คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #69 : Login 66: Megiddo Ark
Login 66: Megiddo Ark
แสงแดดเปลี่ยนสี ท้องฟ้ายามเย็น
เสียงคลื่นกระทบฝั่ง
ระลอกคลื่นบนทะเล
นรินทร์ ระจินดา
มองทิวทัศน์อันเวิ้งว้างของท้องทะเลที่เงียบสงบนั้นจากบนกำแพง 'ไอจิส'
ซึ่งเป็นแนวกำแพงป้องกันเมืองชั้นในสุด
กำแพงสูงกว่าห้าเมตรและหนาสามเมตรมีทางเดินบนกำแพง
ด้านหน้ายังมีกำแพง 'ไออัส'
ล้อมอยู่อีกชั้น
ทางเดินบนกำแพงทั้งสามเต็มไปด้วยทหารซุ่มโจมตีและฝ่ายเทคนิคที่คอยสนับสนุนด้านยุทธวิธี
มีคนอยู่กระจายกันไปไม่ค่อยหนาแน่นผิดกับข้างล่าง
ที่ตรงช่องว่างระหว่างกำแพงซึ่งเต็มไปด้วยทหารประจัญบานดูแน่นขนัด
พอมองจากมุมนี้แล้วเครื่องแบบสีเขียวหญ้าของทุกคนทำให้กำแพงดูเหมือนแปลงปลูกพืชไปเลย
ส่วนด้านหลังเขาคือถิ่นอาศัยที่เต็มไปด้วยประชาชนมากมาย
ที่นี่คือแนวป้องกันสุดท้ายซึ่งจะต้องปกป้องเอาไว้ดังนั้นเขาที่มีอาชีพด้านเยียวยารักษาจึงถูกให้มาประจำอยู่ที่นี่เพื่อคอยสนับสนุนแนวหน้าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดหากต้องเสียกำแพงชั้นแรกไปพวกที่ถอยร่นเข้ามาก็จะได้รับการสนับสนุนทันที
นอกจากเขาแล้วคนที่อยู่หน่วยเดียวกันและถูกให้มาประจำแนวหลังก็ยังมีกวินทร์
วชิระ
อีกคนทั้งที่เป็นอาชีพประจัญบานแต่ถูกไล่มาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีประสบการณ์กับเรดบอสที่กำลังจะมาซึ่งเขาเองก็เหมือนกัน
ทั้งเขาและกวินทร์ต่างก็เข้าสังกัดกองทัพเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้โดยสมัครเข้าที่ค่ายในกรุงเทพต่างกับอิงศร
มีนา
และเมษาที่เคยประจำการอยู่ศูนย์ใหญ่มาสองปีกว่าจึงมีความคุ้นเคยกับเรดในครั้งนี้
กระนั้นแล้ว...
"ไม่เห็นพี่ศรเลยนะครับ"
กวินทร์พูดมาจากทางด้านหน้าขณะที่ค้ำมือกับขอบกำแพงแล้วเขย่งมองไปยังแนวชายหาดด้านนอกกำแพงชั้นไออัส
ตรงจุดที่พวกเขายืนกันอยู่เป็นตอนกลางของกำแพงไอจิสที่ทอดยาวจากหน้าผาไปจนสุดแนวชายหาดแล้วจึงวกเข้าด้านในไปล้อมส่วนของตัวเมืองอีกที
นรินทร์เดินเข้าใกล้ขอบกำแพงบ้างแล้วเพ่งสายตามองไปยังแนวหน้า
เจอเมษา
เจอมีนา
เจอพันโทข้าวหลาม
เจอร้อยเอกวิเชียรมาศ
แล้วก็คนมียศสำคัญอีกสองสามคนที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างแต่กลับไม่เจออิงศร
"สงสัยจะมาสายล่ะมั้ง"
นรินทร์เอ่ยลอยๆ
เขาไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับอิงศรซักเท่าไหร่เพราะเพิ่งสนิทกันไม่นานที่พอจะรู้ก็มีแค่เสียงลือเสียงอ้างที่ชอบเข้าเรียนวิชาทหารสายไม่ก็โดดไปเลย
แกล้งทำผลทดสอบตกบ้างอะไรบ้าง
ถึงจะมีชื่อเสียค่อนข้างเยอะแต่ก็มีเสียงเล่าลือกันหนาหูว่าในสถานการณ์คับขันหรือเวลาสำคัญอิงศรมักจะอยู่ที่นั่นเสมอและมีส่วนช่วยให้พ้นวิกฤติเป็นอย่างมากดังนั้นจึงคาดหวังได้ว่าเขาจะไม่หนีไปจากเรดในครั้งนี้อย่างแน่นอน
แล้วอะไรทำให้อิงศรคนนั้นไม่มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันล่ะ?
