คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #65 : Login 62: คำทำนาย
Login
62: คำทำนาย
ช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากภารกิจเปลี่ยนอาชีพให้มีนาสิ้นสุดลง
การตรวจสอบแอพพลิเคชั่นปีศาจเองก็จบลงในช่วงเช้าทีผ่านมา
หน่วยของอิงศรที่เจ้าตัวไม่อยู่ก็ได้มานั่งพักกันในร้านกาแฟ
Eclipse ที่มาเปิดสาขาใหม่
เหล่าเด็กหนุ่มสาวในเครื่องแบบทหารเดินเข้าร้านมาจึงกลายเป็นจุดสนใจของชาวเมืองโดยเฉพาะหูสุนัขของโดโกบาร์ที่เด่นสะดุดตาแต่เพราะโลกกลายเป็นเกมคนอื่นก็เลยคิดไปว่ามันเป็นไอเทมอย่างหนึ่งดังนั้นความสนใจส่วนใหญ่จึงอยู่ที่เครื่องแบบทหารเสียมากกว่า
พวกเขานั่งลงบนโต๊ะขนาดหกที่นั่งติดริมผนัง
มีนากับนรินทร์นั่งขนาบโดโกบาร์ กวินทร์นั่งกับเมษาที่อีกฟากของโต๊ะ
พนักงานร้านเดินมาจดเมนูทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนจนกระทั่งเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟ
หลังจากดื่มดำกับของที่สั่งมาจนหายคอแห้งมีนาก็พูดเปิดประเด็น
“คุณอิงศรคุยกับพี่สิงหืได้จริงๆ
ด้วยนะคะเนี่ย”
จากนั้นเมษาที่อยู่อีกฟากของโต๊ะก็พูดเสริม
“เจ้าศรป่วยการเมืองหนีไปเที่ยวสินะตามใจมันมากเดี๋ยวก็โตเป็นเด็กใจแตกไปหรอก”
เขาทำเลียนแบบเสียงของพันโทข้าวหลามพูดด้วยท่าทีหน่ายๆ
ก่อนจะปรับกลับน้ำเสียงเดิมแล้วพูดตบท้าย
“ก็พี่หลามพูดมาอย่างนี้เลยนี่นะ”
และนั่นคือบทสรุปของการตรวจแอพพลิเคชั่นปีศาจในช่วงเช้า
“ว่าแต่ไอ้นี่มันอะไรล่ะเนี่ยที่แถมมาตอนเสิร์ฟเครื่องดื่มเนี่ย”
เมษาเปลี่ยนเรื่องพูดพลางหยิบซองกระดาษสีเงินที่วางอยู่ข้างแก้วเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมาจากนั้นทุกคนก็หยิบตาม
กวินทร์ดูคำอธิบายที่ข้างซองแล้วพูดมาว่า
“ดูเหมือนจะเป็นไพ่ทำนายน่ะครับ”
มีนามองไปรอบร้านแล้วจึงพูดเสริมด้วยข้อมูลที่เพิ่งรวบรวมได้
“รู้สึกว่ากำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ
ด้วยล่ะค่ะ”
เพราะในร้านมีกลุ่มหญิงสาวนั่งกันอยู่มากมายและทุกคนต่างก็ถือไพ่ลายประหลาดเอาไว้
มีนาจึงฉีกห่อบรรจุออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ของฉันเป็นเดอะ
เลิฟเวอร์ค่ะ”
หล่อนอ่านชื่อที่เขียนไว้บนไพ่รูปคู่รัก
เมษาจึงฉีกซองบ้าง
“หือ
ไพ่พระราชานี่มันอ่านว่า เอ็มเพอเรอร์รึเปล่าหว่า”
ไพ่ของเขาเป็นรูปชายคนหนึ่งที่แต่งตัวอย่างหรูหราสวมมงกุฎและนั่งบนบัลลังก์
“ของผมมีรูปเยอะแยะเลยทั้งนกพิราบทั้งสายรุ้งทั้งแก้วน้ำเหมือนจะเขียนว่าเดอะเทมเพอแรนซ์อ่ะครับ”
กวินทร์พลิกไพ่ไปมาจนสังเกตเห็นว่าด้านหลังของไพ่มีเขียนอะไรเอาไว้
“รู้สึกข้างหลังไพ่จะมีคำอธิบายด้วยนะครับ”
ได้ยินดังนั้นมีนาก็หันมาถามด้วยความสนใจ
“เขียนไว้ว่าอะไรเหรอคะ”
กวินทร์เริ่มอ่านสิ่งที่เขียนไว้บนหลังไพ่
“คุณเป็นคนที่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมามากมายคุณรู้สึกสับสนต่อความเป็นไปของโลกที่เปลี่ยนผันได้ง่ายเหลือเกินคุณควรระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งนั้นไม่จีรังยั่งยืนเขียนเอาไว้แค่นี้น่ะครับ”
