คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #269 : Extra Log 265: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 2
Extra Log 265: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 2
การทดสอบภายในต้นไม้แห่งชีวิตดำเนินมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว
แต่ละคนต่างก็เผชิญหน้ากับอุปสรรค์ ต่อสู้ฟันฝ่าบททดสอบด้วยพลังทั้งหมด
ทำให้ดีที่สุด
พยายามอย่างเต็มที่
ต้องผ่านให้ได้
ทุกคนต่างก็คิดกันแบบนั้น
ไม่มีใครอยากให้การทดสอบนี้ผิดพลาด
เพราะถ้าล้มเหลวขึ้นมาแม้แต่คนเดียวแล้วล่ะก็การทดสอบจะถือว่าล้มเหลวทั้งหมด
คนอื่นๆ จะต้องลำบากไปด้วย ทุกคนคงกำลังกดดันตัวเองกันด้วยเงื่อนไขแบบนั้น ตัวเขาเองก็เช่นกัน
ป๊อก!
อิงศรเพิ่งจะลั่นไกปืนอัดลมยิงกระป๋องน้ำทั้งหมดให้ตกจากชั้นวางไป
เขากับน้องชายยืนอยู่หน้าซุ้มยิงปืนอัดลมเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบมา
ซึ่งมันดูคล้ายกับการเที่ยวเล่นเสียมากกว่า
แต่ว่าในความสนุกเหล่านั้นก็ยังกำหนดเงื่อนไขมาด้วยว่าต้องเล่นเกมจากซุ้มร้านในงานเทศกาลให้ผ่านทุกเกม
....เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ภารกิจที่ระบุมาในกระดาษที่ได้จากเครื่องทำสวนทั้งหมดนี่เขาจะจัดการเอง
ถ้าเป็นเรื่องที่ทำได้ด้วยตัวเองคนเดียวแล้วล่ะก็
จัดการเองทั้งหมดน่าจะดีกว่า ถ้าพลาดขึ้นมาเขาจะรับผิดชอบเพียงคนเดียว มิ่งขวัญจะได้ไม่ถูกลากมาร่วมรับผิดชอบด้วย...
ถ้าหากว่าคำใบ้ของการทดสอบที่ว่าให้แสดงพลังของพี่น้องออกมาเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็
แค่ทำไปตามปกติก็น่าจะพอแล้ว
แต่เดิมที่ต้นไม้แห่งชีวิตสามารถมาทดสอบพวกเขาได้ก็น่าจะมาจากความตั้งใจของ
ออร์ฟี่ ถ้าอย่างนั้นการทดสอบก็น่าจะพยายามให้ผ่านกันทุกคน
แล้วในการทดสอบพี่น้องสิ่งที่จะแสดงพลังที่ว่านั้นได้สำหรับเขาก็คือ
’ศักดิ์ศรีของพี่ชาย’ นั่นเอง
อิงศรวางปืนอัดลมลง
แล้วยื่นบัตรสะสมแต้มที่ได้มาพร้อมกับใบกำกับภารกิจให้หุ่นยนต์ดูแลร้านรับไปประทับตรา
หุ่นกลเลียนแบบมนุษย์
ลักษณะเป็นแท่งเหล็กที่นำมาประกอบกันอย่างลวกๆ แบบตัวนี้มีประจำซุ้มร้านทุกร้านในงานเทศกาล
งานเทศกาลบรรยากาศเหมือนๆ
กับงานทั่วไปที่เห็นได้ตามที่ต่างๆ
ซุ้มร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายกันเป็นแถวทางตรง
บนสวนสาธารณะที่กว้างเป็นอย่างมาก
รายละเอียดมีอยู่แค่นั้นแหละ
เพราะซุ้มร้านที่ขายพวกอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจเลยก็เป็นแค่สิ่งของประกอบฉากที่หุ่นดูแลร้านไม่ตอบสนองอะไรซักอย่างต่อให้หยิบของออกมาจากร้านแล้วก็ตาม
เมื่อบัตรสะสมแต้มถูกประทับตราวงกลมสีแดงเพิ่มให้
หุ่นยนต์ก็ส่งมันคืนมา อิงศรดึงบัตรคืนจากมือที่เป็นก้ามหนีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
แล้วหันหลังออกจากร้าน
มิ่งขวัญยืนรออยู่ด้วยท่าทางเซ็งๆ
“ไปกันต่อเถอะขวัญ”
อิงศรพูด
น้องชายคงเบื่อเต็มทีแล้ว รีบทำให้เสร็จน่าจะดีกว่า
