คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #82 : Login 79: The Fool ของเหล่าคนเขลา
Login
79: The Fool ของเหล่าคนเขลา
"แล้วเราจะเดินทางกันยังไง"
อิงศรถาม
หลังจากตอบตกลงเข้าร่วมการโจมตีอารย-สนธยาแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ต้องเดินทางไปยังจุดหมาย
ฐานที่มั่นของศัตรูคงจะเป็นวัดอารย-สนธยามหาวิหารที่ฉายภาพให้ดูในประกาศแต่สถานที่นั้นตั้งอยู่ในปทุมธานีจากชลบุรีจะไปถึงที่นั่นยังไงก็ต้องมียานพาหนะ
"หรือจะให้กลับไปรวมตัวกับเมตไตรย"
แต่แบเรียมส่ายหน้า
"พวกเมตไตรยให้ยานพาหนะที่เรียกว่ารถมาคันหนึ่งกระผมจะเป็นคนขับไปเองสบายใจได้เราตรวจสอบหมดแล้วไม่มีระเบิดหรือกับดักอะไรติดตั้งเอาไว้ทั้งนั้น"
แล้วพูดพร้อมกับยัดจอทีวีกลับลงไปในกระเป๋าเดินทาง
"พวกนั้นไว้ใจมนุษย์ต่างดาวขนาดนั้นเลยเรอะ"
“เขาหารือกันว่าให้ส่งตัวแทนมานำทางพวกคุณแค่คนเดียวก็พอ
แล้วก็ตกลงให้กระผมเป็นคนรับหน้าที่ไปตอนแรกก็กะว่าจะใช้หน้าตาที่เหมือนกับมิ่งขวัญหลอกให้ตายใจแล้วยอมตามไปแต่โดยดีอยู่หรอก..."
แบเรียมหยุดคำพูดเพราะซิปกระเป๋าเหมือนจะติดขัดเล็กน้อยจึงต้องจัดแจงกระเป๋าอยู่พักหนึ่งถึงปิดมันลงได้
"แต่สุดท้ายพวกนายก็เอาน้องฉันมาเป็นตัวประกันอยู่ดี"
อิงศรพูดต่อให้ในส่วนที่แบเรียมพูดไม่จบ
"ก็ตามนั้น"
"..."
ไม่มีคำพูดจากทั้งสองฝ่ายอีก
เมื่อแบเรียมยกกระเป๋าเดินทางที่มีจอทีวีค่อนข้างหนักอยู่ในนั้นขึ้นพาดหลังอย่างสบายๆ
แล้วก็ออกเดินนำอิงศรกับพรรคพวกที่ประกอบด้วยกวินทร์และอิซานามิไปยังรถที่เตรียมไว้
ระหว่างทางอิงศรได้แต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การสงบศึกครั้งนี้บางทีอารย-สนธยาก็อาจจะคำนวณเอาไว้แล้ว
การที่ประกาศเวลาเจ็ดวันมาเหมือนกับจะบีบให้พวกเขาโจมตีหมายความว่าฝ่ายนั้นมั่นใจขนาดที่ว่าต่อให้ศัตรูร่วมมือกันก็ยังเอาอยู่อย่างนั้นหรือ
ถ้าเป้าหมายของพวกนั้นคือการให้โลกถูกความว่างเปล่ากลืนกินในเจ็ดวันงั้นจะประกาศออกมาทำไมสู้อยู่เงียบๆ
จนครบเจ็ดวันโดยที่ปล่อยศัตรูมัวพะวงเรื่องกำลังรบจนไม่มีเวลาเหลือไม่ดีกว่าหรือ
เด็กหนุ่มเชื่อมโยงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่มีแล้วก็รู้สึกว่าสถานการณ์เหล่านี้เหมือนถูกจัดฉากเอาไว้มีใครบางคนเล็งเป้าหมายบางอย่างที่จะเกิดจากสงครามคราวนี้แล้วคนๆ
นั้นเป็นใครกันล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ชวนให้คาใจ...