จากนั้นมีนาก็เริ่มอ่านหลังไพ่ของตัวเองบ้าง
“คุณเป็นคนที่โหยหาความรักความเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างมากขณะเดียวกันคุณเองก็ไม่เข้าใจในความรักขอให้คุณรักตัวเองให้มากขึ้นแล้วคุณจะเข้าใจว่าความรักเป็นอย่างไร
แหมๆ หญิงสาวต้องคู่กับความรักสินะ”
เด็กสาวพยักหน้าให้คำพูดของตัวเองขณะที่ดวงตาเริ่มเหม่อลอยด้วยความคิดฟุ้งซ่าน
เห็นดังนั้นเมษาจึงเริ่มอ่านของตัวเอง
“คุณเป็นคนที่มีความหยิ่งทระนงในตัวเองสูง
หัวแข็ง
และค่อนข้างสุดโต่งแต่นั่นเป็นข้อดีของคุณอย่างไรก็ตามควรรู้จักอ้อมค้อมบ้างโลกไม่ได้มีแต่เส้นทางตรงอย่างเดียว
มันเขียนบ้าอะไรของมันฟะเนี่ย”
เมษาทำหน้าไม่พอใจแล้ววางไพ่ลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเซ็งๆ
ขณะเดียวกันโดโกบาร์ก็เริ่มฉีกซองของตัวเองบ้าง
เขาหยิบไพ่ออกจากซองเอามาดูแล้วพลิกไปมาอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งมีนาก้มหน้าลงมาดูจากด้านข้าง
“อ่านไม่ออกเหรอคะ”
โดโกบาร์หยุดพลิกไพ่และไม่ได้ตอบอะไร
แต่เหมือนว่าจะเดาถูกมีนาจึงหยิบไพ่จากมือมาอ่าน
“เอ ไหนๆ
เดอะจัดจ์เมนท์
คุณเชื่อมั่นในความถูกต้องเป็นอย่างมากแต่บางครั้งก็สุดโต่งเกินไปจนทำให้ล่าช้าในการตัดสินใจขอให้คุณลองลดทิฐิดูบ้างแล้วเชื่อใจตัวเองให้มากขึ้น
เขาเขียนไว้แบบนี้น่ะคะ”
มีนาอ่านจบก็หันไปมองโดโกบาร์แต่เด็กชายไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา
จนกระทั่ง...
“คำแนะนำของวัชพืชอย่างมนุษย์มันไม่มีความหมาย”
เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ
ดังนั้นทุกคนเลยพยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องพูดกันแล้วหวยก็มาลงที่นรินทร์ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้อ่านไพ่ทำนาย
มีนาพูดด้วยท่าทางร้อนรน
“จะว่าไปคุณนรินทร์ได้ไพ่อะไรหรือคะ”
เมษากับกวินทร์เองก็เข้ามาผสมโรงด้วย
“เออใช่ๆ รีบอ่านมาดิ”
“จ...จะเป็นไพ่อะไรกันน้า~~”
นรินทร์ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะตามสถานการณ์ไม่ทันแต่ก็เข้าใจมันได้จึงยื่นไพ่ที่หยิบจากซองลงไปวางที่กลางโต๊ะ
ไพ่เป็นรูปยมทูตที่มีใบหน้าเป็นกะโหลกเปลือยสวมเสื้อคลุมสีดำถือเคียวอันใหญ่ ชื่อบนไพ่เขียนว่า
‘The Death’
เมษาทำหน้าขยาดแล้วแสดงความเห็นเป็นคนแรก
“กึ๋ย
เหมือนจะเป็นของที่ไม่ซวยจริงจังจะจับไม่ได้ใบนี้นะเนี่ย”
มีนาก็พูดด้วยท่าทางแบบเดียวกัน
“ก็รู้ว่าไม่ควรตอกย้ำล่ะนะคะแต่ชักอยากรู้แล้วสิว่าข้างหลังเขียนอะไรไว้”
แล้วนรินทร์ก็พลิกไพ่ให้ตามคำขอแต่ข้างหลังกลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลย
กวินทร์พูด
“อ๊ะ
สงสัยจะใบที่ผิดพลาดล่ะมั้งครับเรียกว่าของแรร์ได้เหมือนกันนะเนี่ย”
หลังจากพูดสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นคำพูดปลอบใจหรือคำพูดซ้ำเติมออกมารุ่นน้องก็ยิ้มแฉ่งอย่างไร้เดียงสา
ดังนั้นคงเป็นอย่างแรกมากกว่า
นรินทร์ยิ้มเจื่อนแล้วก็พูดเสียงเปลี้ยว่า
“คงแค่บังเอิญ...ล่ะมั้ง”
...
