ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #5 : Login 3 : มนุษย์ต่างดาวและการหลบหนี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.66K
      183
      4 ธ.ค. 59

    Login 3 : มนุษย์ต่างดาวและการหลบหนี

     

         โลกล่มสลายลงเพราะน้ำมือของมนุษย์ต่างดาว พวกมันเปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยเทคโนโลยีที่เกินกว่าจะจินตนาการให้กลายเป็นสนามรบของเกม

         ต่อมาอุกกาบาตที่มีไวรัสจากนอกโลกก็ตกลงมามนุษย์ส่วนใหญ่ตายเพราะไวรัส แต่พวกสัตว์ที่ได้รับไวรัสกลับเกิดการกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า 'สัตว์เทวะและออกเข่นฆ่ามนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่  ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

         เพื่อให้มีชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลายและเต็มไปด้วยสัตว์เทวะ จึงต้องศึกษาวิธีการเล่นเกมของพวกมนุษย์ต่างดาว ต้องต่อสู้และล่าสัตว์เทวะเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับเกม MMORPG

     

         อิงศรทำเช่นนั้นมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว โดยร่วมมือกับน้องชายตัวแสบหรือ มิ่งขวัญเจ้าเด็กที่โดนพ่อแม่สปอย(ตามใจ)จนเสียคน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นหนึ่งปีเต็มแห่งความยากลำบากกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องผ่านอะไรมามากมายจนแทบจดจำได้ไม่หมดหลายต่อหลายครั้งที่คิดว่าทิ้งเจ้าเด็กนิสัยเสียนี่ไปก็คงไม่ถือว่าเป็นบาปหรอก แต่ทุกครั้งก็ได้แค่คิดอยู่ในใจ

     

           อิงศรครุ่นคิดขณะเหม่อมองท้องฟ้า จากชั้นลอยที่เชื่อมต่อห้างสรรพสินค้าชั้นที่สามไปยังสถานีรถไฟฟ้า

         "เฮ้ย! ฟู มันไปทางนายแล้วนะ!"

           เสียงของมิ่งขวัญดึงเขากลับมาจากห้วงคะนึงแห่งความคิด

           อิงศรทอดสายตามองความเป็นจริงในปัจจุบัน หลังจากใช้ชีวิตในโลกที่ล่มสลายและเป็นพี่ชายที่เอาแต่ตีหน้าซังกะตายเพราะต้องคอยดูแลน้องชายตัวแสบมาได้หนึ่งปี จนกระทั่งถึงเมื่อสามเดือนก่อนตอนนี้สถานะของเขาได้กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นที่ต้องดูแลเด็กจากสถานสงเคราะห์อีกห้าชีวิตด้วยกัน

     

           "คอยดูเถอะพ่อจะซัดให้เดี้ยงเลยไอ้แมงมุมยักษ์ ! "

           เด็กชายที่ชื่อฟูพูดขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงขวานเล่มเขื่องใส่สัตว์เทวะรูปร่างแมงมุมสีดำที่มีขนาดตัวเท่ากับรถยนต์ทั้งคัน สายโลหิตสีเขียวพุ่งกระฉูดจากส่วนหัวที่ถูกขวานจามลงไป

           จะอยู่เฉยรอให้มันกระเด็นมาโดนไม่ได้เพราะเลือดพวกนั้นมีพิษหากสัมผัสถูกก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก... อิงศรเคลื่อนไหวด้วยความคิดเช่นนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวคนอื่น ๆที่อยู่รอบตัวก็ทำเหมือนกันคอยหลบหยดเลือดที่กระเด็นมา

         แม้จะถูกสับหัวแบะไปแล้วแต่ร่างของแมงมุมยักษ์ก็ยังไม่ได้นอนแน่นิ่ง เพียงแต่ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก ตอนนั้นเองฟูก็ส่งเสียงเรียกเพื่อนจากสถานสงเคราะห์

     

           "มันขยับไม่ได้แล้วลุยเลยมิกซ์!! "

           "อื้ม" 

         เสียงเล็ก ๆ ขานรับเด็กชายลูกครึ่งผมสีทองดวงตาสีฟ้า ยกปืนลูกโม่ขึ้นประทับแล้วเล็งไปยังสัตว์เทวะ

         หลังจากลั่นไกและมีเสียงปืนดังขึ้นก็ตะโกนไล่หลังกระสุนไปว่า

           "เอ็กซีคิวท์ช็อต ! (Execute Shot) "

           กระสุนปืนที่ยิงออกไปมีสามนัดทั้งหมดพุ่งเข้าเป้าเจาะทะลุลำตัวกลมป่องของแมงมุมยักษ์จากนั้นแต่ละนัดก็ระเบิดออก เลือดพิษพุ่งกระจายไปทุกทิศทาง ขณะที่แถบพลังชีวิตของมันทยอยลดลงจนในที่สุดก็หมดเกลี้ยง

     

    Abaddon Prayer LV. 8

    [.......0:550.....]

     

           ซากร่างของแมงมุมยักษ์สลายตัวหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงกล่องและขวดบรรจุของเหลวสีแดงม่วง

            อิงศรยื่นมือ ออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนไม่มีใครอื่นได้ยิน

           "เข้ามา"

           เด็กชายกระซิบเช่นนั้น แล้วกองสิ่งของก็ลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศก่อนจะเคลื่อนเข้ามาหาเหมือนกับถูกดูดด้วยพลังบางอย่าง สิ่งของทั้งหมดนั้นเรียกรวม ๆ ว่า 'ไอเทมเป็นศัพท์เฉพาะของเกมที่เคยเล่นสมัยก่อนที่โลกจะล่มสลาย

           ไอเทมทั้งหมดที่ลอยเข้ามาหาพลันหายวับไปทันทีที่เข้าใกล้มือ สิ่งของทั้งหมดนั้นจะถูกเก็บไปยังคลังติดตัวซึ่งเป็นระบบของเกมที่อำนวยความสะดวก ทำให้ไม่ต้องพกข้าวของมากมายติดมือไปด้วยระหว่างเดินทางส่วนการนำออกมาใช้งานก็เพียงแค่เรียกหน้าจอคลังหรือ 'Inventory' ขึ้นมาแล้วเลือกสิ่งของที่ต้องการได้ทันที

           ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น ไอเทมที่เกิดขึ้นหลังจากโลกกลายเป็นเกมแล้วพวกสิ่งของธรรมดาที่เคยมีอยู่บนโลกก่อนการล่มสลายก็สามารถใส่เข้าไปใน 'Inventory' ได้เช่นกัน

             โดยปกติแล้วการเก็บไอเทมจากสัตว์เทวะที่ผู้อื่นเป็นคนสังหารนั้นจะไม่สามารถกระทำได้ยกเว้นจะเป็นกลุ่มหรือทำข้อตกลงกันไว้แล้วโดยระบบเกมเรียกมันว่าปาร์ตี้(Party)

