คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #66 : Login 63: การทดลองต้องห้าม
Login 63: การทดลองต้องห้าม
รถเก๋งที่อิงศรโดยสารมาจอดสนิทตรงหน้าทางเข้าตึกเก่าที่อดีตเคยเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังเป็นเพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงที่มีโซนอควอเรียมอยู่ชั้นใต้ดินสามปีก่อนหลังจากโลกล่มสลายลงมันถูกใช้เป็นบ้านของเขากับมิ่งขวัญกับพวกเด็กๆ
ที่หลงมาจากสถานสงเคราะห์
สัตว์เทวะไก่ยักษ์ที่มีปากเป็นเหล็กกล้า
หนูตัวโตน่าขยะแขยงวิ่งไปมาระหว่างซอกหลทบของอาคาร
สถานีรถไฟที่มีทางเข้าเชื่อมต่อกับห้างตอนนี้เหลือแต่ซากไปแล้วเพราะระเบิดที่ใช้หนีจากพวกมนุษย์ต่างดาวในตอนนั้น
ทุกอย่างแทบจะคงสภาพเดิมไว้ทั้งหมดเว้นเสียแต่เขารู้เพิ่มจากข้อมูลในนามบัตรของพ่อว่าที่นี่มีสถาบันวิจัยของอารย-สนธยาซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง
อิงศรลงจากรถแล้วแหงนหน้ามองตึกโดยไม่มีความรู้สึกคิดถึงหรือระลึกความหลังผุดขึ้นมา
ที่นี่มีความหลังที่ไม่น่าจดจำเยอะเกินไปแต่ถึงไม่เป็นแบบนั้นเขาก็ไม่คิดจะเสียเวลารำลึกเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นอยู่ดี
จากนั้นก็มีเสียงประตูรถฟากที่นั่งคนขับเปิดออกตามมาด้วยเสียงฝีเท้าลงจากรถ
เสียงปิดประตู เสียงเดินอ้อมรถจนมายืนอยู่ข้างๆ เว้นระยะห่างประมาณครึ่งเมตร
อิงศรหันไปมองคนขับรถที่เป็นสาวงามอายุราว 20 กว่าๆ
ผมสีฟ้าครามที่เหมือนกับย้อมมาสะท้อนกับแสงแดดจนเหมือนกับมีรัศมีแผ่ออกมาอย่างไรอย่างนั้น
หล่อนไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่จ้องมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชากับใบหน้าแข็งทื่อที่เกือบจะคล้ายกับสิงห์
“คือว่าคุณวิเชียรมาศรออยู่ที่นี่...”
“ฉันไม่จำเป็นต้องรับฟังคำสั่งจากคุณค่ะ”
หญิงสาวตอบกลับมาด้วยท่าทีแข็งกร้าว
“งั้นก็ตามใจ”
อิงศรพูดแล้วถอนหายใจ
อย่างไรซะวิเชียรมาศก็เป็นเลขาที่สิงห์ให้ความไว้วางใจจะกีดกันออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่จะปล่อยให้เธอคอยตามอยู่แบบนี้ก็ไม่ดีซะทีเดียว
เพราะมีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้จะได้ค้นพบข้อมูลที่มีความสำคัญมากของ
อารย-สนธยา และข้อมูลนั่นก็อาจจะใช้ปลดปล่อยเขาจากการควบคุมของสิงห์ได้
นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีหลังจากช่วยมิ่งขวัญกลับมาแล้วจะต้องเตรียมทางหนีเอาไว้ด้วย
ตอนนี้ที่อยู่ของสถาบันวิจัยแห่งนั้นมีแค่เขาที่รู้รวมไปถึงที่ทางภายในห้างสรรพสินค้าที่จะต้องเข้าไปนี่ก็เหมือนกันจะหาทางชิ่งหนีจากหล่อนน่าจะทำได้ไม่ยากแต่จะทำให้เป็นธรรมชาติคงไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าหากว่าโดนรายงานเรื่องพฤติกรรมที่พยายามปกปิดอะไรไว้ทุกอย่างก็จบกัน
ระหว่างที่กำลังกลุ้มอยู่นั่นเองก็มีเสียงดังมา
เป็นเสียงกระพือปีก แต่เสียงนั้นดังมากเหมือนกับเป็นนกตัวใหญ่กำลังกระพือปีก
เดาได้เลยว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไร...
