ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #277 : Extra Log 273: ปลดปล่อยเทพศาสตรา ARTIFACT HYPEREALIZE!!!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 114
      6
      26 ต.ค. 61

    Extra Log 273: ปลดปล่อยเทพศาสตรา ARTIFACT HYPEREALIZE!!!

     

                ...ก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย....

                ที่สวนศักดิ์สิทธิ์

                หลังจากต้นไม้ต้องห้ามเปล่งแสงแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า รวมถึงต้นไม้แห่งชีวิตด้วย

                ทั้งสองต้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกลายเป็นดวงตะวันดวงใหม่ลอยอยู่เหนือสวนศักดิ์สิทธิ์ แผดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งผืนฟ้า

                เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นที่รับรูโดยทั่วกันของคนที่อยู่บนสวน

     

                รูบิเดียมที่ฝึกวินัยให้ทหารอยู่อีกที่กำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

                นั่นมันอะไรกันน่ะ

                เช่นเดียวกับหล่อนคนอื่นๆ ก็พากันมองขึ้นไปดูสิ่งอัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสวน

                แล้วตอนที่คิดว่าจะลองไปตรวจสอบดูอยู่นั่น

     

                อีฟ

     

                ก็มีเสียงดังแว่วมา เสียงสดใสกังวานแต่เด็ดขาดและมีอำนาจ

                รูบิเดียมหันไปมองคนอื่น แต่ดูเหมือนจะมีแค่เธอที่ได้ยินเสียงนี้คนรอบตัวไม่มีปฏิกิริยาเลย

                เสียงนั้นยังคงดังต่อไป

     

                อีฟอีฟไป

     

                ไม่รู้ทำไมแต่พอฟังเสียงนั้นแล้วสติก็เหมือนจะเลื่อนลอยออกไป

     

                อีฟไป...ไปหาอดัม

     

                รูบิเดียมพยายามประคองสติ หล่อนเดินกุมขมับไปพลางหาที่เกาะไม่ให้ตัวเองล้มลง

                ทัศนวิสัยพร่ามัวไปหมด

                มองไม่เห็นทางเดิน

                ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

                ซุ…”

                ปากก็ขยับไปเอง ไม่รู้ว่ากำลังจะพูดอะไร

                ซูลวาน

                คำพูดนั้นหลุดออกจากปากไปแต่เธอก็ไม่เข้าใจในความหมายของมัน

                “…”

                สติของรูบิเดียมขาดหายไปในตอนนั้น

     

     

                ในขณะเดียวกันที่อีกด้านหนึ่ง

                อิงศรเพิ่งจะได้สติ

                เด็กหนุ่มปรือตาขึ้น

                “…”

                ท้องฟ้าอันเจิดจรัส เต็มไปด้วยแสงสว่างแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้า

                อิงศรพยายามนึกทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่

                จนกระทั่งสายตาสังเกตเห็นว่าร่างกายตัวเองจมอยู่วัตถุทรงกลมขนาดมหึมาและเปล่งแสงเจิดจ้าอยู่ตลอด ทั้งแขนทั้งขาถูกฝังอยู่ภายในก้อนทรงกลมนี่ ทำให้ขยับตัวไม่ได้แม้จะพยายามดิ้นแล้วก็ตาม

                แล้วตอนนั้นเอง

                ความทรงจำก็หวนคืนมา

                จริงสิ เมอร์คาบาห์ล่ะ

                อิงศรนึกออกในที่สุด

                เขาถูกเมอร์คาบาห์ปีศาจแห่งโชคชะตาหักหลังเข้าให้ แล้วตัวการก็คือ ซูลวานเมอร์คาบาห์คิดจะคืนชีพให้กับซูลวานจึงจับตัวเขามา ดังนั้นก็เลยต่อสู้ขัดขืนและพ่ายแพ้ถูกทำให้หมดสติไปแล้วก็มาตื่นเอาที่นี่

                ถ้าจำไม่ผิดวัตถุทรงกลมที่ติดอยู่กับเขาตอนนี้คือดวงตะวันที่เกิดจากการรวมตัวกันของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สองต้น

