ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #27 : Login 25 : ด้วยกันกับพวกพ้องในตอนนี้!

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.14K
      57
      19 ก.ย. 59

    Login 25 : ด้วยกันกับพวกพ้องในตอนนี้!


               พวกเขานอนเรียงกันสี่คนมีนานอนติดผนังเต็นท์ถัดมาคือเมษา กวินทร์ แล้วก็อิงศร

                เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

                แต่ยังไม่มีใครข่มตาหลับลง

                เพราะเสียงระเบิดตูมตามกับเสียงร้องโหยหวนข้างนอกเต็นท์

                กวินทร์ส่งเสียงครางออกมา

                “งือ~~ หนวกหูแบบนี้จะไปหลับลงได้ยังไงกันครับเนี่ย

                แล้วเมษาก็พูดเสริมเข้ามาอีกว่า

                “นี่ เอ่อ...คือว่าเจ้าพวกข้างนอกนั่นน่ะเดินตามกลิ่นเหยื่อมาใช่มะ แล้วก็...นี่แค่สมมตินะ

                เจ้าตัวหยุดคำพูดไปแวบหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่

                “สมมติว่าถ้าเกิดมันหลุดจากกลิ่นล่อของเหยื่อขึ้นมามันจะพุ่งเข้ามาทำร้ายพวกเราระหว่างที่หลับกันรึเปล่า

                อิงศรตอบคำถามนั้นทันที

                “ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นหรอก

                น้ำเสียงอันหนักแน่นของเขาได้สร้างความชื่นอกชื่นใจให้กับพวกพ้องไม่น้อยเลยทีเดียว สีหน้าของทุกคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อิงศรไม่รู้ถึงเรื่องนั้นแล้วพูดคำพูดที่ยังค้างไว้อยู่ออกมา

                “...คิดว่างั้นนะ

                “เดี๋ยวสิคะ! ไหงกลายเป็นแค่คิดว่าไปได้ล่ะ

                มีนาที่นอนอยู่ข้างๆ เมษา ลุกพรวดขึ้นมา

                จากนั้นเมษากับกวินทร์ก็พาลลุกขึ้นตามขึ้นมาด้วย

                “แม้แต่นายยังไม่แน่ใจแล้วแบบนี้ใครมันจะหลับลงกันฟระ!

                “พี่ศรครับช่วยบอกทีเถอะว่าไอ้ที่พูดมาเมื่อกี้น่ะล้อกันเล่นใช่ไหมครับ!”           

                แต่อิงศรที่ลุกตามขึ้นมาส่งสายตาตำหนิไปยังทั้งสามคนพลางพูดว่า

                “รู้บ้างไหมว่าชั้นอดนอนทั้งคืนเพื่อคิดแผนเก็บเลเวลให้ทันน่ะมันลำบากขนาดไหน พวกที่ไม่ได้คิดอะไรเลยก็อย่ามาบ่นให้มากนัก

                หลังจากที่อิงศรด่าว่ากลับไปแบบนั้นก็ไม่มีใครตอบโต้อะไรออกมา

                ฟิ้ว~ ตูม! ตูม! ฮูม!!

                เสียงเอะอะยังคงดังมาจากทางด้านนอกของเต็นท์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วถึงจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะความง่วงแต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาเองก็หลับไม่ลงเหมือนกัน

                แล้วมีนาที่เหมือนพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศก็เปิดหน้าจอระบบแล้วหยิบของออกมาเป็นไพ่หนึ่งสำรับ

                “ถ้ายังไงเล่นสลาฟฆ่าเวลาจนกว่าจะเริ่มง่วงกันดีไหมคะถ้าชินกับเสียงเมื่อไหร่เดี๋ยวก็นอนได้เอง

                “…”

                ไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นและเล่นไพ่กันเกือบจะตลอดทั้งคืน

                เวลาผันผ่านไปถึงสามชั่วโมงด้วยกัน...

                “รอบนี้ก็เป็นคิงอีกแล้ว ค่า!

                มีนาพูด

                “รอบนี้ผมเป็นรองสลาฟซะแล้ว

                กวินทร์พูดพร้อมกับวางไพ่ใบสุดท้ายบนมือลงไปที่กอง

                “ชักจะเบื่อๆ แล้วสิเล่นกี่ตาๆ มีนาก็ได้เป็นคิงตลอดแบบเนี้ย

                เมษาซึ่งได้ตำแหน่งควีนในรอบนี้เพราะวางไพ่หมดเป็นคนที่สองบ่นอย่างเหนื่อยหน่าย พลางเหล่ตามองไปทางอิงศรที่ไพ่บนมือยังเหลืออยู่อีกหลายใบซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นผู้แพ้ในเกมรอบนี้และต้องกลายเป็นสลาฟในเกมรอบถัดไป

                “แล้วนายก็เอาแต่เป็นสลาฟอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะเฮ้ย!

