คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #277 : Extra Log 273: ปลดปล่อยเทพศาสตรา ARTIFACT HYPEREALIZE!!!
Extra
Log 273: ปลดปล่อยเทพศาสตรา ARTIFACT HYPEREALIZE!!!
...ก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย....
ที่สวนศักดิ์สิทธิ์
หลังจากต้นไม้ต้องห้ามเปล่งแสงแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
รวมถึงต้นไม้แห่งชีวิตด้วย
ทั้งสองต้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกลายเป็นดวงตะวันดวงใหม่ลอยอยู่เหนือสวนศักดิ์สิทธิ์
แผดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งผืนฟ้า
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นที่รับรูโดยทั่วกันของคนที่อยู่บนสวน
รูบิเดียมที่ฝึกวินัยให้ทหารอยู่อีกที่กำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
เช่นเดียวกับหล่อนคนอื่นๆ
ก็พากันมองขึ้นไปดูสิ่งอัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสวน
แล้วตอนที่คิดว่าจะลองไปตรวจสอบดูอยู่นั่น
‘อีฟ’
ก็มีเสียงดังแว่วมา
เสียงสดใสกังวานแต่เด็ดขาดและมีอำนาจ
รูบิเดียมหันไปมองคนอื่น
แต่ดูเหมือนจะมีแค่เธอที่ได้ยินเสียงนี้คนรอบตัวไม่มีปฏิกิริยาเลย
เสียงนั้นยังคงดังต่อไป
‘อีฟ…อีฟ…ไป’
ไม่รู้ทำไมแต่พอฟังเสียงนั้นแล้วสติก็เหมือนจะเลื่อนลอยออกไป
‘อีฟ…ไป...ไปหาอดัม’
รูบิเดียมพยายามประคองสติ
หล่อนเดินกุมขมับไปพลางหาที่เกาะไม่ให้ตัวเองล้มลง
ทัศนวิสัยพร่ามัวไปหมด…
มองไม่เห็นทางเดิน…
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
“ซุ…”
ปากก็ขยับไปเอง
ไม่รู้ว่ากำลังจะพูดอะไร
“ซูลวาน”
คำพูดนั้นหลุดออกจากปากไปแต่เธอก็ไม่เข้าใจในความหมายของมัน
“…”
สติของรูบิเดียมขาดหายไปในตอนนั้น
…ในขณะเดียวกันที่อีกด้านหนึ่ง
อิงศรเพิ่งจะได้สติ
เด็กหนุ่มปรือตาขึ้น
“…”
ท้องฟ้าอันเจิดจรัส
เต็มไปด้วยแสงสว่างแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้า
อิงศรพยายามนึกทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่
จนกระทั่งสายตาสังเกตเห็นว่าร่างกายตัวเองจมอยู่วัตถุทรงกลมขนาดมหึมาและเปล่งแสงเจิดจ้าอยู่ตลอด
ทั้งแขนทั้งขาถูกฝังอยู่ภายในก้อนทรงกลมนี่
ทำให้ขยับตัวไม่ได้แม้จะพยายามดิ้นแล้วก็ตาม
แล้วตอนนั้นเอง
ความทรงจำก็หวนคืนมา
“จริงสิ
เมอร์คาบาห์ล่ะ”
อิงศรนึกออกในที่สุด
เขาถูกเมอร์คาบาห์ปีศาจแห่งโชคชะตาหักหลังเข้าให้
แล้วตัวการก็คือ ‘ซูลวาน’ เมอร์คาบาห์คิดจะคืนชีพให้กับซูลวานจึงจับตัวเขามา
ดังนั้นก็เลยต่อสู้ขัดขืนและพ่ายแพ้ถูกทำให้หมดสติไปแล้วก็มาตื่นเอาที่นี่
ถ้าจำไม่ผิดวัตถุทรงกลมที่ติดอยู่กับเขาตอนนี้คือดวงตะวันที่เกิดจากการรวมตัวกันของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สองต้น
ต้นไม้แห่งชีวิตกับต้นไม้ต้องห้าม
“…”
มีเสียงดัง
ปิ๊บ ติดกันสามครั้งทำให้อิงศรชะงักความคิดไปครู่หนึ่ง
เสียงนั้นคล้ายกับว่ามีเมล์ส่งเข้ามายังระบบสื่อสาร
แต่หน้าจอระบบที่กระเด้งตัวเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติกลับไม่ใช่หน้าจอจัดการการสื่อสารแต่อย่างใด
หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม
[ใช่]
[ไม่]
มันเป็นหน้าจอที่มีคำถามกับตัวเลือกสองตัว
นี่คืออะไร…อิงศรคิดขณะที่จ้องมองหน้าจอนั้นด้วยความฉงน
เขาพยายามวิเคราะห์ที่มาที่ไปของหน้าจอคำถามนี่
หรือว่า ‘ซูลวาน’ จะเป็นคนให้คำถามนี้กับเขากัน?