                ต้นไม้แห่งชีวิตกับต้นไม้ต้องห้าม

                “…”

                มีเสียงดัง ปิ๊บ ติดกันสามครั้งทำให้อิงศรชะงักความคิดไปครู่หนึ่ง

                เสียงนั้นคล้ายกับว่ามีเมล์ส่งเข้ามายังระบบสื่อสาร แต่หน้าจอระบบที่กระเด้งตัวเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติกลับไม่ใช่หน้าจอจัดการการสื่อสารแต่อย่างใด

               

                หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม

                [ใช่]

                [ไม่]

     

                มันเป็นหน้าจอที่มีคำถามกับตัวเลือกสองตัว

                นี่คืออะไรอิงศรคิดขณะที่จ้องมองหน้าจอนั้นด้วยความฉงน

                เขาพยายามวิเคราะห์ที่มาที่ไปของหน้าจอคำถามนี่

                หรือว่า ซูลวานจะเป็นคนให้คำถามนี้กับเขากัน?

                สาเหตุที่คิดได้แบบนั้นก็เพราะว่าเนื้อหาของคำถามกับสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้

                คำถามได้ถามว่าหากการแยกจากคือทางเดียวที่จะช่วยเหลือสถานการณ์ในตอนนี้ได้ การแยกจากนั่นคงหมายถึงให้เขายอมจำนนต่อซูลวาน

                เมอร์คาบาห์บอกว่าตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของซูลวาน ถึงได้พาเขามารวมกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองต้นที่ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของซูลวานเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นพิธีกรรมคืนชีพก็น่าจะเสร็จไปแล้วสิแต่ตัวเขายังคงอยู่ที่นี่ บางทีคงมีสาเหตุหรือไม่ก็ขั้นตอนอื่นที่ทำให้พิธีกรรมยังไม่รุดหน้า

                แล้วบางทีหน้าจอคำถามนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม อาจจะเป็นการทำพันธะสัญญายินยอมในรูปแบบหนึ่งก็ได้ เช่นว่าถ้าหากตัวเองตอบคำถามนี้ไปจะส่งผลถึงพิธีกรรม จะกลายเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะถูกรวมเข้าไปในพิธีแล้วทำให้ซูลวานคืนชีพหรือไม่

                เมื่อลองคิดดูตามนั้นคำถามนี่ก็จะสมเหตุสมผลขึ้นมาและสรุปได้ว่า

                หมายความว่าจะให้ฉันยอมกลายเป็นซูลวานหรือเปล่างั้นสิ

                แต่ถ้ากลายเป็นซูลวานก็อาจจะกำจัดราหูได้พลังของซูลวานที่เป็นตัวตนซึ่งอยู่เหนือแอดมินิสเทรเตอร์ขึ้นไป แต่ว่าถ้าเลือกทางนั้นแล้วพวกพ้องของเขาล่ะ จะเป็นยังไงต่อ

                แล้วก็ไม่มีหลักประกันด้วยว่าเมื่อกลายเป็นซูลวานแล้วยังจะเป็นตัวตนของตัวเองอยู่หรือเปล่า จะยังเป็นอิงศรอยู่หรือว่ากลายเป็นอย่างอื่นไป

                จู่ๆ ก็มีเสียงพูดดังมา

                เธอมีเพื่อนที่พร้อมจะแยกจาก เพื่อปกป้องเขาอยู่ไหม

                ห๊ะ!?”

                อิงศรเงยหน้าจากหน้าจอขึ้นมองเจ้าของเสียง เมอร์คาบาห์นั่นเอง

                เมอร์คาบาห์พูด

                นั่นคือใจความของคำถามนี้ตอนนี้เหล่าผู้ติดตามคนอื่นก็กำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบนี้เช่นเดียวกัน หากเลือกทางเดินผิดแล้วล่ะก็จะต้องจบลงที่ซูลวาน

                หมายความว่านอกจากเขาแล้ว มิ่งขวัญกับคนอื่นที่หายตัวไปก็กำลังเจอกับหน้าจอคำถามนี้อย่างนั้นสินะ แล้วก็ถ้าเลือกคำตอบผิดแม้แต่คนเดียวเขาก็จะต้องกลายเป็นซูลวาน เงื่อนไขคล้ายกับตอนที่ทดสอบในต้นไม้แห่งชีวิตแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วล่ะว่าพวกเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้

                เอ้า เลือกสิ

                พอเมอร์คาบาห์พูดมาแบบนั้น แขนขวาของอิงศรก็ถูกดีดออกมาจากดวงตะวัน

                นี่ก็เพื่อให้สามารถเลือกคำตอบได้สินะ

                “….”

