คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Login 33: พัฒนาการของชายผู้ว่างเปล่า
Login
33: พัฒนาการของชายผู้ว่างเปล่า
ห้องควบคุมหลักศูนย์บัญชาการค่ายฝึกชั่วคราว
สิงห์มองการต่อสู้ของพวกนรินทร์ผ่านทางภาพของกล้องวงจรปิดที่ฉายลงจอโปรเจคเตอร์
การต่อสู้เริ่มมาได้ซักพักก็มีคนตายไปมากมาย
ไม่ใช่แค่ประตูที่พวกนรินทร์รับมือ แต่ประตูอื่นๆ ก็เริ่มมีคนตายเหมือนกัน
สิงห์เดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
“ชิ
ไม่ไหวงั้นเรอะ”
แต่คำพูดของเขาก็ถูกเสียงของเจ้าหน้าที่ภายในห้องกลบไปหมด
เสียงรายงานสถานการณ์ของประตูแต่ละทิศดังสลับกันไปมาอย่างสับสนอลหม่าน
ที่สนามรบ
หลังจากนรินทร์ทุ่มสุดตัวขัดขวางมังกรไม่ให้โจมตีได้แล้ว
พวกพ้องที่วิ่งตามหลังมาก็แซงขึ้นไปข้างหน้าแล้วเริ่มเปิดฉากโจมตี ทั้งลำแสง
ทั้งอาวุธบิน พุ่งขึ้นไปจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง
เกิดระเบิดขึ้นบนร่างของมังกรไอควันสีขาวพวยพุ่งตลบอบอวลบดบังทัศนวิสัยจนย่ำแย่
มีแต่หน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตของมังกรที่แสดงให้เห็นว่าการโจมตีเมื่อครู่ได้ผล
พลังชีวิตเริ่มลดลงไป
Heraldic
Beast Deity: Cerulean-Eyes Lv. 50
[/////52435:56000///..]
เสียงคำรามดังออกมาจากหมู่ควัน
แล้วสายลมก็พัดโหมอย่างรุนแรง แรงถึงขนาดเป่าควันทั้งหมดให้หายไปในพริบตา
แรงขนาดที่ว่ามีทหารบางคนตัวปลิวกระเด็นไปข้างหลัง
นรินทร์ใช้เท้าจิกพื้นพยายามต้านทานแรงลมไว้ให้ได้
ผ้าคลุมสีดำของชุดเครื่องแบบโบกพลิ้วราวกับธงที่ปักอยู่บนยอดของอาคาร
เด็กหนุ่มใช้มือข้างขวาป้องกันสายตาเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้น
“เสร็จกัน!”
แล้วสบถออกมาด้วยใบหน้าตกตะลึง
ตกตะลึงเพราะว่ามังกรกำลังร่ายรำ
ร่างไม้อันใหญ่โตแหวกว่ายผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนที่นั้นทำให้เกิดลมกรรโชกรุนแรงขึ้นมา
แต่ที่เขาเป็นกังวลนั้นไม่ใช่ลมที่หากแต่เป็นการร่ายรำของมังกรต่างหาก
แว่นตาที่ได้รับจากแอพพลิเคชั่นปีศาจบอกให้รู้ถึงสกิลที่มังกรกำลังใช้งาน
“ทุกคนระวังนะท่าโจมตีกวาดล้างกำลังจะมามันใช้ฟอเรสต์แดนซ์อยู่!”
แต่ก็สายเกินไป
การร่ายรำเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่เขาตะโกนแล้ว
ทุกคนรับรู้แต่ก็ไม่มีใครขยับตัวหนีได้ทัน
มังกรหยุดร่ายรำแล้วคำราม
“ฟอเรสต์แดนซ์”
เสียงคำรามกลายเป็นคำพูดที่ทำให้สกิลทำงาน
แผ่นดินสั่นสะเทือน
สั่นไหวอย่างรุนแรง
รากไม้จำนวนมากผุดงอกขึ้นมาจากพื้น
รากเข้ามาพันที่แขนและขารวมถึงมัดลำตัวเอาไว้จนไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก
ทุกคนเสียท่าให้กับการโจมตีนี้จนหมด
ทั้งที่มันเป็นสกิลสำหรับโจมตีแต่กลับควบคุมให้กลายเป็นสกิลตรึงเป้าหมายได้เจ้ามังกรมีพลังถึงขนาดนั้นเชียว
พลังที่จะควบคุมสกิลได้ตามใจนึกจนราวกับว่านี่ไม่ใช่เกม...