“นั่นมัน!”
วิเชียรมาศเงยหน้าพูดหล่อนมองเห็นบางอย่างกำลังลงมาจากท้องฟ้า
อิงศรเคยเจอกับสิ่งนั้นมาแล้วที่ดันเจี้ยนชายหาดตอนเปลี่ยนอาชีพให้มีนา
เจ้าปีศาจพญาครุฑนั่นเองกรงเล็บของมันกำลังเล้งมาที่พวกเขา
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย”
อิงศรสบถใส่กรงเล็บนั่นแล้วออกวิ่ง
วิเชียรมาศวิ่งไปอีกทางพวกเขาถูกแยกออกจากกันตามที่หวังเอาไว้แถมยังเป็นแบบธรรมชาติสุดๆ
แต่ไม่รู้ควรจะดีใจได้รึเปล่าที่ต้องถูกกรงเล็บยักษ์ไล่จี้หลังมาแบบนี้ดูเหมือนว่าพญาครุฑจะมีเป้าหมายอยู่ที่เขาคนเดียว
แต่เพราะอะไรล่ะ? ไม่มีเวลาให้คิดนานนัก...
กรงเล็บพุ่งทะยานลงมาเกี่ยวเอาผ้าคลุมของอิงศรไว้
โชคดีที่วันนี้แดดแรงจัดทำให้ร้อนจนคลายมัดผ้าคลุมไว้หลวมๆ
มันจึงหลุดจากคอไปโดยไม่ทำให้สะดุดล้ม
อิงศรวิ่งเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ด้วยขนาดของครุฑคงจะเข้ามาข้างในไม่ได้แต่เขาคิดผิด
แกว๊กก!!!
เจ้านกปีศาจแผดเสียงร้องไล่หลังมาจากนั้นอาคารทั้งหลังก็สั่นไหวเพราะมันพุ่งชนประตูทางเข้า
ไม่สิผนังด้านหน้าของห้างถูกชนถล่มลงมาทั้งแผงเลยต่างหาก
อิงศรหันกลับไปมองความพินาศที่เกิดขึ้นแล้วสบถออกมา
“ปัดโธ่ว้อยจะตามไปถึงไหนกันเนี่ย”
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีไปที่ห้องวิจัยของอารย-สนธยาที่เป็นเป้าหมายซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินถ้าเป็นที่นั่นคงจะหนีรอดอย่างแน่นอน
อิงศรมุ่งหน้าไปที่ทางลงบันไดเลื่อนแต่ทางถล่มลงไปหมดแล้วเขาไม่สนใจเรื่องนั้นกลับกระโดดจากทางลงบันไดดิ่งลงสู่ชั้นใต้ดิน
การลงพื้นทำได้อย่างราบรื่นถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนคงได้ขาหักแน่นอนแต่ตอนนี้เลเวลที่เกิน
60
ขึ้นไปแล้วก็ทำให้มนุษย์ปลดขีดจำกัดพลังเหนือมนุษย์จากเดิมขึ้นมาอีกเท่าตัว
อิงศรวิ่งไปตามทางใต้ดินที่มืดมิดขณะที่เสียงร้องของครุฑดังลงมาจากข้างบนนั่นเองสัมผัสอันเฉียบคมก็จับได้กระทั่งเสียงแหวกอากาศประมาณเก้าจุดกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ชิ พวกฉลามเรอะยังอยู่อีกเหรอเนี่ย”
อิงศรเรียกคันธนูออกมาแล้วหยุดวิ่งหันกลับไปข้างหลัง
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดแล้วจึงมองเห็นครีบหลังของปลาฉลามเทวะที่แหวกพื้นดินเหมือนกับแหวกน้ำกำลังตรงเข้ามาหากเป็นเมื่อก่อนการจะจัดการพวกมันคงต้องให้มิ่งขวัญหรือใครช่วยล่อพวกมันไปแล้ววางกับดักรอแต่ตอนนี้…
อิงศรดึงยันต์ออกจากแขนเสื้อมาสิบแผ่นแล้วเล็งคันธนูขึ้นด้านบนพลางโก่งสายดีด
“ดราโคเม็ท!”