ตอนนั้นเองกวินทร์ก็เรียกหน้าจอสื่อสารขึ้นมา
"ผมว่าลองโทรตามหน่อยดีกว่า"
กวินทร์หันมามองราวกับจะขอความเห็น
นรินทร์ได้แต่พยักหน้าตอบอย่างเห็นด้วยเพราะเขาเองก็อยากรู้เหตุผล
"มัวมาชมวิวอยู่แบบนี้มันจะดีเหรอโชเน็น"
มีเสียงของผู้หญิงดังมาพอหันไปดูก็พบว่าเป็นคนรู้จักอีก
ซากิรินั่นเอง
หัวหน้านักวิจัยจากหน่วยวิจัยสัตว์เทวะและหน่วยพัฒนาแอพพลิเคชั่นปีศาจ
หญิงสาวในเสื้อกาวน์จ้องมองมาที่พวกเขาพลางผุดยิ้มเล็กน้อย
"คุณซากิริก็มาออกแนวหน้าด้วยเหรอครับ"
นรินทร์ถาม ขณะเดียวกันกวินทร์ก็ละความสนใจจากทางนี้แล้วเริ่มโทรหาอิงศร
ซากิริตอบคำถามนั้นว่า
“เพราะว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถใช้เดม่อนแอพแบบเฉพาะจัดการกับบอสตัวหนึ่งได้น่ะ”
“หมายความว่ายังไงหรือครับ”
นรินทร์ทำหน้าสงสัย
“รู้เรื่องกฎของการคราฟเมืองใช่ไหมว่าทุกเดือนจะต้องรับการโจมตีจากเรดบอส”
นรินทร์พยักหน้า
“แล้วเรดก็วนสับเปลี่ยนกันมาทุกปีสำหรับเจ็ดแตรแห่งวิบัตินี่ก็วนมาเป็นปีที่สามแล้วล่ะ”
จากนั้นซากิริก็ชี้ไปที่ทะเล
“ศัตรูจะบุกมาจากตรงนั้นจะมีเสียงเป่าแตรให้สัญญาณจ่าฝูงตัวแรกโจมตีทุกๆ
เจ็ดสิบนาทีถ้าไม่สามารถกำจัดให้ได้ก่อนหมดเวลาก็จะต้องรับมือจ่าฝูงอีกตัวในสัญญาณครั้งต่อไปพร้อมกันแล้วเราก็จะป้องกันลำบากน่าจะเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหมล่ะเพราะเรดนี้ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมทุกปีเลยล่ะ”
“ก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างน่ะครับเพราะตัวผมเพิ่งจะเข้ากองทัพก็ตอนที่ค่ายกรุงเทพก่อตั้งขึ้นมาหมาดๆ
เองเรื่องของที่นี่ผมไม่ค่อยรู้หรอก”
“งั้นเหรอถ้างั้นฉันจะสปอยให้หมดเลยก็แล้วกันตั้งใจฟังให้ดีๆ
ล่ะเจ้าหนูหัวเม่นที่อยู่ตรงนั้นก็ด้วย”
หล่อนเรียกกวินทร์
เด็กชายเองก็ได้ยินที่พูดกันมาตั้งแต่ต้นจึงพยักหน้าตอบกลับไปแทนคำพูดขณะที่หน้าจอสื่อสารยังคงรอการตอบรับจากอิงศรที่น่าจะอยู่ตรงปลายสาย
ซากิริพูดต่อไปว่า
“ลูกน้องที่ปล่อยออกมาแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกันออกไปตัวแรกชื่อว่าดูเบ...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากกำแพงไออัสที่อยู่ชั้นหน้าสุด
“ศัตรูปรากฏตัวจากทะเลแล้ว!!”
