ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #65 : Login 62: คำทำนาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 577
      32
      2 ม.ค. 60

    Login 62: คำทำนาย

     

                ช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากภารกิจเปลี่ยนอาชีพให้มีนาสิ้นสุดลง

                การตรวจสอบแอพพลิเคชั่นปีศาจเองก็จบลงในช่วงเช้าทีผ่านมา

                หน่วยของอิงศรที่เจ้าตัวไม่อยู่ก็ได้มานั่งพักกันในร้านกาแฟ Eclipse ที่มาเปิดสาขาใหม่

                เหล่าเด็กหนุ่มสาวในเครื่องแบบทหารเดินเข้าร้านมาจึงกลายเป็นจุดสนใจของชาวเมืองโดยเฉพาะหูสุนัขของโดโกบาร์ที่เด่นสะดุดตาแต่เพราะโลกกลายเป็นเกมคนอื่นก็เลยคิดไปว่ามันเป็นไอเทมอย่างหนึ่งดังนั้นความสนใจส่วนใหญ่จึงอยู่ที่เครื่องแบบทหารเสียมากกว่า

                พวกเขานั่งลงบนโต๊ะขนาดหกที่นั่งติดริมผนัง มีนากับนรินทร์นั่งขนาบโดโกบาร์ กวินทร์นั่งกับเมษาที่อีกฟากของโต๊ะ พนักงานร้านเดินมาจดเมนูทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนจนกระทั่งเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟ

                หลังจากดื่มดำกับของที่สั่งมาจนหายคอแห้งมีนาก็พูดเปิดประเด็น

                คุณอิงศรคุยกับพี่สิงหืได้จริงๆ ด้วยนะคะเนี่ย

                จากนั้นเมษาที่อยู่อีกฟากของโต๊ะก็พูดเสริม

                เจ้าศรป่วยการเมืองหนีไปเที่ยวสินะตามใจมันมากเดี๋ยวก็โตเป็นเด็กใจแตกไปหรอก

                เขาทำเลียนแบบเสียงของพันโทข้าวหลามพูดด้วยท่าทีหน่ายๆ ก่อนจะปรับกลับน้ำเสียงเดิมแล้วพูดตบท้าย

                ก็พี่หลามพูดมาอย่างนี้เลยนี่นะ

                และนั่นคือบทสรุปของการตรวจแอพพลิเคชั่นปีศาจในช่วงเช้า

                “ว่าแต่ไอ้นี่มันอะไรล่ะเนี่ยที่แถมมาตอนเสิร์ฟเครื่องดื่มเนี่ย

                เมษาเปลี่ยนเรื่องพูดพลางหยิบซองกระดาษสีเงินที่วางอยู่ข้างแก้วเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมาจากนั้นทุกคนก็หยิบตาม

                กวินทร์ดูคำอธิบายที่ข้างซองแล้วพูดมาว่า

                ดูเหมือนจะเป็นไพ่ทำนายน่ะครับ

                มีนามองไปรอบร้านแล้วจึงพูดเสริมด้วยข้อมูลที่เพิ่งรวบรวมได้

                รู้สึกว่ากำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ด้วยล่ะค่ะ

                เพราะในร้านมีกลุ่มหญิงสาวนั่งกันอยู่มากมายและทุกคนต่างก็ถือไพ่ลายประหลาดเอาไว้

                มีนาจึงฉีกห่อบรรจุออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

                ของฉันเป็นเดอะ เลิฟเวอร์ค่ะ

                หล่อนอ่านชื่อที่เขียนไว้บนไพ่รูปคู่รัก

                เมษาจึงฉีกซองบ้าง

                หือ ไพ่พระราชานี่มันอ่านว่า เอ็มเพอเรอร์รึเปล่าหว่า

                ไพ่ของเขาเป็นรูปชายคนหนึ่งที่แต่งตัวอย่างหรูหราสวมมงกุฎและนั่งบนบัลลังก์

                ของผมมีรูปเยอะแยะเลยทั้งนกพิราบทั้งสายรุ้งทั้งแก้วน้ำเหมือนจะเขียนว่าเดอะเทมเพอแรนซ์อ่ะครับ

                กวินทร์พลิกไพ่ไปมาจนสังเกตเห็นว่าด้านหลังของไพ่มีเขียนอะไรเอาไว้

                รู้สึกข้างหลังไพ่จะมีคำอธิบายด้วยนะครับ

                ได้ยินดังนั้นมีนาก็หันมาถามด้วยความสนใจ

                เขียนไว้ว่าอะไรเหรอคะ

                กวินทร์เริ่มอ่านสิ่งที่เขียนไว้บนหลังไพ่

                คุณเป็นคนที่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมามากมายคุณรู้สึกสับสนต่อความเป็นไปของโลกที่เปลี่ยนผันได้ง่ายเหลือเกินคุณควรระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งนั้นไม่จีรังยั่งยืนเขียนเอาไว้แค่นี้น่ะครับ