สาเหตุที่คิดได้แบบนั้นก็เพราะว่าเนื้อหาของคำถามกับสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้
คำถามได้ถามว่าหากการแยกจากคือทางเดียวที่จะช่วยเหลือสถานการณ์ในตอนนี้ได้
การแยกจากนั่นคงหมายถึงให้เขายอมจำนนต่อซูลวาน
เมอร์คาบาห์บอกว่าตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของซูลวาน
ถึงได้พาเขามารวมกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองต้นที่ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของซูลวานเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นพิธีกรรมคืนชีพก็น่าจะเสร็จไปแล้วสิแต่ตัวเขายังคงอยู่ที่นี่
บางทีคงมีสาเหตุหรือไม่ก็ขั้นตอนอื่นที่ทำให้พิธีกรรมยังไม่รุดหน้า
แล้วบางทีหน้าจอคำถามนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม
อาจจะเป็นการทำพันธะสัญญายินยอมในรูปแบบหนึ่งก็ได้
เช่นว่าถ้าหากตัวเองตอบคำถามนี้ไปจะส่งผลถึงพิธีกรรม
จะกลายเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะถูกรวมเข้าไปในพิธีแล้วทำให้ซูลวานคืนชีพหรือไม่
เมื่อลองคิดดูตามนั้นคำถามนี่ก็จะสมเหตุสมผลขึ้นมาและสรุปได้ว่า
“หมายความว่าจะให้ฉันยอมกลายเป็นซูลวานหรือเปล่างั้นสิ”
แต่ถ้ากลายเป็นซูลวานก็อาจจะกำจัดราหูได้พลังของซูลวานที่เป็นตัวตนซึ่งอยู่เหนือแอดมินิสเทรเตอร์ขึ้นไป
แต่ว่าถ้าเลือกทางนั้นแล้วพวกพ้องของเขาล่ะ จะเป็นยังไงต่อ
แล้วก็ไม่มีหลักประกันด้วยว่าเมื่อกลายเป็นซูลวานแล้วยังจะเป็นตัวตนของตัวเองอยู่หรือเปล่า
จะยังเป็นอิงศรอยู่หรือว่ากลายเป็นอย่างอื่นไป
จู่ๆ
ก็มีเสียงพูดดังมา
“เธอมีเพื่อนที่พร้อมจะแยกจาก
เพื่อปกป้องเขาอยู่ไหม”
“ห๊ะ!?”
อิงศรเงยหน้าจากหน้าจอขึ้นมองเจ้าของเสียง
เมอร์คาบาห์นั่นเอง
เมอร์คาบาห์พูด
“นั่นคือใจความของคำถามนี้ตอนนี้เหล่าผู้ติดตามคนอื่นก็กำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบนี้เช่นเดียวกัน
หากเลือกทางเดินผิดแล้วล่ะก็จะต้องจบลงที่ซูลวาน”
หมายความว่านอกจากเขาแล้ว
มิ่งขวัญกับคนอื่นที่หายตัวไปก็กำลังเจอกับหน้าจอคำถามนี้อย่างนั้นสินะ
แล้วก็ถ้าเลือกคำตอบผิดแม้แต่คนเดียวเขาก็จะต้องกลายเป็นซูลวาน
เงื่อนไขคล้ายกับตอนที่ทดสอบในต้นไม้แห่งชีวิตแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วล่ะว่าพวกเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้
“เอ้า เลือกสิ”
พอเมอร์คาบาห์พูดมาแบบนั้น
แขนขวาของอิงศรก็ถูกดีดออกมาจากดวงตะวัน
นี่ก็เพื่อให้สามารถเลือกคำตอบได้สินะ
“….”