เพียงเท่านั้นสายตาของทุกคนเพ่งเล็งไปยังท้องน้ำอันเวิ้งว้าง....
แต่ที่นั่นกลับไม่มีอะไรเลย
เริ่มได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ดังแว่วมาแต่ก็ยังไม่มีอะไรโผล่ขึ้นบนท้องน้ำอย่างที่เสียงตะโกนเมื่อครู่บอกจนทุกคนพากันสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หน่วยสังเกตดูผิดไปหรือว่าแจ้งเตือนผิดกันแน่
เริ่มมีการถกเถียงและถามกันไปมา
“เฮ้! ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“หอสังเกตการณ์แจ้งผิดรึเปล่า”
“ได้ยินแต่เสียงแตรอย่างเดียวไม่เห็นอะไรเลย”
คำถามมากมายและท่าทีกระวนกระวายอยู่ไม่สุขด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
อาการเหล่านี้เป็นของคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรดนี้ทุกคน
นรินทร์เองก็เช่นกันเขาใคร่รู้นักว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พยายามทำใจให้สงบแล้วมองสถานการณ์อย่างเยือกเย็น
“…”
แต่ก็ไม่รู้อะไรเลย...
ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ด้วยซ้ำเพราะไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คนที่รู้ก็เหมือนจะมีแต่พวกที่มีประสบการณ์แต่กลับไม่พูดไม่จาหรือมีท่าทีจะอธิบายอะไรกับคนที่ไม่รู้
คนที่รู้ทุกคนกลับเอาแต่หันไปหันมาราวมองหาอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเสียจนคนที่ไม่รู้ก็ไม่กล้าเข้าไปถาม
ตัวช่วยเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่สำหรับนรินทร์ก็เหลือแค่ซากิริ
เขาจึงหันไปเพื่อจะถาม แต่ทว่า...
“คุณซากิ…”
นรินทร์พูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างของเขาจะถูกดึงจากด้านหลังด้วยแรงมหาศาลจนเซถลาไปและนั่นทำให้สวนกับชายคนที่ดึงพลเอกสิงห์นั่นเอง...
ดาบของพลเอกที่ชักออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ตวัดออกไปและฟันบางอย่างจนขาดสะบั้นเกิดเสียงเหมือนตัดกระดาษดังฉับ
นรินทร์เซไปจนหลังพิงกำแพงขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังสิ่งที่พลเอกฟันทิ้งไปเมื่อครู่
เจ้าสิ่งนั้นมีแถบพลังชีวิตแสดงอยู่ด้วยแต่มีขนาดที่เล็กเท่านิ้วโป้งและขนาดตัวเจ้าของแถบพลังชีวิตนั้นก็เล็กเสียยิ่งกว่า
Heraldic Beast Deity: Dubhe Lv.70
[…..0:1…..]