ยันต์ทั้งสิบแผ่นลุกไหม้ด้วยเพลิงสีฟ้าแล้ววนพันรอบแขนก่อนจะขยายตัวกลายเป็นลูกศรที่มีหัวเป็นมังกร อิงศรกะตำแหน่งและองศาให้ทิศการตกพอดีกับจุดที่พวกฉลามจะว่ายมาถึงแล้วปล่อยสายดีด
ลูกศรมังกรทะยานขึ้นไปข้างบนแล้วแตกตัวออกเป็นฝนดาวตกร่วงหล่นใส่ฉลามที่ว่ายเข้ามาในพื้นที่
ทุกตัวถูกระเบิดดาวตกฆ่าตายหมดในพริบตาเดียว
พื้นที่เบื้องหน้ากลายเป็นหลุมเป็นบ่อที่มีไฟสีฟ้าลุกลามจนทำให้ทางใต้ดินสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
อิงศรฉวยโอกาสนี้มองหาประตูฉุกเฉินก่อนที่ไฟจะดับมอดขณะเดียวกันเพดานก็เริ่มจะถล่มพร้อมกับกรงเล็บของพญาครุฑที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละแทรกตัวผ่านช่องเพดานเหล่านั้นลงมา
ประตูฉุกเฉินอยู่ไม่ห่างไปจากจุดที่อิงศรยืนซักเท่าไหร่
เด็กหนุ่มมุ่งหน้าตรงไปที่นั่นโดยไม่คิดจะเงยหน้ามองข้างบนพลางหยิบยันต์แผ่นสุดท้ายที่สอดเอาไว้ในแขนเสื้อออกมาสร้างลูกธนูแล้วร่ายสกิล
“ชาร์คชู้ต”
อิงศรยิงธนูฉลามใส่ประตูฉุกเฉินที่ล็อกอาจจะเสียและเพื่อไม่ให้เสียเวลาปลดกลอนจึงทำลายประตูทิ้ง
แรงดันของฉลามน้ำกระแทกประตูกระเด็นหายเข้าไปในด้านใน
อิงศรวิ่งไปพร้อมกับพุ่งตัวผ่านประตูเข้าไปข้างในห้องได้ทันก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาทั้งหมด
แต่ยังหยุดเท้าไม่ได้
ชั่วพริบตาหนึ่งที่หันกลับไปสายตาของเขาก็สบเข้ากับดวงตาสีขาวขุ่นของครุฑมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
อิงศรวิ่งลงบันไปข้างล่างไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นเขตหวงห้ามซึ่งโดยปกติแล้วประตูฉุกเฉินของชั้นใต้ดินน่าจะต้องล็อกไว้ให้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นเพราะมันเป็นทางลงที่เชื่อมไปยังสถาบันวิจัยลับขงอารย-สนธยา
ตามที่อยู่ที่เขียนไว้ในนามบัตรของพ่อซึ่งมีกระทั่งวิธีลงไปหา
หากเป็นไปตามปกติคงจะมีการติดต่อกันและมอบกุญแจสำหรับปลดกลอนประตูฉุกเฉินก่อนจะมาพบกระมัง
อิงศรยังคงวิ่งลงไปตามทางที่บันไดทอดซึ่งก็ลงลึกมาถึงกึ่งกลางระหว่างชั้นสองกับชั้นสามแล้วแต่ยังมองไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากบันได
เสียงผนังด้านบนถล่มดังสะท้อนลงมาบางทีครุฑคงกำลังฝืนแทรกตัวลงมา
ช่างเป็นผู้ล่าที่ตามติดอย่างไม่ลดละเสียนี่กระไรจนใคร่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ไล่จองเวรกันขนาดนี้
อิงศรลงมาถึงชั้นที่สี่และพบประตูอีกแต่มันเปิดแง้มเอาไว้เขาจึงพุ่งชนประตูนั้นแล้ววิ่งออกมา
สถานที่ซึ่งอยู่หลังบานประตูนั้นคือทางเดินใต้ดินที่มีแสงไฟสลัวๆ
จากหลอดไฟซึ่งไม่น่าจะทำงานได้เพราะไม่มีกระแสไฟฟ้าแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับเปิดอยู่ทุกดวง
อิงศรวิ่งไปตามทางเดินนั้นโดยที่แบกความสงสัยมากมายไว้บนหลัง