                อิงศรจ้องมองไปยังเมอร์คาบาห์แล้วถามคำถาม

                ทำไม

                “….”

                ทั้งหมดเป็นแผนที่จะคืนชีพให้กับซูลวานแล้วทำไมถึงยังต้องมาทำแบบนี้อีก

                “….”

                เพราะเป็นการทดสอบงั้นเรอะ

                คราวนี้เมอร์คาบาห์พยักหน้าเล็กน้อยหลังจากนิ่งเงียบมานาน

                ก็เหมือนกับที่โซลาริสและลูนาริสเคยทำมาก่อน ทำการทดสอบเพื่อค้นหาความเป็นไปได้

                แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน

                ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยซักนิด

                อิงศรไม่เข้าใจว่าพวกตัวตนที่คุมบังเหียนโชคชะตาคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงต้องทดสอบทั้งที่ตัวเองก็ชักใยทุกอย่างอยู่ในกำมือมาตั้งแต่แรก นี่เป็นแค่การเล่นสนุกอย่างนั้นหรือ

                เมอร์คาบาห์พูด

                เพราะว่าพวกเจ้ามีความเป็นไปได้ที่ไม่อาจคาดเดา พวกเจ้าที่มี เจตจำนงเสรีอยู่กับตัวคือสิ่งที่ซูลวานให้ความสนใจ

                หมายความว่ายังไง

                เมอร์คาบาห์แค่นลมหายใจเหมือนกับจะดูแคลนความด้อยปัญญาของเขาอย่างเสียมิได้ ในสายตาของเทวทูตที่หักหลังผู้ร่วมชะตาแล้วเขาคงเป็นไอ้งั่งที่โง่เขลาเกินจะทานทนล่ะมั้ง

                แต่เมอร์คาบาห์ก็พูดอิบายมาให้อย่างละเอียด

                เป้าหมายของซูลวานเองก็คือการกำจัดราหูลาริสเหมือนกัน จะให้จัดการเองมันก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินมือ แต่ว่านั่นมันเมื่อก่อนตอนนี้ราหูลาริสที่แยกตัวออกไปมี เจตจำนงเสรีแล้วทำให้ไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้อีก ซูลวานจึงอยากจะลองเดิมพันดู

                กับพวกฉันน่ะเหรอ

                ใช่ เดิมพันกับความเป็นไปได้ที่ว่าจะเอาชนะบททดสอบนี้แล้วไปจัดการราหูลาริส หรือถ้าเกิดพ่ายแพ้ในการทดสอบนี้ก็คงไม่มีสิทธิ์จะไปถึงตัวราหูได้อยู่ดี ก็นั่นแหละคือการทดสอบแห่งชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่

                ตอนนี้อิงศรพอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาแล้ว

                งั้นนายก็ไม่ได้หักหลังฉันแต่ทำตามการทดสอบที่พวกฉันร้องขออย่างนั้นน่ะสิ

                ก็ไม่เชิงนัก เกินกว่าครึ่งก็เป็นความต้องการที่จะคืนชีพอยู่แล้วด้วยเพราะงั้นถึงบอกว่าเป็นการเดิมพันไงล่ะ

                ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็แสยะยิ้ม

                เฮอะ ถ้างั้นซูลวานเองก็ยังไม่แน่ใจเลยสินะว่าตัวเองจะจัดการราหูได้รึเปล่าน่ะ

                แต่เมอร์คาบาห์ก็สวนมาว่า

                ซูลวานก็คือเธอเองนั่นแหละ

                ที่พูดมาคงหมายถึงการที่ตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งของซูลวานที่แยกออกมาเมื่อครั้งอดีตก็เลยจะบอกว่าเขาคิดอย่างไรซูลวานก็จะคิดไปแบบนั้นด้วยอย่างนั้นสินะ

