คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : Login 25 : ด้วยกันกับพวกพ้องในตอนนี้!
Login 25 : ด้วยกันกับพวกพ้องในตอนนี้!
พวกเขานอนเรียงกันสี่คนมีนานอนติดผนังเต็นท์ถัดมาคือเมษา
กวินทร์ แล้วก็อิงศร
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
แต่ยังไม่มีใครข่มตาหลับลง
เพราะเสียงระเบิดตูมตามกับเสียงร้องโหยหวนข้างนอกเต็นท์
กวินทร์ส่งเสียงครางออกมา
“งือ~~ หนวกหูแบบนี้จะไปหลับลงได้ยังไงกันครับเนี่ย”
แล้วเมษาก็พูดเสริมเข้ามาอีกว่า
“นี่ เอ่อ...คือว่าเจ้าพวกข้างนอกนั่นน่ะเดินตามกลิ่นเหยื่อมาใช่มะ
แล้วก็...นี่แค่สมมตินะ ”
เจ้าตัวหยุดคำพูดไปแวบหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่
“สมมติว่าถ้าเกิดมันหลุดจากกลิ่นล่อของเหยื่อขึ้นมามันจะพุ่งเข้ามาทำร้ายพวกเราระหว่างที่หลับกันรึเปล่า”
อิงศรตอบคำถามนั้นทันที
“ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นหรอก”
น้ำเสียงอันหนักแน่นของเขาได้สร้างความชื่นอกชื่นใจให้กับพวกพ้องไม่น้อยเลยทีเดียว
สีหน้าของทุกคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่อิงศรไม่รู้ถึงเรื่องนั้นแล้วพูดคำพูดที่ยังค้างไว้อยู่ออกมา
“...คิดว่างั้นนะ”
“เดี๋ยวสิคะ! ไหงกลายเป็นแค่คิดว่าไปได้ล่ะ”
มีนาที่นอนอยู่ข้างๆ เมษา ลุกพรวดขึ้นมา
จากนั้นเมษากับกวินทร์ก็พาลลุกขึ้นตามขึ้นมาด้วย
“แม้แต่นายยังไม่แน่ใจแล้วแบบนี้ใครมันจะหลับลงกันฟระ!”
“พี่ศรครับช่วยบอกทีเถอะว่าไอ้ที่พูดมาเมื่อกี้น่ะล้อกันเล่นใช่ไหมครับ!”
แต่อิงศรที่ลุกตามขึ้นมาส่งสายตาตำหนิไปยังทั้งสามคนพลางพูดว่า
“รู้บ้างไหมว่าชั้นอดนอนทั้งคืนเพื่อคิดแผนเก็บเลเวลให้ทันน่ะมันลำบากขนาดไหน
พวกที่ไม่ได้คิดอะไรเลยก็อย่ามาบ่นให้มากนัก”
หลังจากที่อิงศรด่าว่ากลับไปแบบนั้นก็ไม่มีใครตอบโต้อะไรออกมา
ฟิ้ว~ ตูม! ตูม! ฮูม!!
เสียงเอะอะยังคงดังมาจากทางด้านนอกของเต็นท์อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วถึงจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะความง่วงแต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาเองก็หลับไม่ลงเหมือนกัน
แล้วมีนาที่เหมือนพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศก็เปิดหน้าจอระบบแล้วหยิบของออกมาเป็นไพ่หนึ่งสำรับ
“ถ้ายังไงเล่นสลาฟฆ่าเวลาจนกว่าจะเริ่มง่วงกันดีไหมคะถ้าชินกับเสียงเมื่อไหร่เดี๋ยวก็นอนได้เอง”
“…”
ไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอของเธอ
ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นและเล่นไพ่กันเกือบจะตลอดทั้งคืน
เวลาผันผ่านไปถึงสามชั่วโมงด้วยกัน...
“รอบนี้ก็เป็นคิงอีกแล้ว ค่า!”
มีนาพูด
“รอบนี้ผมเป็นรองสลาฟซะแล้ว”
กวินทร์พูดพร้อมกับวางไพ่ใบสุดท้ายบนมือลงไปที่กอง
“ชักจะเบื่อๆ แล้วสิเล่นกี่ตาๆ มีนาก็ได้เป็นคิงตลอดแบบเนี้ย”
เมษาซึ่งได้ตำแหน่งควีนในรอบนี้เพราะวางไพ่หมดเป็นคนที่สองบ่นอย่างเหนื่อยหน่าย
พลางเหล่ตามองไปทางอิงศรที่ไพ่บนมือยังเหลืออยู่อีกหลายใบซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นผู้แพ้ในเกมรอบนี้และต้องกลายเป็นสลาฟในเกมรอบถัดไป
“แล้วนายก็เอาแต่เป็นสลาฟอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะเฮ้ย!”