อิงศรจ้องมองไปยังเมอร์คาบาห์แล้วถามคำถาม
“ทำไม”
“….”
“ทั้งหมดเป็นแผนที่จะคืนชีพให้กับซูลวานแล้วทำไมถึงยังต้องมาทำแบบนี้อีก”
“….”
“เพราะเป็นการทดสอบงั้นเรอะ”
คราวนี้เมอร์คาบาห์พยักหน้าเล็กน้อยหลังจากนิ่งเงียบมานาน
“ก็เหมือนกับที่โซลาริสและลูนาริสเคยทำมาก่อน
ทำการทดสอบเพื่อค้นหาความเป็นไปได้”
“แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน”
ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเลยซักนิด
อิงศรไม่เข้าใจว่าพวกตัวตนที่คุมบังเหียนโชคชะตาคิดอะไรอยู่กันแน่
ทำไมถึงต้องทดสอบทั้งที่ตัวเองก็ชักใยทุกอย่างอยู่ในกำมือมาตั้งแต่แรก
นี่เป็นแค่การเล่นสนุกอย่างนั้นหรือ
เมอร์คาบาห์พูด
“เพราะว่าพวกเจ้ามีความเป็นไปได้ที่ไม่อาจคาดเดา
พวกเจ้าที่มี ‘เจตจำนงเสรี’ อยู่กับตัวคือสิ่งที่ซูลวานให้ความสนใจ”
“หมายความว่ายังไง”
เมอร์คาบาห์แค่นลมหายใจเหมือนกับจะดูแคลนความด้อยปัญญาของเขาอย่างเสียมิได้
ในสายตาของเทวทูตที่หักหลังผู้ร่วมชะตาแล้วเขาคงเป็นไอ้งั่งที่โง่เขลาเกินจะทานทนล่ะมั้ง
แต่เมอร์คาบาห์ก็พูดอิบายมาให้อย่างละเอียด
“เป้าหมายของซูลวานเองก็คือการกำจัดราหูลาริสเหมือนกัน
จะให้จัดการเองมันก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินมือ แต่ว่านั่นมันเมื่อก่อนตอนนี้ราหูลาริสที่แยกตัวออกไปมี
‘เจตจำนงเสรี’ แล้วทำให้ไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้อีก
ซูลวานจึงอยากจะลองเดิมพันดู”
“กับพวกฉันน่ะเหรอ”
“ใช่
เดิมพันกับความเป็นไปได้ที่ว่าจะเอาชนะบททดสอบนี้แล้วไปจัดการราหูลาริส
หรือถ้าเกิดพ่ายแพ้ในการทดสอบนี้ก็คงไม่มีสิทธิ์จะไปถึงตัวราหูได้อยู่ดี
ก็นั่นแหละคือการทดสอบแห่งชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่”
ตอนนี้อิงศรพอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาแล้ว
“งั้นนายก็ไม่ได้หักหลังฉันแต่ทำตามการทดสอบที่พวกฉันร้องขออย่างนั้นน่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงนัก เกินกว่าครึ่งก็เป็นความต้องการที่จะคืนชีพอยู่แล้วด้วยเพราะงั้นถึงบอกว่าเป็นการเดิมพันไงล่ะ”
ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็แสยะยิ้ม
“เฮอะ
ถ้างั้นซูลวานเองก็ยังไม่แน่ใจเลยสินะว่าตัวเองจะจัดการราหูได้รึเปล่าน่ะ”
แต่เมอร์คาบาห์ก็สวนมาว่า
“ซูลวานก็คือเธอเองนั่นแหละ”
ที่พูดมาคงหมายถึงการที่ตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งของซูลวานที่แยกออกมาเมื่อครั้งอดีตก็เลยจะบอกว่าเขาคิดอย่างไรซูลวานก็จะคิดไปแบบนั้นด้วยอย่างนั้นสินะ
“เมื่อกี้ถามว่าฉันมีเพื่อนที่พร้อมจะแยกจาก
เพื่อปกป้องเขาอยู่หรือเปล่าสินะ ถ้าตอบไอ้นั่นถูกก็จะผ่านการทดสอบงั้นสิ”
“ก็ขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น”
ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด
เขาคงจะแสดงความลังเลออกไปเมอร์คาบาห์กำลังหวังให้เขาทำแบบนั้นสินะ
”แต่ว่าขอแนะนำไว้ว่าพลังที่มีอยู่ในตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้
ถ้าอยากจะทำเพื่อพวกพ้องล่ะก็ราคาของการเสียสละตัวเองก็ถือว่าถูกมาก”
เมอร์คาบาห์พูดมาแบบนั้น
จงใจจะชักจูงหรือว่าแค่พูดความจริง
“ที่ผ่านมาก็ทำมาอยู่ตลอดอยู่แล้วนี่ยังจะลังเลอะไรอีก”
ที่พูดมานั่นก็ถูกอีก
ตัวเขาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็ไม่เคยจะสนใจอยู่แล้ว
ขอแค่สามารถช่วยมิ่งขวัญ ข่วยครอบครัว ช่วยพวกพ้องได้
ต่อให้เอาตัวเข้าแลกก็ยอมได้ทั้งนั้น
ถ้าราหูคือภัยคุกคามที่ต้องกำจัดเพื่อให้พวกพ้องปลอดภัยแล้วราคาของการชดใช้ต่อสิ่งนั้นคือตัวเองแล้วล่ะก็มันก็ถูกมากจริงๆ
อย่างที่ เมอร์คาบาห์พูด
“ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายมาก”
อิงศรยื่นมือไปที่หน้าจอจะเลือกคำตอบ...
และแล้วเวลาก็ไปบรรจบกับอีกด้านหนึ่ง...
ที่ดินแดนแห่ความตาย
ภายหลังจากที่แฟรนเซียมแสดงคำตอบผ่านช่องสื่อสารแล้ว
มิ่งขวัญคือคนเดียวที่ยังไม่ได้ตอบคำถามออกไป
เด็กหนุ่มจ้องมองหน้าจอระบบที่ถามคำถาม
หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม
[ใช่]
[ไม่]
คนอื่นๆ
ตั้งคำถามที่ดัดแปลงด้วยการทดสอบของตัวเองและให้คำตอบกันหมดแล้วเหลือแต่เขาที่ยังไม่ได้ทำ
มิ่งขวัญหวนนึกถึงการทดสอบของตัวเองกับพี่ชาย
‘การทดสอบพลังของพี่น้อง’ ที่มีชื่อจริงของการทดสอบว่า
‘การทดสอบสายสัมพันธ์ที่แท้จริง’
หากแทนที่มันลงในคำถามบนหน้าจอระบบนี่แล้วก็คงออกมาแนวๆ
ว่า ‘พี่น้องคือหนทางเดียวที่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่แท้จริง’ อย่างนั้นสินะ
“…”
แต่แบบนั้นมันก็น่ารำคาญเกินไป
ถ้าจะต้องมาคอยพะวงเรื่องความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้ว ศรเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นด้วย
ในการทดสอบจูเนอร์มินาร์เองก็ได้พูดเอาไว้แบบนี้
‘ถึงจะรักใคร่กลมเกลียวกันขนาดไหน
หรือ แม้จะเกลียดกันเข้าไส้เพียงใด
พี่น้องก็ไม่ได้แบ่งปันกันแค่ความสุขหรือความทุกข์
ต่างคนต่างก็เป็นตัวของตัวเองแล้วสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความเป็นตัวเองของแต่ละคนที่มาเชื่อมต่อกันนั่นแหละคือสมบัติที่ล้ำค่าล่ะ’
ตอนที่ฟังครั้งก่อนเขายังไม่ค่อยเข้าใจนักคิดว่ามันเป็นคำพูดที่บ่งบอกธรรมชาติของการเป็นพี่น้องเท่านั้น
แต่ตอนนี้มิ่งขวัญเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้นแล้ว
ความหมายที่แท้จริงในการทดสอบของตัวเอง
มันไม่ใช่การยึดติดกับการเป็นแค่พี่กับน้อง
จูเนอร์มินาร์ตั้งใจจะสอนเขาว่าสายสัมพันธ์ไม่ได้ผูกพันกันเพียงแค่สายเลือดเท่านั้น