                พอได้ยินเมษาพูดมาแบบนั้น คิ้วของอิงศรก็ขมวดเข้าหากัน

                “ก็นี่มันเป็นเกมวัดดวงนี่ไอ้ชั้นมันดวงกุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

                ถึงจะเป็นคำพูดแก้ตัวเพราะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้นี้แต่เขาก็อดนึกไปไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นคนไร้ดวงสุดกู่เมื่อนึกถึงเรื่องที่พานพบมาตลอด พอคิดอย่างนั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด

                “ขออีกรอบ

                อิงศรพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาเอาจริงเอาจังราวกับว่ารอบนี้เขาจะต้องชนะ ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา

                แล้วมีนาก็พูดว่า

                “ถ้างั้นขอเริ่มรอบถัดไปเลยก็แล้วกันค่ะ

                หลังจากนั้นเกมก็ดำเนินไปท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่มีหยุด

                อนิจจา แม้ว่าอิงศรจะเอาจริงเต็มที่ซักเพียงใดแต่เขาก็ยังคงแพ้และเป็นสลาฟทุกตาเช่นเดิมแม้ว่าจะมีการเริ่มเกมใหม่ให้ทุกคนพ้นจาสถานะไปรอบหนึ่งแล้วก็ตาม

                ลงท้ายแล้วก็ยังมีแต่อิงศรที่รักษาตำแหน่งสลาฟไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุด

     

                มีนาเปิดหน้าจอระบบเพื่อดูนาฬิกา ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง

                “พอแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะเดี๋ยวจะเช้าซะก่อน

                ทุกคนเห็นด้วยแม้ว่าอิงศรจะยังอยากแก้มืออยู่ก็ตามที

                มีนาเก็บสำรับไพ่แล้วดับไฟฉายลง

                เต็นท์ตกอยู่ในความมืด ทุกคนล้มตัวลงนอนแล้วพยายามข่มตาหลับ

                แต่เสียงด้านนอกยังคงดังเอะอะอยู่เช่นเดิมจึงไม่มีใครทนข่มตาหลับลงได้แม้ว่าจะง่วงกันมากแล้ว

                "ถ้ามีเพลงกล่อมซักหน่อยน่าจะดีขึ้นนะคะ"

                มีนาเสนอขึ้นมาลอยๆ

                แล้วกวินทร์ก็ลุกพรวดขึ้นมาเปิดหน้าจอ Inventory

                "ผมมี MP3 อยู่จะลองเปิดเพลงดูนะครับ"

                พูดพลางหยิบเครื่องเล่นMP3รูปร่างเหมือนแฟลชไดร์ฟออกมาจากหน้าจอแล้วกดปุ่มเล่นเพลง

                เสียงเพลงดังกระหึ่มมากพอที่จะกลบเสียงจากข้างนอกได้ แต่ทว่า

                "นี่มันเพลงฮิปฮอปนี่คะ"

                มีนาพูดจากนั้นเมษาก็บ่นตามมา

                "เพลงจังหวะเร็วแบบนั้นแทนที่ฟังแล้วง่วงจะกลายเป็นว่าคึกจนอยากเต้นแทนน่ะสิไม่ว่า ไม่มีเพลงอื่นแล้วรึไง"

                พอได้ยินแบบนั้นกวินทร์ก็กดปุ่มบนเครื่องเล่นMP3เปลี่ยนเพลงไปอีกหลายครั้งแต่ก็จบลงที่ทุกเพลงเป็นเพลงจังหวะเร็วฟังแล้วไม่ชวนง่วง ท้ายที่สุดจึงล้มเลิกแล้วเก็บเครื่องMP3ไป

                "คืนนี้ท่าทางจะไม่ได้นอนซะแล้วล่ะมั้ง"

                เมษาพูด

                "คุณอิงศรคะเครื่องนั่นจะทำงานจนถึงกี่โมงเหรอคะ"

                มีนาถามข้ามมาจากอีกฟากของเต็นท์

                เขาตอบเธอกลับไปว่า

                "เหยื่อกับทุ่นระเบิดน่าจะเหลือถึงพรุ่งนี้เช้าพอดีน่ะ"

                จากนั้นเมษาก็สรุปออกมา

                "งั้นคงไม่ได้นอนแล้วล่ะมั้งเนี่ย"

                "..."

                ทุกคนก็คิดแบบนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนทนข่มตาหลับท่ามกลางเสียงหนวกหูนี้

                อิงศรคิด...

                คิดว่าหากปล่อยเอาไว้แบบนี้พวกเขาจะเหลือเรี่ยวแรงไปสู้ต่อในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เขาควรจะทำอะไรซักอย่าง

                พอคิดแบบนั้นหน้าจอInventoryก็เปิดออกแสงไฟจากหน้าจอสะท้อนไปทั่วเต็นท์ทำให้อีกสามคนรู้ว่าเขากำลังหาอะไรบางอย่าง

                หลังจากไล่สายตาดูรายการของที่เก็บไว้ไปพักหนึ่งเขาก็เจอเข้ากับของที่น่าจะใช้ได้จึงหยิบมันออกมาแล้วปิดหน้าจอไป

                เด็กหนุ่มลุกจากที่นอนขึ้นมาอยู่ในท่านั่งจากนั้นก็คาบฮาโมนิก้าไว้ในปากแล้วเป่า

                ท่วงทำนองอันไพเราะหลั่งไหลออกมาขับกล่อมผู้ฟัง ทำนองเสนาะหูชวนใฟ้เคลิบเคลิ้มเสียจนลืมเสียงดังด้านนอกไป

                พอเป่าจนจบเพลงอิงศรจึงหยุดเพื่อตรวจดูสภาพของทุกคนว่าหลับกันไปแล้วหรือยังแต่ดูเหมือนว่าเพลงที่เขาเป่าจะให้ผลตรงกันข้ามแทน เขาหันไปทางที่ทั้งสามนอนอยู่และพบว่าทุกคนจ้องเขาตาไม่กระพริบ

                "เฮ้ ชั้นว่าที่เป่าไปก็ไม่ได้แย่ขนาดทำให้พวกนายตื่นกันหมดหรอกนะ"