พอได้ยินเมษาพูดมาแบบนั้น คิ้วของอิงศรก็ขมวดเข้าหากัน
“ก็นี่มันเป็นเกมวัดดวงนี่ไอ้ชั้นมันดวงกุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ถึงจะเป็นคำพูดแก้ตัวเพราะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้นี้แต่เขาก็อดนึกไปไม่ได้จริงๆ
ว่าตัวเองเป็นคนไร้ดวงสุดกู่เมื่อนึกถึงเรื่องที่พานพบมาตลอด
พอคิดอย่างนั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด
“ขออีกรอบ”
อิงศรพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
แววตาเอาจริงเอาจังราวกับว่ารอบนี้เขาจะต้องชนะ
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา
แล้วมีนาก็พูดว่า
“ถ้างั้นขอเริ่มรอบถัดไปเลยก็แล้วกันค่ะ”
หลังจากนั้นเกมก็ดำเนินไปท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่มีหยุด
อนิจจา
แม้ว่าอิงศรจะเอาจริงเต็มที่ซักเพียงใดแต่เขาก็ยังคงแพ้และเป็นสลาฟทุกตาเช่นเดิมแม้ว่าจะมีการเริ่มเกมใหม่ให้ทุกคนพ้นจาสถานะไปรอบหนึ่งแล้วก็ตาม
ลงท้ายแล้วก็ยังมีแต่อิงศรที่รักษาตำแหน่งสลาฟไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุด
มีนาเปิดหน้าจอระบบเพื่อดูนาฬิกา ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง
“พอแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะเดี๋ยวจะเช้าซะก่อน”
ทุกคนเห็นด้วยแม้ว่าอิงศรจะยังอยากแก้มืออยู่ก็ตามที
มีนาเก็บสำรับไพ่แล้วดับไฟฉายลง
เต็นท์ตกอยู่ในความมืด ทุกคนล้มตัวลงนอนแล้วพยายามข่มตาหลับ
แต่เสียงด้านนอกยังคงดังเอะอะอยู่เช่นเดิมจึงไม่มีใครทนข่มตาหลับลงได้แม้ว่าจะง่วงกันมากแล้ว
"ถ้ามีเพลงกล่อมซักหน่อยน่าจะดีขึ้นนะคะ"
มีนาเสนอขึ้นมาลอยๆ
แล้วกวินทร์ก็ลุกพรวดขึ้นมาเปิดหน้าจอ Inventory
"ผมมี MP3 อยู่จะลองเปิดเพลงดูนะครับ"
พูดพลางหยิบเครื่องเล่นMP3รูปร่างเหมือนแฟลชไดร์ฟออกมาจากหน้าจอแล้วกดปุ่มเล่นเพลง
เสียงเพลงดังกระหึ่มมากพอที่จะกลบเสียงจากข้างนอกได้ แต่ทว่า
"นี่มันเพลงฮิปฮอปนี่คะ"
มีนาพูดจากนั้นเมษาก็บ่นตามมา
"เพลงจังหวะเร็วแบบนั้นแทนที่ฟังแล้วง่วงจะกลายเป็นว่าคึกจนอยากเต้นแทนน่ะสิไม่ว่า
ไม่มีเพลงอื่นแล้วรึไง"
พอได้ยินแบบนั้นกวินทร์ก็กดปุ่มบนเครื่องเล่นMP3เปลี่ยนเพลงไปอีกหลายครั้งแต่ก็จบลงที่ทุกเพลงเป็นเพลงจังหวะเร็วฟังแล้วไม่ชวนง่วง ท้ายที่สุดจึงล้มเลิกแล้วเก็บเครื่องMP3ไป
"คืนนี้ท่าทางจะไม่ได้นอนซะแล้วล่ะมั้ง"
เมษาพูด
"คุณอิงศรคะเครื่องนั่นจะทำงานจนถึงกี่โมงเหรอคะ"
มีนาถามข้ามมาจากอีกฟากของเต็นท์
เขาตอบเธอกลับไปว่า
"เหยื่อกับทุ่นระเบิดน่าจะเหลือถึงพรุ่งนี้เช้าพอดีน่ะ"
จากนั้นเมษาก็สรุปออกมา
"งั้นคงไม่ได้นอนแล้วล่ะมั้งเนี่ย"
"..."
ทุกคนก็คิดแบบนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนทนข่มตาหลับท่ามกลางเสียงหนวกหูนี้
อิงศรคิด...
คิดว่าหากปล่อยเอาไว้แบบนี้พวกเขาจะเหลือเรี่ยวแรงไปสู้ต่อในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า
เขาควรจะทำอะไรซักอย่าง
พอคิดแบบนั้นหน้าจอInventoryก็เปิดออกแสงไฟจากหน้าจอสะท้อนไปทั่วเต็นท์ทำให้อีกสามคนรู้ว่าเขากำลังหาอะไรบางอย่าง
หลังจากไล่สายตาดูรายการของที่เก็บไว้ไปพักหนึ่งเขาก็เจอเข้ากับของที่น่าจะใช้ได้จึงหยิบมันออกมาแล้วปิดหน้าจอไป
เด็กหนุ่มลุกจากที่นอนขึ้นมาอยู่ในท่านั่งจากนั้นก็คาบฮาโมนิก้าไว้ในปากแล้วเป่า
ท่วงทำนองอันไพเราะหลั่งไหลออกมาขับกล่อมผู้ฟัง
ทำนองเสนาะหูชวนใฟ้เคลิบเคลิ้มเสียจนลืมเสียงดังด้านนอกไป
พอเป่าจนจบเพลงอิงศรจึงหยุดเพื่อตรวจดูสภาพของทุกคนว่าหลับกันไปแล้วหรือยังแต่ดูเหมือนว่าเพลงที่เขาเป่าจะให้ผลตรงกันข้ามแทน
เขาหันไปทางที่ทั้งสามนอนอยู่และพบว่าทุกคนจ้องเขาตาไม่กระพริบ
"เฮ้ ชั้นว่าที่เป่าไปก็ไม่ได้แย่ขนาดทำให้พวกนายตื่นกันหมดหรอกนะ"
อิงศรพูดแต่ก็รู้สึกไม่มั่นใจกับคำพูดนั้นเหมือนกัน
มีเสี้ยวความคิดหนึ่งที่เผลอนึกไปว่า 'หรือตัวเขาจะเป่าได้แย่ขนาดหลับกันไม่ลงจริงๆ'
แต่แล้วเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะทุกคนต่างก็ส่ายหน้าเหมือนบอกเป็นนัยว่าไม่ใช่อย่างที่เขาบอก
มีนาเริ่มออกปากชมก่อน
"ไม่ได้แย่หรอกค่ะออกจะไพเราะจนหยุดฟังไม่ได้เลยต่างหาก"
จากนั้นเมษาก็พูดตามมา
"ก็โอเคกว่าฟังเพลงฮิปฮอปกล่อมนอนล่ะนะ"
"พี่ศรขอผมลองเป่ามั่งสิครับ"
กวินทร์พูดแววตาเป็นประกายราวกับเด็กเห็นของเล่น
มีเสียงเหมือนอะไรซักอย่างขาดดังผึง
"เฮ้ย!!