เสียงของผู้นำอารย-สนธยาตอนที่ประกาศนั้นเขาจำได้ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากใครหรือตอนไหน
...
ภายในรูนรูม...
ซีลอร์ดกำลังง่วนกับการจับตาดูผู้ถูกฟันเฟืองเลือกทั้งฝั่งอิงศรและฝั่งมิ่งขวัญ
ดูจากสถานการณ์แล้วเวลาที่ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งกำลังใกล้เข้ามา
แต่คราวนี้เป็นการพบหน้ากันเพื่อร่วมมือกันต่อสู้
สู้กับเสียงร่ำร้องของโลกทั้งใบที่อยากจะรอดพ้น
เสียงร่ำร้องที่มีชื่อว่าเทพมารแห่งอารย-สนธยา
"แม้แต่อาคาชิกเรคคอร์ดเองก็คาดเดาเหตุการณ์หลังจากนี้ไม่ได้งั้นเหรอหรือจะเป็นเพราะไม่มีอมฤตตกลงไปที่สวนก็เลยทำให้ระบบหยุดชะงักไปด้วยกันนะ"
ซีลอร์ดขมวดคิ้วเล็กน้อยรู้สึกไม่ชอบกลกับสภาพการณ์ในตอนนี้นัก
นอกจากพูดคุยกับอิงศรผ่านทางแชทแล้วเขาก็ไม่มีอะไรที่ทำได้อีกแม้แต่การจะลงไปปรากฏตัวที่โลกก็ทำไม่ได้เพราะที่นั่นไม่มีอมฤตแหล่งพลังงานหลักของเครื่องทำสวน
โดยปกติแล้วจะมีเฟืองคอยสร้างอมฤตให้เครื่องทำสวนถึงปฏิบัติการนอกพื้นที่ที่ไม่มีอมฤตได้แต่ตอนนี้เฟืองกระจัดกระจายไป...
อยู่กับอิงศร
เศษเสี้ยวของธนูแห่งชัยชนะ
อยู่กับมิ่งขวัญ
เศษเสี้ยวของดาบแห่งสงคราม
อยู่กับแฟรนเซียม
เศษเสี้ยวของคันชั่งแห่งความอดอยาก
และเศษเสี้ยวของคมเคียวแห่งความตายที่ยังไม่ทราบว่าไปอยู่กับผู้ใด
เศษเสี้ยวทั้งสี่จะหลอมรวมกันเป็นฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนโลกไปสู่จุดจบหรือหมุนเปลี่ยนทิศเพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่นั้นขึ้นอยู่กับการแสดงความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปหรือก้าวถอยหลังหรือแม้แต่จะหยุดเดินก็ตาม
"ทั้งหมดนั่นได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกไปแล้ว"
ซีลอร์ดพึมพำความนึกคิดออกมา
แต่แล้ว...
"ยังคิดที่จะผลักภาระให้กับมนุษย์อยู่อีกหรือ"
กลับมีเสียงพูดตอบโต้ทั้งที่ไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องนี้
น้ำเสียงนั้นดูทรงพลังและยิ่งใหญ่
“ใครกันน่ะ”
ซีลอร์ดถามออกไปแต่เสียงนั้นกลับหัวเราะ
“คนทรยศเอ๋ยมาร่วมมือกับเราเถอะ”
แล้วพูดวลีที่เหมือนกับเคยได้ยินหรือเห็นจากที่ไหนมา
ซีลอร์ดนึกขึ้นได้ก็เปิดหน้าจอเมล์แล้วเปิดไปยังฉบับที่ได้รับตอนไปนั่งดื่มกาแฟที่โลก
ข้อความในจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่า
TRAITOR, JOIN ME.
ถ้าแปลความหมายแล้วก็จะตรงกับคำพูดเมื่อครู่พอดี
“คำพูดนั่นหรือว่าคนที่ส่งเมล์นี่มา...”