                อิงศรพูดแต่ก็รู้สึกไม่มั่นใจกับคำพูดนั้นเหมือนกัน มีเสี้ยวความคิดหนึ่งที่เผลอนึกไปว่า 'หรือตัวเขาจะเป่าได้แย่ขนาดหลับกันไม่ลงจริงๆ'

                แต่แล้วเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะทุกคนต่างก็ส่ายหน้าเหมือนบอกเป็นนัยว่าไม่ใช่อย่างที่เขาบอก

                มีนาเริ่มออกปากชมก่อน

                "ไม่ได้แย่หรอกค่ะออกจะไพเราะจนหยุดฟังไม่ได้เลยต่างหาก"

                จากนั้นเมษาก็พูดตามมา

                "ก็โอเคกว่าฟังเพลงฮิปฮอปกล่อมนอนล่ะนะ"

                "พี่ศรขอผมลองเป่ามั่งสิครับ"

                กวินทร์พูดแววตาเป็นประกายราวกับเด็กเห็นของเล่น

     

                มีเสียงเหมือนอะไรซักอย่างขาดดังผึง

                "เฮ้ย!! ชั้นเป่ากล่อมให้พวกนายนอนนะว้อยแล้วไหงฟังแล้วดันแอคทีฟกว่าเดิมหา!"

                อิงศรหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่พอทำแบบนั้นแล้ว มีนา เมษา กวินทร์ ต่างก็พากันหัวเราะดังลั่นเต็นท์

                "หัวเราะอะไรกัน"

                อิงศรพูดน้ำเสียงกระแทกกระทั้นจนรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่ แต่เจ้าพวกนั้นยังคงหัวเราะไม่หยุดจนเขาเริ่มจะงงไปหมดแล้ว

     

                "ฮะๆๆ ในที่สุดก็ได้เห็นหน้านายตอนฟิวขาดซักที"

                เมษาพูดไปกลั้นขำไป

                "ข...ฮะๆๆ ขอโทษ ฮะๆๆ ครับพี่ศร"

                กวินทร์ฝืนพูดออกมาทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุดจนพูดไม่รู้เรื่อง

                จากนั้นมีนาที่หยุดหัวเราะได้ก็พูดเล่าสาเหตุที่พวกเธอหัวเราะกันน๊อตหลุดให้ฟัง

                "เราคุยกันเมื่อตอนเย็นน่ะค่ะระหว่างที่คุณอิงศรไม่อยู่ว่าอยากเห็นหน้าเป็นของคุณซักครั้งเพราะว่าคุณอิงศรน่ะคล้ายๆ กับพี่สิงห์ก็เลย..."

                แต่อิงศรก็พูดแทรกขัดคำพูดของเธอ

                "ก็เลยเอาชั้นไปเปรียบกับเจ้าสิงห์แทนงั้นเรอะ"

                มีนาพยักหน้าตอบคำถามนั้น

                "ค่ะเพราะว่าคุณอิงศรมีส่วนคล้ายกับพี่สิงห์ถึงได้น่าแกล้งไงคะ"

                พอได้ยินคำตอบแบบนั้นจากปากของมีนา

                มีส่วนคล้าย... ตรงไหนกันนะที่เจ้าพวกนี้มองว่าคล้ายกับเจ้าคนหน้าตายพรรค์นั้น ถ้าจำไม่ผิดพันโทข้าวหลามก็เหมือนจะชอบพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ

                ว่าแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดจนง่วงขึ้นมา แถมกวินทร์ยังเอาแต่จ้องมาที่ฮาโมนิก้าอย่างสนอกสนใจจนน่าคิดว่าคืนนี้คงไม่มีใครยอมนอนดีๆ กันแล้ว

                อิงศรถอนหายใจ

                "งั้นนายเอาไปเป่าเองเลย"

                พูดแล้วยัดฮาโมนิก้าใส่มือกวินทร์

                "ชั้นจะนอนก่อนล่ะ"

                จากนั้นก็ล้มตัวนอนทันทีโดยหันหลังให้และไม่คิดสนใจทั้งสามคนนั้นอีก

                "..."

                ภายในเต็นท์เงียบสนิทจนเริ่มจะได้ยินเสียงโครมครามจากข้างนอก

                ตอนที่คิดว่าเจ้าพวกนั้นคงหายคึกแล้วกลับไปนอนกันหมดแล้วนั่นเองก็มีเสียงฮาโมนิก้าบรรเลงขึ้นมา เป็นทำนองที่เหมือนกับที่เขาเป่าไม่มีผิดเพี้ยน

                อิงศรไม่ได้หันกลับไปดูว่าใครที่เป็นคนเป่าฮาโมนิก้า ถ้าหากว่านั่นคือกวินทร์แล้วล่ะก็ความสามารถทางดนตรีของหมอนี่ก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

                เสียงฮาโมนิก้าบรรเลงไปอย่างลื่นไหลขับกล่อมจนเกือบจะผลอยหลับไปแล้วแต่ทว่า

                ปี๊!!

                มีเสียงแหลมปรี๊ดดังมาทำนองเพลงก็หยุดบรรเลงไปด้วย

    อิงศรพลิกตัวกลับไปดู มีนากับเมษาทั้งสองคนกำลังมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียงนั้น

                กวินทร์พูดว่า

                "ขอโทษครับพอดีท่อนเมื่อกี้มันยากไปก็เลยเป่าเพี้ยน

                เด็กหนุ่มพูดอย่างเขินอาย

                ที่พลาดท่อนเมื่อครู่ไปนั้นเหมือนกับมิ่งขวัญไม่มีผิด...