           เมื่อก่อนปาร์ตี้นี้ก็มีแค่ตัวเขาเอง อิงศร และมิ่งขวัญที่เป็นน้องชายปัจจุบันเมื่อเพิ่มฟูกับมิกซ์และเหล่าเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์เข้าไปทำให้ปาร์ตี้สมเป็นกลุ่มมากยิ่งขึ้น


         ก่อนจะออกมาล่าพวกเขาได้ทำการตกลงกันว่าจะให้อิงศรเป็นคนเก็บไอเทมทั้งหมดแล้วค่อยจัดสรรแบ่งกันให้ลงตัวทีหลัง แต่ถึงจะเคยพูดเอาไว้แบบนั้นก็ตามไอเทมส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของมีค่าถึงขั้นแย่งชิงกันอยู่แล้ว 

         ถ้าเป็นอาหารก็จะเอามาแบ่งกันกิน

         ถ้าเป็นไอเทมเสริมความแข็งแกร่งก็จะหาคนที่สามารถใช้ได้หรือเหมาะสมกับมันแล้วให้ไป

         ถ้าเป็นพวกยารักษาก็จะแบ่งกันเก็บไว้เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้หยิบใช้ได้ทันที

         หลังจากโค่นแมงมุมยักษ์เป็นที่เรียบร้อยเด็กชายทั้งสี่ก็พากันสำรวจบริเวณโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์เทวะตัวอื่นเหลืออยู่อีก อิงศรจึงหันไปด้านหลังแค่เฉพาะหน้าแล้วส่งเสียงเรียกไปยังเสาคอนกรีตต้นใหญ่ที่ค้ำจุนเพดานสถานีรถไฟกับชั้นลอยแห่งนี้

     

    "เฮ้ จัดการพวกสัตว์เทวะหมดแล้ว พลอยมารักษาพิษให้ฟูที"

    "จ้า"

           มีเสียงขานตอบกลับน้ำเสียงใสแจ๋วดังข้ามเสาคอนกรีตมา แล้วเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดขวบหรืออ่อนกว่ามิ่งขวัญอยู่หนึ่งปีก็ กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกมาจากด้านหลังซากคอนกรีต

           เธอมีเรือนผมสีดำยาวประบ่า ดวงตากลมโตสดใสเข้ากับใบหน้าที่กลมมนน่ารักราวกับตุ๊กตา เด็กหญิงเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ ฟูเด็กหนุ่มผมสั้นสีดำจากสถานสงเคราะห์ผู้กวัดแกว่งขวานต่อสู้กับแมงมุมยักษ์เมื่อครู่จากการที่เขาอยู่ใกล้กับมันมากที่สุดทำให้เลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดพิษไม่ได้ อาการของฟูแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ซีดขาวขึ้นเหมือนกับเลือดที่ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายมีน้อยลงเพราะหัวใจถูกกระตุ้นให้สูบฉีดน้อยกว่าปกติ นั่นคือคุณสมบัติพิษของสัตว์เทวะแมงมุมยักษ์ และตอนนี้พวกเขาก็ไม่มียาแก้พิษ...


           ก่อนหน้านี้หากถูกพิษของแมงมุมยักษ์เล่นงานก็มีแต่ต้องปล่อยให้มันหายไปเอง ผลของพิษไม่ได้ทำให้ถึงตายแต่จะทำให้หมดสติ หากว่าแถบพลังชีวิตยังคงเหลืออยู่พิษจะเสื่อมไปเองตามเวลา


           ดังนั้นการมาล่าในถิ่นที่มีพวกแมงมุมยักษ์อาศัยอยู่จึงไม่เคยเกิดขึ้น เว้นแต่ตอนนี้พวกเขามี พลอยเพิ่มเข้ามาในกลุ่ม เด็กสาวสังกัดคลาสอาชีพสายรักษาที่เรียกว่า 'Hospitaller' ซึ่งมีสกิลรักษาพิษชนิดนี้ได้

           อิงศรมอง เด็กหญิงทำการรักษาไปพลางเปิดหน้าจอ'Inventory' ขึ้นมาตรวจสอบไอเทมไปพลาง ระหว่างนั้นเองจากเสาคอนกรีตที่อยู่ด้านหลัง เด็กสาวอายุสิบหกซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มในตอนนี้เธอเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับจูงมือเด็กจากสถานสงเคราะห์อีกสองคนออกมาด้วยเป็นคู่เด็กชายและเด็กหญิง ที่อายุเท่ากันทั้งสองอ่อนวัยที่สุดในกลุ่มพวกเขาทั้งหมด


           เอ้าเน็กซ์ กับ นิว ก็ไปช่วยพลอยด้วยสิจะได้ฝึกให้คุ้นเคยกับการใช้สกิลด้วย

           อิงศรแนะนำออกไปอย่างนั้น

           ฮะพี่ศร

           ค่ะพี่ศร

           แล้วเด็กชายและเด็กหญิงก็ขานรับ ก่อนจะตามไปสมทบกับพลอยด้วยกันทั้งคู่

           เน็กซ์เป็นเด็กผู้ชายที่เด็กที่สุดในกลุ่มก็จริงแต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่มีความกล้าไม่แพ้ มิ่งขวัญ หรือ ฟู เลยในขณะที่ เด็กหญิงนิวนั้นเป็นคนเรียบร้อยและค่อนข้างขี้อายเลยมักจะเห็นเธอไปไหนมาไหนกับ เน็กซ์อยู่เป็นประจำ

           ด้านกลุ่มของพวกเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ฟู กับ มิกซ์ ที่อายุเท่ากับมิ่งขวัญ ก่อนหน้านี้ระหว่างฟูกับมิ่งขวัญมีบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ค่อยกินเส้นกันนักก็จะมีมิกซ์คอยเข้ามาห้ามปรามฟูให้ ส่วนมิ่งขวัญก็เป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างเขาที่จะต้องจัดการกันเป็นปกติอยู่แล้ว ถึงช่วงหลังมานี้ทั้งคู่จะเริ่มสนิทกันเพราะออกรบแนวหน้าด้วยกันบ่อย ๆ แต่ก็ยังมีกระทบกระทั่งกันบ้างโดยเฉพาะหัวข้อปัจจุบันที่ทั้งคู่กำลังแข่งกันนั้น

     

           พี่ศรคราวนี้ผมทำได้แจ่มที่สุดใช่ป่าว

           น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจแบบไม่มีกั๊กของฟู ดังขึ้นและในทันที….

           เฮ้ย ๆ ๆ ผลงานคราวนี้น่ะเป็นของชั้นนะเฟ่ย ถ้าไม่ได้ สกิลไพโรเบลด(Pyro Blade) ของชั้นทำดาเมจมันไปครึ่งหนึ่งก่อนล่ะก็…”

           เสียงแหลมปรี้ดของขวัญก็แย้งเข้ามา

           หา?! แต่คนที่หยุดมันไว้ได้คือชั้นต่างหากนายก็เอาแต่แกว่งดาบมั่วอยู่ไม่ใช่รึไง

           ว่าไงนะ ชั้นแกว่งดาบมั่วตอนไหนกัน

           แล้วจากนั้น มิกซ์ก็เข้ามาห้ามปรามทั้งคู่

           น่า ๆ จะใครก็ไม่สำคัญหรอก

           แต่ทว่า….