                จากนั้นมีนาก็เริ่มอ่านหลังไพ่ของตัวเองบ้าง

                คุณเป็นคนที่โหยหาความรักความเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างมากขณะเดียวกันคุณเองก็ไม่เข้าใจในความรักขอให้คุณรักตัวเองให้มากขึ้นแล้วคุณจะเข้าใจว่าความรักเป็นอย่างไร แหมๆ หญิงสาวต้องคู่กับความรักสินะ

                เด็กสาวพยักหน้าให้คำพูดของตัวเองขณะที่ดวงตาเริ่มเหม่อลอยด้วยความคิดฟุ้งซ่าน เห็นดังนั้นเมษาจึงเริ่มอ่านของตัวเอง

                คุณเป็นคนที่มีความหยิ่งทระนงในตัวเองสูง หัวแข็ง และค่อนข้างสุดโต่งแต่นั่นเป็นข้อดีของคุณอย่างไรก็ตามควรรู้จักอ้อมค้อมบ้างโลกไม่ได้มีแต่เส้นทางตรงอย่างเดียว มันเขียนบ้าอะไรของมันฟะเนี่ย

                เมษาทำหน้าไม่พอใจแล้ววางไพ่ลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเซ็งๆ

                ขณะเดียวกันโดโกบาร์ก็เริ่มฉีกซองของตัวเองบ้าง เขาหยิบไพ่ออกจากซองเอามาดูแล้วพลิกไปมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีนาก้มหน้าลงมาดูจากด้านข้าง

                อ่านไม่ออกเหรอคะ

                โดโกบาร์หยุดพลิกไพ่และไม่ได้ตอบอะไร แต่เหมือนว่าจะเดาถูกมีนาจึงหยิบไพ่จากมือมาอ่าน

                เอ ไหนๆ เดอะจัดจ์เมนท์ คุณเชื่อมั่นในความถูกต้องเป็นอย่างมากแต่บางครั้งก็สุดโต่งเกินไปจนทำให้ล่าช้าในการตัดสินใจขอให้คุณลองลดทิฐิดูบ้างแล้วเชื่อใจตัวเองให้มากขึ้น เขาเขียนไว้แบบนี้น่ะคะ

                มีนาอ่านจบก็หันไปมองโดโกบาร์แต่เด็กชายไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา

                จนกระทั่ง...

                คำแนะนำของวัชพืชอย่างมนุษย์มันไม่มีความหมาย

                เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ ดังนั้นทุกคนเลยพยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องพูดกันแล้วหวยก็มาลงที่นรินทร์ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้อ่านไพ่ทำนาย

                มีนาพูดด้วยท่าทางร้อนรน

                จะว่าไปคุณนรินทร์ได้ไพ่อะไรหรือคะ

                เมษากับกวินทร์เองก็เข้ามาผสมโรงด้วย

                เออใช่ๆ รีบอ่านมาดิ

                จ...จะเป็นไพ่อะไรกันน้า~~”

                นรินทร์ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะตามสถานการณ์ไม่ทันแต่ก็เข้าใจมันได้จึงยื่นไพ่ที่หยิบจากซองลงไปวางที่กลางโต๊ะ ไพ่เป็นรูปยมทูตที่มีใบหน้าเป็นกะโหลกเปลือยสวมเสื้อคลุมสีดำถือเคียวอันใหญ่ ชื่อบนไพ่เขียนว่า ‘The Death’

                เมษาทำหน้าขยาดแล้วแสดงความเห็นเป็นคนแรก

                “กึ๋ย เหมือนจะเป็นของที่ไม่ซวยจริงจังจะจับไม่ได้ใบนี้นะเนี่ย

                มีนาก็พูดด้วยท่าทางแบบเดียวกัน

                ก็รู้ว่าไม่ควรตอกย้ำล่ะนะคะแต่ชักอยากรู้แล้วสิว่าข้างหลังเขียนอะไรไว้

                แล้วนรินทร์ก็พลิกไพ่ให้ตามคำขอแต่ข้างหลังกลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลย

                กวินทร์พูด

                อ๊ะ สงสัยจะใบที่ผิดพลาดล่ะมั้งครับเรียกว่าของแรร์ได้เหมือนกันนะเนี่ย

                หลังจากพูดสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นคำพูดปลอบใจหรือคำพูดซ้ำเติมออกมารุ่นน้องก็ยิ้มแฉ่งอย่างไร้เดียงสา ดังนั้นคงเป็นอย่างแรกมากกว่า

                นรินทร์ยิ้มเจื่อนแล้วก็พูดเสียงเปลี้ยว่า

                คงแค่บังเอิญ...ล่ะมั้ง

     

                ...

