ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #269 : Extra Log 265: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 117
      4
      4 ต.ค. 61

    Extra Log 265: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 2

     

                การทดสอบภายในต้นไม้แห่งชีวิตดำเนินมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว แต่ละคนต่างก็เผชิญหน้ากับอุปสรรค์ ต่อสู้ฟันฝ่าบททดสอบด้วยพลังทั้งหมด

     

                ทำให้ดีที่สุด

                พยายามอย่างเต็มที่

                ต้องผ่านให้ได้

     

                ทุกคนต่างก็คิดกันแบบนั้น ไม่มีใครอยากให้การทดสอบนี้ผิดพลาด

                เพราะถ้าล้มเหลวขึ้นมาแม้แต่คนเดียวแล้วล่ะก็การทดสอบจะถือว่าล้มเหลวทั้งหมด คนอื่นๆ จะต้องลำบากไปด้วย ทุกคนคงกำลังกดดันตัวเองกันด้วยเงื่อนไขแบบนั้น ตัวเขาเองก็เช่นกัน

                ป๊อก!

                อิงศรเพิ่งจะลั่นไกปืนอัดลมยิงกระป๋องน้ำทั้งหมดให้ตกจากชั้นวางไป

                เขากับน้องชายยืนอยู่หน้าซุ้มยิงปืนอัดลมเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบมา ซึ่งมันดูคล้ายกับการเที่ยวเล่นเสียมากกว่า แต่ว่าในความสนุกเหล่านั้นก็ยังกำหนดเงื่อนไขมาด้วยว่าต้องเล่นเกมจากซุ้มร้านในงานเทศกาลให้ผ่านทุกเกม

                ....เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอย่างเด็ดขาด ภารกิจที่ระบุมาในกระดาษที่ได้จากเครื่องทำสวนทั้งหมดนี่เขาจะจัดการเอง

                ถ้าเป็นเรื่องที่ทำได้ด้วยตัวเองคนเดียวแล้วล่ะก็ จัดการเองทั้งหมดน่าจะดีกว่า ถ้าพลาดขึ้นมาเขาจะรับผิดชอบเพียงคนเดียว มิ่งขวัญจะได้ไม่ถูกลากมาร่วมรับผิดชอบด้วย...

                ถ้าหากว่าคำใบ้ของการทดสอบที่ว่าให้แสดงพลังของพี่น้องออกมาเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ แค่ทำไปตามปกติก็น่าจะพอแล้ว แต่เดิมที่ต้นไม้แห่งชีวิตสามารถมาทดสอบพวกเขาได้ก็น่าจะมาจากความตั้งใจของ ออร์ฟี่ ถ้าอย่างนั้นการทดสอบก็น่าจะพยายามให้ผ่านกันทุกคน

                แล้วในการทดสอบพี่น้องสิ่งที่จะแสดงพลังที่ว่านั้นได้สำหรับเขาก็คือ ศักดิ์ศรีของพี่ชายนั่นเอง

     

                อิงศรวางปืนอัดลมลง แล้วยื่นบัตรสะสมแต้มที่ได้มาพร้อมกับใบกำกับภารกิจให้หุ่นยนต์ดูแลร้านรับไปประทับตรา

                หุ่นกลเลียนแบบมนุษย์ ลักษณะเป็นแท่งเหล็กที่นำมาประกอบกันอย่างลวกๆ แบบตัวนี้มีประจำซุ้มร้านทุกร้านในงานเทศกาล

                งานเทศกาลบรรยากาศเหมือนๆ กับงานทั่วไปที่เห็นได้ตามที่ต่างๆ

                ซุ้มร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายกันเป็นแถวทางตรง บนสวนสาธารณะที่กว้างเป็นอย่างมาก

                รายละเอียดมีอยู่แค่นั้นแหละ เพราะซุ้มร้านที่ขายพวกอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจเลยก็เป็นแค่สิ่งของประกอบฉากที่หุ่นดูแลร้านไม่ตอบสนองอะไรซักอย่างต่อให้หยิบของออกมาจากร้านแล้วก็ตาม

                เมื่อบัตรสะสมแต้มถูกประทับตราวงกลมสีแดงเพิ่มให้ หุ่นยนต์ก็ส่งมันคืนมา อิงศรดึงบัตรคืนจากมือที่เป็นก้ามหนีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกง แล้วหันหลังออกจากร้าน

                มิ่งขวัญยืนรออยู่ด้วยท่าทางเซ็งๆ

                ไปกันต่อเถอะขวัญ”