           เพราะคนที่จัดการมันในตอนสุดท้ายคือผมนี่นา เนอะพี่ศร

           มิกซ์ที่ควรจะเข้าไปไกล่เกลี่ย กลับส่งยิ้มมาทางเขา หลังจากลงมือกวนน้ำที่ขุ่นอยู่แล้วให้ขุ่นยิ่งกว่าเก่า

           ว่าไงนะ เพราะพวกชั้นหยุดมันไว้ข้างหน้าให้หรอกน่ะ!!

           เป็นครั้งแรกที่มิ่งขวัญกับฟู จะใจตรงกันทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันและประโยคเดียวกันราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด

         ส่วนมิกซ์ก็เอาแต่ยิ้มพลางหัวเราะกระซิกกระซี้เหย้าหยอกไปมา แล้วตอนนั้นเองที่พลอยก็ เข้ามาร่วมกวนน้ำให้ขุ่นกับเขาอีกคน

           ไม่หรอก ๆ ไม่ใช่ทั้งฟู ทั้งมิกซ์ ทั้งขวัญ เลยน่ะแหละ เพราะว่าพี่ศรจะต้องปลื้มในตัวฉันกับเน็กซ์กับนิวมากกว่าอยู่แล้ว จำไม่ได้เหรอตอนออกมาล่ากันน่ะพี่ศรบอกว่าเพราะมี พลอย เน็กซ์ แล้วก็นิว ที่มีสกิลรักษาเลยทำให้มาล่าที่นี่ได้ เน้อ~~”

           พลอยทำเสียงลากยาว พร้อมกันนั้นพวกน้อง ๆ ทั้งสองก็ทำตามด้วย

           เน้อ~~”

           เรียกได้ว่าตอนนี้เกิดความสามัคคีขึ้นในกลุ่มสามพระหน่อขึ้นมาแบบปุบปับทันที ทั้งหมดนั่นยกให้เป็นความดีความชอบของ ทีมพลอยแอนด์เดอะแก๊งค์’ เลย แล้วทั้งสองทีมก็เริ่มปะทะฝีปากกันอย่างออกรส


           อิงศรถอนหายใจยาว เรื่องน่าปวดหัวในปัจจุบันคือพวกเด็ก ๆ แข่งกันทำให้เขารู้สึกประทับใจ ทั้งที่ผลมันออกมาตรงกันข้าม

           ทำหน้าเซ็งมาเลยนะอิงศร เป็นอะไรไปเหรอ

           อิงศรหันไปทางต้นเสียง เด็กสาวที่เดินออกมาจากด้านหลังซากคอนกรีตพร้อม เน็กซ์ กับ นิว กำลังส่งยิ้มให้ เธอมีผมสีบลอนยาวถึงหลังและตาสีน้ำข้าวแบบชาวต่างชาติ  เมื่อสามเดือนก่อนช่วงเวลาเดียวกับที่มิ่งขวัญ ได้รู้จักเหล่าเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์ อิงศรก็ได้ช่วยเด็กสาว… ไม่สิพี่สาวคนนี้จากพวกสัตว์เทวะ โดยบังเอิญ

           พี่สีดาเห็นหน้าผมก็น่าจะรู้แล้วนะ

           แล้วอิงศรก็เบี่ยงสายตาไปทางกลุ่มของมิ่งขวัญที่ยังโต้เถียงกันไม่หยุด พลางถอนหายใจอีกครั้ง

           เจ้าพวกนั้นเข้าใจบ้างไหมเนี่ยว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ

           จู่ ๆ พี่สาวก็หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า

           เพราะทุกคนรักอิงศรเหมือนพี่ชายคนนึงไง

           แล้วก็มองเขาอย่างเอ็นดูด้วยสายตาเหมือนกับที่เขาเคยใช้มองมิ่งขวัญเวลาทำตัวดี  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ใบหน้าของเขากลับแดงระเรื่อขึ้นมา อิงศรพยายามซ่อนใบหน้านั้น แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ทันเห็นเพราะสายตาของหล่อนได้หันเหไปยังกลุ่มของมิ่งขวัญแทน

           ตอนแรกที่มาเจออิงศรกับทุกคนพี่ก็ยังหวั่น ๆ ใจอยู่เลยว่ามีแต่เด็กเต็มไปหมดแบบนี้จะไปกันไหวเหรอ แต่ทุกคนก็เข้มแข็งเกินตัวกันหมด คอยช่วยเหลือร่วมมือกันเหมือนกับเป็นครอบครัว ถ้าได้อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ถึงโลกจะล่มสลายไปแล้วก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ

           คำพูดที่มองแต่โลกในแง่ดีแบบนั้น

         เขาไม่ได้เกลียดมันเลยซักนิดเพียงแต่ รู้สึกข้องใจที่คนอายุมากกว่าซึ่งก็น่าจะมีประสบการณ์มากกว่า ถ้าอย่างนั้นน่าจะรู้ว่าโลกที่พูดมานั่นมันไม่มีทางเป็นไปได้

     

           สนิทสนมกันไว้มันก็ดีแต่แบบนั้นยังใช้ไม่ได้หรอกครับ

           อิงศรใช้คำพูดนั้นส่งผ่านความรู้สึกขัดใจออกไป

           เอ๋?”

           มันยังเปราะบางเกินไปโลกน่ะเดิมทีก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดที่แค่สายสัมพันธ์ครอบครัวเพียงอย่างเดียวจะฝ่าฟันไปได้ทุกอย่างยิ่งโลกที่ล่มสลายลงไปแล้วด้วยแบบนี้

           “…”

           จะมีใครตายเข้าซักวันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ยังมีชีวิตรอดกันมาได้ถึงวันนี้ต่างหากที่น่าแปลกกว่า

           อิงศรชำเลืองสายตาหลังจากพูดออกไปแบบนั้น ที่ปลายของสายตานั้นเองความคาดหวังที่ว่าเด็กสาวจะมีปฏิกิริยาเป็นลบกับเขาเกิดขึ้น  แต่ทว่า

           คิดมากไปแล้วน่าอิงศรนี่ล่ะก็

           สีดาพูดกลั้วเสียงหัวเราะแล้วตบเข้ามาที่แผ่นหลังของเขาดังป้าบ ตอนนั้นเองพวกมิ่งขวัญที่ถถเถียงกันอยู่ก็หยุดการกระทำแล้วเฮโลกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง

           ศรคุยไรกันอ่ะ

           มิ่งขวัญถามมาเป็นคนแรก

           ไม่เห็นต้องถามเลยนี่ก็ต้องเป็นไอ้นั่นอยู่แล้วใช่ไหมล่ะไอ้นั่นไง

           มิกซ์ชี้แจงขึ้นมาอย่างรู้ดีดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย แล้วตอนนั้นฟูก็ถามคำถามขึ้นมา

           พูดซะขนาดนั้น แล้วนายรู้เหรอมิกซ์


           ดวงตาสีฟ้าเชิดขึ้นอย่างอวดดี ไม่สิมันเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่เหมือนอมพะนำความลับอะไรไว้ซักอย่าง

         มิกซ์แสดงสีหน้าแบบนั้นก่อนจะเอ่ยปากพูดสิ่งที่จะสั่นคลอนสายสัมพันธ์ของครอบครัวด้วยน้ำเสียงที่สนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง

     

           แหงอยู่แล้วก็พี่ศรกับพี่สีดา คิดจะเปลี่ยนสถานะจากคุณพี่ชายกับคุณพี่สาวมาเป็นคุณป๊ะป๋ากับคุณหม่าม๊าให้พวกเราแล้วยังไงล่ะคร้าบ

           ห๊า?!”