     

                แสงแดดในวันนี้แรงเป็นพิเศษแต่เพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงจากเมื่อคืน

                ห้องจึงไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป

                ห้องมืดอึดครึมมีแสงแดดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างตกกระทบลงบนโต๊ะทำงาน

                นอกจากฝั่งที่เป็นประตูกับหน้าต่างแล้วสองฝั่งที่เหลือก็ถูกแทนที่ด้วยตู้หนังสือที่มีหนังสือเติมเต็มทุกชั้น เทียบภาพห้องของพ่อในความทรงจำแล้วทุกอย่างที่นี่ยังคงวางไว้ที่เดิมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสี่ปีก่อน

                อิงศรละสายตาจากข้าวของในห้องแล้วกลับมาอ่านหนังสือต่อ พลิกเปิดแต่ละหน้าแบบผ่านๆจนกระทั่งหมดเล่มก่อนจะสอดกลับใส่ชั้นหนังสือไป

                นั่นเป็นเล่มสุดท้าย...

                ในบ้านไม่มีเอกสารอะไรที่บ่งบอกความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจหรือความเกี่ยวข้องกับองค์กรอารย-สนธยาแบบลึกซึ้งอยู่เลย

                งั้นก็เหลือแค่ที่โต๊ะพ่อ

                อิงศรหันไปยังทิศที่ตั้งหน้าต่างเหม่อมองโต๊ะทำงานของพ่อที่รกไปด้วยข้าวของระเกะระกะจนไม่คิดว่าจะเอาของสำคัญไปวางสุมอยู่ตรงนั้น แต่บางทีสุภาษิตที่ว่าจะซ่อนใบไม้ก็ต้องซ่อนในป่าอาจจะถูกขึ้นมาในเวลาแบบนี้ก็ได้

                แล้วเขาก็เริ่มรื้อโต๊ะของพ่อด้วยความปักใจเชื่อลมๆ แล้งๆ พรรค์นั้น โดยระหว่างที่ค้นโต๊ะอยู่ก็มีช่วงที่สายตาเหลือบออกไปข้างนอกหน้าต่างที่ส่องไปยังหน้าบ้านและถูกสายตาเย็นชาจับจ้องมา

                สายตาของวิเชียรมาศที่รับคำสั่งจากสิงห์ให้เป็นคนขับรถมาส่งเขาที่บ้านหลังจากไปบอกสิงห์เรื่องที่ครอบครัวตัวเองมีความเกี่ยวพันกับอารย-สนธยา

                อิงศรนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานของพลเอกสิงห์เมื่อคืนวาน

                ตัวเขายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเจ้าของโต๊ะก็นั่งไขว่ห้างฟังเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของตน เรื่องที่พ่อกับแม่ทำงานอยู่ในกลุ่มกิจการที่เกี่ยวข้องกับอารย-สนธยาบอกไปเพียงแค่ผิวเผินแต่ไม่ได้บอกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจ

                แต่ถึงปกปิดไปก็เท่านั้นเพราะอีกฝ่ายคือธุวดารกะที่ว่าจ้างงานกับพ่อของเขาโดยตรงดังนั้นก็มีสิทธิ์ที่สิงห์จะรู้อยู่แต่แรกแล้วรวมถึงเหตุผลที่เก็บเขามาเมื่อสามปีก่อนก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

     

                เพราะงั้นก็เลยจะมาขอนายพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปบ้านที่กรุงเทพอยากจะไปหาดูว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับที่ฉันโดนเพ่งเล็งจากพวกมนุษย์ต่างดาวบ้างรึเปล่าเพราะตอนที่ไปทำภารกิจกับพิพัฒน์ตอนนั้นก็มีพวกอารย-สนธยาเข้ามาเกี่ยวด้วยน่ะ

                พอได้ฟังที่อิงศรพูด สิงห์ก็ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

                ถ้าอยากไปก็ไปแล้วกลับมาเขียนรายงานให้ด้วยล่ะ

                เป็นท่าทีตอบรับที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้...