แล้วก็ไม่ใช่การสร้างตัวตนขึ้นมาเพื่อผูกสัมพันธ์โดยเฉพาะด้วย
แต่มันเกิดขึ้นจากความเป็นตัวเองของแต่ละคนที่มารวมอยู่ด้วยกัน
ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเองแล้วปรับเข้าหากัน พอรู้แบบนี้แล้วมิ่งขวัญก็รู้สึกว่าโลกของเขาแผ่กว้างออกไปมากขึ้น
โลกนี้ไม่ได้มีเพียงเขากับศร
อีกต่อไปแต่มันมีทั้ง กวินทร์ ฟู มิกซ์แล้วก็คนอื่นๆ อีกมากมายที่คอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
ทุกคนต่างก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันมาตั้งแต่แรก
ต่างคนต่างพื้นเพกันแต่มาร่วมมือกันได้เพราะสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดไว้ด้วยกัน
มิ่งขวัญพูด
“พี่น้องคือหนทางเดียวที่จะสร้างสายสัมพันธ์”
พูดใส่ช่องสื่อสารที่เชื่อมต่อกับทุกคน
“แต่ว่าฉันไม่ได้มีแค่ศรคนเดียวอีกแล้ว
กวินทร์ ฟู มิกซ์ แล้วก็ทุกคนเรามาร่วมมือกันออกไปจากที่นี่เถอะ”
เสียงของ ‘พวกพ้อง’ ขานตอบรับคำพูดของเขาดังระรัวมาจากหน้าจอสื่อสาร
“อื้อ”
“อืม”
แล้วเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว…
“งั้นก็ไปกันเลย”
มิ่งขวัญพูดแล้ววางนิ้วลงบนปุ่ม
[ไม่]
ทันใดนั้นหน้าจอที่ถามคำถามก็เปล่งแสงแล้วหายไป
ไพ่อาคานาร์ปรากฏขึ้นมาแทนที่
ไพ่อาคานาร์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บนหน้าไพ่อาคานาร์นั้นมีรูปของตนเองปรากฏอยู่บนหน้าไพ่
“นี่มันคืออะไรกันน่ะ”
มิ่งขวัญหยิบไพ่ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศขึ้นมาดู
ตัวเขาบนหน้าไพ่นั้นแต่งตัวด้วยชุดสีฟ้าเหมือนกับตอนนี้แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป
มีส่วนของผ้าพันคอสีแดงเพิ่มขึ้นมาแล้วด้านหลังก็มีเงาลางๆ ที่คล้ายกับตัวเองที่มีปีกของเทวทูต
และ ตัวเองที่มีปีกของปีศาจ เหมือนกับสมัยก่อนที่ใช้เดม่อนแอพ มิคาเอล และ
ลูซิเฟอร์
มีเสียงจากคนอื่นในระบบสื่อสารที่พูดถึงไพ่อาคานาร์ที่ปรากฏออกมาหลังจากตอบคำถาม
ดูเหมือนทุกคนจะได้ของแบบนี้มาเหมือนๆ กัน
ในตอนนั้นเอง
“ชีวิตคือการพบพานและลาจาก
ตรงกึ่งกลางของปลายทางทั้งสองคือการปกป้อง”
ก็มีเสียงพูดดังมาจากตัวไพ่
เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูชอบกล
เสียงของเด็กผู้หญิงท่าทางแก่นแก้วแต่เฉลียวฉลาดและซุกซน
“จูเนอร์มินาร์เหรอ”
มิ่งขวัญถามกลับไป
“ใช่แล้วพวกนายผ่านการทดสอบแล้ว”
แต่เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย
“นั่นน้องเธอเหรอ”
“ก็อยู่กันทั้งคู่นั่นแหละ
พวกนายผ่านการทดสอบแล้วแต่ก็แค่ครึ่งเดียวล่ะนะ ทีนี้ถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่”
เสียงของคนที่เป็นพี่สาวเงียบหายไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะมีเสียงไอเหมือนปรับน้ำเสียงดังขึ้น
แล้วไพ่ก็พูดของมันต่อไป....