ชั้นเป่ากล่อมให้พวกนายนอนนะว้อยแล้วไหงฟังแล้วดันแอคทีฟกว่าเดิมหา!"
อิงศรหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่พอทำแบบนั้นแล้ว มีนา เมษา กวินทร์
ต่างก็พากันหัวเราะดังลั่นเต็นท์
"หัวเราะอะไรกัน"
อิงศรพูดน้ำเสียงกระแทกกระทั้นจนรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่
แต่เจ้าพวกนั้นยังคงหัวเราะไม่หยุดจนเขาเริ่มจะงงไปหมดแล้ว
"ฮะๆๆ ในที่สุดก็ได้เห็นหน้านายตอนฟิวขาดซักที"
เมษาพูดไปกลั้นขำไป
"ข...ฮะๆๆ ขอโทษ ฮะๆๆ ครับพี่ศร"
กวินทร์ฝืนพูดออกมาทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุดจนพูดไม่รู้เรื่อง
จากนั้นมีนาที่หยุดหัวเราะได้ก็พูดเล่าสาเหตุที่พวกเธอหัวเราะกันน๊อตหลุดให้ฟัง
"เราคุยกันเมื่อตอนเย็นน่ะค่ะระหว่างที่คุณอิงศรไม่อยู่ว่าอยากเห็นหน้าเป็นของคุณซักครั้งเพราะว่าคุณอิงศรน่ะคล้ายๆ
กับพี่สิงห์ก็เลย..."
แต่อิงศรก็พูดแทรกขัดคำพูดของเธอ
"ก็เลยเอาชั้นไปเปรียบกับเจ้าสิงห์แทนงั้นเรอะ"
มีนาพยักหน้าตอบคำถามนั้น
"ค่ะเพราะว่าคุณอิงศรมีส่วนคล้ายกับพี่สิงห์ถึงได้น่าแกล้งไงคะ"
พอได้ยินคำตอบแบบนั้นจากปากของมีนา
มีส่วนคล้าย...
ตรงไหนกันนะที่เจ้าพวกนี้มองว่าคล้ายกับเจ้าคนหน้าตายพรรค์นั้น
ถ้าจำไม่ผิดพันโทข้าวหลามก็เหมือนจะชอบพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ
ว่าแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดจนง่วงขึ้นมา
แถมกวินทร์ยังเอาแต่จ้องมาที่ฮาโมนิก้าอย่างสนอกสนใจจนน่าคิดว่าคืนนี้คงไม่มีใครยอมนอนดีๆ
กันแล้ว
อิงศรถอนหายใจ
"งั้นนายเอาไปเป่าเองเลย"
พูดแล้วยัดฮาโมนิก้าใส่มือกวินทร์
"ชั้นจะนอนก่อนล่ะ"
จากนั้นก็ล้มตัวนอนทันทีโดยหันหลังให้และไม่คิดสนใจทั้งสามคนนั้นอีก
"..."
ภายในเต็นท์เงียบสนิทจนเริ่มจะได้ยินเสียงโครมครามจากข้างนอก
ตอนที่คิดว่าเจ้าพวกนั้นคงหายคึกแล้วกลับไปนอนกันหมดแล้วนั่นเองก็มีเสียงฮาโมนิก้าบรรเลงขึ้นมา
เป็นทำนองที่เหมือนกับที่เขาเป่าไม่มีผิดเพี้ยน
อิงศรไม่ได้หันกลับไปดูว่าใครที่เป็นคนเป่าฮาโมนิก้า
ถ้าหากว่านั่นคือกวินทร์แล้วล่ะก็ความสามารถทางดนตรีของหมอนี่ก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เสียงฮาโมนิก้าบรรเลงไปอย่างลื่นไหลขับกล่อมจนเกือบจะผลอยหลับไปแล้วแต่ทว่า
ปี๊!!
มีเสียงแหลมปรี๊ดดังมาทำนองเพลงก็หยุดบรรเลงไปด้วย
อิงศรพลิกตัวกลับไปดู
มีนากับเมษาทั้งสองคนกำลังมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียงนั้น
กวินทร์พูดว่า
"ขอโทษครับพอดีท่อนเมื่อกี้มันยากไปก็เลยเป่าเพี้ยน”
เด็กหนุ่มพูดอย่างเขินอาย
ที่พลาดท่อนเมื่อครู่ไปนั้นเหมือนกับมิ่งขวัญไม่มีผิด...