เจ้าสิ่งนั้นเป็นอะไรที่คล้ายกับแมงกะพรุนขนาดจิ๋วซึ่งลอยไปมาในอากาศ
จากแถบพลังกับชื่อของมันที่เกือบจะหายไปทำให้รู้ว่าเป็นสัตว์เทวะระดับจ่าฝูงดังนั้นจึงเป็นบอสของเรดอย่างไม่ต้องสงสัย
หากดูแค่ผิวเผินก็เป็นสัตว์เทวะที่อ่อนแอจนไม่สมกับระดับเลเวลที่มีอยู่เอาเสียเลย
แต่นรินทร์มองออกถึงความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ภายในร่างเล็กกระจ้อยและภาพลักษณ์อันอ่อนแอนั่นเพราะนี่คือเรดบอสที่เดิมพันการป้องกันไม่ให้สัตว์เทวะเข้าไปถึงแกนกลางของพื้นที่ป้องกันแต่เจ้าสัตว์เทวะอ่อนแอตัวนี้กลับฝ่ามาถึงกำแพงชั้นสุดท้ายได้โดยไม่มีใครทันสังเกต
หากปล่อยให้มันเล็ดลอดเข้าไปได้ล่ะก็เมืองทั้งเมืองคงได้พินาศไปแล้ว
“อย่าประมาท”
สิงห์พูดก่อนจะเก็บดาบลงในฝักแล้ววิ่งกระโดดข้ามไปยังกำแพงชั้นหน้าด้วยพลังเหนือมนุษย์
จากนั้นก็กระโดดจากกำแพงชั้นหน้าลงไปบนหาดทราย
พวกทหารที่อยู่ตรงนั้นพากันส่งเสียงต้อนรับการมาของพลเอก
นรินทร์ยังคงไม่ขยับตัว
เขาเข้าใจสถานการณ์แล้วแต่กลับตามมันไม่ทันต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะได้สติ
“นี่น่ะเหรอเรดเจ็ดสิบ”
...แล้วพูดเช่นนั้น
ซากิริตบมุกให้ว่า
“ถ้าพลาดเพราะลูกไม้แบบนี้มนุษยชาติคงต้องทบทวนตัวเองแล้วล่ะว่าไหมโชเน็น”
นรินทร์ดีวตัวเองออกจากกำแพงแล้วเดินกลับที่
ตอนนั้นเองกวินทร์ก็หันมาพูด
"พี่ศรบอกว่ารอโดโรธีแต่งตัวอยู่น่ะครับ"
"อะ...เหรอ"
นรินทร์ตอบได้แค่นั้นปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ของกวินทร์ทำให้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มจะเอาแต่สนใจกับการติดต่อกับอิงศรจนไม่ได้รู้สึกถึงเหตุการณ์รอบตัว
"อ๊ะ! ดูเบอีกตัว"
แต่กวินทร์กลับตอบโต้ทันทีที่มองเห็นแมงกระพรุนตัวใหม่ลอยข้ามขอบกำแพงมาเขาชักดาบจากหลังแล้วหันเอาด้านกว้างของใบดาบทุบลงไปแทน
สัตว์เทวะถูกบี้อยู่ระหว่างใบดาบหนักอึ้งกับขอบกำแพงแล้วตายไปทั้งอย่างนั้น
นรินทร์มองการโจมตีนั้นแล้วก็ตระหนักว่าในเหตุโกลาหลวุ่นวายเมื่อครู่คนที่ทำใจเย็นสู้จะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
ยังมีดูเบอีกหลายตัวลอยข้ามกำแพงมาทหารที่ไม่มีประสบการณ์ก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการเพ่งตามองหาตัวดูเบและกำจัดทิ้งกันแล้วเพียงแต่...
"บรรยากาศมันแปลกๆ แหะ"
นรินทร์พูดขณะที่มองหน่วยสังเกตุการณ์บนกำแพงชั้นหน้ากำลังวุ่นวายกันยกใหญ่มีเสียงพูดคุยกันเองอย่างเอะอะดังแว่วมาแต่ก็ฟังจับใจความไม่ค่อยได้
พวกทหารในแนวรบอื่นก็เป็นเหมือนกันราวกับว่าตอนนี้ได้เกิดสถานการณ์อันผิดแปลกไปจากทุกทีโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
“มีแต่ตัวกระจอกแบบนี้นี่น่ะเหรอเรดเจ็ดสิบน่ะ”
กวินทร์ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่มือก็ไม่ได้หยุดเหวี่ยงดาบ
ตอนนั้นเองซากิริก็เริ่มตรวจสอบเธอเรียกหน้าจอกับคีบอร์ดโฮโลแกรมขึ้นมาและหลังจากที่คีย์คำสั่งมากมายเข้าไปเพื่อทำการวิเคราะห์หล่อนก็สรุปผลออกมาด้วยใบหน้าทึ่งๆ
“โชเน็น”
หล่อนเรียกนรินทร์...