                เมื่อกี้ถามว่าฉันมีเพื่อนที่พร้อมจะแยกจาก เพื่อปกป้องเขาอยู่หรือเปล่าสินะ ถ้าตอบไอ้นั่นถูกก็จะผ่านการทดสอบงั้นสิ

                ก็ขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

                ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาคงจะแสดงความลังเลออกไปเมอร์คาบาห์กำลังหวังให้เขาทำแบบนั้นสินะ

                แต่ว่าขอแนะนำไว้ว่าพลังที่มีอยู่ในตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากจะทำเพื่อพวกพ้องล่ะก็ราคาของการเสียสละตัวเองก็ถือว่าถูกมาก

                เมอร์คาบาห์พูดมาแบบนั้น จงใจจะชักจูงหรือว่าแค่พูดความจริง

                ที่ผ่านมาก็ทำมาอยู่ตลอดอยู่แล้วนี่ยังจะลังเลอะไรอีก

                ที่พูดมานั่นก็ถูกอีก

                ตัวเขาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็ไม่เคยจะสนใจอยู่แล้ว ขอแค่สามารถช่วยมิ่งขวัญ ข่วยครอบครัว ช่วยพวกพ้องได้ ต่อให้เอาตัวเข้าแลกก็ยอมได้ทั้งนั้น

                ถ้าราหูคือภัยคุกคามที่ต้องกำจัดเพื่อให้พวกพ้องปลอดภัยแล้วราคาของการชดใช้ต่อสิ่งนั้นคือตัวเองแล้วล่ะก็มันก็ถูกมากจริงๆ อย่างที่ เมอร์คาบาห์พูด

                ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายมาก

                อิงศรยื่นมือไปที่หน้าจอจะเลือกคำตอบ...

     

                และแล้วเวลาก็ไปบรรจบกับอีกด้านหนึ่ง...

                ที่ดินแดนแห่ความตาย

                ภายหลังจากที่แฟรนเซียมแสดงคำตอบผ่านช่องสื่อสารแล้ว

                มิ่งขวัญคือคนเดียวที่ยังไม่ได้ตอบคำถามออกไป

                เด็กหนุ่มจ้องมองหน้าจอระบบที่ถามคำถาม

     

                หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม

                [ใช่]

                [ไม่]

     

                คนอื่นๆ ตั้งคำถามที่ดัดแปลงด้วยการทดสอบของตัวเองและให้คำตอบกันหมดแล้วเหลือแต่เขาที่ยังไม่ได้ทำ

                มิ่งขวัญหวนนึกถึงการทดสอบของตัวเองกับพี่ชาย

                การทดสอบพลังของพี่น้องที่มีชื่อจริงของการทดสอบว่า การทดสอบสายสัมพันธ์ที่แท้จริง

                หากแทนที่มันลงในคำถามบนหน้าจอระบบนี่แล้วก็คงออกมาแนวๆ ว่า พี่น้องคือหนทางเดียวที่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่แท้จริงอย่างนั้นสินะ

                “…”

                แต่แบบนั้นมันก็น่ารำคาญเกินไป ถ้าจะต้องมาคอยพะวงเรื่องความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้ว ศรเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นด้วย

                ในการทดสอบจูเนอร์มินาร์เองก็ได้พูดเอาไว้แบบนี้

                ถึงจะรักใคร่กลมเกลียวกันขนาดไหน หรือ แม้จะเกลียดกันเข้าไส้เพียงใด พี่น้องก็ไม่ได้แบ่งปันกันแค่ความสุขหรือความทุกข์ ต่างคนต่างก็เป็นตัวของตัวเองแล้วสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความเป็นตัวเองของแต่ละคนที่มาเชื่อมต่อกันนั่นแหละคือสมบัติที่ล้ำค่าล่ะ

     