จนกระทั่งมาไกลจากประตูฉุกเฉินพอสมควรเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก
จะเป็นเพราะวิ่งมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงแล้วหรือไม่บางทีครุฑก็คงถอดใจแล้วหนีไปแล้ว
จะอย่างไหนก็ตามแต่เขาหนีพ้นแล้ว
ตอนที่เส้นประสาทกำลังจะคลายจากความตึงเครียดอยู่นั่นเองกลับมีการติดต่อเข้ามา
หน้าจอสื่อสารเปิดออกชื่อของคู่สายคือ วิเชียรมาศ
‘ตอนนี้อยู่ที่ไหน’
น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจว่าทางนี้เจออะไรมาบ้าง
“ใต้ดินของห้างน่ะ”
‘โกหก...คุณไม่ได้อยู่ในห้างแล้ว’
“หา?”
‘เครื่องติดตามบอกว่าคุณอยู่ห่างจากห้างไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร’
ทางเดินใต้ดินนำเขามาไกลถึงขนาดนั้น
อิงศรเริ่มมองสำรวจเส้นทาง
ทางเดินนี้เก่าก็จริงผนังเริ่มมีคราบฝุ่นเกาะเต็มไปหมดแต่ก็เป็นแค่เริ่มต้นทั้งที่ไม่น่าจะมีใครเข้ามาข้างในนี้เป็นเวลาสี่ปีแล้วแท้ๆ
แต่หลอดไฟกลับยังเปิดอยู่พวกมันได้กระแสไฟจากแหล่งไหนกัน?
อิงศรเดินไปตามเส้นทางโค้งที่ทอดยาวจนไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดเอาตรงไหนระหว่างนั้นเสียงของวิเชียรมาศก็ถามขึ้นมาอีก
‘ตอนนี้อยู่ที่ไหน’
“ก็ไม่รู้เหมือนกันเป็นทางเดินใต้ดินน่ะอาจจะเชื่อมไปที่ตึกข้างๆ
ก็ได้แล้วข้างนอกเจ้านกยักษ์ที่เป็นยังไงบ้าง”
‘หนีไปได้ซักพักแล้ว’
“เส้นทางเดิมมันถล่มไปหมดแล้วคงขึ้นไปไม่ได้จะลองหาทางอื่นดูรออยู่ที่รถนั่นแหละรับรองว่าไม่หนี”
‘กรุณากลับมาก่อนสิบแปดนาฬิกาตรงด้วยค่ะ’
จู่ๆ
อีกฝ่ายก็กำหนดเงื่อนไขมาคงไม่คิดจะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
“แต่นั่นมันอีกแค่ชั่วโมงครึ่งนี่นา”
‘ถ้าไม่กลับมาตามนี้จะถือว่าคุณคิดหนีจากกองทัพฉันจะรายงานท่านสิงห์’
วิเชียรมาศไม่มีทีท่าจะยอมเปิดช่องให้ต่อรองดังนั้นจึงได้แต่รับข้อเสนอไว้
“เข้าใจแล้ว”
พอตอบรับไปอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ตัดการติดต่อไปทันที
หนึ่งชั่วโมงครึ่งแห่งอิสรภาพได้เริ่มนับถอยหลังแล้ว
อิงศรออกเดินต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลาพลางครุ่นคิดเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
อย่างแรกคือก้อนหินที่เขาเห็นที่ใต้ทะเลเมื่อวานน่าจะเป็นอุกกบาตที่มีเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เก็บเอาไว้และพวกสัตว์เทวะที่เฝ้าอยู่รอบๆ
ก้อนอุกกบาตรก็เล็งโจมตีแต่เขาคนเดียวไม่สิมันพยายามลากเข้าไปให้มากกว่าหรือว่าเครื่องทำสวนตั้งใจจะใช้เฟืองที่อยู่บนหลังขับเคลื่อนตัวเองกันแน่
อย่างที่สองพญาครุฑที่อยู่ๆ
ก็เข้ามาโจมตีดูเหมือนมันจะไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะในดันเจี้ยนที่เป็นมิติเสมือนหรือบนโลกแห่งความจริงที่สำคัญมันเป็นปีศาจที่น่าจะมาจากแอพพลิเคชั่นปีศาจของใครบางคนหมายความว่ามีคนจ้องเล่นงานเขาอยู่งั้นหรือ?