เสียงนั้นพูดแทรกก่อนที่เขาจะพูดจนจบ
“ใช่
เราเป็นซึ่งเราเป็น เราคือคนที่ถูกลืมเลือนเช่นเดียวกับเจ้า
อาคานาร์ของผู้เลือกหนทางแห่งมนุษย์ อาคานาร์ของบุตรแห่งแสง อาคานาร์ของปีศาจ
ถ้าอย่างนั้นเครื่องทำสวนเองก็ควรจะเลือกหนทางด้วยเช่นกันอย่ามัวแต่รออยู่เลยเริ่มเกมโกงวันโลกาวินาศของเจ้าได้แล้วเครื่องทำสวนเอ๋ยอย่าได้ยึดมั่นต่ออาคาชิกเรคคอร์ดเลยความเป็นไปได้นั้นมีมากมายไม่จบสิ้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่ทุกอย่างจะพังทลายก็เช่นเดียวกัน”
อีกฝ่ายพูดสิ่งที่อยากพูดมารวดเดียวโดยไม่เปิดช่องให้เขาได้ถามหรือโต้ตอบ
จากนั้น...
“นี่มัน”
ซีลอร์ดอุทาน
ใบหน้าเรียบเฉยของเด็กหนุ่มเจือไว้ด้วยความตื่นตระหนกเมื่อจอภาพมากมายปรากฏขึ้นรายล้อม
จอภาพปรากฏขึ้นแล้วก็ดับหายไป
แล้วก็ปรากฏขึ้นมาอีกเป็นอย่างนี้สลับกันไปทีละจอ
แล้วบนจอภาพเหล่านั้นก็ยังฉายภาพความตาย...
ความตายของอิงศร
ความตายของมิ่งขวัญ
ความตายของพวกพ้องอิงศร
ความตายของมนุษย์ทั้งโลก
แม้แต่ความตายของโดโกบาร์ที่เป็นเครื่องทำสวนก็ไม่มีการยกเว้น
ภาพความตายเหล่านั้นสลับกันผลุบโผล่จนกระทั่งทุกภาพรวมเป็นหนึ่งเดียวมันก็แสดงความตายของโลกทั้งใบให้เห็น
โลกที่ถูกความว่างเปล่ากัดกินถูกลบจนหายไปโดยสมบูรณ์
แล้วภาพเหล่านั้นก็ยัง...
“คงเข้าใจดีสินะว่าภาพเหล่านั้นคืออะไร...ใช่
มันคือข่าวสารที่อาคาชิกเรคคอร์ดทำนายเอาไว้”
นั่นย่อมหมายความว่าภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ให้เกิดขึ้น
“เอ้ารีบส่งข่าวนั้นแก่ผู้ถูกเลือกของเจ้าซะสิฮะๆๆๆ“
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังก้องไปทั้งรูนรูม
เป็นการหัวเราะอย่างสะใจเอามากๆ
จนกระทั่งเสียงหัวเราะหายลับไปถึงจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นได้จากไปแล้ว
หน้าจอที่แสดงภาพความตายก็หายไปเช่นกัน
แต่ซีลอร์ดก็ไม่คิดจะเชื่อเนื้อหาที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นอยู่ดีเพราะว่าเขาไม่ได้รับข้อมูลอะไรแบบนั้นมาจากอาคาชิกเรคคอร์ดเลยแม้แต่น้อย
เนื้อหาของคำพูดที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีแต่สิ่งที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์เลย
มันต้องการให้เขาทำอะไรกันแน่?
แต่มีที่รู้อยู่อย่างหนึ่งก็คืออีกฝ่ายพูดถึงอาคานาร์เป็นหลักบางทีอาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการที่อิงศรมีอาคานาร์ในครอบครองก็เป็นได้
ซีลอร์ดมองไปที่หน้าจอเมล์แล้วคิด...