                ตอนที่ฟังครั้งก่อนเขายังไม่ค่อยเข้าใจนักคิดว่ามันเป็นคำพูดที่บ่งบอกธรรมชาติของการเป็นพี่น้องเท่านั้น

                แต่ตอนนี้มิ่งขวัญเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้นแล้ว

                ความหมายที่แท้จริงในการทดสอบของตัวเอง

                มันไม่ใช่การยึดติดกับการเป็นแค่พี่กับน้อง จูเนอร์มินาร์ตั้งใจจะสอนเขาว่าสายสัมพันธ์ไม่ได้ผูกพันกันเพียงแค่สายเลือดเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่การสร้างตัวตนขึ้นมาเพื่อผูกสัมพันธ์โดยเฉพาะด้วย

                แต่มันเกิดขึ้นจากความเป็นตัวเองของแต่ละคนที่มารวมอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเองแล้วปรับเข้าหากัน พอรู้แบบนี้แล้วมิ่งขวัญก็รู้สึกว่าโลกของเขาแผ่กว้างออกไปมากขึ้น

                โลกนี้ไม่ได้มีเพียงเขากับศร อีกต่อไปแต่มันมีทั้ง กวินทร์ ฟู มิกซ์แล้วก็คนอื่นๆ อีกมากมายที่คอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

                ทุกคนต่างก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันมาตั้งแต่แรก ต่างคนต่างพื้นเพกันแต่มาร่วมมือกันได้เพราะสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดไว้ด้วยกัน

                มิ่งขวัญพูด

                พี่น้องคือหนทางเดียวที่จะสร้างสายสัมพันธ์

                พูดใส่ช่องสื่อสารที่เชื่อมต่อกับทุกคน

                แต่ว่าฉันไม่ได้มีแค่ศรคนเดียวอีกแล้ว กวินทร์ ฟู มิกซ์ แล้วก็ทุกคนเรามาร่วมมือกันออกไปจากที่นี่เถอะ

                เสียงของ พวกพ้องขานตอบรับคำพูดของเขาดังระรัวมาจากหน้าจอสื่อสาร

                อื้อ

                อืม

     

                แล้วเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว

                งั้นก็ไปกันเลย

                มิ่งขวัญพูดแล้ววางนิ้วลงบนปุ่ม [ไม่]

     

                ทันใดนั้นหน้าจอที่ถามคำถามก็เปล่งแสงแล้วหายไป ไพ่อาคานาร์ปรากฏขึ้นมาแทนที่

                ไพ่อาคานาร์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

                บนหน้าไพ่อาคานาร์นั้นมีรูปของตนเองปรากฏอยู่บนหน้าไพ่

     

                นี่มันคืออะไรกันน่ะ

                มิ่งขวัญหยิบไพ่ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศขึ้นมาดู

                ตัวเขาบนหน้าไพ่นั้นแต่งตัวด้วยชุดสีฟ้าเหมือนกับตอนนี้แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป มีส่วนของผ้าพันคอสีแดงเพิ่มขึ้นมาแล้วด้านหลังก็มีเงาลางๆ ที่คล้ายกับตัวเองที่มีปีกของเทวทูต และ ตัวเองที่มีปีกของปีศาจ เหมือนกับสมัยก่อนที่ใช้เดม่อนแอพ มิคาเอล และ ลูซิเฟอร์

                มีเสียงจากคนอื่นในระบบสื่อสารที่พูดถึงไพ่อาคานาร์ที่ปรากฏออกมาหลังจากตอบคำถาม ดูเหมือนทุกคนจะได้ของแบบนี้มาเหมือนๆ กัน

                ในตอนนั้นเอง

                ชีวิตคือการพบพานและลาจาก ตรงกึ่งกลางของปลายทางทั้งสองคือการปกป้อง

                ก็มีเสียงพูดดังมาจากตัวไพ่

                เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูชอบกล เสียงของเด็กผู้หญิงท่าทางแก่นแก้วแต่เฉลียวฉลาดและซุกซน

                จูเนอร์มินาร์เหรอ

                มิ่งขวัญถามกลับไป

                ใช่แล้วพวกนายผ่านการทดสอบแล้ว

                แต่เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย

                นั่นน้องเธอเหรอ

                ก็อยู่กันทั้งคู่นั่นแหละ พวกนายผ่านการทดสอบแล้วแต่ก็แค่ครึ่งเดียวล่ะนะ ทีนี้ถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่

                เสียงของคนที่เป็นพี่สาวเงียบหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงไอเหมือนปรับน้ำเสียงดังขึ้น

                แล้วไพ่ก็พูดของมันต่อไป....