อย่างที่สามคือเรื่องของทางเดินลับแห่งนี้ตลอดทางที่เดินผ่านมาไม่มีอะไรปรากฏให้เห็นเลยไม่มีกระทั่งสัตว์เทวะหมายความว่าก่อนโลกจะล่มสลายที่นี่ไม่มีมดหรือแมลงหลุดรอดเข้ามาเลยอย่างนั้นหรือ?
อิงศรปล่อยให้ความคิดในหัวแล่นไปพลางเดินหน้าต่อจนกระทั่งมาถึงประตูที่อยู่สุดทางเดิน
ความสงสัยในเรื่องทั้งสามยังคงไม่กระจ่างแต่บางที...
บางทีข้างหลังประตูบานนี้อาจจะมีคำตอบของเรื่องที่สามอยู่
อิงศรเอื้อมมือไปจับลูกบิดมันไม่ได้ล็อกไว้เขาจึงบิดมันแล้วเปิดประตู
อากาศภายนอกไหลเข้าไปขับกลิ่นอับภายในออกมา
อิงศรก้าวเท้าเข้าไป
รอบด้านมืดสนิทแม้แสงไฟจากภายนอกจะส่องเข้ามาก็ตาม
พอลองเอื้อมมือไปลูบคลำแถวผนังก็พบสวิตซ์ไฟจึงลองเปิดดู
หลอดไฟในห้องทำงาน
ห้องสว่างขึ้นโดนพลัน
โต๊ะรับแขก โซฟาสองตัว
โต๊ะทำงานหนึ่งตัว ตู้เก็บของสองหลัง
ที่นี่คงจะเป็นห้องรับแขก
ด้านในยังมีทางเดินที่ทอดไปถึงประตูเหล็กบานใหญ่กับทางเดินแยกที่อาจจะเป็นอีกห้องหรือไม่ก็เชื่อมไปที่อื่น
บนโต๊ะรับแขกมีปึกเอกสารฝุ่นจับวางอยู่
อิงศรหยิบเอกสารปึกนั้นขึ้นมาอ่าน
มันถูกพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์
บนปกของเอกสารเขียนเอาไว้แบบนี้
โครงการราชรถสู่สวรรค์ ‘เมอร์คาบาห์’
เมอร์คาบาร์ ราชรถของพระเจ้า...
ราชรถที่ไปมาหาสู่ระหว่างสวรรค์และพิภพ...