ครั้งหนึ่ง
เขาเคยคาดเดาเอาไว้ว่าเจ้าของเมล์น่าจะเป็นหนึ่งในสิบสองเครื่องทำสวนแต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดไป
อีกฝ่ายน่าจะเป็นใครอื่นที่รู้เรื่องของอาคาชิกเรคคอร์ดเป็นอย่างดีและอาจจะควบคุมมันได้ด้วยถึงสามารถสร้างภาพความตายขึ้นมาข่มขู่ได้
คนที่น่าจะทำแบบนั้นได้ก็คงมีแต่ระดับแอดมินิสเทรเตอร์หรือไม่ก็อารย-สนธยา
ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าแม้มันยากที่จะเชื่อว่าลำพังแค่พลังขององค์กรมนุษย์และปีศาจสร้างขึ้นจะมีพลังมากถึงขนาดนั้น
แต่ว่า...
ซีลอร์ดหยุดความคิดเอาไว้เพราะมีของบางอย่างตกลงมา
มันร่วงหล่นผ่านหน้าเขาไป
โรยราลงพื้นอย่างนุ่มนวลเพราะมันมีรูปร่างที่เอื้อให้ทำอย่างนั้น
ไพ่อาคานาร์ได้ตกลงมา
“ของอิงศรเหรอ...ไพ่ใบใหม่รึไงนะ”
ซีลอร์ดเดินเข้าไปเก็บไพ่ที่ว่าแล้วพลิกมันขึ้น
“เดอะ ฟูล”
รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นระรัวเพราะความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น
ไพ่ที่ตกลงมาใบนี้มีรูปตัวตลกแบกไม้ที่ผูกห่อผ้าเหมือนนักเดินทางถึงรายละเอียดจะน้อยกว่าแต่ก็เป็นไพ่ที่บ่งบอกถึงอาคานาร์เดียวกันกับไพ่ทำนายดวงที่เขาได้รับมาจากร้านกาแฟ
ซีลอร์ดเรียกหน้าจอขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งอันล้วงมือเข้าไปในนั้นดึงไพ่ที่ได้จากร้านกาแฟออกมาแล้วจ้องมองไพ่ทั้งสองสลับกันไปพร้อมกับพึมพำว่า
“เรื่องบังเอิญไม่มีคำว่าซ้ำซ้อนถ้านี่ไม่ใช่โชคชะตาที่กำหนดไว้ก็มีใครบางคนกำลังมุ่งหวังให้เรื่องราวดำเนินไปแบบนี้ถ้าอาคานาร์นี้ไม่ใช้ของอิงศรแล้วล่ะก็...”
ผู้ถูกลืมเลือนพูดคำหลังจากนี้ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแน่ใจเพราะความรู้สึกที่ส่งถ่ายจากอาคานาร์มันบอกเช่นนั้นแล้วเขาก็นึกถึงคำพูดของเสียงปริศนาเมื่อครู่
‘อาคานาร์ของผู้เลือกหนทางแห่งมนุษย์
อาคานาร์ของบุตรแห่งแสง อาคานาร์ของปีศาจ ถ้าอย่างนั้นเครื่องทำสวนเองก็ควรจะเลือกหนทางด้วยเช่นกัน’
ถ้า ‘ผู้เลือกหนทางของมนุษย์’
นั้นหมายถึงอิงศรแล้วล่ะก็...
“นี่คืออาคานาร์ของเราแล้วก็ยังมีคนอื่นนอกจากอิงศรที่มีอาคานาร์อย่างนั้นสินะ”
***อาทิตย์นี้เนื้อเรื่องอาจจเนือยไปบ้างแล้วก็สั้นไปหน่อยต้องขออภัยจริงๆครับไรเตอร์ค่อนข้างงานชุกในช่วงนี้ทำให้เขียนฉากที่ต้องการความละเอียดมากๆไม่ทันจึงตัดไปรอไว้ก่อนคาดว่าอาทิตย์หน้าจะได้เริ่มเรื่องราวกันจริงๆจังๆซักทีครับ****
ความคิดเห็น