     

                ขณะเดียวกัน คำพูดนี้ก็กำลังพูดกับพวกพ้องทุกคน

                รวมถึงอิงศรที่อยู่ที่สวนศักดิ์สิทธิ์

                หลังจากกดปุ่ม [ไม่] บนหน้าจอไป

                อิงศรได้ให้คำตอบว่า ต่อให้ยอมเสียสละตัวเองเป็นซูลวานอยู่ที่นี่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

                ถึงจะยังไม่ชัดเจนว่าหลังจากตอบออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

                แต่ถึงจะยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร เขาเชื่อว่าคำตอบนี้จะถูกต้องอย่างแน่นอนแล้วก็เชื่อว่าพวกพ้องคนอื่นๆ ก็จะเลือกคำตอบที่ถูกต้องเหมือนๆ กัน

                อิงศรพูด

                ฉันไม่ได้มีพวกพ้องไว้เพื่อให้ตัวเองปกป้องพวกเขา ฉันไม่ได้อยากเลือกทางเสียสละเพื่อรับการสรรเสริญอะไรแบบนั้นหรอกนะ ฉันสร้างพวกพ้องขึ้นมาก็เพราะอยากจะอยู่ด้วยกัน อยากจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันเพราะงั้นฉันขอปฏิเสธ ฉันจะไม่กลายเป็นซูลวานแล้วก็จะร่วมกันกับทุกคนเอาชนะทั้งซูลวานทั้งราหูนั่นแหละคำตอบของฉัน

                ทันใดนั้นหน้าจอก็กลายเป็นไพ่อาคานาร์ลอยเข้ามาในมือข้างที่กดปุ่ม

                เสียงของดีเซมแมร์ดังออกมาจากไพ่

                ชีวิตคือการพบพานและลาจาก ตรงกึ่งกลางของปลายทางทั้งสองคือการปกป้อง เมื่อได้พบพานจงใช้ช่วงเวลาร่วมกันและปกป้องซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้แยกจากกันแต่การปกป้องนั้นไม่สามารถคงอยู่ไปได้ตลอดเหมือนกับพวกเราเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจะอยู่ปกป้องสวนทั้งหมดของผู้ควบคุมได้ตลอดไป ตอนนี้จึงถึงเวลาที่จะต้องส่งต่อให้ผู้สืบทอดแล้ว

                การเลือกของอิงศรทำให้เมอร์คาบาห์ขยับตัว

                ระหว่างนั้นคำพูดของดีเซมแมร์ก็ยังดำเนินต่อไป

                การทดสอบแห่งชีวิตนี้คือ การถามความหมายของชีวิตต่อพวกเจ้าทุกคน การเลือกทางเดินแล้วก้าวเดินต่อไปคือการมีชีวิต นี่คือคำตอบที่มีอยู่ในใจของพวกเจ้าทุกคนแล้ว บัดนี้ขอให้เข้าใจเอาไว้ว่าการเลือกหนทางคือการปกป้องชีวิตให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ผู้ที่จะปกป้องชีวิตก็คือ ผู้พิทักษ์นั่นเอง ผู้พิทักษ์ทั้งสิบสองพวกเจ้าผ่านการทดสอบแห่งชีวิตแล้ว

     

                เมอร์คาบาห์ยกแขนที่กางใบดาบรอไว้ขึ้นแล้วพูด

                ถึงอย่างนั้นทางนี้ก็ยังสังกัดกับความคิดที่จะคืนชีพซูลวานอยู่เหมือนกันคงเข้าใจดีนะ

                อิงศรมองวิถีของดาบแล้วก็รู้ว่าเมอร์คาบาห์ตั้งใจจะตัดแขนที่ถืออาคานาร์ให้ขาด

                ถ้าถูกเล่นงานในสภาพนี้คงได้ตอบโต้อะไรไม่ได้...