                อิงศรพูด น้องชายคงเบื่อเต็มทีแล้ว รีบทำให้เสร็จน่าจะดีกว่า แล้วก็จากภารกิจที่เหลือคงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร

                เวลาจะพอไหมนะ”

                อิงศรเงยหน้ามองดวงตะวันที่เริ่มคล้อย กับท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย กะคร่าวๆ แล้วคงเหลืออีกราวสองชั่วโมงก่อนที่มันจะลับขอบฟ้า นี่เป็นเกมที่สิบแล้ว ร้านในงานเทศกาลเหลืออยู่อีกห้าเกม ถ้าไปด้วยความเร็วขนาดนี้คงจบเกมได้ทันเวลาพอดี

                พวกเขาเดินไปข้างหน้าเพื่อหาซุ้มเล่นเกมถัดไปที่ระบุไว้ในกระดาษ ถ้าเจอซุ้มเกมก็จะดูก่อนว่าเป็นเกมที่ระบุให้เล่นไว้รึเปล่าถ้าไม่ใช่ก็จะข้ามไป พวกเขาใช้วิธีนี้เดินไล่จากต้นทางเข้างานมาเพื่อจะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาให้เสียเวลา

                แล้วจู่ๆ

                ศร”

                มิ่งขวัญก็เรียก

                มีอะไร”

                อิงศรชะงักเท้าแล้วหันกลับไป

                “…”

                แต่น้องชายกลับไม่พูด มิ่งขวัญแค่จ้องหน้าเขา ทำปากขมุบขมิบเหมือนอยากจะพูดแต่กลับลังเล

                ดังนั้นอิงศรจึงช่วยพูดในสิ่งที่คิดว่าน้องชายจะพูดให้

                อยากลองเล่นด้วยไหมล่ะ”

                เขาพูดแล้วยื่นกระดาษกำกับภารกิจให้

                “…”

                มิ่งขวัญมีปฏิกิริยา ช่างเหมือนกับเมื่อก่อนจริงๆ

                เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ เวลาที่เล่นเกมใหม่ๆ แล้วมิ่งขวัญก็มาด้อมๆ มองจนต้องชวนเล่นด้วยไม่อย่างนั้นก็จะไม่ยอมไปไหนซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหมอนี่จะทำตัวน่ารำคาญจนเราเองก็ทนไม่ไหว

                เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

                มิ่งขวัญพูด ดูเหมือนจะปฏิเสธเพราะความลังเลบางอย่าง

                เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ที่รู้สึกได้แน่ๆ ก็คือมิ่งขวัญเปลี่ยนไปค่อนข้างมากหลังจากที่แยกทางกันมาสี่ปี ตอนที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

                แม้จะยังขี้แยเหมือนเดิม

                ทำตัวน่ารำคาญเหมือนเดิม

                แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม...

                อิงศรรู้สึกว่าน้องชายเว้นระยะห่างกับตัวเองมากกว่าแต่ก่อน รู้สึกว่าขวัญไม่ค่อยพูดอะไรกับเขาตรงๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

                ถ้างั้นก็ไปต่อเหอะ”

                อิงศรพูดแล้วออกเดินต่อ

                “....”

                ไม่มีการโต้ตอบกลับมา มิ่งขวัญเดินตามหลังเขาต้อยๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไร

                แบบนี้คงไม่ผ่านแน่....

                อิงศรมองกระดาษภารกิจในมือ กระดาษสีขาวกับตัวหนังสือพิมพ์ด้วยหมึกสีดำ

                เขารู้ตัวมาซักพักหนึ่งแล้ว ว่าการทดสอบนี้ไม่มีทางจบแค่ทำภารกิจทั้งหมดในกระดาษแผ่นนี้หรอก

                มันมีเงื่อนไขแฝงอยู่ซึ่งก็ดูออกง่ายมาก เพราะเครื่องทำสวนคู่แฝดก็บอกใบ้มาแล้วด้วยว่าจะผ่านการทดสอบนี้จะต้องแสดงพลังของพี่น้องออกมา

                เขากำลัง ทำหน้าที่ของพี่ชายอยู่แต่ขวัญกลับไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง

                ถ้านายไม่เริ่มก้าวออกมาซักทีฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้…”

                อิงศรพูดกระซิบกับตัวเอง มิ่งขวัญคงจะไม่ได้ยินอย่างแน่นอน

                นี่คือการ ‘ทดสอบ’ ถ้าบอกออกไปอาจจะไม่ผ่านเอาก็ได้....