แสงแดดในวันนี้แรงเป็นพิเศษแต่เพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงจากเมื่อคืน
ห้องจึงไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป
ห้องมืดอึดครึมมีแสงแดดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างตกกระทบลงบนโต๊ะทำงาน
นอกจากฝั่งที่เป็นประตูกับหน้าต่างแล้วสองฝั่งที่เหลือก็ถูกแทนที่ด้วยตู้หนังสือที่มีหนังสือเติมเต็มทุกชั้น
เทียบภาพห้องของพ่อในความทรงจำแล้วทุกอย่างที่นี่ยังคงวางไว้ที่เดิมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสี่ปีก่อน
อิงศรละสายตาจากข้าวของในห้องแล้วกลับมาอ่านหนังสือต่อ
พลิกเปิดแต่ละหน้าแบบผ่านๆจนกระทั่งหมดเล่มก่อนจะสอดกลับใส่ชั้นหนังสือไป
นั่นเป็นเล่มสุดท้าย...
ในบ้านไม่มีเอกสารอะไรที่บ่งบอกความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจหรือความเกี่ยวข้องกับองค์กรอารย-สนธยาแบบลึกซึ้งอยู่เลย
“งั้นก็เหลือแค่ที่โต๊ะพ่อ”
อิงศรหันไปยังทิศที่ตั้งหน้าต่างเหม่อมองโต๊ะทำงานของพ่อที่รกไปด้วยข้าวของระเกะระกะจนไม่คิดว่าจะเอาของสำคัญไปวางสุมอยู่ตรงนั้น
แต่บางทีสุภาษิตที่ว่าจะซ่อนใบไม้ก็ต้องซ่อนในป่าอาจจะถูกขึ้นมาในเวลาแบบนี้ก็ได้
แล้วเขาก็เริ่มรื้อโต๊ะของพ่อด้วยความปักใจเชื่อลมๆ
แล้งๆ พรรค์นั้น โดยระหว่างที่ค้นโต๊ะอยู่ก็มีช่วงที่สายตาเหลือบออกไปข้างนอกหน้าต่างที่ส่องไปยังหน้าบ้านและถูกสายตาเย็นชาจับจ้องมา
สายตาของวิเชียรมาศที่รับคำสั่งจากสิงห์ให้เป็นคนขับรถมาส่งเขาที่บ้านหลังจากไปบอกสิงห์เรื่องที่ครอบครัวตัวเองมีความเกี่ยวพันกับอารย-สนธยา
อิงศรนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานของพลเอกสิงห์เมื่อคืนวาน
ตัวเขายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเจ้าของโต๊ะก็นั่งไขว่ห้างฟังเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของตน
เรื่องที่พ่อกับแม่ทำงานอยู่ในกลุ่มกิจการที่เกี่ยวข้องกับอารย-สนธยาบอกไปเพียงแค่ผิวเผินแต่ไม่ได้บอกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจ
แต่ถึงปกปิดไปก็เท่านั้นเพราะอีกฝ่ายคือธุวดารกะที่ว่าจ้างงานกับพ่อของเขาโดยตรงดังนั้นก็มีสิทธิ์ที่สิงห์จะรู้อยู่แต่แรกแล้วรวมถึงเหตุผลที่เก็บเขามาเมื่อสามปีก่อนก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“เพราะงั้นก็เลยจะมาขอนายพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปบ้านที่กรุงเทพอยากจะไปหาดูว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับที่ฉันโดนเพ่งเล็งจากพวกมนุษย์ต่างดาวบ้างรึเปล่าเพราะตอนที่ไปทำภารกิจกับพิพัฒน์ตอนนั้นก็มีพวกอารย-สนธยาเข้ามาเกี่ยวด้วยน่ะ”
พอได้ฟังที่อิงศรพูด
สิงห์ก็ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ถ้าอยากไปก็ไปแล้วกลับมาเขียนรายงานให้ด้วยล่ะ”
เป็นท่าทีตอบรับที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้...