เป็นทำนองท่อนเดียวกันและเสียงเพี้ยนผิดคีย์เหมือนกันถึงจะมีความแตกต่างของเสียงอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะเครื่องดนตรีที่ใช้เป็นคนละอันกันก็ตามที
แวบหนึ่งที่มีความรู้สึกอยากจะพูดว่า ‘ท่อนนั้นมันคงยากไปสินะเพราะขวัญก็พลาดตรงนั้นเหมือนกัน’
ออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสามคนไม่รู้จักมิ่งขวัญ
ไม่รู้ถึงอดีตของเขาดังนั้นความคิดจึงหยุดชะงัก
ตอนนั้นเองเมษาก็พูดขึ้นมาทั้งที่ยังนอนหนุนแขนตัวเองว่า
“มันจะยากจริงเร้อ นายเป่าไม่เป็นเองมากกว่ามั้ง”
กวินทร์สวนกลับไปทันที
“งั้นพี่เมษาก็เป่าได้สินะครับ”
ด้วยวาจาท้าทาย
“ท่อนนั้นน่ะยากนา ขนาดขวัญมันยังเป่าผิดเลย...”
อิงศรเผลอหลุดปากออกไป
คำพูดชวนชวนหงุดหงิดของเมษาเมื่อครู่นั้นเขาก็รู้ว่ามันเป็นแค่การพูดหยอกล้อกันล่นๆ
แต่กลับเผลอตัวโต้ตอบ เขากำลังปล่อยใจไปกับอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
สายตาของทั้งสามคนเบี่ยงมาที่เขาแล้ว ควรจะตอบโต้อย่างไรดี
ใบหน้าที่ดำทะมึนเพราะความมืดภายในเต็นท์ของมีนากลับมีรอยฟันสีขาวปรากฏขึ้น
หล่อนกำลังฉีกยิ้ม?
อิงศรรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก
“ขวัญเนี่ยใครเหรอคะ”
น้ำเสียงของหล่อนฟังดูชอบกล ดูเหมือนว่าสังหรณ์ของเขาจะเดาถูก
“ขอสั่งในฐานะพระราชาค่ะคุณอิงศรซึ่งเป็นสลาฟไม่มีสิทธิ์จะขัดขืนเด็ดขาด
จงเลามาซะดีๆ นะคะ”
น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ ยัยคนนี้ถึงจะเถียงไปก็ไม่ชนะ
ถึงจะหนียังไงก็คงตามตอแยไม่เลิก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะเล่าให้ฟังทั้งหมด
เล่าให้กวินทร์และเมษาที่อยู่ที่นี่ฟังไปด้วยก็ไม่เป็นไร
เพราะยังไงก็เป็นทีมเดียวกันปิดบังเรื่องส่วนตัวไปก็ไม่มีความหมาย
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ลึกๆ
ในใจเขารู้ตัวดีว่าถ้าเป็นสามคนนี้ถึงจะเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น
เขาไว้ใจเจ้าพวกนี้ถึงขั้นนั้นแล้ว ขนาดตัวเองยังตกใจเลยด้วยซ้ำไป
อิงศรชันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต
“เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ เอาเป็นสี่ปีก่อนก็แล้วกัน
วันที่โลกล่มสลายเป็นวันเกิดของน้องชายชั้นหมอนั่นชื่อว่ามิ่งขวัญ...”
อิงศรเล่าไปทั้งหมดตั้งแต่เรื่องความยากลำบากในการปรับตัวกับโลกหลังการล่มสลาย
การพบเจอกับพวกพ้องใหม่ที่ให้ความสำคัญกันราวกับเป็นครอบครัว
เล่าไปจนถึงตอนที่ทุกอย่างถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาว
เล่าถึงความผิดบาปของตัวเองที่หนีรอดมาเพียงลำพัง
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบลง
“...แล้วชั้นก็ถูกสิงห์เก็บไปแค่นี้แหละ”
อิงศรรู้สึกได้
ว่าในทันทีที่เขาเล่าจบบรรยากาศของเต็นท์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
สายตาที่จ้องมานั้นแม้จะถูกความมืดบดบังแต่ก็รับรู้ได้ว่าทั้งสามคนกำลังแสดงออกในทางสงสารหรือไม่ก็อาจจะเข้าใจไปเองบางทีพวกนั้นอาจจะกำลังสมเพชเขาอยู่ก็ได้
จากนั้นมีนาก็พูดถึงเรื่องที่หล่อนไม่น่าจะรู้ได้
“ว่าแต่ภารกิจคุ้มกันหน่วยส่งเสบียงนั่นตอนนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่รึเปล่าคะ”
ทำไมจู่ๆ หล่อนถึงได้พูดเรื่องนี้
ไม่สิที่จริงเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครรู้นอกจากพวกระดับสูง
แต่ถ้าคิดว่าเธอไปฟังมาจากสิงห์... บางทีคงจะเป็นพันโทข้าวหลามมากกว่า
ถ้าอย่างนั้นการที่หล่อนรวมถึงเมษาที่อาจจะรู้เรื่องไปด้วยมันก็ไม่แปลก
“ข่าวรั่วมาจากเจ้าหัวทองนั่นเรอะ”
แต่มีนาปฏิเสธทันที
“ไม่ค่ะฉันสืบมาเอง”
เด็กสาวยังคงพูดต่อไป
“แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณอิงศรเสียเพื่อนไปในภารกิจนั้น”
พลาดซะแล้ว... ยัยนี่จงใจให้เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเพื่อหวังอะไรซักอย่าง
แต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอหวังนั้นคืออะไร ดังนั้นจึงคิดตามน้ำไปก่อน
“แล้วอยู่ๆ
มาถามกันแบบนี้เธอคงจะคิดตอกย้ำกันสินะเพราะชั้นเพิ่งเล่าเรื่องตัวเองทิ้งน้องชายเพื่อหนีเอาตัวรอดมา...”