ถึงที่จริงแล้วโลกใบนี้จะไม่ใช่เกมตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็เถอะ
จบสิ้นกันแล้ว...
วินาทีที่ความคิดนั้นแล่นขึ้นมา
นรินทร์ก็แสดงใบหน้าสิ้นหวัง
ความกล้าที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ราวกับจะหายไปทั้งหมด
มังกรหัวเราะ
“ฮะฮะ”
หัวเราะด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามและรอยยิ้มดูแคลนหากว่ามังกรแสดงสีหน้าได้เหมือนกับมนุษย์มันก็คงกำลังทำหน้าเยาะเย้ยพวกเขา
“มนุษย์มักจะมีส่วนที่ใช้ไม่ได้เยอะเกินไปทั้งโง่เขลา
อวดดี และอ่อนหัด
รู้บ้างไหมว่าพวกเราเทพเจ้าพากันเอือมระอาในความใช้ไม่ได้ของพวกเจ้ามากี่ครั้งกันแล้ว”
มังกรพูดแล้วบินขึ้นไปข้างบน
มันตีลังกากลางอากาศม้วนตัวหันหัวกลับลงมาแล้วหยุดอยู่ในท่านั้น
“จบกันแค่นี้แหละมนุษย์เอ๋ยเราจะส่งพวกเจ้ากลับสู่ความว่างเปล่าเอง
วอยด์บลาส(Void
Blast)”
ปากของมังกรอ้ากว้าง
มันง้างออกมาจนปากบนกับปากล่างแทบจะตั้งตรงกันเป็นเส้นตรง
อากาศกำลังถูกดูดเข้าไปรวมกันในปากของมัน
อนุภาคแสงสีดำรวมตัวกันที่ใจกลางปากนั่น บีบอัดกลายเป็นลูกบอลแล้วขยายขึ้นเรื่อยๆ
มีเสียงดังมาจากนายทหารหญิงคนหนึ่ง
“นั่นมันท่าวอยด์บลาสของบิลด์วอยด์นี่นา”
คำพูดแค่นั้นก็เพียงพอแล้วเพราะนรินทร์เองก็รู้จัก
‘วอยด์บลาส’ มันเป็นสกิลโจมตีแบบกวาดล้างของบิลด์คลาสอาชีพวอยด์
ถึงระยะหวังผลจะค่อนข้างใกล้แล้วยังต้องใช้เวลารวบรวมพลังค่อนข้างนาน
แต่เรื่องพลังทำลายนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมันคือจุดเด่นของสกิลนี้ซึ่งเป็นการโจมตีที่ใช้งานง่ายและรุนแรงที่สุด
มันเป็นการโจมตีปิดฉากอย่างแท้จริง
แล้วตอนนี้สกิลที่ว่านั่นก็กำลังชาร์จอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
หากโดนซัดในระยะนี้แล้วไม่แคล้วได้แหลกเป็นฝุ่นผงกันหมดอย่างแน่นอนยิ่งฝ่ายนั้นเป็นพลังระดับจ่าฝูงสัตว์เทวะคงไม่มีใครรอดชีวิตจากการโจมตีนี้แน่
หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงมีคนตายซึ่งหนึ่งในนั้นคือเขาเองที่ยืนอยู่ตรงศูนย์กลางเป้ายิง
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เสียงโวยวายว่าไม่อยากจะตายดังขึ้น
“...”
นรินทร์ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาก้มหน้าลงดวงตาของมีน้ำตาคลออยู่
พอรู้ตัวว่ากำลังจะตายร่างกายก็เหมือนจะควบคุมไม่ได้จนเผลอแสดงความอ่อนแอ
บอลแสงสีดำเป่งตัวจนมีขนาดเท่ารถยนต์คันหนึ่ง
แล้วเมื่อมันเริ่มหดตัวลงนั่นคือสัญญาณก่อนการยิง
วินาทีที่คิดว่าไม่รอดแล้ว
ตอนนั้นเอง
“จงสถิตในคันศรของข้า
บัพแอโร่ว!!”