แล้วก็จากภารกิจที่เหลือคงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
“เวลาจะพอไหมนะ”
อิงศรเงยหน้ามองดวงตะวันที่เริ่มคล้อย
กับท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย กะคร่าวๆ แล้วคงเหลืออีกราวสองชั่วโมงก่อนที่มันจะลับขอบฟ้า
นี่เป็นเกมที่สิบแล้ว ร้านในงานเทศกาลเหลืออยู่อีกห้าเกม
ถ้าไปด้วยความเร็วขนาดนี้คงจบเกมได้ทันเวลาพอดี
พวกเขาเดินไปข้างหน้าเพื่อหาซุ้มเล่นเกมถัดไปที่ระบุไว้ในกระดาษ
ถ้าเจอซุ้มเกมก็จะดูก่อนว่าเป็นเกมที่ระบุให้เล่นไว้รึเปล่าถ้าไม่ใช่ก็จะข้ามไป
พวกเขาใช้วิธีนี้เดินไล่จากต้นทางเข้างานมาเพื่อจะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาให้เสียเวลา
แล้วจู่ๆ
“ศร”
มิ่งขวัญก็เรียก
“มีอะไร”
อิงศรชะงักเท้าแล้วหันกลับไป
“…”
แต่น้องชายกลับไม่พูด
มิ่งขวัญแค่จ้องหน้าเขา ทำปากขมุบขมิบเหมือนอยากจะพูดแต่กลับลังเล
ดังนั้นอิงศรจึงช่วยพูดในสิ่งที่คิดว่าน้องชายจะพูดให้
“อยากลองเล่นด้วยไหมล่ะ”
เขาพูดแล้วยื่นกระดาษกำกับภารกิจให้
“…”
มิ่งขวัญมีปฏิกิริยา
ช่างเหมือนกับเมื่อก่อนจริงๆ
เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้
เวลาที่เล่นเกมใหม่ๆ แล้วมิ่งขวัญก็มาด้อมๆ มองจนต้องชวนเล่นด้วยไม่อย่างนั้นก็จะไม่ยอมไปไหนซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหมอนี่จะทำตัวน่ารำคาญจนเราเองก็ทนไม่ไหว
“เปล่า
ไม่มีอะไรหรอก”
มิ่งขวัญพูด
ดูเหมือนจะปฏิเสธเพราะความลังเลบางอย่าง
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
แต่ที่รู้สึกได้แน่ๆ ก็คือมิ่งขวัญเปลี่ยนไปค่อนข้างมากหลังจากที่แยกทางกันมาสี่ปี
ตอนที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
แม้จะยังขี้แยเหมือนเดิม
ทำตัวน่ารำคาญเหมือนเดิม
แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม...
อิงศรรู้สึกว่าน้องชายเว้นระยะห่างกับตัวเองมากกว่าแต่ก่อน
รู้สึกว่าขวัญไม่ค่อยพูดอะไรกับเขาตรงๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ถ้างั้นก็ไปต่อเหอะ”
อิงศรพูดแล้วออกเดินต่อ
“....”
ไม่มีการโต้ตอบกลับมา
มิ่งขวัญเดินตามหลังเขาต้อยๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไร
แบบนี้คงไม่ผ่านแน่....
อิงศรมองกระดาษภารกิจในมือ
กระดาษสีขาวกับตัวหนังสือพิมพ์ด้วยหมึกสีดำ
เขารู้ตัวมาซักพักหนึ่งแล้ว
ว่าการทดสอบนี้ไม่มีทางจบแค่ทำภารกิจทั้งหมดในกระดาษแผ่นนี้หรอก
มันมีเงื่อนไขแฝงอยู่ซึ่งก็ดูออกง่ายมาก
เพราะเครื่องทำสวนคู่แฝดก็บอกใบ้มาแล้วด้วยว่าจะผ่านการทดสอบนี้จะต้องแสดงพลังของพี่น้องออกมา
เขากำลัง
‘ทำหน้าที่ของพี่ชาย’ อยู่แต่ขวัญกลับไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง
“ถ้านายไม่เริ่มก้าวออกมาซักทีฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้…”
อิงศรพูดกระซิบกับตัวเอง
มิ่งขวัญคงจะไม่ได้ยินอย่างแน่นอน
นี่คือการ ‘ทดสอบ’
ถ้าบอกออกไปอาจจะไม่ผ่านเอาก็ได้....