“ที่นายยอมให้ฉันไปเนี่ยเพราะนายเองก็อยากจะได้ข้อมูลเหมือนกันใช่ไหม”
แต่สิงห์ไม่ยอมตอบ
อิงศรเลยถามต่อไปว่า
“นายรู้จักกับผู้ถูกลืมเลือน...กับซีลอร์ดคนนั้นใช่ไหม”
สิงห์ยังคงไม่ปริปากใบหน้าไร้อารมณ์ยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
จนเขาเกือบถอดใจที่จะเซ้าซี้ต่อ
...ในตอนนั้นเองสิงห์ก็พูดขึ้นมา
“แล้วไงโดนเจ้านั่นเป่าหูอะไรมาล่ะ”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักซีลอร์ดอย่างที่คิดเอาไว้
เพราะสามปีก่อนตอนที่สิงห์เก็บเขามาก็เคยพูดเอาไว้แบบนี้
‘ตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด
นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้' อย่างนั้นสินะ’
มีการพูดชื่อของซีลอร์ดออกมาอย่างชัดเจนดังนั้นสิงห์จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน
อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น
“ฉันฟังจากมีนามาแล้วนะเธอบอกว่านายโดนปีศาจที่ชื่อนรสิงห์กัดกินจิตใจอยู่เป็นผลมาจากการทดลองเดม่อนแอพก่อนโลกจะล่มสลาย”
อิงศรเผยข้อมูลที่ได้รู้จากมีนาเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแต่สิงห์ยังคงเก็บอาการเอาไว้ได้
“แล้วไง”
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะกลายเป็นหุ่นเชิดของปีศาจด้วยเรื่องแค่นั้นเพราะฉันเองก็ยังโดนปีศาจที่นายให้มารังแกเอาเลยแต่ฉันก็ไมได้สูญเสียตัวตนไปยังคงเป็นตัวเองอยู่
งั้นหมายความว่าตอนที่โลกยังไม่ล่มสลายนายก็เล่นละครหลอกคนอื่นตลอดเวลาเลยงั้นเหรอ”
“ถ้าใช่แล้วมันหนักหัวนายรึไง”
อีกฝ่ายตอบรับมาอย่างง่ายดายจนน่ากลัวว่านี่จะเป็นกลลวง
เขาต้องเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบที่สุดไม่ให้หลงติดเข้าไปในสิ่งที่สิงห์คิดอยากให้เป็น
ถึงจะไม่รู้ว่าควรต้องระแวดระวังขนาดนั้นเลยรึเปล่าก็ตาม
อิงศรยักไหล่แล้วพูดว่า
“ก็เปล่า
แค่อยากยืนยันว่าที่คิดเอาไว้ถูกไหมน่ะสิเพราะถ้าฉันโดนคนอ่อนแอที่แพ้ปีศาจมาเชิดเอาอีกทีมันก็ขำไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ”
จากนั้นสิงห์ก็ผุดยิ้ม
“แล้วยังไงล่ะนายยกเรื่องเจ้าสวะของพระเจ้านั่นขึ้นมาแล้วก็มาพูดเรื่องของฉันนายอยากถามอะไรกันแน่”
“นายพูดว่าพระเจ้า...นายรู้กระทั่งเรื่องนั้นเลยเหรอเรื่องที่โลกกำลังจะถูกลบหายไป”
สิงห์พยักหน้า
“ใช่...รู้สิแล้วก็รู้ด้วยว่าเวลาเหลืออีกแค่ห้าเดือนกว่าๆ
ทุกอย่างจะถูกความว่างเปล่ากลืนกินจนหมดแถมยังรู้อีกด้วยว่าคนที่จะช่วยโลกนี้ได้คือฉันเอง”
แล้วพูดมาอย่างมั่นใจ
“งั้นที่นายช่วยฉันเอาไว้ก็เพราะฉันเป็นปัจจัยที่จะทำให้นายกอบกู้โลกได้งั้นสิ”
“แหงสิใครมันจะว่างไปช่วยคนไร้ประโยชน์กันล่ะ
แล้วไงพอรู้แล้วก็เลยจะโกรธเหรอ”
อิงศรส่ายหน้า
“เปล่ายังไงซะที่ฉันยังอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะนายช่วยเอาไว้แถมยังดึงฉันที่หมดอาลัยตายอยากกับโลกใบนี้ไปแล้วให้กลับมาดิ้นรนมีชีวิตได้อีก
เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ลืมฉันเป็นหนี้ชีวิตนาย”
พอฟังที่เขาพูดไปอีกฝ่ายก็เลิ่กคิ้วด้วยความสงสัย