           มิ่งขวัญหันมาสีหน้าตื่นตระหนก ฟูก็ทำเช่นเดียวกัน

            “จริงเหรอพี่ศร?!”

     

           จริงซะที่ไหนกันเล่า... อิงศรสบถในใจแล้วเดินฝ่าออกไปจากกลุ่มน้อง ๆ ที่เอาแต่ทำหน้าตาแตกตื่นกัน

     

           นี่นายโกหกอีกแล้วใช่ไหมเนี่ยมิกซ์

           ฟูตะหวาดใส่รอยยิ้มระรื่นของเพื่อน

           แหม ๆ หยอกเล่นนิดหน่อยเอง

           แล้วตกลงคุยกันเรื่องไรอ่ะ สีดาบอกหน่อยสิ

           มิ่งขวัญถาม

           สีดามีสีหน้าลำบากใจบางทีคงเพราะไม่รู้จะถ่ายทอดสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่ออกไปยังไงให้เด็กเข้าใจ


         เอาล่ะขอดูวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่หน่อยเถอะนะพี่สาว...

         อิงศรคิดอยู่ในใจเขาอยากจะประเมินว่าสีดาจะมีความสามารถอะไรบ้างรึเปล่า เพราะในบรรดาพวกเขาแล้วเธอเป็นคนเดียวที่แตกต่างทั้งอายุและความผิดปกติที่ไม่มีหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตกับชื่อปรากฏให้เห็นหนำซ้ำยังไม่สามารถใช้ระบบของเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นคลังติดตัว อาวุธ หรือคลาสอาชีพก็ไม่มีซักอย่าง เป็นได้แค่เพียงคนธรรมดาที่ไม่อาจอยู่รอดในโลกที่ล่มสลายไปแล้วได้อย่างแน่นอน 

         แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่...หนีรอดจนมาเจอเขาช่วยเอาไว้

           ถึงจะเคยถามไปแล้วก็ตามว่าเธอมีอดีตอะไรมาจากไหน แต่เธอจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากชื่อของตัวเอง

         ความจำเสื่อม...คงจะอธิบายได้ดีที่สุด แต่นั่นก็อาจจะเป็นแค่การโกหกก็ได้ การประเมินนี้จะได้ดูว่าเธอมีพื้นฐานนิสัยเป็นแบบไหน จะเป็นคนที่บอกเล่าความเป็นสีดำของโลกใบนี้ให้เด็ก ๆ ฟังอย่างน่ารังเกียจหรือว่าจะปกป้องด้วยถ้อยคำที่สวยหรูอย่างโลกสีขาว จะเป็นอย่างไหนกันแน่ อิงศรลุ้นจนเผลอกำมือแน่น

     

           คือว่าอิงศรเค้ากลัวว่าตัวเองจะตายเอาน่ะกลุ้มใจจนร้องไห้น้ำตาคลอเลยล่ะ

           ดูเหมือนฝ่ายที่ถูกเล่นงานจะกลายเป็นเขาซะเอง

           "อ..เฮ้ย..."

           อิงศรพูดแทรกแต่ดูเหมือนจะไม่ทันหยุดปากของหล่อนแล้ว สายตาของบรรดาน้อง ๆ จ้องเขม็งมาที่เขาด้วยความรู้สึกหลากหลายแบบ แล้วฟูก็พูดขึ้นว่า

           "ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ศร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ศรเดี๋ยวฟูจะปกป้องเอง"

           ทันทีที่ฟูเสนอตัวมิ่งขวัญก็แสดงสายตามุ่งมั่นเหมือนกับจะบอกว่า ไม่ยอมแพ้หรอก...

           "ขวัญก็จะปกป้องศรเหมือนกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเดี๋ยวขวัญตายแทนให้เอง"

           "จะบ้าเรอะ จะปกป้องแล้วจะไปตายแทนทำไม"

           หนนี้ฟูเป็นฝ่ายหันไปเปิดศึกกับมิ่งขวัญก่อนบ้าง

           "อ้าวก็ถ้าไม่ตายก็ไม่เท่อ่ะดี้"

           "หาถ้าตายแล้วจะเท่ได้ไงห๊ะ มันต้องปกป้องคนที่รักแล้วก็อยู่รอดไปด้วยกันตะหากเด้"

           "งั้น ๆ ไม่ตายแล้วก็ได้แต่ขวัญจะเป็นคนปกป้องศรเองฟูน่ะไม่ต้องทำอะไรหรอก"

           "อย่าดีแต่ปากหน่อยเลยทางนี้ต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น"

           "พูดงี้จะเอาใช่ป่ะ"

           "ว่าไงนะ แบบนี้ก็สวยเด้ ซัดกันซักตั้ง..."

     

           ก่อนที่ทั้งสองจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทบานปลายอิงศรก็จับทั้งคู่แยกออกจากกันแล้วเขกขนมมะเหงกใส่หัว ให้ไปกินเล่นกันคนละที

           "ดูการ์ตูนกันมากเกินไปแล้วเจ้าพวกบ้า"

           "ไม่ได้บ้านะ!"

           ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันระหว่างนั้นก็เอามือกุมจุดที่โดนเขกใส่ไปด้วย

           อิงศรถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ก็ยังคงเป็นสีฟ้าสดใสแสงแดดแรงจนแสบตา พลางให้คิดไปว่าโลกใบนี้ล่มสลายลงแล้วจริง ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ

           เด็กชายหันเหสายตาจากท้องฟ้าไปยังสถานีรถไฟ แล้วนึกถึงความตั้งใจแรกที่เลือกจะมาสำรวจที่แห่งนี้

     

           ประมาณหนึ่งเดือนก่อนจะเจอกับสีดาหรือก็คือสี่เดือนที่แล้ว เป็นช่วงก่อนที่พวกเด็กจากสถานสงเคราะห์จะมาย้ายมาอาศัยอยู่แถวนี้ ในช่วงเวลาที่ว่าสถานีแห่งนี้มีรถไฟวิ่งกลับเข้ามา ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

           ตอนแรกอิงศรประเมินเอาไว้ว่าอาจจะมีพวกผู้ใหญ่คนอื่นที่รอดชีวิตจากการล่มสลายนั่งรถไฟขบวนนั้นกลับมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมา จึงต้องมาสำรวจเพื่อคลายความสงสัย