แต่ก็ผิดคาดเมื่อหล่อนตะคอกกลับมา
“ไม่ใช่ค่ะ!”
“…”
ไม่เพียงแต่เขาที่ตกใจ
ดูเหมือนว่าแม้แต่เมษาที่เป็นฝาแฝดกับเธอก็ยังพลอยตกอกตกใจกับการขึ้นเสียงเมื่อครู่เช่นกันราวกับว่าที่ผ่านๆ
มาเธอไม่เคยจะทำเรื่องแบบนั้น
มีนาลดเสียงลงแล้วพูดต่อไปว่า
“ฉันน่ะไม่ได้คิดจะตอกย้ำหรืออะไรทั้งนั้นนั่นแหละค่ะ
แค่อยากให้คุณอิงศรเปิดใจกับพวกเราให้มากกว่านี้ พวกเราน่ะเป็นพวกพ้องกันนะคะ
แล้วคุณคิดจะเอาแต่ขุดหลุมฝังตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“…”
อิงศรไม่สามารถตอบโต้ได้
ก็เธอคนนี้สิงห์ส่งมาเพื่อจับตาดูเขาเอาไว้ไม่ใช่หรือ
ถ้าอย่างนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องตีสนิทกันซะขนาดนี้
หรือว่านี่ก็แผนที่วางเอาไว้ด้วย เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรในเวลาแบบนี้
ตอนนั้นเองเมษาก็ลุกขึ้นมา
“ชั้นก็เห็นด้วยนะ”
แล้วพูดสนับสนุนพี่สาวฝาแฝด
“ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมนายถึงได้ชอบทำเป็นเก๊กแล้วก็ทำตัวเหินห่างแต่ได้ฟังไอ้เมื่อกี้เข้าไปก็พอจะรู้แล้ว…นายน่ะกลัวที่จะมายุ่งเกี่ยวกับพวกเราหรือกับใครก็ตามที่นายเห็นว่าสำคัญเพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะตายจากไปอีกอย่างนั้นสินะ”
“…”
“ให้ตายสิ ไอ้คนแบบนี้ว่าเจอมานักต่อนักแล้วนะ
แต่นายเนี่ยอาการหนักที่สุดแล้วมั้ง ตอนนี้พวกเราทุกคนเชื่อใจนายแล้วนะเพราะงั้นนายเองก็ช่วยเชื่อใจพวกเราบ้างสิ”
เมษาพูดมาอย่างนั้น
ทั้งที่เมื่อกลางวันยังทำเป็นตั้งแง่กันอยู่แท้ๆ ถ้าหากเขาไม่ไปช่วยเอาไว้
เจ้าตัวกับอีกสองคนที่เหลือคนไม่ได้มานั่งจ้อกันอยู่ตอนนี้หรอก
“เชื่อใจ...ถามจริงเถอะถ้าชั้นบอกว่าในภารกิจคุ้มครองหน่วยส่งเสบียงนั่นเพื่อเอาตัวรอดในวิกฤติตอนนั้นมาชั้นน่ะฆ่าคนไปตั้งลายสิบคนด้วยมือของตัวเองเชียวนะแถมคนพวกนั้นยังเป็นแค่เด็กด้วยซ้ำแล้วแบบนั้นยังจะกล้าพูดอีกไหมว่าเชื่อใจไอ้ฆาตกรโรคจิตนี่น่ะ”
พอได้พูดออกไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี เพราะคำพูดเมื่อครู่นั้นเหมือนจะบอกใบ้กันกลายๆ
ว่าตัวเขาควบคุมแอพติดตั้งปีศาจไม่ได้เพราะงั้นถึงได้พยายามไม่เข้าใกล้
เพราะถ้าหากว่าสนิทกันมากๆ
เข้าแล้วล่ะก็หากวันที่เขาถูกปีศาจยึดร่างไปได้แล้วถ้าหากว่ามันไม่มีทางที่จะแก้ไขแล้วล่ะก็
ถึงตอนนั้นเจ้าพวกนี้จะทำใจกำจัดเขาได้ลงคอหรือ แต่เขาเองก็ลืมไปเหมือนกันว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำคงจะเข้าใจไปแบบผิวเผินตามคำพูดนั่นแหละ
“สิบห้าครับ”
จู่ๆ กวินทร์ก็พูดแทรกขึ้นมา
“ไม่สิถ้านับตอนที่ไปจัดการพวก P.K. น่าจะเกินสามสิบไปแล้วมั้ง”
เด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าเพียงหนึ่งปีกำลังนับนิ้วและบอกจำนวนของอะไรบางอย่าง
เมษาทำหน้าเหมือนจะรู้ว่ากวินทร์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ยังห่างชั้นกันเยอะนะไอ้น้องของชั้นน่ะเกินร้อยคนไปแล้วก็พวกชั่วๆ
มันมีกันเยอะนี่เนอะ”
พูดเสร็จก็หันไปทางมีนา
ท่ามกลางความมืดของเต็นท์เหมือนจะเห็นรอยยิ้มจางๆ จากปากของเด็กสาวแล้วเธอก็พูดว่า
“ถ้าคุณอิงศรเป็นฆาตกรโรคจิตงั้นพวกฉันก็เป็นสัตว์นรกมาเกิดแล้วล่ะค่ะ