ขณะเดียวกัน
คำพูดนี้ก็กำลังพูดกับพวกพ้องทุกคน
รวมถึงอิงศรที่อยู่ที่สวนศักดิ์สิทธิ์
หลังจากกดปุ่ม
[ไม่] บนหน้าจอไป
อิงศรได้ให้คำตอบว่า
ต่อให้ยอมเสียสละตัวเองเป็นซูลวานอยู่ที่นี่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ถึงจะยังไม่ชัดเจนว่าหลังจากตอบออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แต่ถึงจะยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
เขาเชื่อว่าคำตอบนี้จะถูกต้องอย่างแน่นอนแล้วก็เชื่อว่าพวกพ้องคนอื่นๆ
ก็จะเลือกคำตอบที่ถูกต้องเหมือนๆ กัน
อิงศรพูด
“ฉันไม่ได้มีพวกพ้องไว้เพื่อให้ตัวเองปกป้องพวกเขา
ฉันไม่ได้อยากเลือกทางเสียสละเพื่อรับการสรรเสริญอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ฉันสร้างพวกพ้องขึ้นมาก็เพราะอยากจะอยู่ด้วยกัน
อยากจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันเพราะงั้นฉันขอปฏิเสธ
ฉันจะไม่กลายเป็นซูลวานแล้วก็จะร่วมกันกับทุกคนเอาชนะทั้งซูลวานทั้งราหูนั่นแหละคำตอบของฉัน”
ทันใดนั้นหน้าจอก็กลายเป็นไพ่อาคานาร์ลอยเข้ามาในมือข้างที่กดปุ่ม
เสียงของดีเซมแมร์ดังออกมาจากไพ่
”ชีวิตคือการพบพานและลาจาก
ตรงกึ่งกลางของปลายทางทั้งสองคือการปกป้อง
เมื่อได้พบพานจงใช้ช่วงเวลาร่วมกันและปกป้องซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้แยกจากกันแต่การปกป้องนั้นไม่สามารถคงอยู่ไปได้ตลอดเหมือนกับพวกเราเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจะอยู่ปกป้องสวนทั้งหมดของผู้ควบคุมได้ตลอดไป
ตอนนี้จึงถึงเวลาที่จะต้องส่งต่อให้ผู้สืบทอดแล้ว”
การเลือกของอิงศรทำให้เมอร์คาบาห์ขยับตัว
ระหว่างนั้นคำพูดของดีเซมแมร์ก็ยังดำเนินต่อไป
“การทดสอบแห่งชีวิตนี้คือ
การถามความหมายของชีวิตต่อพวกเจ้าทุกคน
การเลือกทางเดินแล้วก้าวเดินต่อไปคือการมีชีวิต
นี่คือคำตอบที่มีอยู่ในใจของพวกเจ้าทุกคนแล้ว
บัดนี้ขอให้เข้าใจเอาไว้ว่าการเลือกหนทางคือการปกป้องชีวิตให้ก้าวต่อไปข้างหน้า
ผู้ที่จะปกป้องชีวิตก็คือ ‘ผู้พิทักษ์’ นั่นเอง ผู้พิทักษ์ทั้งสิบสองพวกเจ้าผ่านการทดสอบแห่งชีวิตแล้ว”
เมอร์คาบาห์ยกแขนที่กางใบดาบรอไว้ขึ้นแล้วพูด
“ถึงอย่างนั้นทางนี้ก็ยังสังกัดกับความคิดที่จะคืนชีพซูลวานอยู่เหมือนกันคงเข้าใจดีนะ”
อิงศรมองวิถีของดาบแล้วก็รู้ว่าเมอร์คาบาห์ตั้งใจจะตัดแขนที่ถืออาคานาร์ให้ขาด
ถ้าถูกเล่นงานในสภาพนี้คงได้ตอบโต้อะไรไม่ได้...