     

                @@@@

     

                ให้ตายสิคิดเอง เออเองเป็นตุเป็นตะกันซะหมด แค่เป็นฝ่ายเข้าหาเองซะก็หมดเรื่อง วัชพืชก็แบบนี้ล่ะน้า~~”

                จูเนอร์มินาร์คนพี่เปรยเสียงบ่นด้วยทางทางรำคาญ ขณะที่มองหน้าจอซึ่งถ่ายทอดภาพของอิงศรกับมิ่งขวัญมา หล่อนยืนกอดอกอยู่ถนนตรงทางแยกไปสวนสนุกกับงานเทศกาล

                นอกจากน้องชายฝาแฝดของเธอที่เล่นจนเหนื่อยเลยหลับฟุบกับพื้นถนนไปแล้ว ก็มีเด็กหนุ่มอายุเท่ากันอยู่อีกคน คือจูลลับบิทตาร์

                จูลลับบิทตาร์พูดแย้งคำกล่าวหาของหล่อน

                ก็คนที่ไปขู่เขาไว้ก่อนน่ะมันเธอไม่ใช่เรอะ”

                ทว่า เด็กหนุ่มก็กลับลำคำตัวเองในทันที

                แต่เอาเถอะ…อิงศรไม่เข้าใจแก่นของการทดสอบนี้เอาซะเลยจริงๆ คงจะล้มเหลวเพราะมีผู้นำแบบนี้แหละนะ”

                แต่จูเนอร์มินาร์กลับเห็นต่างออกไป

                หล่อนพูดแย้งคำของเด็กหนุ่ม

                ไม่หรอกเพราะเป็นผู้นำที่ดีเกินไปต่างหากล่ะ”

                จากสายตาของเธอแล้ว อิงศรวางตัวได้เหมาะสมที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้แล้ว

                แต่ก็เพราะทำเต็มที่เกินไปนั่นแหละนะ ถึงได้ไม่เหมาะกับบททดสอบนี้เลยต่างหาก โชคร้ายจริงๆ”

                จูลลับบิทตาร์จ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ

                นึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะเข้าข้างหมอนั่นเกิดมีความเห็นใจขึ้นมารึไง”

                ก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง”

                จูเนอร์มินาร์ยักไหล่ให้กับคำกล่าวหานั้นแล้วชี้ไปที่หน้าจออีกด้านที่ฉายภาพของคู่กวินทร์อยู่

                ยินดีกับนายด้วยนะทางนั้นดูเหมือนจะผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ”

     

                ภาพในหน้าจอแสดงให้เห็น กวินทร์กับไทเทเนียมที่เข้าไปเล่นเกมในเครื่องเล่นของภารกิจสุดท้ายที่กำลังเดินออกมาจาก ที่อาคารทรงโดมขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของสวนสนุกแห่งนั้น

                ฮอลหลักของ ‘สงครามอวกาศ’ เครื่องเล่นที่เป็นไคลแมกซ์ของสวนสนุกซึ่งจะเปิดให้ลูกค้าสวมบทบาทเป็นนักรบอวกาศที่จะเลือกอาชีพสมมติที่จะให้เครื่องแต่งายเป็นเกราะกับอาวุธแยกตามอาชีพที่เลือก

                กวินทร์เลือก ‘ซามูไร’ จึงได้เกราะเป็นโฟมสีดำสวมที่อกกับดาบลำแสงที่เป็นแท่งพลาสติกใส่สารเรืองแสงไว้ข้างใน

                ส่วนไทเทเนียมนั้นเลือก ‘นินจา’ หล่อนได้เกราะแขนทำจากโฟมสีดำเหมือนกันสวมที่แขนทั้งสองข้าง ดาวกระจายทำจากยางสิบอัน มีดคุไนทำจากยางเหมือนกันจำนวนสองเล่ม

                การเลือกอาชีพของทั้งสองนั้นมาจากพื้นฐานจริงของการต่อสู้ที่แต่ละคนถนัด ซึ่งการเลือกแบบนั้นทำให้ฝ่าฟันผ่านด่านต่างๆ ใน ‘สงครามอวกาศ’ ได้อย่างสบายๆ

                สิ่งที่ต้องทำในโดมแห่งนั้นก็แค่ไล่ตีตุ๊กตายางกับเป้าต่างๆ ในแต่ละห้องให้ครบจำนวนที่กำหนดต่อห้องเพื่อผ่านด่านนั้นๆ