                เป็นทำนองท่อนเดียวกันและเสียงเพี้ยนผิดคีย์เหมือนกันถึงจะมีความแตกต่างของเสียงอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะเครื่องดนตรีที่ใช้เป็นคนละอันกันก็ตามที

                แวบหนึ่งที่มีความรู้สึกอยากจะพูดว่า ท่อนนั้นมันคงยากไปสินะเพราะขวัญก็พลาดตรงนั้นเหมือนกันออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสามคนไม่รู้จักมิ่งขวัญ ไม่รู้ถึงอดีตของเขาดังนั้นความคิดจึงหยุดชะงัก

                ตอนนั้นเองเมษาก็พูดขึ้นมาทั้งที่ยังนอนหนุนแขนตัวเองว่า

                “มันจะยากจริงเร้อ นายเป่าไม่เป็นเองมากกว่ามั้ง

                กวินทร์สวนกลับไปทันที

                “งั้นพี่เมษาก็เป่าได้สินะครับ

                ด้วยวาจาท้าทาย

                “ท่อนนั้นน่ะยากนา ขนาดขวัญมันยังเป่าผิดเลย...

                อิงศรเผลอหลุดปากออกไป

                คำพูดชวนชวนหงุดหงิดของเมษาเมื่อครู่นั้นเขาก็รู้ว่ามันเป็นแค่การพูดหยอกล้อกันล่นๆ แต่กลับเผลอตัวโต้ตอบ เขากำลังปล่อยใจไปกับอารมณ์โดยไม่รู้ตัว สายตาของทั้งสามคนเบี่ยงมาที่เขาแล้ว ควรจะตอบโต้อย่างไรดี

                ใบหน้าที่ดำทะมึนเพราะความมืดภายในเต็นท์ของมีนากลับมีรอยฟันสีขาวปรากฏขึ้น หล่อนกำลังฉีกยิ้ม?

                อิงศรรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก

                “ขวัญเนี่ยใครเหรอคะ

                น้ำเสียงของหล่อนฟังดูชอบกล ดูเหมือนว่าสังหรณ์ของเขาจะเดาถูก

                “ขอสั่งในฐานะพระราชาค่ะคุณอิงศรซึ่งเป็นสลาฟไม่มีสิทธิ์จะขัดขืนเด็ดขาด จงเลามาซะดีๆ นะคะ

                น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ ยัยคนนี้ถึงจะเถียงไปก็ไม่ชนะ ถึงจะหนียังไงก็คงตามตอแยไม่เลิก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะเล่าให้ฟังทั้งหมด เล่าให้กวินทร์และเมษาที่อยู่ที่นี่ฟังไปด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็เป็นทีมเดียวกันปิดบังเรื่องส่วนตัวไปก็ไม่มีความหมาย

                ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ลึกๆ ในใจเขารู้ตัวดีว่าถ้าเป็นสามคนนี้ถึงจะเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น เขาไว้ใจเจ้าพวกนี้ถึงขั้นนั้นแล้ว ขนาดตัวเองยังตกใจเลยด้วยซ้ำไป

                อิงศรชันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต

                “เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ เอาเป็นสี่ปีก่อนก็แล้วกัน วันที่โลกล่มสลายเป็นวันเกิดของน้องชายชั้นหมอนั่นชื่อว่ามิ่งขวัญ...

     

                อิงศรเล่าไปทั้งหมดตั้งแต่เรื่องความยากลำบากในการปรับตัวกับโลกหลังการล่มสลาย การพบเจอกับพวกพ้องใหม่ที่ให้ความสำคัญกันราวกับเป็นครอบครัว เล่าไปจนถึงตอนที่ทุกอย่างถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาว เล่าถึงความผิดบาปของตัวเองที่หนีรอดมาเพียงลำพัง

                เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบลง

                “...แล้วชั้นก็ถูกสิงห์เก็บไปแค่นี้แหละ

                อิงศรรู้สึกได้ ว่าในทันทีที่เขาเล่าจบบรรยากาศของเต็นท์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

                สายตาที่จ้องมานั้นแม้จะถูกความมืดบดบังแต่ก็รับรู้ได้ว่าทั้งสามคนกำลังแสดงออกในทางสงสารหรือไม่ก็อาจจะเข้าใจไปเองบางทีพวกนั้นอาจจะกำลังสมเพชเขาอยู่ก็ได้

                จากนั้นมีนาก็พูดถึงเรื่องที่หล่อนไม่น่าจะรู้ได้

                “ว่าแต่ภารกิจคุ้มกันหน่วยส่งเสบียงนั่นตอนนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่รึเปล่าคะ

                ทำไมจู่ๆ หล่อนถึงได้พูดเรื่องนี้  ไม่สิที่จริงเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครรู้นอกจากพวกระดับสูง แต่ถ้าคิดว่าเธอไปฟังมาจากสิงห์... บางทีคงจะเป็นพันโทข้าวหลามมากกว่า ถ้าอย่างนั้นการที่หล่อนรวมถึงเมษาที่อาจจะรู้เรื่องไปด้วยมันก็ไม่แปลก

                “ข่าวรั่วมาจากเจ้าหัวทองนั่นเรอะ

                แต่มีนาปฏิเสธทันที

                “ไม่ค่ะฉันสืบมาเอง

                เด็กสาวยังคงพูดต่อไป

                “แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณอิงศรเสียเพื่อนไปในภารกิจนั้น

                พลาดซะแล้ว... ยัยนี่จงใจให้เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเพื่อหวังอะไรซักอย่าง แต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอหวังนั้นคืออะไร ดังนั้นจึงคิดตามน้ำไปก่อน

                “แล้วอยู่ๆ มาถามกันแบบนี้เธอคงจะคิดตอกย้ำกันสินะเพราะชั้นเพิ่งเล่าเรื่องตัวเองทิ้งน้องชายเพื่อหนีเอาตัวรอดมา...

