นที่พูดเรื่องพี่น้องไปเมื่อกี้จะขอค้านล่ะนะ”
แล้วตั้งท่าชี้ปลายดาบไปข้างหน้าเหมือนนักกีฬา
‘Fencing’
“...”
อิงศรยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าแบเรียมต้องการอะไรจนกระทั่งเจ้าตัวชายตามองมา
“จะช่วยสกัดมันไว้ให้แบบนั้นจะทำอะไรก็สะดวกกว่าใช่ไหมล่ะ”
พอได้ยินที่อีกฝ่ายพูดอิงศรก็เบ้ปาก
“เชื่อใจกันขนาดนั้นเลยเรอะ”
“ถ้ายิงมาทีเผลอก็ปัดทิ้งได้อยู่แล้วแต่อย่างคุณคงไม่ทำแบบนั้นหรอกใช่ไหมล่ะ”
แล้วแบเรียมก็พุ่งออกไปต่อสู้กับปีศาจโดยทิ้งความสงสัยเอาไว้ว่าทำไมถึงไว้ใจเขา
แต่ถึงคิดไปก็เท่านั้นยังไงตอนนี้มนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวก็จับมือกันสู้กับอารย-สนธยา
ตอนนี้เชื่อแบบนั้นไปก็ไม่ได้มีปัญหามากไปกว่าเดิมหรอก
แบเรียมสู้กับปีศาจได้อย่างสูสีส่วนหนึ่งเพราะความว่องไวทำให้หลบการโจมตีได้ทั้งหมดแต่การโจมตีของแบเรียมก็ผ่านเกล็ดที่หนาของปีศาจไปไม่ได้เช่นกัน
ถ้าถือว่าเป็นการสู้เพื่อถ่วงเวลาเพื่อให้เขาที่สามารถใช้สกิลได้จึงน่าจะโจมตีได้ผลมากกว่าเป็นคนปิดเกมแล้วล่ะก็...ถือว่าต่อสู้เป็นทีมได้ดี
แต่ตอนนี้แผ่นยันต์ที่เป็นหัวใจสำคัญของการโจมตีกลับหมดไปแล้วดังนั้น...
อิงศรเรียกหน้าจอคลังแล้วหยิบปึกยันต์ที่ยังไม่ได้เขียนกับปากกาแล้วก็ไฟฉายออกมา
คาบไฟฉายไว้ในปากแล้วเริ่มขีดปากกาผ่านพลาสติกที่หุ้มยันต์แต่ละแผ่นโดยมีกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงินวางทาบแผ่นยันต์เอาไว้อีกทีพอกดปลายปากกาที่จรดลงบนพลาสติกหุ้มก็ทำให้เกิดร่องรอยบนกระดาษยันต์ด้านหลังและกลายเป็นตัวอักขระ
ส่วนวิธีการเขียนยันต์นั้นก็ได้มาจากสกิลงานฝีมือที่อัพจากสายอาชีพรองซึ่งมีผลกับการทำให้เขียนยันต์ได้ถูกต้องหรือล้มเหลวก็ขึ้นกับเลเวลของสกิล
พอเขียนเสร็จก็จะดึงปลายของกระดาษคาร์บอนที่ยื่นออกมานอกซองพลาสติกทิ้งแล้วค่อยพับซองปิดอีกทีเพื่อป้องกันแผ่นยันต์ด้านในก็จะเสร็จไปหนึ่งแผ่น
อิงศรทำขั้นตอนทั้งหมดอย่างคล่องแคล่วว่องไวเพราะสกิลความชำนาญเลเวลเต็มทำให้เขียนได้หลายแผ่นในเวลาไม่กี่วินาที
การฝนกระดาษยันต์ทำให้เกิดเสียงเสียดสีจนแบเรียมหันมามอง
“นี่มานั่งเขียนยันต์สดๆ กันตรงนี้เลยเรอะ!”
หมอนั่นตะโกนมาแบบนั้น...
“อั้นไอ้ไออาย! (ฉันไว้ใจนาย)”
อิงศรฝืนพูดทั้งที่ยังคาบไฟฉายเอาไว้
“นั่นมันใช่คำพูดสำหรับตอนนี้ที่ไหนกันเล่า!”
“เอี้ยบๆ ไอเออะอ้าเอี้ยวอ้อเอ็ดแอ๊ว! (เงียบๆ ไปเหอะน่าเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว)”
ระหว่างที่ถกเถียงกันอยู่นี้ยันต์ก็ถูกเขียนเสร็จไปสามสิบแผ่น
เท่าที่คำนวณดูแล้วคงต้องเขียนจนหมดปึกถึงจะพอใช้เพราะไม่รู้ว่าหลังจากจัดการปีศาจงูแล้วยังจะเจออะไรมากไปกว่านี้รึเปล่า
"..."
อีกยี่สิบแผ่นยันต์จะหมดปึก
มือของอิงศรขยับไปมาเป็นประวิง
เสียงเสียดสีของกระดาษคาร์บอนกับพลาสติก
เสียงปะทะของดาบกับเกล็ดงู
เสียงทั้งสองดังสอดประสานกันเป็นบทเพลงอันน่าอึดอัด
บทเพลงนั่นดำเนินไปได้ซักพักหนึ่งอิงศรก็หยุดมือเมื่อยันต์แผ่นสุดท้ายถูกเขียนเสร็จและดึงกระดาษคาร์บอนออก
อิงศรจับยันต์ทั้งปึกยัดใส่แขนเสื้อสอดมันลงในกระเป๋าของสายรัดข้อมือจนมันพูนออกมาและแขนเสื้อปูดเหมือนกระเป๋าสตางค์ที่ยัดธนบัตรจนล้น
หลังจากนั้นก็เก็บไฟฉายกับปากกาแล้วกลับเข้าสู่การต่อสู้
“เอาล่ะทีนี้ก็มาเริ่มกันเลย”
ความคิดเห็น