                ที่นายยอมให้ฉันไปเนี่ยเพราะนายเองก็อยากจะได้ข้อมูลเหมือนกันใช่ไหม

                แต่สิงห์ไม่ยอมตอบ

                อิงศรเลยถามต่อไปว่า

                นายรู้จักกับผู้ถูกลืมเลือน...กับซีลอร์ดคนนั้นใช่ไหม

                สิงห์ยังคงไม่ปริปากใบหน้าไร้อารมณ์ยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง จนเขาเกือบถอดใจที่จะเซ้าซี้ต่อ

                ...ในตอนนั้นเองสิงห์ก็พูดขึ้นมา

                แล้วไงโดนเจ้านั่นเป่าหูอะไรมาล่ะ

                ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักซีลอร์ดอย่างที่คิดเอาไว้ เพราะสามปีก่อนตอนที่สิงห์เก็บเขามาก็เคยพูดเอาไว้แบบนี้

                ตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้อย่างนั้นสินะ

                มีการพูดชื่อของซีลอร์ดออกมาอย่างชัดเจนดังนั้นสิงห์จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน

                อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น

                ฉันฟังจากมีนามาแล้วนะเธอบอกว่านายโดนปีศาจที่ชื่อนรสิงห์กัดกินจิตใจอยู่เป็นผลมาจากการทดลองเดม่อนแอพก่อนโลกจะล่มสลาย

                อิงศรเผยข้อมูลที่ได้รู้จากมีนาเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแต่สิงห์ยังคงเก็บอาการเอาไว้ได้

                แล้วไง

                ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะกลายเป็นหุ่นเชิดของปีศาจด้วยเรื่องแค่นั้นเพราะฉันเองก็ยังโดนปีศาจที่นายให้มารังแกเอาเลยแต่ฉันก็ไมได้สูญเสียตัวตนไปยังคงเป็นตัวเองอยู่ งั้นหมายความว่าตอนที่โลกยังไม่ล่มสลายนายก็เล่นละครหลอกคนอื่นตลอดเวลาเลยงั้นเหรอ

                ถ้าใช่แล้วมันหนักหัวนายรึไง

                อีกฝ่ายตอบรับมาอย่างง่ายดายจนน่ากลัวว่านี่จะเป็นกลลวง เขาต้องเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบที่สุดไม่ให้หลงติดเข้าไปในสิ่งที่สิงห์คิดอยากให้เป็น ถึงจะไม่รู้ว่าควรต้องระแวดระวังขนาดนั้นเลยรึเปล่าก็ตาม

                อิงศรยักไหล่แล้วพูดว่า

                ก็เปล่า แค่อยากยืนยันว่าที่คิดเอาไว้ถูกไหมน่ะสิเพราะถ้าฉันโดนคนอ่อนแอที่แพ้ปีศาจมาเชิดเอาอีกทีมันก็ขำไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ

                จากนั้นสิงห์ก็ผุดยิ้ม

                แล้วยังไงล่ะนายยกเรื่องเจ้าสวะของพระเจ้านั่นขึ้นมาแล้วก็มาพูดเรื่องของฉันนายอยากถามอะไรกันแน่

                นายพูดว่าพระเจ้า...นายรู้กระทั่งเรื่องนั้นเลยเหรอเรื่องที่โลกกำลังจะถูกลบหายไป

                สิงห์พยักหน้า

                ใช่...รู้สิแล้วก็รู้ด้วยว่าเวลาเหลืออีกแค่ห้าเดือนกว่าๆ ทุกอย่างจะถูกความว่างเปล่ากลืนกินจนหมดแถมยังรู้อีกด้วยว่าคนที่จะช่วยโลกนี้ได้คือฉันเอง

                แล้วพูดมาอย่างมั่นใจ

                งั้นที่นายช่วยฉันเอาไว้ก็เพราะฉันเป็นปัจจัยที่จะทำให้นายกอบกู้โลกได้งั้นสิ

                แหงสิใครมันจะว่างไปช่วยคนไร้ประโยชน์กันล่ะ แล้วไงพอรู้แล้วก็เลยจะโกรธเหรอ

                อิงศรส่ายหน้า

                เปล่ายังไงซะที่ฉันยังอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะนายช่วยเอาไว้แถมยังดึงฉันที่หมดอาลัยตายอยากกับโลกใบนี้ไปแล้วให้กลับมาดิ้นรนมีชีวิตได้อีก เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ลืมฉันเป็นหนี้ชีวิตนาย

                พอฟังที่เขาพูดไปอีกฝ่ายก็เลิ่กคิ้วด้วยความสงสัย

                นี่แกไข้ขึ้นรึเปล่าทำไมวันนี้ถึงมาทำปากหวานแบบนั้น

                นี่ฉันพูดจริงนะเนี่ย

                สิงห์หุบยิ้มลงแล้วกลับไปตีหน้านิ่งอีกครั้ง

                เอาเถอะถ้าสำนึกบุญคุณแล้วก็ดี อย่าหักหลังฉันก็แล้วกันไม่งั้นนายจะได้เสียใจที่ถูกฉันช่วยชีวิตไว้