@@@@
“ให้ตายสิคิดเอง
เออเองเป็นตุเป็นตะกันซะหมด แค่เป็นฝ่ายเข้าหาเองซะก็หมดเรื่อง
วัชพืชก็แบบนี้ล่ะน้า~~”
จูเนอร์มินาร์คนพี่เปรยเสียงบ่นด้วยทางทางรำคาญ
ขณะที่มองหน้าจอซึ่งถ่ายทอดภาพของอิงศรกับมิ่งขวัญมา หล่อนยืนกอดอกอยู่ถนนตรงทางแยกไปสวนสนุกกับงานเทศกาล
นอกจากน้องชายฝาแฝดของเธอที่เล่นจนเหนื่อยเลยหลับฟุบกับพื้นถนนไปแล้ว
ก็มีเด็กหนุ่มอายุเท่ากันอยู่อีกคน คือจูลลับบิทตาร์
จูลลับบิทตาร์พูดแย้งคำกล่าวหาของหล่อน
“ก็คนที่ไปขู่เขาไว้ก่อนน่ะมันเธอไม่ใช่เรอะ”
ทว่า
เด็กหนุ่มก็กลับลำคำตัวเองในทันที
“แต่เอาเถอะ…อิงศรไม่เข้าใจแก่นของการทดสอบนี้เอาซะเลยจริงๆ
คงจะล้มเหลวเพราะมีผู้นำแบบนี้แหละนะ”
แต่จูเนอร์มินาร์กลับเห็นต่างออกไป
หล่อนพูดแย้งคำของเด็กหนุ่ม
“ไม่หรอกเพราะเป็นผู้นำที่ดีเกินไปต่างหากล่ะ”
จากสายตาของเธอแล้ว
อิงศรวางตัวได้เหมาะสมที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้แล้ว
“แต่ก็เพราะทำเต็มที่เกินไปนั่นแหละนะ
ถึงได้ไม่เหมาะกับบททดสอบนี้เลยต่างหาก โชคร้ายจริงๆ”
จูลลับบิทตาร์จ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
“นึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะเข้าข้างหมอนั่นเกิดมีความเห็นใจขึ้นมารึไง”
“ก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง”
จูเนอร์มินาร์ยักไหล่ให้กับคำกล่าวหานั้นแล้วชี้ไปที่หน้าจออีกด้านที่ฉายภาพของคู่กวินทร์อยู่
“ยินดีกับนายด้วยนะทางนั้นดูเหมือนจะผ่านเรียบร้อยแล้วล่ะ”
ภาพในหน้าจอแสดงให้เห็น
กวินทร์กับไทเทเนียมที่เข้าไปเล่นเกมในเครื่องเล่นของภารกิจสุดท้ายที่กำลังเดินออกมาจาก
ที่อาคารทรงโดมขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของสวนสนุกแห่งนั้น
ฮอลหลักของ
‘สงครามอวกาศ’
เครื่องเล่นที่เป็นไคลแมกซ์ของสวนสนุกซึ่งจะเปิดให้ลูกค้าสวมบทบาทเป็นนักรบอวกาศที่จะเลือกอาชีพสมมติที่จะให้เครื่องแต่งายเป็นเกราะกับอาวุธแยกตามอาชีพที่เลือก
กวินทร์เลือก
‘ซามูไร’ จึงได้เกราะเป็นโฟมสีดำสวมที่อกกับดาบลำแสงที่เป็นแท่งพลาสติกใส่สารเรืองแสงไว้ข้างใน
ส่วนไทเทเนียมนั้นเลือก
‘นินจา’ หล่อนได้เกราะแขนทำจากโฟมสีดำเหมือนกันสวมที่แขนทั้งสองข้าง
ดาวกระจายทำจากยางสิบอัน มีดคุไนทำจากยางเหมือนกันจำนวนสองเล่ม
การเลือกอาชีพของทั้งสองนั้นมาจากพื้นฐานจริงของการต่อสู้ที่แต่ละคนถนัด
ซึ่งการเลือกแบบนั้นทำให้ฝ่าฟันผ่านด่านต่างๆ ใน ‘สงครามอวกาศ’ ได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่ต้องทำในโดมแห่งนั้นก็แค่ไล่ตีตุ๊กตายางกับเป้าต่างๆ
ในแต่ละห้องให้ครบจำนวนที่กำหนดต่อห้องเพื่อผ่านด่านนั้นๆ
โชคดีที่การพูดคุยกับไทเทเนียมนั้นได้ทำก่อนจะเข้ามาเล่นที่นี่
ไม่อย่างนั้นด่านที่ต้องอาศัยการร่วมมือกันคงผ่านได้ยาก
หลังจากถอดอุปกรณ์การเล่นทั้งหมดคืนที่แล้วเดินออกจากโดมพร้อมกับชัยชนะที่ประทับเป็นตราที่สิบห้าในบัตรสะสมแต้มซึ่งได้มาพร้อมกับใบกำกับภารกิจ
กวินทร์ก็เหลือบมองพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่เดินเคียงคู่กันแล้วถามคำถาม
“แล้วพี่จะตอบผมได้ยังครับ”
ทวงถามถึงสิ่งที่ค้างคาไว้ก่อนจะมาเล่น
‘สงครามอวกาศ’
เขาได้ถามไทเทเนียมถึงสิ่งที่อยากจะทำในอนาคตหลังจากที่การต่อสู้นี้จบลง
ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอย่างจริงจังนัก
เพียงแค่อยากจะดูให้รู้ว่าพี่สาวของเขาได้เปลี่ยนแนวคิดและมุมมองให้กว้างไกลกว่า