เอกสารกล่าวถึงที่มาของชื่อโครงการไว้อย่างนั้นเป็นตำนานที่เหมือนกับไบเบิลของศาสนาคริสต์
ข้างในเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เรื่องการมีตัวตนของผู้สร้างและที่พำนักซึ่งเรียกว่าสรวงสวรรค์
ทุกอย่างคล้ายคลึงกับเรื่องที่ฟังมาจากซีลอร์ด
ในเอกสารยังมีส่วนที่กล่าวถึงการทดลองต้องห้ามอันน่ารังเกียจที่จะนำโลกขึ้นไปยังสรวงสวรรค์แล้วทำลายผู้สรรสร้างจากนั้นก็ขึ้นเป็นผู้กุมบังเหียนของโลก
มีรายชื่อเด็กมากมายที่เขียนกำกับเอาไว้ว่าทุกคนอายุไม่เกิน
14 ปี ถูกใช้เป็นตัวทดลอง อารย-สนธยา ได้รวบรวมเด็กๆ
ที่มีภูมิหลังอย่างหนึ่งเหมือนกันในนั้นเขียนบอกเอาไว้ว่าทุกคนเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของ
’อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พันปี’
ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่เป็นชื่อสถานที่หรือว่าเป็นรหัสลับของอะไรซักอย่าง
เอกสารยังเขียนเอาไว้อีกว่าในวันปีใหม่ที่ตรงกับวันล่มสลายของโลก
ธันวกร โรจน์จุฬา
ซึ่งก็คือพ่อของเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดนั้นเช่นกันและจะมีการส่งมอบตัวอย่างทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดให้
บางทีนี่คงเป็นเอกสารที่เตรียมไว้เพื่อการส่งตัวที่ว่า
ในกระดาษแผ่นต่อมาเป็นเอกสารการส่งตัวทดลองซึ่งก็คือ
มิ่งขวัญ มีรูปประกอบแนบด้วยคลิปหนีบที่เขียนตัวเลขเปอร์เซ็นต์เอาไว้บนรูปว่า 90%
พ่อใช้ลูกของตัวเองวัดค่าการทดลองแล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
หากวันนั้นยังคงดำเนินต่อไปโดยที่โลกไม่ล่มสลายไปซะก่อนเขากับมิ่งขวัญก็จะต้องแยกจากกันอยู่ดีและอาจไม่ได้พบกันอีกเลยก็ได้
แต่ในกระดาษแผ่นต่อมากลับกลายเป็นคำสั่งตามล่า
รายละเอียดเขียนเอาไว้ว่าพ่อของเขาอาจจะเล่นไม่ซื่อเพราะคนที่มีค่าสำเร็จสูงกว่าคนๆ
นั้นก็คือตัวอิงศรนั่นเองโดยตัวเลขที่ระบุเอาไว้บนรูปคือ 100%
พ่อของเขาอาจจะกำลังเล่นไม่ซื่อแกล้งส่งตัวอย่างที่ไม่ดีที่สุดให้แล้วเก็บของที่ดีเอาไว้เผื่อว่าการทดลองสำเร็จจะได้ขายตัวเขาที่เป็นของสมบูรณ์ให้กับผู้ที่เสนอราคาสูงกว่า
อิงศรอ่านเอกสารปึกนั้นจบก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย
บางทีแม่ที่ไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในบันทึกนี้ก็อาจจะรู้เห็นด้วย
บางทีพวกเขาอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆ
บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเพียงสินค้าเพื่อสนองความต้องการอันบ้าคลั่งและบิดเบี้ยวของโลกใบนี้
แต่ทั้งหมดนั่นถูกหยุดเอาไว้ด้วย ‘เกมโกงวันโลกาวินาศ’ หรือว่านี่คือผลลัพธ์ของการทดลองกันแน่
อย่างไหนคือความจริง ตัวเขาในตอนนี้ไม่อาจตอบคำถามข้อนี้ได้สิ่งที่รู้ยังมีน้อยเกินไป
แต่ที่รู้แน่ๆ
ก็คือความฝันที่จะใช้งานค้นคว้าของ อารย-สนธยา ตอบโต้สิงห์ก็เป็นอันต้องดับวูบ
ตัวเขาเองนั่นแหละคือการทดลองและตอนนี้ก็ตกอยู่ในมือของสิงห์
เขากลายเป็นเบี้ยที่ต่อต้านอะไรไม่ได้ไปตั้งแต่แรกแล้วบางทีสิงห์คงจะรู้เรื่องของที่นี่และจงใจปล่อยให้เขามาค้นพบมันด้วยตัวเอง
จากนี้ไปจะทำอย่างไร
ยอมจำนนต่อโชคชะตาแล้วปล่อยไป... นั่นไม่ใช่ตัวเลือกแรกอย่างแน่นอน
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วตัวเขาจะเป็นการทดลองหรืออะไรก็ช่างจะต้องเก็บข้อมูลกลับไปให้มากที่สุดจะต้องรู้ให้ได้ว่าสิงห์คิดจะทำอะไรกันแน่
“ในนั้นสินะ”
อิงศรมองไปทางประตูเหล็กบานใหญ่ที่ตรงสุดทางเดินซึ่งมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า
‘ห้องวิจัย’
พอจะเปิดก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้ที่ข้างประตูมีแผงควบคุมสำหรับกรอกรหัสปลดล็อก
แต่เขาไม่รู้รหัส...