ท่ามกลางโลกที่กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วการจะฆ่าหรือถูกฆ่ามันไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครที่สำคัญมันอยู่ที่ว่าฆ่าเพื่ออะไรต่างหาก
แล้วคุณอิงศรเองก็ไม่ได้เต็มใจด้วยใช่ไหมล่ะคะ”
“…”
อิงศรไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
มีแต่เพียงความเงียบที่ดำเนินไปพร้อมกับเสียงตูมตามจากด้านนอกเต็นท์
ลงท้ายพวกเขาก็ค้างกันไว้แค่นั้นแล้วแยกย้ายกันนอน ในตอนที่เกือบจะย่ำรุ่ง
คืนนั้นอิงศรฝัน
ภายในความฝันเป็นห้องที่คุ้นเคย
รูนรูมนั่นเอง
เช่นเคยพื้นที่เบื้องหน้าทิศที่เขาหันไปตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่จะต้องมีเก้าอี้โซฟาเก่าๆ
ตัวหนึ่งวางอยู่เหมือนกับถูกกำหนดจุดยืนตรงนี้ตายตัวไปแล้ว
และบนเก้าอี้นั้นชายผู้เรียกตัวเองว่า 'ผู้ถูกลืมเลือน'
ก็มักจะอยู่ที่นั่นเสมอ
ผู้ถูกลืมเลือนไม่ได้ทักทายก่อนเหมือนทุกครั้งแต่กำลังง่วนกับอะไรบางอย่างบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเขา
อะไรบางอย่างที่ว่าคือไพ่
ผู้ถูกลืมเลือนกำลังดึงไพ่ออกจากกองที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะมาวางเรียงแบบทวนเข็มนาฬิกาล้อมกองไพ่เอาไว้โดยให้ไพ่หงายหน้าขึ้น
"ความตั้งใจของเธอคือไพ่ใบนี้"
ผู้ถูกลืมเลือนพูดมาอย่างนั้นแล้วเปิดไพ่ใบบนสุดของกอง
แต่ไพ่กลับมีหน้าที่ไม่เหมือนกับใบอื่นๆ
ความจริงมันเป็นไพ่ที่ด้านหลังไม่เหมือนกับไพ่ในกองเป็นสีดำสนิทตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เปิดออกมาแล้วและเขาเองก็เห็นแต่ไม่ได้บอกออกไป
"อาคาน่า ดิ เอ็มเพอเรอร์"
อิงศรมองดูไพ่ที่มีหน้าเป็นรูปชายแก่กับบัลลังค์ที่เป็นฉากหลังของไพ่จึงอนุมานไปเองว่าชายแก่ในรูปคือพระราชา
"อาคาน่า? หมายถึงไพ่ที่ไว้ใช้ดูดดวงเหรอ"
อิงศรถามออกไป
แต่ผู้ถูกลืมเลือนกลับตอบว่า
"ดูดวง?"
น้ำเสียงของเขาเหมือนจะบอกว่าไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ว่า
อีกแล้ว...เหมือนกับตอนที่เจอกันครั้งแรกในห้องนี้ตอนที่ต้องอธิบายคำว่า 'ยุ่งยาก'
อิงศรทำใจเย็นแล้วพยายามอธิบาย
"เอ่อ...แบบว่าเป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้ทำนายดวงชะตาหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตน่ะแต่เอามาบอกกับนายที่ส่งภาพอนาคตของคนอื่นมาให้แบบนี้มันก็ออกจะยังไงๆ
อยู่นะ"
"อย่างนี้นี่เองพอจะเข้าใจแล้วล่ะ"
น่าผิดคาดที่หนนี้เจ้าตัวยุ่งยาก กลับเข้าใจได้ง่ายๆ ซะอย่างนั้น
"วันนี้ผมเรียกเธอมาเพราะจะถามเรื่องของอาคาน่าใบนี้"
ผู้ถูกลืมเลือนพูดเข้าเรื่องทันที ดูร้อนใจกว่าทุกทีจนน่าสงสัย
"แปลกๆ นะวันนี้ทุกทีต้องให้ชั้นถามไม่ใช่เรอะ”
แต่ผู้ถูกลืมเลือนเมินคำพูดเขาแล้วกล่าวต่อไปว่า
“ดิ เอ็มเพอเรอร์ หมายถึงการปกครอง ผู้เป็นราชาย่อมสละทิ้งซึ่งความรู้สึกส่วนตนเพื่อปกครองราษฎรแต่ว่านั่นจะทำให้ราษฎรไม่เข้าใจในตัวพระราชาแล้วกลายเป็นทรราชไป”
“นี่พูดถึงเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“เธอน่ะเป็น ดิ เอ็มเพอเรอร์ ที่หันหัวตั้งขึ้นหรือว่ากลับหัวกันแน่นะ”
พระราชา ไพ่ ราษฎร
คำสามคำวนเวียนอยู่ในหัวจากนั้นสิ่งที่สรุปออกมาได้เป็นอย่างแรกก็คือ
“นายหมายถึงสลาฟเหรอ?”