                แต่ก็ผิดคาดเมื่อหล่อนตะคอกกลับมา

                “ไม่ใช่ค่ะ!

                “…”

                ไม่เพียงแต่เขาที่ตกใจ ดูเหมือนว่าแม้แต่เมษาที่เป็นฝาแฝดกับเธอก็ยังพลอยตกอกตกใจกับการขึ้นเสียงเมื่อครู่เช่นกันราวกับว่าที่ผ่านๆ มาเธอไม่เคยจะทำเรื่องแบบนั้น

                มีนาลดเสียงลงแล้วพูดต่อไปว่า

                “ฉันน่ะไม่ได้คิดจะตอกย้ำหรืออะไรทั้งนั้นนั่นแหละค่ะ แค่อยากให้คุณอิงศรเปิดใจกับพวกเราให้มากกว่านี้ พวกเราน่ะเป็นพวกพ้องกันนะคะ แล้วคุณคิดจะเอาแต่ขุดหลุมฝังตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน

                “…”

                อิงศรไม่สามารถตอบโต้ได้ ก็เธอคนนี้สิงห์ส่งมาเพื่อจับตาดูเขาเอาไว้ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องตีสนิทกันซะขนาดนี้ หรือว่านี่ก็แผนที่วางเอาไว้ด้วย เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรในเวลาแบบนี้

                ตอนนั้นเองเมษาก็ลุกขึ้นมา

                “ชั้นก็เห็นด้วยนะ

                แล้วพูดสนับสนุนพี่สาวฝาแฝด

                “ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมนายถึงได้ชอบทำเป็นเก๊กแล้วก็ทำตัวเหินห่างแต่ได้ฟังไอ้เมื่อกี้เข้าไปก็พอจะรู้แล้วนายน่ะกลัวที่จะมายุ่งเกี่ยวกับพวกเราหรือกับใครก็ตามที่นายเห็นว่าสำคัญเพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะตายจากไปอีกอย่างนั้นสินะ

                “…”

                “ให้ตายสิ ไอ้คนแบบนี้ว่าเจอมานักต่อนักแล้วนะ แต่นายเนี่ยอาการหนักที่สุดแล้วมั้ง ตอนนี้พวกเราทุกคนเชื่อใจนายแล้วนะเพราะงั้นนายเองก็ช่วยเชื่อใจพวกเราบ้างสิ

                เมษาพูดมาอย่างนั้น

                ทั้งที่เมื่อกลางวันยังทำเป็นตั้งแง่กันอยู่แท้ๆ ถ้าหากเขาไม่ไปช่วยเอาไว้ เจ้าตัวกับอีกสองคนที่เหลือคนไม่ได้มานั่งจ้อกันอยู่ตอนนี้หรอก

                “เชื่อใจ...ถามจริงเถอะถ้าชั้นบอกว่าในภารกิจคุ้มครองหน่วยส่งเสบียงนั่นเพื่อเอาตัวรอดในวิกฤติตอนนั้นมาชั้นน่ะฆ่าคนไปตั้งลายสิบคนด้วยมือของตัวเองเชียวนะแถมคนพวกนั้นยังเป็นแค่เด็กด้วยซ้ำแล้วแบบนั้นยังจะกล้าพูดอีกไหมว่าเชื่อใจไอ้ฆาตกรโรคจิตนี่น่ะ

                พอได้พูดออกไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี เพราะคำพูดเมื่อครู่นั้นเหมือนจะบอกใบ้กันกลายๆ ว่าตัวเขาควบคุมแอพติดตั้งปีศาจไม่ได้เพราะงั้นถึงได้พยายามไม่เข้าใกล้ เพราะถ้าหากว่าสนิทกันมากๆ เข้าแล้วล่ะก็หากวันที่เขาถูกปีศาจยึดร่างไปได้แล้วถ้าหากว่ามันไม่มีทางที่จะแก้ไขแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นเจ้าพวกนี้จะทำใจกำจัดเขาได้ลงคอหรือ แต่เขาเองก็ลืมไปเหมือนกันว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำคงจะเข้าใจไปแบบผิวเผินตามคำพูดนั่นแหละ

                “สิบห้าครับ

                จู่ๆ กวินทร์ก็พูดแทรกขึ้นมา

                “ไม่สิถ้านับตอนที่ไปจัดการพวก P.K. น่าจะเกินสามสิบไปแล้วมั้ง

                เด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าเพียงหนึ่งปีกำลังนับนิ้วและบอกจำนวนของอะไรบางอย่าง

                เมษาทำหน้าเหมือนจะรู้ว่ากวินทร์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

                “ยังห่างชั้นกันเยอะนะไอ้น้องของชั้นน่ะเกินร้อยคนไปแล้วก็พวกชั่วๆ มันมีกันเยอะนี่เนอะ