ที่พอจะทำได้ก็คือลองกดปุ่ม ‘Enter’
ที่อยู่บนแผงควบคุม
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังติ๊ดแล้วประตูก็เลื่อนแยกออกจากกัน
บางทีคงจะมีใครมาปลดล็อกเอาไว้แล้วไม่ได้ตั้งรหัสกลับ แต่ใครกันล่ะ?
อิงศรละความสงสัยที่เริ่มจะมีมากเกินไปแล้วเดินเข้าไปในห้องที่มืดสนิทพอลองคลำมือหาสวิตซ์ก็เจอเข้าอีกและเปิดไฟในห้องได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าระบบไฟฟ้าจะยังทำงานอยู่
หรือคนที่จัดวางทุกอย่างเอาไว้ที่นี่จะเป็นสิงห์ที่ต้องการให้เขามาที่นี่แต่แรก...
ไม่ใช่มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นบางทีเขาอาจจะกังวลเกินไป
ถ้าลองคิดจากนิสัยของสิงห์แล้วคงไม่ทำอะไรที่สูญเปล่าแบบนี้หมอนั่นเกลียดเรื่องที่สูญเปล่า
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเป็นคนอื่นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิงห์และนั่นรวมถึงสิงห์เองก็อาจจะไม่ได้รู้เห็นเรื่องโครงการเมอร์คาบาห์อะไรนั่นด้วย
ความหวังเริ่มผุดขึ้นมาอิงศรยิ้มรับมันอย่างยินดีพร้อมกับเริ่มค้นหาภายในห้อง
รอบด้านเต็มไปด้วยเครื่องมือแปลกตาและดูทันสมัยเอามากๆ
ทุกอย่างราวกับหลุดออกมาจากหนังวิทยาศาสตร์
อิงศรเดินไปตามทางเดินแคบๆ
ระหว่างโต๊ะทดลองพอพ้นออกมาเขาก็มาหยุดอยู่หน้าตู้แช่สารสำหรับดองสิ่งทดลอง
วินาทีแรกที่เห็นสิ่งที่อยู่ในตู้แช่ดวงตาของอิงศรก็เบิกกว้าง
วินาทีต่อมาสิ่งที่อยู่ในตู้แช่ก็ลืมตาแล้วจ้องกลับมา
จากนั้นตู้แช่ทั้งหมดจำนวนห้าอันก็ถูกสิ่งที่ขังไว้ทะลวงจนแตก
สารละลายภายในไหลออกมาเจิ่งนองพื้นห้องกลิ่นฉุนเหมือนกับยาฆ่าเชื้อหรืออะไรที่คล้ายกัน
อิงศรจ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเด็กชายและเด็กหญิงที่เคยถูกแช่ไว้ในตู้
แล้วเขาก็พึมพำชื่อของเด็กๆ
เหล่านั้น
“ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ นิวส์”
เด็กเหล่านั้นมีใบหน้าและรูปร่างอายุเหมือนกับพวกเด็กจากสถานสงเคราะห์ราวกับเป็นคนๆ
เดียวกัน
มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของมีนาที่บอกว่า อารย-สนธยา
ทำการวิจัยนอกรีตทั้งตัดต่อพันธุกรรมและโคลนนิ่ง
บางทีเด็กพวกนี้คงจะเป็นผลจากการทดลองพวกนั้นแล้วก็ไม่แน่ว่าพวกที่บอกว่ามาจากสถานสงเคราะห์นั่นก็ด้วย
เด็กๆ
ที่ออกมาจากตู้แช่หันมามองอิงศรจากนั้นทุกคนก็ทำท่าแยกเขี้ยวและส่งเสียงขู่ราวกับสัตว์ป่า
ใบหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นลวดลายสีดำขยุกขยิกใต้ดวงตาซึ่งนั่นคล้ายกับเวลาที่เขาถูกเอลิกอร์เข้าสิง
อิงศรสังเกตได้อีกว่าบนหัวของพวกเด็กๆ