อิงศรพูดสิ่งที่คิดว่าน่าจะใช่
แต่ผู้ถูกลืมเลือนกลับตีหน้ามึน
“สลาฟ...มันคืออะไรเหรอ”
สรุปว่าไม่ใช่สินะ
“มันเป็นเกมที่เล่นด้วยไพ่น่ะ...โทษทีพอดีวันนี้ชั้นนอนไม่ค่อยพอสมองก็เลยไม่ค่อยแล่น”
แถมยังเจอเรื่องพรรค์นั้นก่อนจะเข้านอนอีก
อิงศรนึกถึงคำพูดของเจ้าพวกนั้น
“แค่อยากให้คุณอิงศรเปิดใจกับพวกเราให้มากกว่านี้
พวกเราน่ะเป็นพวกพ้องกันนะคะ แล้วคุณคิดจะเอาแต่ขุดหลุมฝังตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“ตอนนี้พวกเราทุกคนเชื่อใจนายแล้วนะเพราะงั้นนายเองก็ช่วยเชื่อใจพวกเราบ้างสิ”
รวมถึงคำพูดของมิ่งขวัญที่เคยเจอในความฝันก่อนจะเจอกับผู้ถูกลืมเลือน
“ค่อยยังชั่วหน่อยเนอะในที่สุดศรก็เลิกลังเลแล้วก้าวต่อไปได้ซักทีแถมยังได้เพื่อนใหม่แล้วด้วย”
แล้วตอนนี้เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกันอยู่
เรื่องที่เขายึดติดกับอดีตจนไม่ยอมก้าวต่อไป
เคยได้ยินมาว่าการหันหัวขึ้นหรือกลับหัวลงของไพ่ทำนายดวงนั้นจะมีความหมายตรงข้ามกัน
ถ้าคิดถึงเรื่องเมลล์ตัวจับเวลาตายแล้ว
การที่ผู้ถูกลืมเลือนบอกว่าความตั้งใจของเขาคือไพ่ของพระราชา...ถูกถามว่า
‘หันหัวขึ้น’ หรือ ‘กลับหัวลง’ ก็อาจจะเป็นการบอกใบ้ถึงเรื่องในอนาคตด้วยก็ได้
นี่อาจจะเป็นทางแยกที่จะตัดสินอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสนใจของผู้ถูกลืมเลือนเหมือนจะเบี่ยงประเด็นไปซะแล้ว
เด็กหนุ่มผมขาวรวบไพ่ทุกใบกลับเข้ากอง
“สลาฟเนี่ยเล่นยังไงเหรอ”
พูดพลางรออย่างใจจดใจจ่อให้เขาพูดถึงเรื่องเกม
พอเห็นแบบนั้นแล้วที่เขานั่งเครียดคิดไปถึงไหนต่อไหนอยู่นานสองนานนี่มันเพื่ออะไรกัน
“ถ้าเธอไม่สอนผมล่ะก็จะไม่ได้กลับออกไปนะ”
คำพูดนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นคำขู่
ดังนั้นไม่ทำคงจะไม่ได้ แต่กติกาสลาฟนั้นต้องเล่นกัน 3
คนขึ้นไปที่นี่มีกันคี่พวกเขาสองคน คงเเล่นไม่ได้อยู่ดี
เวลาหกโมงตรง
ผ้าใบเต็นท์สะท้อนแสงแดดจนมีสีอ่อนลง
แสงทำให้ภายในเต็นท์เริ่มสว่าง
มีนาตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก
จากนั้นเธอก็กวาดสายตาสำรวจภายในเต็นท์ เมษาและกวินทร์ยังคงหลับสนิท
แต่ที่นอนของอิงศรกลับว่างเปล่า
‘หรือว่าจะหนีไปแล้ว’
แวบหนึ่งที่เด็กสาวคิดไปอย่างนั้น
เพราะเมื่อคืนพวกเธอไปพูดจากดดันไล้บี้จิตใจของอิงศรจนเขาทนไม่ได้และหนีไป
มีนาปลุกอีกสองคนที่ยังหลับอยู่
“ตื่นเร็วค่ะคุณอิงศรไม่อยู่แล้วนะคะ!”