                พูดเสร็จก็หันไปทางมีนา

                ท่ามกลางความมืดของเต็นท์เหมือนจะเห็นรอยยิ้มจางๆ จากปากของเด็กสาวแล้วเธอก็พูดว่า

                “ถ้าคุณอิงศรเป็นฆาตกรโรคจิตงั้นพวกฉันก็เป็นสัตว์นรกมาเกิดแล้วล่ะค่ะ ท่ามกลางโลกที่กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วการจะฆ่าหรือถูกฆ่ามันไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครที่สำคัญมันอยู่ที่ว่าฆ่าเพื่ออะไรต่างหาก แล้วคุณอิงศรเองก็ไม่ได้เต็มใจด้วยใช่ไหมล่ะคะ

                “…”

                อิงศรไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

                มีแต่เพียงความเงียบที่ดำเนินไปพร้อมกับเสียงตูมตามจากด้านนอกเต็นท์ ลงท้ายพวกเขาก็ค้างกันไว้แค่นั้นแล้วแยกย้ายกันนอน ในตอนที่เกือบจะย่ำรุ่ง

     


                คืนนั้นอิงศรฝัน

                ภายในความฝันเป็นห้องที่คุ้นเคย

                รูนรูมนั่นเอง

                เช่นเคยพื้นที่เบื้องหน้าทิศที่เขาหันไปตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่จะต้องมีเก้าอี้โซฟาเก่าๆ ตัวหนึ่งวางอยู่เหมือนกับถูกกำหนดจุดยืนตรงนี้ตายตัวไปแล้ว และบนเก้าอี้นั้นชายผู้เรียกตัวเองว่า 'ผู้ถูกลืมเลือน' ก็มักจะอยู่ที่นั่นเสมอ

     

                ผู้ถูกลืมเลือนไม่ได้ทักทายก่อนเหมือนทุกครั้งแต่กำลังง่วนกับอะไรบางอย่างบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเขา

                อะไรบางอย่างที่ว่าคือไพ่ ผู้ถูกลืมเลือนกำลังดึงไพ่ออกจากกองที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะมาวางเรียงแบบทวนเข็มนาฬิกาล้อมกองไพ่เอาไว้โดยให้ไพ่หงายหน้าขึ้น

                "ความตั้งใจของเธอคือไพ่ใบนี้"

                ผู้ถูกลืมเลือนพูดมาอย่างนั้นแล้วเปิดไพ่ใบบนสุดของกอง แต่ไพ่กลับมีหน้าที่ไม่เหมือนกับใบอื่นๆ ความจริงมันเป็นไพ่ที่ด้านหลังไม่เหมือนกับไพ่ในกองเป็นสีดำสนิทตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เปิดออกมาแล้วและเขาเองก็เห็นแต่ไม่ได้บอกออกไป

                "อาคาน่า ดิ เอ็มเพอเรอร์"

                อิงศรมองดูไพ่ที่มีหน้าเป็นรูปชายแก่กับบัลลังค์ที่เป็นฉากหลังของไพ่จึงอนุมานไปเองว่าชายแก่ในรูปคือพระราชา

                "อาคาน่า? หมายถึงไพ่ที่ไว้ใช้ดูดดวงเหรอ"

                อิงศรถามออกไป

                แต่ผู้ถูกลืมเลือนกลับตอบว่า

                "ดูดวง?"

                น้ำเสียงของเขาเหมือนจะบอกว่าไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ว่า

                อีกแล้ว...เหมือนกับตอนที่เจอกันครั้งแรกในห้องนี้ตอนที่ต้องอธิบายคำว่า 'ยุ่งยาก'

     

                อิงศรทำใจเย็นแล้วพยายามอธิบาย

                "เอ่อ...แบบว่าเป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้ทำนายดวงชะตาหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตน่ะแต่เอามาบอกกับนายที่ส่งภาพอนาคตของคนอื่นมาให้แบบนี้มันก็ออกจะยังไงๆ อยู่นะ"

                "อย่างนี้นี่เองพอจะเข้าใจแล้วล่ะ"

                น่าผิดคาดที่หนนี้เจ้าตัวยุ่งยาก กลับเข้าใจได้ง่ายๆ ซะอย่างนั้น

                "วันนี้ผมเรียกเธอมาเพราะจะถามเรื่องของอาคาน่าใบนี้"

                ผู้ถูกลืมเลือนพูดเข้าเรื่องทันที ดูร้อนใจกว่าทุกทีจนน่าสงสัย

                "แปลกๆ นะวันนี้ทุกทีต้องให้ชั้นถามไม่ใช่เรอะ

                แต่ผู้ถูกลืมเลือนเมินคำพูดเขาแล้วกล่าวต่อไปว่า

                ดิ เอ็มเพอเรอร์ หมายถึงการปกครอง ผู้เป็นราชาย่อมสละทิ้งซึ่งความรู้สึกส่วนตนเพื่อปกครองราษฎรแต่ว่านั่นจะทำให้ราษฎรไม่เข้าใจในตัวพระราชาแล้วกลายเป็นทรราชไป

                นี่พูดถึงเรื่องอะไรกันเนี่ย

                เธอน่ะเป็น ดิ เอ็มเพอเรอร์ ที่หันหัวตั้งขึ้นหรือว่ากลับหัวกันแน่นะ

                พระราชา ไพ่ ราษฎร คำสามคำวนเวียนอยู่ในหัวจากนั้นสิ่งที่สรุปออกมาได้เป็นอย่างแรกก็คือ

                นายหมายถึงสลาฟเหรอ?”