                แล้วทำท่าจะจบการสนทนา อิงศรจึงรีบพูดแย้ง

                เดี๋ยวสิที่ฉันพูดมาเนี่ยยังไม่จบนะ

                ช่างจ้อกว่าทุกทีเลยนะวันนี้ มีอะไรอีกล่ะ

                “มิ่งขวัญน้องชายฉันกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว

                พอได้ยินแบบนั้นสิงห์ก็เงยหน้าสบตาเขาแล้วถามคำถาม

                “จำได้ว่าแกบอกว่าน้องชายตายไปแล้วไม่ใช่รึไง

                ท่าทางอีกฝ่ายกำลังพยายามจับโกหกเขาอยู่การวบตาก็เพื่อดูปฏิกิริยา อย่างไรซะอิงศรไม่ได้มีเรื่องจะต้องโกหกอยู่แล้วทั้งหมดที่พูดไปเป็นความจริงที่เขารู้ร้อยเปอเซ็นต์

                ก็ใช่ฉันเคยคิดอย่างนั้นจนกระทั่งได้เจอหมอนั่นตอนเรดบอสหมอนั่นกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว

                ยังไงล่ะนายเอาเรื่องนี้มาบอกฉันเพราะอยากให้ช่วยอะไรหรือไง

                อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น

                ฉันอยากจะเอาตัวหมอนั่นคืนมาซีลอร์ดบอกว่าหมอนั่นก็มีเฟืองเหมือนกับฉัน เพราะงั้นนายเองก็น่าจะอยากได้ตัวหมอนั่นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

                ทันในนั้นเอง...

                อย่ามาเจื้อยแจ้วเรื่องสำคัญง่ายๆ แบบนั้นเชียวนะ

                สิงห์ตะหวาดพลางทุบโต๊ะดังปึงแล้วลุกจากเก้าอี้โน้มตัวข้ามโต๊ะมาหาจนใบหน้าแทบจะติดกับหน้าของเขา

                อึก...

                หน้าต่างมีหูประตูมีช่องจะพูดอะไรก็คิดหน่อย ให้ตายสิวันนี้แกเป็นอะไรของแกดีใจที่น้องยังมีชีวิตอยู่จนเสียสติไปแล้วรึไง

                แล้วสิงห์ก็ย้ายตัวกลับไปนั่งที่หมุนเก้าอี้เบี่ยงไปทางขวาพลางพูดโดยไม่หันมา

                นายกลับไปได้แล้วส่วนเรื่องนั้นฉันจะลองคิดดูอีกที

                ถึงสิงห์จะแสดงท่าทีอย่างนั้นแต่เมื่อครู่เขาพูดว่าเรื่องของมิ่งขวัญเป็นเรื่องสำคัญถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันให้มากความไปกว่านี้อีก

                สิงห์ยอมรับคำขอของเขาไปเรียบร้อย...

               

                การระลึกความจบลงแค่ตรงนี้เมื่ออิงศรกำลังคุ้ยหาในลิ้นชักโต๊ะของพ่อและเจออะไรบางอย่างที่พอจะเป็นเบาะแสได้เขาหยิบกล่องใสขึ้นมาจากลิ้นชักมันเป็นกล่องบรรจุนามบัตร

                อิงศรเปิดมันออกแล้วหยิบใบหนึ่งขึ้นมาดูเป็นนามบัตรของพ่อและเป็นนามบัตรในฐานะนักวิจัยของ อารย-สนธยา รวมไปถึงสถานที่ตั้งของห้องวิจัยที่ใช้ทำงานก็มีระบุเอาไว้

                แล้วความคิดก็พลันแล่นขึ้นมา

                ครอบครัวเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับ อารย-สนธยา

                มีความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจ

                สิงห์อาจจะรู้เรื่องพวกนั้นแต่ไม่น่าจะรู้ถึงความลับของ อารย-สนธยา ถ้าสิ่งนั้นเป็นของที่พอจะใช้การได้ล่ะก็...

                หากตัวเขาสามารถคว้ามันมาไว้ในกำมือได้ล่ะก็

                เด็กหนุ่มยิ้มแสยะด้วยความยินดีพลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาที่สุด

                คงกำลังคิดว่าได้เรื่องเจ้าขวัญมาใช้เชิดฉันได้เพิ่มอีกเรื่องงั้นสิแต่โทษทีนะคราวนี้แหละขอฉันเชิดนายบ้างละกันสิงห์” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×