“นี่แกไข้ขึ้นรึเปล่าทำไมวันนี้ถึงมาทำปากหวานแบบนั้น”
“นี่ฉันพูดจริงนะเนี่ย”
สิงห์หุบยิ้มลงแล้วกลับไปตีหน้านิ่งอีกครั้ง
“เอาเถอะถ้าสำนึกบุญคุณแล้วก็ดี
อย่าหักหลังฉันก็แล้วกันไม่งั้นนายจะได้เสียใจที่ถูกฉันช่วยชีวิตไว้”
แล้วทำท่าจะจบการสนทนา
อิงศรจึงรีบพูดแย้ง
“เดี๋ยวสิที่ฉันพูดมาเนี่ยยังไม่จบนะ”
“ช่างจ้อกว่าทุกทีเลยนะวันนี้
มีอะไรอีกล่ะ”
“มิ่งขวัญน้องชายฉันกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว”
พอได้ยินแบบนั้นสิงห์ก็เงยหน้าสบตาเขาแล้วถามคำถาม
“จำได้ว่าแกบอกว่าน้องชายตายไปแล้วไม่ใช่รึไง”
ท่าทางอีกฝ่ายกำลังพยายามจับโกหกเขาอยู่การวบตาก็เพื่อดูปฏิกิริยา
อย่างไรซะอิงศรไม่ได้มีเรื่องจะต้องโกหกอยู่แล้วทั้งหมดที่พูดไปเป็นความจริงที่เขารู้ร้อยเปอเซ็นต์
“ก็ใช่ฉันเคยคิดอย่างนั้นจนกระทั่งได้เจอหมอนั่นตอนเรดบอสหมอนั่นกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว”
“ยังไงล่ะนายเอาเรื่องนี้มาบอกฉันเพราะอยากให้ช่วยอะไรหรือไง”
อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น
“ฉันอยากจะเอาตัวหมอนั่นคืนมาซีลอร์ดบอกว่าหมอนั่นก็มีเฟืองเหมือนกับฉัน
เพราะงั้นนายเองก็น่าจะอยากได้ตัวหมอนั่นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
ทันในนั้นเอง...
“อย่ามาเจื้อยแจ้วเรื่องสำคัญง่ายๆ
แบบนั้นเชียวนะ”
สิงห์ตะหวาดพลางทุบโต๊ะดังปึงแล้วลุกจากเก้าอี้โน้มตัวข้ามโต๊ะมาหาจนใบหน้าแทบจะติดกับหน้าของเขา
“อึก...”
“หน้าต่างมีหูประตูมีช่องจะพูดอะไรก็คิดหน่อย
ให้ตายสิวันนี้แกเป็นอะไรของแกดีใจที่น้องยังมีชีวิตอยู่จนเสียสติไปแล้วรึไง”
แล้วสิงห์ก็ย้ายตัวกลับไปนั่งที่หมุนเก้าอี้เบี่ยงไปทางขวาพลางพูดโดยไม่หันมา
“นายกลับไปได้แล้วส่วนเรื่องนั้นฉันจะลองคิดดูอีกที”
ถึงสิงห์จะแสดงท่าทีอย่างนั้นแต่เมื่อครู่เขาพูดว่าเรื่องของมิ่งขวัญเป็นเรื่องสำคัญถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันให้มากความไปกว่านี้อีก
สิงห์ยอมรับคำขอของเขาไปเรียบร้อย...
การระลึกความจบลงแค่ตรงนี้เมื่ออิงศรกำลังคุ้ยหาในลิ้นชักโต๊ะของพ่อและเจออะไรบางอย่างที่พอจะเป็นเบาะแสได้เขาหยิบกล่องใสขึ้นมาจากลิ้นชักมันเป็นกล่องบรรจุนามบัตร
อิงศรเปิดมันออกแล้วหยิบใบหนึ่งขึ้นมาดูเป็นนามบัตรของพ่อและเป็นนามบัตรในฐานะนักวิจัยของ
อารย-สนธยา รวมไปถึงสถานที่ตั้งของห้องวิจัยที่ใช้ทำงานก็มีระบุเอาไว้
แล้วความคิดก็พลันแล่นขึ้นมา
ครอบครัวเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับ
อารย-สนธยา
มีความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจ
สิงห์อาจจะรู้เรื่องพวกนั้นแต่ไม่น่าจะรู้ถึงความลับของ
อารย-สนธยา ถ้าสิ่งนั้นเป็นของที่พอจะใช้การได้ล่ะก็...
หากตัวเขาสามารถคว้ามันมาไว้ในกำมือได้ล่ะก็
เด็กหนุ่มยิ้มแสยะด้วยความยินดีพลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“คงกำลังคิดว่าได้เรื่องเจ้าขวัญมาใช้เชิดฉันได้เพิ่มอีกเรื่องงั้นสิแต่โทษทีนะคราวนี้แหละขอฉันเชิดนายบ้างละกันสิงห์”
ความคิดเห็น