จากนั้นเธอก็พุ่งไปที่ทางออก
ม่านผ้าใบที่คลุมปิดทางเข้าออกเต็นท์ถูกเลิกขึ้น
ใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาวโผล่ออกมาจากข้างหลังม่านนั่น หล่อนชะงักอยู่แค่นั้น
เพราะชายที่คิดว่าหนีไปแล้วนั้น กำลังยืนอยู่ข้างนอกนี่เอง
อยู่ตรงหน้าโกดังหันหน้าเข้าหาประตูที่ล้นไปด้วยไอเท็มจำนวนมหาศาลจนแทบจะกลบโกดังทั้งหลัง
“ก็ยังอยู่นี่ตีโพยตีพายอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย”
เมษาที่ยื่นหัวออกจากเต็นท์ตามมาติดๆ กล่าว
จากนั้นกวินทร์ก็มุดออกมาอีกคนแล้วกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่ศรตื่นเร็วจัง”
พูดพลางใช้มือขยี้ตาด้วยใบหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่น
อิงศรหันกลับมาแล้วเริ่มพูด
“ตื่นกันแล้วสินะรีบลุกมาช่วยกันแบ่งเจ้าพวกนี้เถอะชั้นคนเดียวคงทำไม่ไหวหรอกนะ”
จากนั้นเขาก็พูดคำพูดที่หากเป็นตัวเองก่อนหน้านี้คงจะเลี่ยงไม่พูดมันออกมา
“ฝากด้วยล่ะเชื่อใจพวกนายนะ”
ทั้งสามที่ได้ยินดังนั้นก็พากันมองหน้าด้วยความงุนงงแต่มันก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าสดใสในทันที
“งั้นหารสี่นะ”
เมษาพูด
“คลังผมยังว่างอีกเยอะถ้ายัดไม่พอโยนมาได้นะครับ”
กวินทร์พูด
“อันไหนของผู้หญิงฉันเหมานะคะ”
มีนาพูด
เฉพาะตอนนี้จะลองเชื่อดูอีกซักครั้ง
ไม่ใช่ในฐานะของราชาที่ปกครองราษฎร ไม่ใช่ในแบบครอบครัว แต่เป็นพวกพ้อง ตอนนี้จะลองเชื่อแบบนั้นดูอีกสักครั้ง
จากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาทั้งหมดของช่วงเช้าไปกับกองไอเท็ม
พลางแลกบทสนทนากันอย่างออกรส
เมษาพูด
“เพราะเมื่อคืนมืดสนิทเลยไม่ทันสังเกตว่าเลเวลขึ้นมากันขนาดนี้แล้วนะเนี่ย”
อิงศร
Lv. 49
[/////3000:3000/////]
กวินทร์
Lv. 48
[/////4100:4100/////]
มีนา
Lv. 48
[/////3500:3500/////]
เมษา
Lv. 49
[/////5850:5850/////]
มีนาสอดส่ายสายตาอย่างซุกซน เธอสำรวจระดับเลเวลของทุกคนจากนั้นจึงสรุปออกมา
“นอกจากคุณอิงศรที่อัพขึ้นมาเจ็ดเลเวลแล้วพวกชั้นอัพกันขึ้นมาคนละแปดเลเวลเลยนะคะทั้งที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลยคุณอิงศรก็หัวเสเหลือเกินนะคะที่คิดแผนแบบนี้ขึ้นมาได้น่ะ”
แต่อิงศรกลับพูดแย้งคำชมของเธอ
“ถ้าจะขอบคุณล่ะก็ไปขอบคุณพี่ชายหน้าตายเธอเหอะ รายนั้นน่ะเขาจัดฉากเอาไว้หมดแล้วล่ะปานนี้คงกำลังนั่งจิบกาแฟไปบ่นไปว่า”
แล้วทำเสียงพูดเลียนแบบสิงห์
“ชั้นจัดใส่พานให้แกหมดแล้ว เอาล่ะขอดูหน่อยเถอะว่ามีกึ๋นพอจะใช้เจ้าพวกนั้นได้รึเปล่า
อยู่ล่ะมั้ง”
มีนาที่เห็นแบบนั้นก็อดที่จะกลั้นขำไม่ได้
จากนั้นกวินทร์ก็พูด
“แบบนี้น่าจะทันเวลานะครับเผลอๆ อาจจะเลเวลหกสิบแล้วยังเหลือเวลาก่อนเรดบอสมาซะอีก”
อิงศรแย้งกลับไปเช่นกัน
“เสียใจด้วยนะแต่ว่าเราไม่มีของเหลือพอจะทำกับดักอีกแล้วล่ะ แถมหลังจากนี้ยังต้องเจอกับกำแพงเลเวลห้าสิบอีกพวกสัตว์เทวะรายทางน่ะไม่พอเลเวลพวกเราหรอก”
แล้วมีนาก็พูดตามมาทันที
“หรือสรุปก็คือจากวันนี้ไปเราจะต้องเก็บเลเวลกันลากเลือดเลยสินะคะ”
พอได้ยินแบบนั้นสีหน้าของกวินทร์ก็เปลี่ยนทันควัน
“ฟังดูแล้วชักอยากกลับบ้านขึ้นมาเลยล่ะครับเนี่ย”
แล้วทุกคนก็หัวเราะ กระทั่งอิงศรก็ด้วยเช่นกัน
บางทีการเป็นผู้ใหญ่อาจจะไม่ได้หมายถึงการกดข่มอารมณ์ไปซะทั้งหมดหรือการปิดกั้นตัวเองจากใคร
แต่อาจหมายถึงการรู้จักที่จะใช้อารมณ์อย่างถูกวิธีการรู้จักที่จะยอมรับความผิดพลาดแล้วก้าวเดินต่อไป
หลายวันต่อมา...
มิ่งขวัญเพิ่งถูกปล่อยตัวจากตรวจร่างกายของรูบิเดียม
เป็นการตรวจเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่กลายมาเป็นมนุษย์ต่างดาว
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากประตูห้องที่เพิ่งปิดลง
เขายืนอยู่บนทางเดินยาวที่ขนาบด้วยผนังสีขาวสองด้าน
จากทางซ้ายมีใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ มิ่งขวัญหันไปมอง
ผู้หญิงที่มาสร้างความวุ่นวายในห้องทดลองของรูบิเดียมเมื่อคราวก่อน
โซเดียมนั่นเอง
หล่อนเดินเข้ามาหาแล้วจ้องมาด้วยสายตาใต้กรอบแว่นที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อยากไปหาพี่ชายไหม”
หล่อนพูดมาอย่างนั้น
มิ่งขวัญตาเบิกกว้าง
แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่จะออกจากปากของเธอคนนี้
ความคิดเห็น