ไทเทเนียม
มนุษย์ต่างดาวผู้ที่ปรารถนาโลกแห่งที่ล่มสลายมากกว่าชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยโชคชะตากับสายเลือดแล้วหรือเปล่า
“…”
หล่อนหยุดเดิน
ก้มหน้าลงเล็กน้อย
เขาจึงหยุดด้วยและรอคำตอบจากเธอ
“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“…”
หล่อนทาบมือลงบนหน้าอกเหมือนกับพยายามจะดึงตัวเองไม่ให้หนีจากการเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่าง
“ตัวเองในตอนนี้ยังจะกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีกเหรอ”
สิ่งที่หล่อนกำลังเผชิญหน้าอยู่คือ
‘ความกลัว’ นั่นเอง
ไทเทเนียมค่อยๆ
หันมา ใบหน้าของหล่อนมีแต่สีของความไม่สบายไม่ฉาบเอาไว้
กวินทร์ตอบเพื่อหวังให้สีแห่งความกังวลนั่นเจือจางลงไปซักเล็กน้อย
“ต้องได้อยู่แล้วสิพี่ขนาด ขวัญยังกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ
ในโลกนั่นมาแล้วเลยนะ”
แต่มันกลับทำตรงกันข้ามแทน
กวินทร์เพิ่งจะฉุกคิดได้ตอนที่เห็นว่าแววตาของพี่สาวนั้นสั่นไหวกับคำพูดของเขาเพียงใด
เพิ่งจะเข้าใจว่าที่ไทเทเนียมถามมานั้นไม่ได้หมายถึงการกลับไปเป็นมนุษย์ทางร่างกาย
แต่เป็นจิตใจต่างหาก
หล่อนพูด
“ฉันที่เห็นดีเห็นงามกับโลกที่ล่มสลาย
ตัวฉันเปล่งประกายท่ามกลางซากปรักหักพังแบบนี้ยังจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นได้อีกเหรอ”
ทั้งที่ตัวเองเป็นคนถามเองแท้ๆ
แต่กลับลืมไปซะได้
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากำลังคาดคั้นเอาความกับหล่อนว่าภายในนั้นยังเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือว่าเป็นมนุษย์อยู่กันแน่
ทั้งที่รู้ว่าที่พี่สาวกลายเป็นไทเทเนียม
ยอมกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวก็เพราะสิ้นหวังในความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
แต่ถึงจะพลาดไปบ้างที่ทำให้เกิดความลังเลในใจหล่อน
แต่นั่นก็ทำให้มองเห็นโอกาสไปด้วย
ที่ไหนซักแห่ง
ภายในตัวของมนุษย์ต่างดาวตนนี้ ยังคงมีหัวใจหลงเหลืออยู่
หัวใจของความเป็นมนุษย์ที่อาจจะยังไม่ได้บิดเบี้ยวไปทั้งหมด
กวินทร์ยิ้มให้ความหวังอันน้อยนิดนั่น
ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่เขามั่นใจว่าจะทำให้มันแผ่ขยายออกไปนั้นง่ายนิดเดียว
เพราะตอนนี้ตัวเขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าจะช่วยพี่สาว
“เรื่องพวกนั้นไม่ต้องไปคิดหรอกครับพี่
ไม่ต้องไปกังวลด้วยว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไงขอแค่พี่คิดเรื่องที่อยากจะทำก็พอครับ”
กวินทร์กางแขนออก
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าใกล้จิตใจของพี่สาวมากขึ้น
เป็นการเปิดอกคุยกันอย่างแท้จริง
“ผมกับทุกคนพร้อมจะช่วยพี่เสมอ หรือถ้าพี่โดนพ่อไล่ออกจากบ้านก็มาอยู่กับผมกับคุณน้าก็ได้นะครับ”
กวินทร์พูดออกมาอย่างมั่นใจและยิ้มให้เธอ
เขามีเพื่อนฝูง
มีพวกพ้องที่สามารถเชื่อใจกันได้และพร้อมจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
เขามีแสงสว่างมากพอจะแบ่งปันให้กับเธอได้ นี่คือสิ่งที่อยากจะให้หล่อนได้รู้
ทันใดนั้นเอง
แววตาของไทเทเนียมก็เหมือนกับจะมีประกายส่องออกมา
ประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นอีกครั้งในตัวของเธอแล้วอย่างนั้นสินะ
รอยยิ้มบางๆ
คลี่ออกมาบนใบหน้าหล่อน
“พี่...”