                โชคดีที่การพูดคุยกับไทเทเนียมนั้นได้ทำก่อนจะเข้ามาเล่นที่นี่ ไม่อย่างนั้นด่านที่ต้องอาศัยการร่วมมือกันคงผ่านได้ยาก

                หลังจากถอดอุปกรณ์การเล่นทั้งหมดคืนที่แล้วเดินออกจากโดมพร้อมกับชัยชนะที่ประทับเป็นตราที่สิบห้าในบัตรสะสมแต้มซึ่งได้มาพร้อมกับใบกำกับภารกิจ

                กวินทร์ก็เหลือบมองพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่เดินเคียงคู่กันแล้วถามคำถาม

                แล้วพี่จะตอบผมได้ยังครับ

                ทวงถามถึงสิ่งที่ค้างคาไว้ก่อนจะมาเล่น สงครามอวกาศ เขาได้ถามไทเทเนียมถึงสิ่งที่อยากจะทำในอนาคตหลังจากที่การต่อสู้นี้จบลง

                ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอย่างจริงจังนัก เพียงแค่อยากจะดูให้รู้ว่าพี่สาวของเขาได้เปลี่ยนแนวคิดและมุมมองให้กว้างไกลกว่า ไทเทเนียม มนุษย์ต่างดาวผู้ที่ปรารถนาโลกแห่งที่ล่มสลายมากกว่าชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยโชคชะตากับสายเลือดแล้วหรือเปล่า

                “…”

                หล่อนหยุดเดิน ก้มหน้าลงเล็กน้อย

                เขาจึงหยุดด้วยและรอคำตอบจากเธอ       

                ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

                “…”

                หล่อนทาบมือลงบนหน้าอกเหมือนกับพยายามจะดึงตัวเองไม่ให้หนีจากการเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่าง

                ตัวเองในตอนนี้ยังจะกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีกเหรอ

                สิ่งที่หล่อนกำลังเผชิญหน้าอยู่คือ ความกลัวนั่นเอง

                ไทเทเนียมค่อยๆ หันมา ใบหน้าของหล่อนมีแต่สีของความไม่สบายไม่ฉาบเอาไว้

                กวินทร์ตอบเพื่อหวังให้สีแห่งความกังวลนั่นเจือจางลงไปซักเล็กน้อย

                ต้องได้อยู่แล้วสิพี่ขนาด ขวัญยังกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ในโลกนั่นมาแล้วเลยนะ

                แต่มันกลับทำตรงกันข้ามแทน

                กวินทร์เพิ่งจะฉุกคิดได้ตอนที่เห็นว่าแววตาของพี่สาวนั้นสั่นไหวกับคำพูดของเขาเพียงใด

                เพิ่งจะเข้าใจว่าที่ไทเทเนียมถามมานั้นไม่ได้หมายถึงการกลับไปเป็นมนุษย์ทางร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหาก

                หล่อนพูด

                ฉันที่เห็นดีเห็นงามกับโลกที่ล่มสลาย ตัวฉันเปล่งประกายท่ามกลางซากปรักหักพังแบบนี้ยังจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นได้อีกเหรอ

                ทั้งที่ตัวเองเป็นคนถามเองแท้ๆ แต่กลับลืมไปซะได้

                ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากำลังคาดคั้นเอาความกับหล่อนว่าภายในนั้นยังเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือว่าเป็นมนุษย์อยู่กันแน่

                ทั้งที่รู้ว่าที่พี่สาวกลายเป็นไทเทเนียม ยอมกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวก็เพราะสิ้นหวังในความเป็นมนุษย์ไปแล้ว

                แต่ถึงจะพลาดไปบ้างที่ทำให้เกิดความลังเลในใจหล่อน แต่นั่นก็ทำให้มองเห็นโอกาสไปด้วย

                ที่ไหนซักแห่ง ภายในตัวของมนุษย์ต่างดาวตนนี้ ยังคงมีหัวใจหลงเหลืออยู่ หัวใจของความเป็นมนุษย์ที่อาจจะยังไม่ได้บิดเบี้ยวไปทั้งหมด

                กวินทร์ยิ้มให้ความหวังอันน้อยนิดนั่น ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่เขามั่นใจว่าจะทำให้มันแผ่ขยายออกไปนั้นง่ายนิดเดียว

                เพราะตอนนี้ตัวเขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าจะช่วยพี่สาว

                เรื่องพวกนั้นไม่ต้องไปคิดหรอกครับพี่ ไม่ต้องไปกังวลด้วยว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไงขอแค่พี่คิดเรื่องที่อยากจะทำก็พอครับ