วินาทีที่ลำแสงสีดำอันน่าสะพรึงกลัวกำลังจะคืบคลานออกจากปากของมังกรนั่นเอง
ลำแสงกลับเปลี่ยนทิศทางไป
“อ่อก!”
มังกรสำลักออกมาขณะเดียวกันหัวของมันเบี่ยงไปทางซ้าย
ทำให้ลำแสงเปลี่ยนทิศทางและยิงพลาด ลำแสงลอยข้ามกำแพงรั้ว
ปะทะเข้ากับสนามพลังชีพจรมังกรแล้วระเบิดออก
เป็นการะเบิดอันรุนแรงชนิดที่เสียงของมันทำเอาหูอื้อไปชั่วขณะ
แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยคงเป็นเพราะสนามพลังรับแรงกระแทกเกือบทั้งหมดเอาไว้
นรินทร์เงยหน้าขึ้นทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มอยู่
แล้วเหม่อมองไปยังร่างที่ลุกเป็นไฟของมหิงสาขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้ามาชนร่างของมังกรจากทางซ้าย
“น...นี่มัน...”
มังกรพูดน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
ร่างของมันเกร็งไปหมดเพราะกำลังสู้กับแรงปะทะของมหิงสาเพลิง
ทั้งคู่ไม่ขยับออกจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเองก็มีเสียงพูดเอะอะดังมาจากทิศที่มหิงสาเพลิงพุ่งมา
“สงสัยจะไม่ไหวล่ะมั้งคะเนี่ย”
“หนวกหูน่ามีนาถ้าเห็นแล้วก็รีบจัดการเข้าสิ”
“ค่าๆ
ใช้ยันเลยนะคะคุณอิงศรเนี่ย”
นรินทร์หันไปมอง
พวกพ้องคนอื่นๆ ก็ด้วยทุกคนหันไปมองเป็นทางเดียวกันหมด
ที่นั่นทหารหนุ่มสาวสี่คนกับอีก...หนึ่งตัวกำลังวิ่งตรงมาทางนี้
พวกอิงศรนั่นเอง...แล้วก็มีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งไล่หลังมาติดๆ
ทุกคนตัวโทรมไปด้วยเหงื่อ แต่ว่า...หมา...
ยังมีสัตว์ธรรมดาหลงเหลืออยู่บนโลกนี้...
ความคิดตีกันมากเกินไปจนสับสนไปหมด...
เลยคิดว่าช่างมันไปเถอะ
สรุปก็คือ...
มีนาเป็นคนที่วิ่งนำหน้ากลุ่มออกมาในมือถือเคียวสีดำเมี่ยม
พอวิ่งมาถึงระยะหนึ่งหล่อนก็หยุดแล้วเงื้อเคียวฟันลงไปบนพื้นถนน
“เนโครดราก้อน
ไทรซอมบี้ทอปส์ (Necro DragonTrizombietops)”
ทันใดนั้นแผ่นดินก็ปริแยกออกจากกัน
ประกายสีดำพวยพุ่งขึ้นมา
ร่างซึ่งเกิดจากการเรียงตัวของกระดูกหลายชิ้นปีนขึ้นมาจากรอยแยกนั่น
กะโหลกศีรษะยื่นยาวไปข้างหลังเหมือนแผงคอ
มีปากคล้ายกับนกแก้ว มีเขาสามเขาด้วยกันเขาแรกอยู่ตรงจมูกคล้ายกับนอแรด
อีกสองเขาอยู่บริเวณจุดที่เคยเป็นดวงตามาก่อน คลานสี่ขาเหมือนกับช้าง
ชื่อของมันมาจาก
ไทรเซราทอปส์ สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอๆ
กับทีเร็กซ์หรือไทแรนโนซอรัสมันเป็นเนโครดราก้อนตัวใหม่ที่มีนาสามารถเรียกออกมาได้เมื่อเธอมีเลเวลหกสิบ
มีนาถอนจอบออกจากพื้น
รอยแยกที่สร้างขึ้นมากลับมาเชื่อมสนิทกันในทันที
เด็กสาวตวัดเคียวออกไปเป็นสัญญาณให้มังกรกระดูกที่เรียกออกมาโจมตี
“ลุยเลยค่าไทรจัง”
พร้อมกับตั้งชื่อเล่นให้มันไปในตัว
มังกรกระดูกสามเขา
โจนตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วผิดกับรูปลักษณ์แล้วกระโดดพุ่งเข้าใส่ร่างของเซลูลีนอายส์
เกิดเสียงดัง ‘โครม’ ร่างของสัตว์เทวะลอยละลิ่วไปกระแทกสะพานจนถล่มแล้วตกลงมา
ระหว่างนั้นเองกวินทร์ก็วิ่งแซงทุกคนไป
แล้วชักดาบเล่มใหม่ออกมา
ดาบซึ่งมีใบดาบสีดำที่ได้รับจากดันเจี้ยนกระจกเงา
เด็กหนุ่มไถลมือไปกับใบดาบแล้วประกาศสกิล
“ไพโรเบลด!”