"ดูเบน่ะมีแค่ตัวเดียวนะจากนั้นสัญญาณแตรครั้งที่สองก็จะดังแล้วเมรัคที่เป็นตัวที่สองจะบุกมาเจ้านั่นมีความสามารถในการพรางตัวเองให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเรียกว่าล่องหนสมบูรณ์แบบก็ได้"
แต่เสียงแตรเขาสัตว์ที่ดังอยู่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด?
จากนั้นหล่อนก็กดปุ่มบนคีย์บอร์ดโฮโลแกรมเกิดเสียงดังแต๊กแล้วพื้นตรงหน้าก็เปล่งแสงอัญเชิญบางอย่างมา
น่าจะเป็นปีศาจจากเดม่อนแอพฯ?
รูปร่างเหมือนกับเทวดาในศาสนาคริสต์สวมชุดขาวมีปีกสี่ปีกมีวงแหวนแสงเหนือศีรษะแต่กลับมีใบหน้าเป็นโครงกระดูกสยดสยองในมือของเทวดาถือแตรอยู่คันหนึ่ง
ซากิริพูดขึ้นอีกว่า
"รู้ไหมว่าตำนานเกี่ยวแตรแห่งจุดจบน่ะมีอยู่ทั่วโลกเลยนะทั้งแตรเขาสัตว์ที่เรียกว่ากิอัลลาฮอร์นในตำนานนอร์สแล้วก็แตรของเทวทูตแห่งจุดจบในศาสนาคริสต์เจ้านี่คือเทวดาตกสวรรค์ทรัมเป็ตเตอร์"
แล้วนิ้วเรียวของหล่อนก็กระแทกลงบนปุ่มคีย์บอร์ด
“คลื่นเสียงสลายฟังชันก์พรางตัวทำงาน”
สิ้นคำเทวดาผู้น่าหวาดหวั่นก็ยกคันแตรขึ้นเป่าเสียงแตรนั้นดังกระหึ่มไปทั้งสนามรบแทบจะกลบเสียงแตรเขาสัตว์มิด
เสียงแตรดังอยู่พักใหญ่ก่อนที่ความจริงจะปรากฏต่อสายตาหลายร้อยคู่ของเหล่าทหาร
สัตว์เทวะจ่าฝูงทยอยปรากฏร่างให้เห็นทีละตัวๆ
ตัวแรกเหมือนปลาดาวสีม่วงมีดวงตาสีแดงก่ำอยู่ตรงกลางลำตัว
ตัวที่สองเหมือนเต่าทะเล
ตัวที่สามน่าจะเป็นปลาวาฬมันปล่อยฝูงดูเบจำนวนมากออกมาจากรูบนหัว
ตัวที่สี่เหมือนปลาหมึกยักษ์
ตัวที่ห้ารูปร่างประหลาดเกินไปจนดูไม่ออกว่ากลายพันธุ์มาจากตัวอะไรแต่มีสีหลากสีสันและลักษณะมีตะปุ่มตะป่ำน่าจะเป็นปะการังทะเล
ทั้งหมดอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งและกำลังคืบคลานเข้ามา
ขนาดตัวเฉลี่ยกันอยู่ที่ประมาณสิบเมตรน่ากลัวว่ากำแพงจะไม่พอต้านพวกมัน
ซากิริที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเหมือนกับจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
"นอกจากจะตัวใหญ่กว่าปีที่แล้วลิบลับกับขนมาทีเดียวหมดทั้งฝูงยังจะขยายความสามารถพรางตัวของเมรัคให้เพื่อนได้ด้วยดูท่านี่จะเป็นผลจากเมกิดโด้อาร์คสินะ”