ไม่มีแถบพลังชีวิตไม่มีตัวหนังสือแสดงชื่อซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับโลกที่กลายเป็นเกมแห่งนี้การที่ไม่มีทั้งแถบพลังและชื่อก็หมายความว่าพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์
เด็กพวกนี้กำลังถูกปีศาจจากแอพพลิเคชั่นสิงสู่อยู่หรือว่ากลายเป็นปีศาจไปแล้วจะอย่างไหนนั้นอิงศรก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกันแต่พวกนี้ไม่ได้เป็นมิตรอย่างแน่นอน
เด็กที่เหมือนกับฟูพุ่งเข้ามาโจมตีก่อน
อิงศรใช้คันธนูฟาดให้กระเด็นกลับไป
บนคันธนูติดใบมีดเอาไว้และใบมีดก็เฉือนเนื้อบริเวณแขนของเด็กคนนั้นขาดเป็นทางเลือดสีแดงสดไหลออกจากปากแผลนั่น
แต่ไม่ทันไรผิวหนังที่ฉีกขาดก็เชื่อมติดกันสนิทไม่เหลือร่องรอยพลังการฟื้นตัวสูงเกินระดับที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติและมนุษย์หลังโลกล่มสลาย
สถานการณ์ยิ่งทวีความเลวร้ายขึ้นเมื่อพวกเด็กๆ
เริ่มจะกลายร่างเป็นอะไรที่น่าสยดสยองเกินจะบรรยาย
ผิวกายที่ขาวผ่องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ดำราวกับถ่านไม้
แล้วแต่ละคนก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป บางคนหูยาวขึ้น บางคนตัวขยายใหญ่ขึ้น บางคนมีเขี้ยวยาวงอกจากฟันด้านบนและใบหน้ายื่นยาวเหมือนหมา
บางคนมีกิ่งไม้งอกขึ้นมาบนหลัง บางคนมีพังผืดงอกจากแขนกลายเป็นปีก
รูปร่างบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงกันหมด
คอนแทคเลนส์ที่ติดตั้งระบบฐานข้อมูลสัตว์เทวะและเดม่อนแอพฯ
เริ่มทำงานทั้งที่ไม่น่าจะใช้กับมนุษย์ได้ ข้อมูลของทุกคนถูกระบุว่าเป็นปีศาจ
เอลฟ์
รากษส
มนุษย์หมาป่า
สค๊อกรา (Skogsra นางไม้ในความเชื่อของสวีเดน)
แวมไพร์
ชื่อของปีศาจลอยขึ้นมาบนคอนแทคเลนส์
แต่ละคนมีปีศาจต่างชนิดกันไปพลังที่ประเมินได้ก็ยังสูงพอๆ กับมนุษย์ต่างดาวชั้นครู
เด็กปีศาจจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน
อิงศรไม่อาจตั้งรับการโจมตีที่ทรงพลังและรวดเร็วของทั้งห้าตนได้หมดเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่
ระหว่างที่คิดแบบนั้น...
“ทางนี้!”
มีเสียงดังมาเขาโดนดึงจากด้านหลังด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจนตัวปลิวไปตามแรง
ลอยเคว้งไปจนถึงหน้าประตูเหล็กก่อนจะพลิกตัวลงพื้น
อิงศรเงยหน้ามองไปยังคนที่มาช่วยชีวิตเขาไว้เป็นเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าแต่น่าจะอายุเท่ากันหรือห่างกันไม่เกินปี
เป็นสาวผมสีบลอนด์ใบหน้าแบบชาวต่างชาติ
“พี่สีดา...”
อิงศรพึมพำชื่อของเด็กสาว
แต่เธอคนนั้นจะใช่สีดาที่เขารู้จักหรือเปล่า?
เด็กคนนั้นรับการโจมตีของปีศาจทั้งห้าตนด้วยมือเปล่าและซัดพวกมันกลับจนปลิวไปติดกำแพง
จากนั้นหล่อนก็วิ่งมาทางนี้ลากคอเขาออกจากห้องกดปุ่มบนแผงควบคุมให้ประตูเหล็กขังพวกมันไว้ข้างใน
ความคิดเห็น