เปลวไฟหมุนวนพันรอบดาบ
เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นพร้อมกัน แล้วไปตัดรากไม้ที่พันธนาการกองทัพของนรินทร์
ปลดปล่อยทุกคนเป็นอิสระในเวลาอึดใจเดียว
อิงศร มีนา
เมษา ทั้งสามคนตามมาถึงหลังจากนั้น
อิงศรตรงเข้าไปคุยกับนรินทร์ก่อนใครเพราะเขาได้รับแจ้งจากสิงห์มาแล้วว่าเป็นผู้บัญชาการกองร้อยนี้รวมถึงแผนการรบครั้งนี้
“โทษทีนะมาช้าไปหน่อย”
“…”
นรินทร์ยังคงไม่พูด
ที่จริงคือเขายังตกใจอยู่นิดหน่อยที่พวกอิงศรโผล่ออกมากะทันหัน
“พอดีมีไอ้เบื๊อกคนหนึ่งลืมเช็คน้ำมันรถขากลับน่ะเลยต้องวิ่งมาตอนอยู่กลางทาง”
ขณะที่พูดอิงศรก็ชำเลืองมองไปทางกวินทร์อยู่เป็นพักๆ
รุ่นน้องที่เหมือนจะรู้ตัวเลยยิ้มเจื่อนแสร้งทำเป็นเกาหัวและเบี่ยงหน้าไปทางอื่น
“เลยวิ่งมากันจนเหงื่อท่วมน่ะเหรอ”
นรินทร์พูดพลางดึงแว่นตาปีศาจขึ้นไปคาดไว้บนหัวแล้วทำหน้าเข้าใจสาเหตุที่พวกเขาแฉะไปด้วยเหงื่อ
จากนั้นเมษาก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“เอาน่าถือซะว่าเป็นการอุ่นเครื่องก่อนออกศึกไง”
แล้วชกมือซ้ายตัวเองจนเกิดเสียงดังปึก
“อุ่นเครื่องเหงื่อโชกแบบนี้น่ะไม่เอาอีกแล้วนะ”
อิงศรทำท่ารำคาญพลางดึงตรงส่วนปกคอเสื้อของเครื่องแบบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จากนั้นมีนา…
“พักเรื่องพูดคุยหยาบๆ
อย่างเหงื่อเอย ไคลเอย ของพวกผู้ชายเอาไว้ทีหลังก่อนเถอะเพราะว่าศัตรูจะมาแล้วนะคะ”
ก็พูดออกมาแบบนั้นแล้วชี้ไปยังทิศที่สัตว์เทวะถูกชนกระเด็น
เซลูลีนอายส์ทะยานตัวขึ้นจากกองซากสะพานบินฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็ว
มันกำลังโมโห...
พวกเขามองดูการบินของมันแล้วก็รู้สึกได้เอง
“หนอยแน่ะเจ้าพวกมนุษย์อัปลักษณ์เอ๋ย
บังอาจมาทำให้เทพต้องล้มลงบาปของพวกเจ้าต่อให้ลงนรกไปกี่ร้อยกี่พันชาติก็ชดใช้ไม่หมด!”