                อิงศรพูดสิ่งที่คิดว่าน่าจะใช่

                แต่ผู้ถูกลืมเลือนกลับตีหน้ามึน

                สลาฟ...มันคืออะไรเหรอ

                สรุปว่าไม่ใช่สินะ

                มันเป็นเกมที่เล่นด้วยไพ่น่ะ...โทษทีพอดีวันนี้ชั้นนอนไม่ค่อยพอสมองก็เลยไม่ค่อยแล่น

                แถมยังเจอเรื่องพรรค์นั้นก่อนจะเข้านอนอีก

                อิงศรนึกถึงคำพูดของเจ้าพวกนั้น

                แค่อยากให้คุณอิงศรเปิดใจกับพวกเราให้มากกว่านี้ พวกเราน่ะเป็นพวกพ้องกันนะคะ แล้วคุณคิดจะเอาแต่ขุดหลุมฝังตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน

                ตอนนี้พวกเราทุกคนเชื่อใจนายแล้วนะเพราะงั้นนายเองก็ช่วยเชื่อใจพวกเราบ้างสิ

                รวมถึงคำพูดของมิ่งขวัญที่เคยเจอในความฝันก่อนจะเจอกับผู้ถูกลืมเลือน

                ค่อยยังชั่วหน่อยเนอะในที่สุดศรก็เลิกลังเลแล้วก้าวต่อไปได้ซักทีแถมยังได้เพื่อนใหม่แล้วด้วย

                แล้วตอนนี้เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกันอยู่ เรื่องที่เขายึดติดกับอดีตจนไม่ยอมก้าวต่อไป

                เคยได้ยินมาว่าการหันหัวขึ้นหรือกลับหัวลงของไพ่ทำนายดวงนั้นจะมีความหมายตรงข้ามกัน

                ถ้าคิดถึงเรื่องเมลล์ตัวจับเวลาตายแล้ว

    การที่ผู้ถูกลืมเลือนบอกว่าความตั้งใจของเขาคือไพ่ของพระราชา...ถูกถามว่า หันหัวขึ้นหรือ กลับหัวลง ก็อาจจะเป็นการบอกใบ้ถึงเรื่องในอนาคตด้วยก็ได้ นี่อาจจะเป็นทางแยกที่จะตัดสินอนาคตอันใกล้นี้           

    อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสนใจของผู้ถูกลืมเลือนเหมือนจะเบี่ยงประเด็นไปซะแล้ว เด็กหนุ่มผมขาวรวบไพ่ทุกใบกลับเข้ากอง

                “สลาฟเนี่ยเล่นยังไงเหรอ

    พูดพลางรออย่างใจจดใจจ่อให้เขาพูดถึงเรื่องเกม

                พอเห็นแบบนั้นแล้วที่เขานั่งเครียดคิดไปถึงไหนต่อไหนอยู่นานสองนานนี่มันเพื่ออะไรกัน

                ถ้าเธอไม่สอนผมล่ะก็จะไม่ได้กลับออกไปนะ

                คำพูดนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นคำขู่ ดังนั้นไม่ทำคงจะไม่ได้ แต่กติกาสลาฟนั้นต้องเล่นกัน 3 คนขึ้นไปที่นี่มีกันคี่พวกเขาสองคน คงเเล่นไม่ได้อยู่ดี

     

     

                เวลาหกโมงตรง

                ผ้าใบเต็นท์สะท้อนแสงแดดจนมีสีอ่อนลง แสงทำให้ภายในเต็นท์เริ่มสว่าง

                มีนาตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก จากนั้นเธอก็กวาดสายตาสำรวจภายในเต็นท์ เมษาและกวินทร์ยังคงหลับสนิท แต่ที่นอนของอิงศรกลับว่างเปล่า

                หรือว่าจะหนีไปแล้ว แวบหนึ่งที่เด็กสาวคิดไปอย่างนั้น เพราะเมื่อคืนพวกเธอไปพูดจากดดันไล้บี้จิตใจของอิงศรจนเขาทนไม่ได้และหนีไป

                มีนาปลุกอีกสองคนที่ยังหลับอยู่

                ตื่นเร็วค่ะคุณอิงศรไม่อยู่แล้วนะคะ!”

                จากนั้นเธอก็พุ่งไปที่ทางออก

                ม่านผ้าใบที่คลุมปิดทางเข้าออกเต็นท์ถูกเลิกขึ้น ใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาวโผล่ออกมาจากข้างหลังม่านนั่น หล่อนชะงักอยู่แค่นั้น

                เพราะชายที่คิดว่าหนีไปแล้วนั้น กำลังยืนอยู่ข้างนอกนี่เอง อยู่ตรงหน้าโกดังหันหน้าเข้าหาประตูที่ล้นไปด้วยไอเท็มจำนวนมหาศาลจนแทบจะกลบโกดังทั้งหลัง

                ก็ยังอยู่นี่ตีโพยตีพายอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย

                เมษาที่ยื่นหัวออกจากเต็นท์ตามมาติดๆ กล่าว

                จากนั้นกวินทร์ก็มุดออกมาอีกคนแล้วกล่าวทักทาย

                อรุณสวัสดิ์ครับพี่ศรตื่นเร็วจัง

                พูดพลางใช้มือขยี้ตาด้วยใบหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่น