     

           "เอ้าไปกันได้แล้ว"

           อิงศรพูดแล้วเดินนำกลุ่มไปยังทางเข้า ที่อยู่ห่างไปเพียงสิบก้าวขา

     

           ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่สถานีกลิ่นเหม็นฉุนก็ลอยเข้ามาทิ่มจมูก ภายในเต็มไปด้วยกองกระดูกมนุษย์และปฏิกูลที่พวกสัตว์เทวะขับถ่ายออกมา ทั้งสองอย่างอยู่ปะปนกัน น่าจะเป็นซากศพมนุษย์ที่ถูกกินแล้วขับถ่ายสิ่งที่ไม่สามารถย่อยได้ออกมา

           นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นเลย สิ่งที่มีอยู่คือความเงียบและบรรยากาศวังเวงแสนเย็นเยียบทั้งที่พึ่งจะเป็นเวลาเที่ยงตรงที่แสงแดดแรงจ้าแต่ภายในสถานีกลับมืดสนิทราวกับอยู่คนละโลกคนละเวลา สาเหตุก็มาจากม่านใยแมงมุมหนาเตอะที่คลุมบังสถานีไว้จากแสงแดดข้างนอก

     

           ถึงจะน่ากลัวแค่ไหนแต่พวกอิงศรก็ไม่ยอมหยุดการสำรวจ

           พวกเขาลอดใต้ประตูเก็บตั๋วผ่านเข้าไปยังด้านใน แล้วเดินตรงไปตามทางเดิน ระหว่างทางพวกเขาพบกับร้านรวงที่เคยเปิดขายของอยู่ในสภาพถูกทำลาย บ้างก็โต๊ะหน้าร้านล้มระเนระนาดจนสินค้าที่วางขายหล่นกระจัดกรจาย และคราบเลือดเกรอะกรังติดอยู่ตามที่ต่าง ๆ บรรยากาศแทบไม่ต่างจากบ้านผีสิง

            พวกเด็ก ๆ เริ่มเดินชิดแถวกันมากขึ้น และอิงศรรู้สึกได้ว่ารอบตัวนั้นแคบลงจนรู้สึกอึดอัด เพราะมีทั้งสีดาที่เข้ามาเกาะที่ไหล่ซ้ายส่วนไหล่ขวาก็มีมิ่งขวัญไหนยังจะพวกเด็กจากสถานสงเคราะห์ที่เบียดกันเข้ามาอีก


           มันอึดอัดนะเดินห่าง ๆ กันหน่อยสิ

           อิงศรพูดขึ้น 

           ก็มันน่ากลัวนี่

           ทกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินติดกันเป็นก้อนเนื้อไปทั้งแบบนี้

    พวกเขาเดินมาถึงบันไดที่เชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้นบนที่เป็นชานชาลารถไฟ ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปนั้น ก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้น จากนั้นเสียงก็ดังก้องกังวานมาจากทุกทิศทาง

     

           พวกมันมากันแล้ว ทุกคนเตรียมตัว

           อิงศรสั่งไว ๆ แล้วชักคันธนูที่สะพายไว้ขึ้นมาถือ ขณะเดียวกันทุกคนก็เริ่มตั้งวงล้อมตามแผนที่ฝึกกันมา

           ตัวเขา มิ่งขวัญ ฟู และ มิกซ์ สี่คนที่ต่อสู้ได้ยืนจับกลุ่มกันเป็นวงกลมโอบล้อม สีดา พลอย เน็กซ์ และ นิว เอาไว้ตรงกลาง

         ภายหลังจากที่เสียงร้องเงียบลงไป แมงมุมยักษ์สีดำชนิดเดียวกับที่พวกเขาฆ่าไปตอนอยู่ข้างนอกสถานี ก็พากันคลานกันออกมาจากทุกซอกหลืบซอกมุมที่จะซ่อนตัวได้ จนกระทั่งพวกเขาถูกล้อมเอาไว้ทุกทิศทาง การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น

     

           ไพโรเบลด!!

           มิ่งขวัญไถลมือไปบนตัวดาบจากนั้นก็เกิดเปลวไฟวนพันรอบ

           เด็กชายกวัดแกว่งดาบเพลิงฟาดฟันกับแมงมุมที่เข้ามาจู่โจมพวกพ้องด้วยท่าทางองอาจพยายามตีฝ่าเปิดเส้นทางให้พวกพ้องและในทันทีที่เส้นทางเปิดออก ฟูที่ยืนรอจังหวะอยู่ก็พุ่งตัวออกไปถึงกลางวงของศัตรู

     

           เซอร์เคิลสวิง(Circle Swing)!!”

           แล้วเหวี่ยงขวานไปรอบ ๆ แรงปะทะจากขวานอัดพวกมันปลิวกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง จากนั้น มิกซ์ก็มองหาตัวที่พลังชีวิตลดลงจนเหลือน้อยที่สุดแล้วทยอยไล่ฆ่าไปทีละตัว อิงศรก็ทำแบบเดียวกัน

           รูปแบบการต่อสู้ที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในการมาเหยียบที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่อิงศรกับมิ่งขวัญ เคยมาที่นี่ก่อนแล้วครั้งหนึ่งและหนีกลับกันไปแบบทุลักทุเลในตอนนั้น

         เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ว่าอีก อิงศรจึงฝึกทุกคนให้ต่อสู้เป็นทีมกันได้เสียก่อน ใช้เวลาฝึกกันเป็นเดือนกว่าจะเข้าขากันได้ดีเหมือนตอนนี้

     

           "พวกมันมากันไม่หยุดเลย"

           มิกซ์พูดขึ้น หลังจากเริ่มฆ่าแมงมุมยักษ์กันมาได้สิบกว่านาทีแล้วแต่พวกมันก็ยังแห่กันออกมาไม่มีหยุด

           ขืนเป็นแบบนี้ได้ใส่เกียร์หมาโกยแบบคราวก่อนแหงเลย

           มิ่งขวัญพูดเหมือนจะสบถแล้วจึงหันมาถาม

           เฮ้ยศรเอายังไงต่อขืนเป็นแบบนี้ไม่จบแหง

           รอเดี๋ยวนะกำลังหาอยู่

           อิงศรตอบกลับโดยที่ไม่ได้หันไปดู และยังคงใช้สายตากวาดมองทุกอย่างรอบตัว

           อยู่ไหนฟระ อยู่ที่ไหนกันแน่

           แล้วสบถออกมา

           ที่นี่ไม่มี ย้ายขึ้นชั้นต่อไปเลย!!