“เหล่า ‘ผู้พิทักษ์’ รุ่นใหม่จงรับพลังนี้ไป”
แต่เสียงของดีเซมแมร์ก็ดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้วเช่นกัน
อิงศรกำอาคานาร์นั้นไว้แน่น
มันเป็นความหวังเดียวแล้ว
แต่ถึงทำแบบนั้นไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าอย่างนั้นแขนข้างนี้ก็คงจะขาดกระเด็นและสูญเสียความหวังที่เพิ่งจะได้คว้ามาโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยซักอย่าง
แต่ทว่า
“อึก”
เมอร์คาบาห์ชักสีหน้าแล้วบินทะยานขึ้นไปก่อนจะทันลงดาบ
วินาทีถัดจากนั้นก็มีลำแสงพุ่งผ่านจุดที่เมอร์คาบาห์เคยอยู่เข้ามาหาไพ่อาคานาร์
แสงสีรุ้งสิบเอ็ดสาย
แสงเหล่านั้นพุ่งขึ้นจากพื้นตรงบริเวณที่ต้นไม้แห่งชีวิตเคยตั้งอยู่
แสงรุ้งทะลวงผ่านความมืดมิดที่เริ่มปรากฏเป็นคุ้งให้เห็นบนพื้นที่บริเวณนั้น
เหมือนกับตอนที่พวกพ้องถูกดูดหายลงไปยังดินแดนแห่งความตาย
อิงศรคาดหวังว่าพวกพ้องของเขาจะกลับคืนมา
แต่สิ่งที่พุ่งทะยานออกมาจากเวิ้งแห่งความมืดมิดนั่นกลับเป็น
มือขนาดใหญ่ที่ต่อมาก้ลากเอาร่างซึ่งปกคลุมไว้ด้วยขน
“กอลิร่า...สัตว์เทวะงั้นเหรอ”
สิ่งที่พุ่งทะยานออกมาคือกอลิร่ายักษ์ที่สวมใส่ชุดสีขาวและมีปีกเหมือนทูตสวรรค์งอกอยู่บนแผ่นหลัง
แล้วก็ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่พากันออกมาเป็นฝูง
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสัตว์เทวะอื่นๆ
ที่เคยผ่านตา เคยต่อสู้ ผุดขึ้นมาจากเวิ้งความมืดกันไม่หยุด สัตว์เทวะแห่กันออกมามืดฟ้ามัวดิน
สภาพของสวนศักดิ์สิทธ์ดูสิ้นหวังจนถึงจุดต่ำที่สุด
แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมนก็ยังมีแสงสว่าง
ยังมีความหวังอยู่
จากเวิ้งแห่งความมืดนั่น
มีแสงสว่างทอประกายสีทองอร่ามเปล่งประกายอยู่
อิงศรเพ่งสายตามองไปที่จุดที่แสงสว่างเปล่งประกาย
พวกพ้องเขากลับมากันแล้ว
พวกพ้องทุกคนกลับขึ้นมาพร้อมกับถือสิ่งที่เหมือนไพ่อาคานาร์ติดมาด้วย
แล้วไพ่พวกนั้นก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสว่าง
“ทุกคนก็สอบผ่านสินะ”
“ตอนนี้แหละรีบเอาออริจินอาคานาร์ใบนี้ติดตั้งลงกับอาวุธประจำตัวเลย”
เสียงของดีเซมแมร์เร่งมา
ดูเหมือนว่าอาคานาร์ใหม่ที่ได้รับมาจะต้องใช้ร่วมกับอาวุธอย่างนั้นสินะ
อิงศรจ้องมองไพ่อาคานาร์ในมือ
หน้าไพ่นั้นไม่เหมือนกับอาคานาร์แบบที่ผ่านๆ
มา แล้วมันก็มีรูปของเขาที่สวมใส่เครื่องประดับกับอุปกรณ์กลไกคล้ายปีกกำลังโบยบินอยู่เหนือท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยฝนดาวตก
หากใช้มันแล้วก็จะได้รับพลังใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างมากมาแน่นอน
เพียงแค่จับมันอิงศรก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนเข้ามาในร่าง
อย่างไรก็ตามธนูของเขาไม่อยู่กับตัวมันหล่นหายไปตอนที่สู้กับเมอร์คาบาห์
อิงศรกวาดสายตามองลงไป
และเจอคันธนูตัวเก่งหล่นอยู่ใกล้ๆ กับที่มิ่งขวัญยืนอยู่
“ขวัญ ธนูฉัน!!”