                กวินทร์กางแขนออก มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าใกล้จิตใจของพี่สาวมากขึ้น เป็นการเปิดอกคุยกันอย่างแท้จริง

                ผมกับทุกคนพร้อมจะช่วยพี่เสมอ หรือถ้าพี่โดนพ่อไล่ออกจากบ้านก็มาอยู่กับผมกับคุณน้าก็ได้นะครับ

                กวินทร์พูดออกมาอย่างมั่นใจและยิ้มให้เธอ

                เขามีเพื่อนฝูง มีพวกพ้องที่สามารถเชื่อใจกันได้และพร้อมจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เขามีแสงสว่างมากพอจะแบ่งปันให้กับเธอได้ นี่คือสิ่งที่อยากจะให้หล่อนได้รู้

                ทันใดนั้นเอง แววตาของไทเทเนียมก็เหมือนกับจะมีประกายส่องออกมา

                ประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นอีกครั้งในตัวของเธอแล้วอย่างนั้นสินะ

                รอยยิ้มบางๆ คลี่ออกมาบนใบหน้าหล่อน

                พี่...

                กวินทร์พูดด้วยความตื้นตัน รู้สึกว่ามันนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นพี่สาวยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบนั้น ตั้งแต่ที่โลกล่มสลายเลยกระมัง

     

                ตอนนั้นเองก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา

                ยินดีด้วยที่สอบผ่าน

                กวินทร์กับไทเทเนียมหันไป

                เด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เป็นนักเรียนชั้นประถมถ้าหากดูจากชุด แต่เพราะใบหูยาวและมีขนปกคลุมเหมือนกระต่าย กับ ถุงมือทรงก้ามปูที่เจ้าตัวยกขึ้นมาหนีบเล่นทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

                ที่จริงแล้วหากจะได้เห็นมนุษย์คนอื่นนอกจากพวกเขาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องปกติแล้วนั่นล่ะ ก็เพราะที่โลกแห่งการทดสอบนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เลย จะมีก็แต่หุ่นกล หรือไม่ก็ระบบต้อนรับลูกค้าอัตโนมัติเท่านั้น

                ถ้าอย่างนั้นหมอนี่ก็...

                กวินทร์กับไทเทเนียมพูดขึ้นพร้อมกัน

                เครื่องทำสวนเหรอ” “เครื่องทำสวนสินะ

                เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้อย่างสุภาพแล้วเริ่มพูด

                ฉันคือผู้สะบั้นวัชพืชจูลลับบิทตาร์ เคยโดนนายใช้ปีศาจจับเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาไงล่ะ

                แวบหนึ่ง เพียงแค่แวบเดียวจริงๆ ที่สายตาอันใสซื่อของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นสายตาคมกร้าวดุจนักล่าที่จ้องไปยังเหยื่อ

                กวินทร์ขนลุกซู่ไปหมด แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                แต่พอเข้าใจได้ว่าทำไมเครื่องทำสวนถึงมีท่าทีราวกับโกรธเขามาจากไหน เครื่องทำสวนที่จำแลงเป็นเด็กประถมนี่คงจะเป็นเครื่องทำสวนที่อิงศรเคยขับขึ้นมาจากทะเลเมื่อครั้งที่พวกเขาต่อต้าน เมตไตรย

                จูลลับบิทตาร์คือเครื่องทำสวนรูปกระต่ายกับปูเมื่อตอนนั้นนั่นเอง และจากคำพูดที่บอกว่าโดนเขาจับเหวี่ยงไปมาก็คงจะหมายถึงอาคานาร์แห่งโชคชะตาของเขาที่เรียกแจ๊ก ออกมาจับเครื่องทำสวนที่เปลี่ยนเป็นดาบหวดไปทั่วได้นั่นเอง

                จูลลับบิทตาร์กล่าวต่อ

                การทดสอบของนายมีชื่อการทดสอบว่า สายสัมพันธ์ที่สะบั้นเพื่อเชื่อมต่อ ถึงจะเคยผูกพันกันเพียงใดก็ไม่แคล้วต้องขาดจากกันอยู่ดี แต่ว่าการที่มันขาดไปอย่างไม่สมบูรณ์ทำให้เมื่อจะเชื่อมต่อกลับมาอีกครั้งจึงทำได้ยาก ความสัมพันธ์ ความเชื่อมต่อ การเชื่อมโยงกัน บางครั้งมันก็ต้องตัดให้ขาดก่อนจะต่อกันอีกครั้ง กวินทร์ นายแสดงสิ่งนั้นให้ฉันเห็นแล้ว