           อิงศรสั่งแล้ววิ่งนำทุกคนขึ้นบันไดไปก่อน รอจนพวกผู้หญิงกับเน็กซ์ตามขึ้นมาแล้ว มิ่งขวัญฟู และมิกซ์ ถึงตามขึ้นมาด้วยโดยที่เขาคอยยิงคุ้มกันไว้ให้

           พวกเขาย้ายขึ้นมาที่ชั้นสองของสถานีซึ่งเป็นชั้นชานชาลาที่หนึ่ง พวกแมงมุมที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย แต่นั่นก็คงเป็นเพราะชั้นชานชาลาแห่งนี้มีพวกของมันเฝ้าอยู่เช่นกัน

           อิงศรให้ทุกคนตั้งขบวนเหมือนที่ทำกันตอนอยู่ชั้นล่างแล้วกวาดสายตามองชั้นทั้งชั้นตั้งแต่ในรางรถไฟไปจนถึงเพดาน แต่ก็หาสิ่งที่ต้องการไม่พบจึงออกคำสั่งย้ายไปยังชั้นที่สามที่เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งถูกเรียกว่า ชานชาลาที่สอง

     

           ทันทีที่ขึ้นมาถึงชานชาลาที่สอง อิงศรก็พบกับสิ่งที่ตามหา

           "ตรงนั้น!"

           เขากล่าว แล้วชี้ไปที่เสาหินอ่อนที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของชานชาลา เสาหินอ่อนรูปทรงลูกบาศก์เปล่งแสงสีเขียวได้เองและยังมีหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตด้วย 


    Habitat Point

    [/////100:100/////]


           เสาหินอ่อนต้นนี้คือจุดพลังงานที่ทำให้สัตว์เทวะกลับมาเกิดใหม่โดยพื้นฐานแล้วจุดพลังแบบนี้จะมีอยู่แค่บางสถานที่เท่านั้นเมื่อทำลายมันลงสัตว์เทวะในรัศมีจะไม่กลับมาเกิดใหม่อีก

    ทันทีที่เข้าถึงระยะยิงสุดแสนจะใกล้ที่ห่างกันเพียงสามเมตร อิงศรถึงได้เล็งธนูไปยังเสาหิน 

           "มิกซ์เสาต้นนั้นสอยมันเลย"

           แล้วส่วเสียงสั่งการมิกซ์ จากนั้นจึงแผลงศรนำออกไปเพื่อให้มิกซ์ยิงตามเป้าที่ถูกลูกศรปัก ช่วงระหว่างที่ระดมยิงเสาอยู่นี้มิ่งขวัญกับฟู จะช่วยคุ้มกันไม่ให้พวกแมงมุมยักษ์เข้ามาขัดขวาง

           การระดมยิงต้องใช้เวลาเนื่องจากเสาหินมีพลังป้องกันที่สูง การโจมตีในแต่ละครังนั้นลดแถบพลังได้ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็ยื้อเวลาจนทำสำเร็จ ทันทีที่แถบพลังชีวิตของเสาหินลดลงหมด ตัวเสาหินก็เกิดการระเบิดและสลายไปในที่สุด


           "ทำลายฮาบิแททพอยท์แล้วพวกมันจะไม่เกิดใหม่แล้ว จัดการให้หมดเลย"

           อิงศรส่งเสียงตะโกนให้ทุกคนได้ยิน  จากนั้นก็เริ่มจับกลุ่มกันเป็นวงล้อมอีกครั้ง หนนี้เมื่อฆ่าแมงมุมยักษ์แล้วพวกมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาใหม่อีก ไม่นานนักจำนวนของพวกมันก็ทยอยลดลงจนหมดไป

           ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณข้อมูลจากสีดาถึงเธอจะความจำเสื่อมแต่กลับรู้วิธีหยุดการเกิดใหม่ของสัตว์เทวะรวมไปถึงรู้วิธีที่จะค้นหาจุดพลังงานอีกด้วย

         อย่างไรก็ตามการทำลายจุดพลังงานไม่ได้ทำให้สัตว์เทวะหายไปตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์จุดพลังงานจะกลับคืนมาสัตว์เทวะในบริเวณนั้นก็จะเกิดใหม่อีกครั้ง


           ภายหลังจากที่สถานการณ์กลับเป็นปกติทุกคนพากันหอบหายใจจนตัวโยน ต่างหันหลังชนกันแล้วทรุดลงไปนั่งพื้นกันทั้งอย่างนั้น ยกเว้นอิงศรที่ยังเดินสำรวจชานชาลาอยู่ตามลำพัง

         ชั้นชานชาลาที่สองนี้เป็นชั้นบนสุดของสถานี พื้นที่สองฝั่งประกบด้วยรางรถไฟฟ้านอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ขบวนรถไฟที่เป็นเป้าหมายของการสำรวจก็จอดสนิทอยู่บนรางฝั่งขวาของบันไดที่พวกเขาขึ้นมามาจากชั้นชานชาลาที่หนึ่ง

           ประตูรถไฟเปิดทิ้งไว้ทุกขบวนโดยสาร รวมไปถึงห้องคนขับ ไฟภายในรถดับสนิทอิงศรจึงเลือกไปดูที่ห้องคนขับ ภายในหัวขบวนรถไฟเป็นห้องคับแคบที่มีพื้นที่แค่พอนั่งได้คนเดียวกับแผงควบคุมรถที่เต็มไปด้วยสวิตช์มากมายและคันบังคับรถถูกติดตั้งเครื่องอะไรซักอย่างที่เหมือนกับสายหนังมัดเข้ากับแท๊บเล็ท

           อิงศรลองขยับคันบังคับดูแต่มันแข็งจนโยกไม่ได้เพราะถูกเครื่องที่ว่าล็อกเอาไว้ จึงเปลี่ยนความคิดมาลองเล่นกับจอเครื่องที่เหมือนกับแท็บเล็ทแทน เด็กชายแตะนิ้วลงบนจอแล้วมันก็สว่างขึ้น จากนั้นก็มีมีหน้าปัดนาฬิกาจับเวลาที่แสดงเวลาเป็นศูนย์กับปุ่มสีแดงปรากฏขึ้นบนจอ และยังมีข้อความอธิบายเขียนเอาไว้ด้วยว่า

     

         'กดปุ่มสีแดงรอห้านาทีรถไฟจะออกวิ่งไปยังสถานีปลายทาง'

     

           "เจ้านี่เป็นเครื่องคนขับอัตโนมัติงั้นสิ"

           อิงศรพึมพำ ทฤษฎีสองสามอย่างถูกยกขึ้นมาแล้วตัดความเป็นไปได้ออกจนเหลือแต่สิ่งที่น่าจะเป็นจริงเท่านั้นก็ได้ข้อสรุปออกมาว่ามีใครบางคนจงใจส่งรถไฟขบวนนี้มารับใครหรืออะไรซักอย่าง เด็กชายชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจกดปุ่มสีแดง

           หน้าจอเปลี่ยนไปอีกครั้ง หน้าปัดนาฬิกาเริ่มนับถอยหลัง ข้อความบนจอเปลี่ยนเป็น

     

           'หลังจากนับถอยหลังเสร็จสิ้นรถไฟจะออกเดินทางหากต้องการยกเลิกกดปุ่มสีแดงอีกครั้ง'

     

           ตอนนั้นเองไฟในรถก็สว่างขึ้น เสียงเครื่องยนต์ดังกังวานไปทั้งสถานี ระบบต้อนรับอัตโนมัติเริ่มทำงานมีเสียงตามสายดังแว่วมา