มีนายังชี้นิ้วไปที่สัตว์เทวะแล้วหันมาพูดกับอิงศร
“เขาว่างั้นแน่ะ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วตอบกับทุกคนว่า
“เอาเป็นว่าจัดการมันก่อนก็แล้วกัน”
“รับทราบค่ะถ้าอย่างนั้นทุกคนช่วยเตรียมอิงศรฟอเมชั่นด้วยค่ะ”
มีนาพูดแล้วอมยิ้มขณะที่มองใบหน้าเอือมระอาของอิงศร
“นี่เธออย่าเที่ยวเอาชื่อคนอื่นไปตั้งชื่อฟอเมชั่นได้ป่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นนรินทร์ก็ถามขึ้นมา
“อิ..อิงศรฟอเมชั่น? มันคืออะไรน่ะครับ”
มีนายื่นหน้าเข้ามาทันทีแล้วถามว่า
“อยากเห็นใช่ไหมล่ะคะถ้างั้นขอความกรุณาคุณนรินทร์ช่วยสั่งให้ทุกคนทำตาม..”
แต่อิงศรกลับพูดขัดคำพูดของเธอ
“เรื่องนั้นไม่ต้องแล้ว”
“เอ๋?”
“สิงห์บอกหมดแล้วเรื่องให้ชั้นเป็นคนสั่งการแทนทันทีที่มาถึงแล้วนายโอเคนะ”
อิงศรหันไปถามนรินทร์ซึ่งพยักหน้าตอบทันทีโดยไม่มีความลังเลเลย
“ฝากด้วยนะอิงศรเพราะว่าผมน่ะ...”
คำพูดของเขาหยุดชะงักเพราะอิงศรเอื้อมมือมาแตะไหล่จากนั้นก็พูด
“วางใจเถอะจากนี้ไปชั้นจะไม่ยอมใครตายอีก
แน่นอนว่ารวมชั้นเข้าไปด้วยนะ”
ราวกับเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร
ปกติแล้ว คนๆ
นี้สนใจรอบข้างถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอิงศรเปลี่ยนไปจากที่เจอกันคราวก่อน
ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
อบอุ่นขึ้น
แทบไม่มีเค้าของเด็กหนุ่มที่เย็นชาและมีแววตาอันว่างเปล่าคนเดิมหลงเหลืออยู่เลย
ไม่รู้ว่าทำไมแต่พอเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
รู้สึกว่าความตึงเครียดในตัวมันผ่อนคลายออก
จะเป็นเพราะว่าเขาได้ส่งต่อหน้าที่อันหนักอึ้งซึ่งไม่เหมาะสมกับตัวเองไปแล้วหรือว่าได้รับกำลังใจจากอิงศรที่เปลี่ยนไปกันแน่
ตอนนั้นเองก็มีเสียงจากทหารที่เคยเป็นนักเรียนในห้องคิงพูดกันมาว่า
“นั่นมันอิงศรนี่!”
“วีระบุรุษห้องคิงคนนั้นน่ะเหรอ”
“ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเพิ่งจะโผล่มาก็เถอะแต่ช่วยเราจัดการเจ้ามังกรนั่นที”
“ทำได้ใช่ไหมถ้าเป็นนายน่ะ!”
แวบหนึ่งที่ใบหน้าของนรินทร์ปรากฏสีแห่งความเกลียดชังขึ้นมา
เหล่าผู้คนอ่อนแอที่เอาความละโมบที่มีชื่อว่า
‘ความคาดหวัง’ ประเคนโยนให้กับอะไรก็ตามที่กำลังเปล่งแสงแห่งความหวัง
มันช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
ทว่า...
“เออ!
มาขับไล่สัตว์เทวะด้วยกันเถอะ”
อิงศรที่ได้ยินความละโมบเหล่านั้นกลับตอบรับมันอย่างไม่ลังเล
...แล้วพวกเขาก็หันหน้าเข้าท้าทายกับเทพเจ้า
...ท้าทายกับโลกใบนี้ที่กำลังทดสอบมนุษย์ว่ายังจะสามารถก้าวเดินต่อไปในอนาคตที่มองเห็นแต่ความสิ้นหวังได้หรือไม่
ความคิดเห็น