                อิงศรหันกลับมาแล้วเริ่มพูด

                ตื่นกันแล้วสินะรีบลุกมาช่วยกันแบ่งเจ้าพวกนี้เถอะชั้นคนเดียวคงทำไม่ไหวหรอกนะ

                จากนั้นเขาก็พูดคำพูดที่หากเป็นตัวเองก่อนหน้านี้คงจะเลี่ยงไม่พูดมันออกมา

                ฝากด้วยล่ะเชื่อใจพวกนายนะ

                ทั้งสามที่ได้ยินดังนั้นก็พากันมองหน้าด้วยความงุนงงแต่มันก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าสดใสในทันที

                งั้นหารสี่นะ

                เมษาพูด

                คลังผมยังว่างอีกเยอะถ้ายัดไม่พอโยนมาได้นะครับ

                กวินทร์พูด

                อันไหนของผู้หญิงฉันเหมานะคะ

                มีนาพูด

                เฉพาะตอนนี้จะลองเชื่อดูอีกซักครั้ง ไม่ใช่ในฐานะของราชาที่ปกครองราษฎร ไม่ใช่ในแบบครอบครัว แต่เป็นพวกพ้อง ตอนนี้จะลองเชื่อแบบนั้นดูอีกสักครั้ง

     

                จากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาทั้งหมดของช่วงเช้าไปกับกองไอเท็ม พลางแลกบทสนทนากันอย่างออกรส

                เมษาพูด

                เพราะเมื่อคืนมืดสนิทเลยไม่ทันสังเกตว่าเลเวลขึ้นมากันขนาดนี้แล้วนะเนี่ย

     

    อิงศร Lv. 49

    [/////3000:3000/////]

     

    กวินทร์ Lv. 48

    [/////4100:4100/////]

     

    มีนา Lv. 48

    [/////3500:3500/////]

     

    เมษา Lv. 49

    [/////5850:5850/////]

     

                มีนาสอดส่ายสายตาอย่างซุกซน เธอสำรวจระดับเลเวลของทุกคนจากนั้นจึงสรุปออกมา

                นอกจากคุณอิงศรที่อัพขึ้นมาเจ็ดเลเวลแล้วพวกชั้นอัพกันขึ้นมาคนละแปดเลเวลเลยนะคะทั้งที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลยคุณอิงศรก็หัวเสเหลือเกินนะคะที่คิดแผนแบบนี้ขึ้นมาได้น่ะ

                แต่อิงศรกลับพูดแย้งคำชมของเธอ

                ถ้าจะขอบคุณล่ะก็ไปขอบคุณพี่ชายหน้าตายเธอเหอะ รายนั้นน่ะเขาจัดฉากเอาไว้หมดแล้วล่ะปานนี้คงกำลังนั่งจิบกาแฟไปบ่นไปว่า

                แล้วทำเสียงพูดเลียนแบบสิงห์

    ชั้นจัดใส่พานให้แกหมดแล้ว เอาล่ะขอดูหน่อยเถอะว่ามีกึ๋นพอจะใช้เจ้าพวกนั้นได้รึเปล่า อยู่ล่ะมั้ง

                มีนาที่เห็นแบบนั้นก็อดที่จะกลั้นขำไม่ได้

                จากนั้นกวินทร์ก็พูด

                แบบนี้น่าจะทันเวลานะครับเผลอๆ อาจจะเลเวลหกสิบแล้วยังเหลือเวลาก่อนเรดบอสมาซะอีก

                อิงศรแย้งกลับไปเช่นกัน

                เสียใจด้วยนะแต่ว่าเราไม่มีของเหลือพอจะทำกับดักอีกแล้วล่ะ แถมหลังจากนี้ยังต้องเจอกับกำแพงเลเวลห้าสิบอีกพวกสัตว์เทวะรายทางน่ะไม่พอเลเวลพวกเราหรอก

                แล้วมีนาก็พูดตามมาทันที

                หรือสรุปก็คือจากวันนี้ไปเราจะต้องเก็บเลเวลกันลากเลือดเลยสินะคะ

                พอได้ยินแบบนั้นสีหน้าของกวินทร์ก็เปลี่ยนทันควัน

                ฟังดูแล้วชักอยากกลับบ้านขึ้นมาเลยล่ะครับเนี่ย

                แล้วทุกคนก็หัวเราะ กระทั่งอิงศรก็ด้วยเช่นกัน

                บางทีการเป็นผู้ใหญ่อาจจะไม่ได้หมายถึงการกดข่มอารมณ์ไปซะทั้งหมดหรือการปิดกั้นตัวเองจากใคร  แต่อาจหมายถึงการรู้จักที่จะใช้อารมณ์อย่างถูกวิธีการรู้จักที่จะยอมรับความผิดพลาดแล้วก้าวเดินต่อไป

     



                หลายวันต่อมา...

                มิ่งขวัญเพิ่งถูกปล่อยตัวจากตรวจร่างกายของรูบิเดียม เป็นการตรวจเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่กลายมาเป็นมนุษย์ต่างดาว

                เด็กหนุ่มเดินออกมาจากประตูห้องที่เพิ่งปิดลง เขายืนอยู่บนทางเดินยาวที่ขนาบด้วยผนังสีขาวสองด้าน จากทางซ้ายมีใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ มิ่งขวัญหันไปมอง

                ผู้หญิงที่มาสร้างความวุ่นวายในห้องทดลองของรูบิเดียมเมื่อคราวก่อน โซเดียมนั่นเอง

                หล่อนเดินเข้ามาหาแล้วจ้องมาด้วยสายตาใต้กรอบแว่นที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

                อยากไปหาพี่ชายไหม

                หล่อนพูดมาอย่างนั้น

                มิ่งขวัญตาเบิกกว้าง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่จะออกจากปากของเธอคนนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×