           "รถไฟขบวนนี้จะวิ่งไปถึงสถานีปลายทางหมอชิต ขอให้ผู้โดยสารระมัดระวังเท้าก่อนก้าวเข้าสู่รถไฟด้วยค่ะ"

           ด้วยความตกใจอิงศรกดปุ่มสีแดงอีกครั้ง หน้าจอเปลี่ยนกลับไปเหมือนตอนแรก พร้อมกันนั้นรถไฟก็หยุดการทำงานไปด้วย

     

           "ศร ! "

           "พี่ศร ! "

           "อิงศร ! "

           ทุกคนที่นั่งพักกันอยู่วิ่งมาออกันอยู่หน้าประตูห้องคนขับ หน้าตาแตกตื่น... ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะอยู่ ๆ รถไฟก็ทำงานขึ้นมาเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น

           "เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

           สีดาถามขึ้นเป็นคนแรก

           "แค่ลองตรวจสอบนิดหน่อยน่ะดูเหมือนมันยังใช้ได้นะ"

           "พี่ศรขับรถไฟเป็นด้วยเหรอ ! "

           น้ำเสียงของฟูดูสดใสขึ้นมาทันใด เด็กชายจ้องเขาตาเป็นประกาย

           "ขี้โกงอ่ะ ศรเคยไปขับตอนไหนทำไมขวัญไม่เห็นรู้เลย"

           มิ่งขวัญแทรกเข้ามา แล้วทุกคนก็ยิงคำถามใส่กันมาสารพัดจนตอบไม่หวาดไม่ไหว

           กว่าจะอธิบายทั้งหมดให้เข้าใจได้ก็กินเวลาไปหลายสิบนาที

     

           หลังการตรวจสอบรถไฟเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ก็ตกลงกันว่าจะปล่อยมันเอาไว้อย่างนี้ไปก่อนแล้วอิงศรก็แยกตัวออกมาสำรวจภายในสถานีคนเดียวอีกครั้ง โดยปล่อยพวกเด็ก ๆ ให้สีดาคอยดูแล


           "มิกซ์วิ่งแข่งจากตรงนี้ไปโน่นกันเถอะ"

           "ยังไงก็ไม่ชนะฟูอยู่แล้วนี่"

           "เฮ้ย ขวัญไม่เอาด้วยเหรอ"

           "อ๋อเล่นกันไปก่อนเลยเด๋วชั้นมา"


           เสียงของพวกเด็ก ๆ ดังก้องไปทั่วทั้งชานชาลา แต่อิงศรก็ไม่ได้สนใจมันเขายังคงสมาธิไว้กับการตรวจสอบเสาค้ำสถานี แล้วตอนนั้นเองเสียงของมิ่งขวัญก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

           "ทำไรอยู่น่ะ"

           "ดูเอาก็รู้นี่ตรวจสอบเสาอยู่ไง"

           อิงศรตอบกลับแบบไม่เต็มใจน้ำเสียงแสดงความรำคาญอย่างตรงไปตรงมา

           "แล้วจะดูไปทำไมน่ะไอ้เจ้าเสาต้นนี้มีอะไรน่าสนุกหรือไง"

           "นี่ไม่ได้มาเล่นนะจะได้สนุกน่ะ"

           "งั้นทำอะไรอยู่กันแน่ล่ะ"

           มิ่งขวัญตีหน้ามุ่ยพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอว

           "ก็แค่เผื่อเอาไว้ จะดูว่าถ้าติดตั้งระเบิดเอาไว้ตรงนี้แล้วสถานีมันจะถล่มลงไปหมดเลยรึเปล่า"

           "ทำไมต้องทำอะไรน่ากลัวขนาดนั้นด้วย?"

           มิ่งขวัญถามพลางมองเขาด้วยสายตาขยาด

           "ก็เผื่อถ้าใครนั่งรถไฟมาที่นี่แล้วมันประสงค์ร้ายกับพวกเราล่ะก็จะได้จัดการพวกมันก่อนไง"

           แบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเป็นฆาตกรน่ะสิ

           "..." พอโดนมิ่งขวัญพูดใส่แบบนั้นตัวเขากลับรู้สึกหวั่นไหวจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

           พูดแบบนั้นก็เกินไปไม่ได้กะจะเอาไว้ฆ่าคนจริงจังซะหน่อย นี่ก็แค่เอาไว้แค่ขัดขวาง ถ้าพลังชีวิตเหลือเต็มล่ะก็โดนสถานีถล่มใส่คงไม่ตายหรอก

           อิงศรตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนแปลงเพราะอายุกับวุฒิภาวะที่เริ่มเปลี่ยนไป หรือ จะเป็นเพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกที่ล่มสลายกลืนกินไปแล้วกันแน่...

         พอรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องอ่อนหัดอยู่เขาก็สะบัดหัวเร็ว ๆ เพื่อไล่ความคิดพรรค์นั้นออกไป

     

         การสำรวจสถานีรถไฟผ่านมาแล้วสี่วัน อีกแค่สามวันก็จะที่ต้องกลับไปที่สถานีเพื่อรอทำลายจุดพลังงานที่จะเกิดขึ้นใหม่

           ส่วนวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนทุกวัน...มิ่งขวัญกับฟูแข่งว่าใครจะเก่งกว่ากัน


           "วันนี้ไก่ยักษ์ร้อยตัวคนที่กลับมาที่นี่ก่อนเป็นผู้ชนะ"

           มิกซ์ประกาศกติกาท่ามกลางเสียงจอแจ

           พวกเขาออกห่างจากห้างสรรพสินค้าที่เป็นบ้านมาไกลพอสมควร ยืนออกันอยู่บนถนนหน้าลานวัดจีนแห่งหนึ่ง


           "วันนี้ชั้นชนะแน่"

           มิ่งขวัญพูดข่ม

           "นั่นมันคำพูดของชั้นต่างหาก"

           ฟูสวนกลับไปพูดข่มส่วกันไปมาอยู่อย่างนั้นแล้วก็แยกย้ายกันออกไปล่าสัตว์เทวะตามลำพัง

         ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะห้ามอย่างเด็ดขาด แต่บริเวณโดยรอบที่สำรวจกันมาทั้งหมดก็มีแต่สัตว์เทวะที่ระดับต่ำกว่าถ้าไม่ทำเรื่องเสี่ยงตายออกนอกเขตหรือไปยุ่งกับตัวที่ไม่ควรยุ่ง ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้งเนื้อหาการแข่งคือการล่าไก่ยักษ์ที่มีเลเวลแค่สาม สำหรับพวกเขาในตอนนี้ไม่ว่าใครก็ล่ามันได้ต่อให้เป็นเน็กซ์กับนิวที่เด็กที่สุดในกลุ่มก็ตาม


           นอกจากมิ่งขวัญกับฟูแล้ว มิกซ์ และ พลอยเองก็เหมือนจะแยกกันไปล่าด้วย

           "มาทำให้สองคนนั่นตะลึงกันดีกว่า"

           "เห็นด้วย แต่ผมกลับมาก่อนพลอยแหง ๆ "

           พูดกันแบบนั้นแล้วก็หัวเราะคิกคักก่อนจะแยกย้ายกันไป โดยมิกซ์แยกไปเพียงลำพัง ส่วนพลอยพาเน็กซ์กับนิวไปด้วยกันแล้วยังออกปากชวน สีดาด้วยอีกคน

           "พี่สีดาไปด้วยกันไหม๊"

           "..."