อิงศรตะโกนสุดเสียง
มิ่งขวัญแหงนหน้าขึ้นมองมาก่อนจะพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปเก็บคันธนู
“รับนะ!”
มิ่งขวัญขว้างธนูขึ้นมา
แต่เมอร์คาบาห์ที่หนีไปก่อนหน้านี้ก็วกกลับมาเช่นกัน
“ชิ”
อิงศรเดาะลิ้น
“แล้วต้องทำไงมั่งล่ะเนี่ย”
ไม่มีเวลาพอให้รับคันธนูตรงๆ
แล้ว
ตอนนั้นเอง
เสียงของดีเซมแมร์ก็บอกถึงวิธีใช้งานอาคานาร์ใบนี้มา
“เอาไพ่ไปสัมผัสกับอาวุธสิ”
ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็พยายามยืดตัวอย่างเต็มที่
ยืดแขนที่ถืออาคานาร์ออกไปสุดตัว
ขอแค่แตะก็พอสินะ
ถ้าแค่นั้นคงทัน....
คันธนูที่ลอยมาสัมผัสกับปลายของอาคานาร์ที่เขายื่นออกไป
ตูม!!!!!!!!
เกิดระเบิดขึ้น
ใบดาบของเมอร์คาบาห์ยังไม่ทันจะตวัดก็มีบางสิ่งพุ่งออกไปจากดวงตะวัน
สิ่งนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและแสงสว่างห่อหุ้มอยู่ตลอด
ราวกับดาวหาง
เมื่อมันหยุดเคลื่อนที่
แสงสว่างรอบตัวมันก็ดับมอดลงไปด้วย
หน้าจอระบบปรากฏลอยอยู่เบื้องหน้าสิ่งนั้น
และเขียนเอาไว้ว่า
‘ARTIFACT HYPEREALIZE’
“เมื่อกี้บอกว่าจะลองเดิมพันกับความเป็นไปได้สินะ”
ร่างของสิ่งนั้นกล่าว
อิงศรที่เปลี่ยนไปเหมือนกับภาพบนหน้าไพ่พูด
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมเดิมพันได้แล้วซูลวานเพราะนี่คือความเป็นไปได้ของพวกเรา”
แล้วในวินาทีนั้นเอง
อิงศรก็ได้ประกาศท้าทาย
‘บทบาท’ ซึ่งขับเคลื่อนโลกราวกับเป็นฟันเฟือง
ราวกับการเปิดเผยจากพระเจ้า
แต่มนุษย์ได้ก้าวข้ามมันมาแล้ว
นี่จะเป็นยุคสมัยของมนุษย์
อิงศรดึงหมวกที่ถูกเพิ่มเข้ามาในชุดหลังจากแปลงร่างลง
เงาจากปีกหมวกทำให้ใบหน้าที่กำลังพูดดูน่าเกรงขามขึ้นเล็กน้อย
“ก็อด เวพ่อน
ซากิต้ามาเรเควียม (Sagita Marequiem) ”
นั่นคือชื่อของอาวุธที่ได้รับพลังใหม่มา
คันธนูกลายเป็นหน้าไม้ที่มีด้ามจับกับก้านสมดุลทำด้วยทองคำ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเบาราวกับขนนก
อิงศรจับมันอย่างทะมัดทะแมง
แล้วเล็งหน้าไม้ใส่ เมอร์คาบาห์
ความคิดเห็น