“เมกิดโด้อาร์คนั่น… ที่ในแพทซ์บอกว่าการรุกรานของสัตว์เทวะจะรุนแรงขึ้นน่ะเหรอครับ”
นรินทร์ถาม
"ใช่
แล้วทีนี้ความแตกต่างระหว่างคนมีประสบการณ์กับไม่มีก็คงไม่เหลือแล้วล่ะมั้งเพราะนี่ก็แทบไม่เหลือเค้าเดิมกับปีก่อนเลยด้วยบางทีนี่อาจจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติเลยก็ได้นะ"
หล่อนพูดถึงจุดจบของมนุษย์อย่างสบายๆ
ราวกับไม่ทุกข์ร้อนในอะไรเลย พวกสัตว์เทวะเองก็เคลื่อนที่มาถึงชายหาดพร้อมกับเริ่มโจมตี
สงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว…
อิงศรอยู่ในชุดพร้อมรบการเตรียมตัวของเขาเสร็จไปตั้งนานแล้วและพร้อมออกไปยังสนามรบได้ทุกเมื่อ
แต่ทว่า...
“เฮ้ย ยังผูกไม่เสร็จอีกเรอะ”
“…”
ไม่มีการตอบกลับจากคู่สนทนาที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าอย่างประดิดประดอยอยู่ในห้องพักขนาด
3.5 ตารางเมตรที่เล็กกว่าห้องพักที่ค่ายกรุงเทพนิดหน่อยนอกนั้นแล้วเฟอนิเจอร์กับสิ่งของก็ถูกจัดวางไว้ในลักษณะเดียวกันหมด
โดโกบาร์ยังคงกะขนาดของปลายเชือกผูกรองเท้าที่ผูกเสร็จแล้วก่อนจะแกะมันแล้วผูกใหม่เพราะยังไม่ได้ความยาวเชือกที่สมมาตรกันทั้งสองข้างและยังตั้งหน้าตั้งตาผูกโดยไม่รู้สึกยี่หระต่อแรงกดดันจากอิงศรเลยแม้แต่น้อย
นิสัยจุกจิกเรื่องสมมาตรไม่สมมาตรนี้ก็มีให้เห็นมาหลายครั้งตั้งแต่ที่เจอกันไม่รู้ว่าเป็นเพราะพื้นเดิมที่เป็นเครื่องทำสวนรึเปล่าถึงได้ทำให้มีนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้
ระหว่างที่ครุ่นคิดหาทางให้โดโกบาร์เลิกโอเอ้เสียทีก็มีเมล์เข้ามา
“เจ้ากวินทร์เรียกมาอีกแล้วเรอะ”
อิงศรจงใจบ่นให้โดโกบาร์ได้ยินเผื่อจะช่วยกระตุ้นได้แต่แล้วคนที่โดนกระตุ้นกลับกลายเป็นเขาเสียเองเพราะว่าเมล์ฉบับนั้นไม่ได้มาจากกวินทร์แต่เป็น
GM หรือ ผู้ถูกลืมเลือน หรือ ซีลอร์ด
======================
Subject: @Clipius Death Timing
Delivery
Form: GM
Detail:
ตัวจับเวลาตายของเพื่อนคุณมาถึงแล้ว!
เวลาชีวิตที่เหลือของ สิงห์ ธุวดารกะ คือ [00:30:00]
======================
อิงศรเบ้ปากให้กับเมล์ฉบับนั้น
“เอาอีกแล้วเหรอ!”
เมล์ตัวจับเวลาความตายที่ไม่ได้มีเข้ามาเสียนานและเหยื่อรายแรกของการกลับมาในครั้งนี้ก็ช่างเหลือจะกล่าว
ความคิดเห็น