           เด็กสาวมองมาที่อิงศร ส่งสายตาเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่าง

           "เดี๋ยวชั้นมีเรื่องจะคุยกับพี่สีดาพวกพลอยไปกันเองเถอะ"

           "งั้นเองเหรอ"

           พลอยพูดด้วยใบหน้าเสียดายแต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียว

           "ถ้างั้นพวกหนูไม่อยู่เป็น กอ ขอ คอ แล้วล่ะเชิญจู๋จี๋กันตามสบายเลยค่า"

           เธอพูดน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะพากันชิ่งไปพร้อมเน็กซ์และนิว โดยมีอิงศรตะหวาดไล่หลัง

           "ยัยพลอย! เดี๋ยวเหอะอย่ามาล้อเล่นกับพี่แบบนี้นะ"

           อิงศรถอนหายใจ เมื่อพวกพลอยไปกันไกลจนลับจากสายตาในเวลาแค่ไม่กี่วินาที

           หลังจากนั้นสีดาก็จะส่งเสียงหัวเราะคิกคักแล้วพอเขาหันกลับไปเธอคงจะกำลังอมยิ้มกลั้นขำอยู่เป็นแน่


           "..."

           ไม่มีปฏิกิริยาจากทาวด้านหลังที่สีดายืนอยู่ เขาหันกลับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า

           สีดาหายไปแล้ว 

           "เฮ้ ไปไหนแล้วน่ะพี่สีดา ถ้าเล่นซ่อนแอบกันล่ะก็แบบนี้ไม่ขำนา"

           อิงศรตะโกน แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ ตอนนั้นเองก็รู้สีกได้ถึงจิตสังหาร...


           "ใครนะ!?"

           อิงศรชักธนูออกมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจิตสังหารมันเป็นยังไง เพราะเคยเห็นแต่ในการ์ตูนไม่ก็หนัง พวกตัวละครนักรบหรือนักฆ่าที่มีฝีมือเก่งกาจมักจะสัมผัสถึงความมุ่งร้ายที่มองไม่เห็นได้ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็คล้ายคลึงกัน เป็นความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลังเหมือนกับถูกใครเอาน้ำแข็งมาถูอย่างไรอย่างนั้น

           อิงศรหันไปยังทิศที่ความมุ่งร้ายเข้ามาปะทะ สิ่งนั้นแผ่ออกมาจากกลุ่มคนชายหญิงที่มีกันอยู่สิบกว่าคนกำลังเดินจากลานวัดจีนมาทางนี้

     

           ทุกคนมีผิวกายที่ขาวกว่าคนปกติเรียกได้ว่าขาวจนซีดราวกับศพ และมีเส้นผมสีเงินแบบธรรมชาติอย่างที่ไม่น่าจะมีได้

         ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างสวมชุดเหมือน ๆ กันเป็นเครื่องแบบสีดำสนิทประกอบด้วยแจ๊กเก็ตสีดำติดขนมินท์สีขาว กางเกงและรองเท้าทำจากผ้าใบสีดำ

           ชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตนั้นเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า และเกือบทุกคนมีระดับเลเวลมากกว่าสี่สิบไปจนถึงหกสิบ

     

         "พบเป้าหมายแล้ว"

         "ห้ามทำร้ายเป้าหมาย"

         "ได้รับอนุญาตให้แสดงพลังเพื่อข่มขู่ได้"

          กลุ่มคนเริ่มพูดกันเอง แต่ไม่มีใครมองหน้าสบตากันระหว่างที่คุย

         ทุกสายตานั้นจับจ้องมาที่อิงศร

         "พวกที่มาตอนวันสิ้นโลก.."

         อิงศรนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยเจอกลุ่มคนที่แต่งตัวแบบนี้มาแล้วในวันที่อุกกาบาตตกลงมาทำให้โลกล่มสลาย

         ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งชักดาบแล้วเดินออกมาข้างหน้า

     

           "ด...เดี๋ยว! ผมไม่ใช่สัตว์เทวะ… "

         เป็นมนุษย์เหมือนกันเป็นพวกเดียวกัน.... อิงศรตั้งใจจะอธิบายออกไปอย่างนั้น แต่ดาบในมือของหล่อนก็หาได้ฟังคำเขาไม่

         เร้ดโซล (Red Soul)”

         หล่อนพูดเบา ๆ เหมือนกระซิบ แล้ว จู่ ๆ รังสีฆ่าฟันก็แผ่ออกมาอย่างรุนแรง เส้นผมสีเงินลอยขึ้นเหมือนถูกลมพัดขึ้นมาจากด้านล่าง ใบดาบเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือด หญิงสาวเงื้อดาบขึ้นแล้วตวัดลงอย่างรวดเร็ว

         อิงศรสัมผัสได้ถึงสายลมอันรุนแรงที่พุ่งเข้ามาหา สายลมวิ่งตัดหน้าเขาไป

         พริบตานั้นอาคารสูงสี่ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังก็ถล่มครืนลงมากองเป็นซากเกลื่อนพื้นถนนราวกับโดนระเบิดถัดมาจากนั้นคือภาพที่หญิงสาวเก็บดาบเข้าฝักไป นั่นคือชั่วขณะหนึ่งนั้นที่รู้สึกเหมือนกับเวลาได้หยุดลง


         อะ…”
         อิงศรส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจกลัวทั้งที่เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว แต่สมองพึ่งจะสั่งการให้แสดงความรู้สึก ไม่ใช่เพราะสมอง    ของเขาช้าลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการโจมตีของอีกฝ่ายรวดเร็วเกินกว่าจะตอบสนองทัน กลุ่มคนชุดดำมีฝีมือถึงขนาดนั้น

           แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะสู้หรือจะหนี อิงศรหันหลังให้โดยไม่เสียดายศักดิ์ศรีขาทั้งสองข้างขยับก้าวอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งโกยสุดชีวิตเข้าไปในตรอกซอยของอาคารบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง

           ต้องรีบบอกให้ทุกคนหนี

           อิงศรคิดพลางเรียกหน้าจอสำหรับติดต่อสื่อสารขึ้นมา แล้วไล่รายชื่อโทรบอกทุกคนในกลุ่มด้วยคำพูดแบบเดียวกัน

           มีพวกแปลก ๆ มาโจมตีพวกมันใส่ชุดสีดำชื่อบนหัวเป็นสีฟ้า ถ้าเจอห้ามไปต่อสู้ด้วยเด็ดขาด ให้รีบหนีไปที่สถานีเข้าใจนะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×