                กวินทร์ชี้ใส่ตัวเองแล้วถามด้วยความงวยงง

                ที่ว่าผ่านการทดสอบนี่หมายถึงผมเหรอ

                จูลลับบิทตาร์พยักหน้า

                นายละทิ้งความคิดที่มีต่อพี่สาวคนเดิมทิ้งไปแล้วเริ่มต้นใหม่ มอบความสัมพันธ์ครั้งใหม่ให้กับเธอ นายแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของผู้สะบั้นแล้ว การที่จะผดุงความเชื่อมต่อของสวนศักดิ์สิทธิ์นั้นจำเป็นที่จะต้องสะบั้นสิ่งที่ขาดเกินออกไปเพื่อให้ยังคงส่วนที่เหลือเอาไว้ แม้จะเป็นการตัดออกแต่มันก็นำมาซึ่งการเชื่อมต่อครั้งใหม่ การเชื่อมต่อกับความเป็นไปได้ที่ยังไม่รู้จัก

                กวินทร์ส่ายหน้าให้กับคำพูดยาวเหยียดนั่น ที่เขาอยากจะถามมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

                ที่ผมถามน่ะหมายถึงที่บอกว่านี่เป็นการทดสอบของผมต่างหากแล้วพี่ศรล่ะ ขวัญล่ะ สองคนนั้นไม่สอบร่วมกับผมเหรอ

                ก็เปล่านี่พวกนายทดสอบแยกกันต่างหาก ยังไม่มีใครพูดเลยนะว่าการทดสอบจะคิดคะแนนรวมกันน่ะ ต่อให้จะมีคนที่ทำการทดสอบอยู่ในที่เดียวกันแต่บททดสอบต่อคนจะถูกกำหนดตามจำนวนเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วของนายน่ะคือฉัน

                งั้นก็แปลว่ายังมีครื่องทำสวนเครื่องอื่นทำการทดสอบพี่ศรกับขวัญอยู่งั้นสิ

                ใช่ แล้วก็ดูจะเลวร้ายสุดๆ กับอิงศรนี่ล่ะนะ

                จูลลับบิทตาร์กล่าวพลางหันไปทางที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

                ตกเย็นแล้วเหรอเนี่ย

                กวินทร์เพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่สีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงและแสงแดดคล้ายหายไป

                ไทเทเนียมพูด

                เพราะเข้าไปเล่นข้างในโดมก็เลยไม่รู้เวลาข้างนอกเลย

                จูลลับบิทตาร์พูด

                เวลาจะไม่เหลือแล้ว ถ้ายังไม่แสดง ความกล้า ออกมาก็ไม่มีวันเข้าถึงสมบัติอันนั้นแน่


    ช่วงนี้ fictionlog ล่มอยู่สำหรับคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ถ้า like เพจใน เฟสไว้ก็ยังอุ่นใจหาทางตามต่อได้อยู่ล่ะนะเพราะมีอัพไว้สามที่ด้วยกัน ซึ่งหลักๆ ก็ที่ Dek-D นี่ล่ะ

    ว่าแล้วก็เข้าเรื่องซะหน่อย การทดสอบดำเนินมาถึงเกือบสุดท้ายแล้ว อิงศรจะสอบตกหรือไม่ ศักดิ์ศรีของพี่ชาย บ้าๆ นั่นจะค้ำคอร์ เอ้ย ค้ำไม่ให้ผ่านหรือเปล่าลุ้นกันในตอนที่จะลงวันเสาร์นี้นะเอ้อ

    แล้วก็ซักอาทิตย์หน้าไม่แน่ใจว่าจะงดตอนหนึ่งไหมว่าจะหาเวลาออกแบบพลังใหม่ที่พวกอิงศรจะได้จากต้นไม้แห่งชีวิตซักหน่อย(ยังกะจะขายของ555+) นาทีนี้ตอนอวสานได้ถูกเขียนคร่าวๆ ไว้แล้วเหลือแค่จะเขียนไปเชื่อมจนนำออกมาใช้ได้ไหมเท่านั้นนน เรื่องวนี้ต้องจบภายในปีนี้ โอเมก้า(แล้วไอ้คำพูดที่ว่าจะจบต้นปีที่ผ่านมาล่ะเฟ้ยยย!!!) เอื้อก(กลืนน้ำลายแบ้ว ไม่ติดคออุ๋งอิ๋ง)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×