                เหล่า ผู้พิทักษ์รุ่นใหม่จงรับพลังนี้ไป

                แต่เสียงของดีเซมแมร์ก็ดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้วเช่นกัน

                อิงศรกำอาคานาร์นั้นไว้แน่น มันเป็นความหวังเดียวแล้ว

               

                แต่ถึงทำแบบนั้นไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าอย่างนั้นแขนข้างนี้ก็คงจะขาดกระเด็นและสูญเสียความหวังที่เพิ่งจะได้คว้ามาโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยซักอย่าง

                แต่ทว่า

                อึก

                เมอร์คาบาห์ชักสีหน้าแล้วบินทะยานขึ้นไปก่อนจะทันลงดาบ

                วินาทีถัดจากนั้นก็มีลำแสงพุ่งผ่านจุดที่เมอร์คาบาห์เคยอยู่เข้ามาหาไพ่อาคานาร์

                แสงสีรุ้งสิบเอ็ดสาย แสงเหล่านั้นพุ่งขึ้นจากพื้นตรงบริเวณที่ต้นไม้แห่งชีวิตเคยตั้งอยู่

                แสงรุ้งทะลวงผ่านความมืดมิดที่เริ่มปรากฏเป็นคุ้งให้เห็นบนพื้นที่บริเวณนั้น เหมือนกับตอนที่พวกพ้องถูกดูดหายลงไปยังดินแดนแห่งความตาย

                อิงศรคาดหวังว่าพวกพ้องของเขาจะกลับคืนมา แต่สิ่งที่พุ่งทะยานออกมาจากเวิ้งแห่งความมืดมิดนั่นกลับเป็น มือขนาดใหญ่ที่ต่อมาก้ลากเอาร่างซึ่งปกคลุมไว้ด้วยขน

                กอลิร่า...สัตว์เทวะงั้นเหรอ

                สิ่งที่พุ่งทะยานออกมาคือกอลิร่ายักษ์ที่สวมใส่ชุดสีขาวและมีปีกเหมือนทูตสวรรค์งอกอยู่บนแผ่นหลัง แล้วก็ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่พากันออกมาเป็นฝูง

                นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสัตว์เทวะอื่นๆ ที่เคยผ่านตา เคยต่อสู้ ผุดขึ้นมาจากเวิ้งความมืดกันไม่หยุด สัตว์เทวะแห่กันออกมามืดฟ้ามัวดิน

                สภาพของสวนศักดิ์สิทธ์ดูสิ้นหวังจนถึงจุดต่ำที่สุด แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมนก็ยังมีแสงสว่าง

                ยังมีความหวังอยู่

                จากเวิ้งแห่งความมืดนั่น มีแสงสว่างทอประกายสีทองอร่ามเปล่งประกายอยู่ อิงศรเพ่งสายตามองไปที่จุดที่แสงสว่างเปล่งประกาย

                พวกพ้องเขากลับมากันแล้ว

                พวกพ้องทุกคนกลับขึ้นมาพร้อมกับถือสิ่งที่เหมือนไพ่อาคานาร์ติดมาด้วย แล้วไพ่พวกนั้นก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสว่าง

                ทุกคนก็สอบผ่านสินะ

                ตอนนี้แหละรีบเอาออริจินอาคานาร์ใบนี้ติดตั้งลงกับอาวุธประจำตัวเลย

                เสียงของดีเซมแมร์เร่งมา ดูเหมือนว่าอาคานาร์ใหม่ที่ได้รับมาจะต้องใช้ร่วมกับอาวุธอย่างนั้นสินะ

                อิงศรจ้องมองไพ่อาคานาร์ในมือ

                หน้าไพ่นั้นไม่เหมือนกับอาคานาร์แบบที่ผ่านๆ มา แล้วมันก็มีรูปของเขาที่สวมใส่เครื่องประดับกับอุปกรณ์กลไกคล้ายปีกกำลังโบยบินอยู่เหนือท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยฝนดาวตก

                หากใช้มันแล้วก็จะได้รับพลังใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างมากมาแน่นอน เพียงแค่จับมันอิงศรก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนเข้ามาในร่าง

                อย่างไรก็ตามธนูของเขาไม่อยู่กับตัวมันหล่นหายไปตอนที่สู้กับเมอร์คาบาห์

                อิงศรกวาดสายตามองลงไป และเจอคันธนูตัวเก่งหล่นอยู่ใกล้ๆ กับที่มิ่งขวัญยืนอยู่

                ขวัญ ธนูฉัน!!

                อิงศรตะโกนสุดเสียง

                มิ่งขวัญแหงนหน้าขึ้นมองมาก่อนจะพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปเก็บคันธนู

                รับนะ!”

                มิ่งขวัญขว้างธนูขึ้นมา

                แต่เมอร์คาบาห์ที่หนีไปก่อนหน้านี้ก็วกกลับมาเช่นกัน

                ชิ

                อิงศรเดาะลิ้น

                แล้วต้องทำไงมั่งล่ะเนี่ย

                ไม่มีเวลาพอให้รับคันธนูตรงๆ แล้ว

                ตอนนั้นเอง เสียงของดีเซมแมร์ก็บอกถึงวิธีใช้งานอาคานาร์ใบนี้มา

                เอาไพ่ไปสัมผัสกับอาวุธสิ

                ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็พยายามยืดตัวอย่างเต็มที่ ยืดแขนที่ถืออาคานาร์ออกไปสุดตัว

                ขอแค่แตะก็พอสินะ ถ้าแค่นั้นคงทัน....

                คันธนูที่ลอยมาสัมผัสกับปลายของอาคานาร์ที่เขายื่นออกไป

                ตูม!!!!!!!!

                เกิดระเบิดขึ้น ใบดาบของเมอร์คาบาห์ยังไม่ทันจะตวัดก็มีบางสิ่งพุ่งออกไปจากดวงตะวัน

                สิ่งนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและแสงสว่างห่อหุ้มอยู่ตลอด ราวกับดาวหาง

                เมื่อมันหยุดเคลื่อนที่ แสงสว่างรอบตัวมันก็ดับมอดลงไปด้วย

                หน้าจอระบบปรากฏลอยอยู่เบื้องหน้าสิ่งนั้น และเขียนเอาไว้ว่า

     

                ‘ARTIFACT HYPEREALIZE’

     

                เมื่อกี้บอกว่าจะลองเดิมพันกับความเป็นไปได้สินะ

                ร่างของสิ่งนั้นกล่าว อิงศรที่เปลี่ยนไปเหมือนกับภาพบนหน้าไพ่พูด

                ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมเดิมพันได้แล้วซูลวานเพราะนี่คือความเป็นไปได้ของพวกเรา

                แล้วในวินาทีนั้นเอง อิงศรก็ได้ประกาศท้าทาย

     

                บทบาท ซึ่งขับเคลื่อนโลกราวกับเป็นฟันเฟือง

                ราวกับการเปิดเผยจากพระเจ้า

                แต่มนุษย์ได้ก้าวข้ามมันมาแล้ว นี่จะเป็นยุคสมัยของมนุษย์

     

                อิงศรดึงหมวกที่ถูกเพิ่มเข้ามาในชุดหลังจากแปลงร่างลง เงาจากปีกหมวกทำให้ใบหน้าที่กำลังพูดดูน่าเกรงขามขึ้นเล็กน้อย

                ก็อด เวพ่อน ซากิต้ามาเรเควียม (Sagita Marequiem) ”

                นั่นคือชื่อของอาวุธที่ได้รับพลังใหม่มา

                คันธนูกลายเป็นหน้าไม้ที่มีด้ามจับกับก้านสมดุลทำด้วยทองคำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเบาราวกับขนนก

                อิงศรจับมันอย่างทะมัดทะแมง แล้วเล็งหน้าไม้ใส่ เมอร์คาบาห์



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×