กวินทร์พูดด้วยความตื้นตัน
รู้สึกว่ามันนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นพี่สาวยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบนั้น ตั้งแต่ที่โลกล่มสลายเลยกระมัง
ตอนนั้นเองก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา
“ยินดีด้วยที่สอบผ่าน”
กวินทร์กับไทเทเนียมหันไป
เด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
เป็นนักเรียนชั้นประถมถ้าหากดูจากชุด แต่เพราะใบหูยาวและมีขนปกคลุมเหมือนกระต่าย
กับ ถุงมือทรงก้ามปูที่เจ้าตัวยกขึ้นมาหนีบเล่นทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
ที่จริงแล้วหากจะได้เห็นมนุษย์คนอื่นนอกจากพวกเขาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องปกติแล้วนั่นล่ะ
ก็เพราะที่โลกแห่งการทดสอบนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เลย จะมีก็แต่หุ่นกล หรือไม่ก็ระบบต้อนรับลูกค้าอัตโนมัติเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นหมอนี่ก็...
กวินทร์กับไทเทเนียมพูดขึ้นพร้อมกัน
“เครื่องทำสวนเหรอ” “เครื่องทำสวนสินะ”
เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้อย่างสุภาพแล้วเริ่มพูด
“ฉันคือผู้สะบั้นวัชพืชจูลลับบิทตาร์ เคยโดนนายใช้ปีศาจจับเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาไงล่ะ”
แวบหนึ่ง
เพียงแค่แวบเดียวจริงๆ ที่สายตาอันใสซื่อของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นสายตาคมกร้าวดุจนักล่าที่จ้องไปยังเหยื่อ
กวินทร์ขนลุกซู่ไปหมด
แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่พอเข้าใจได้ว่าทำไมเครื่องทำสวนถึงมีท่าทีราวกับโกรธเขามาจากไหน
เครื่องทำสวนที่จำแลงเป็นเด็กประถมนี่คงจะเป็นเครื่องทำสวนที่อิงศรเคยขับขึ้นมาจากทะเลเมื่อครั้งที่พวกเขาต่อต้าน
เมตไตรย
จูลลับบิทตาร์คือเครื่องทำสวนรูปกระต่ายกับปูเมื่อตอนนั้นนั่นเอง
และจากคำพูดที่บอกว่าโดนเขาจับเหวี่ยงไปมาก็คงจะหมายถึงอาคานาร์แห่งโชคชะตาของเขาที่เรียกแจ๊ก
ออกมาจับเครื่องทำสวนที่เปลี่ยนเป็นดาบหวดไปทั่วได้นั่นเอง
จูลลับบิทตาร์กล่าวต่อ
“การทดสอบของนายมีชื่อการทดสอบว่า ‘สายสัมพันธ์ที่สะบั้นเพื่อเชื่อมต่อ’ ถึงจะเคยผูกพันกันเพียงใดก็ไม่แคล้วต้องขาดจากกันอยู่ดี
แต่ว่าการที่มันขาดไปอย่างไม่สมบูรณ์ทำให้เมื่อจะเชื่อมต่อกลับมาอีกครั้งจึงทำได้ยาก
ความสัมพันธ์ ความเชื่อมต่อ การเชื่อมโยงกัน
บางครั้งมันก็ต้องตัดให้ขาดก่อนจะต่อกันอีกครั้ง กวินทร์
นายแสดงสิ่งนั้นให้ฉันเห็นแล้ว”
กวินทร์ชี้ใส่ตัวเองแล้วถามด้วยความงวยงง
“ที่ว่าผ่านการทดสอบนี่หมายถึงผมเหรอ”
จูลลับบิทตาร์พยักหน้า
“นายละทิ้งความคิดที่มีต่อพี่สาวคนเดิมทิ้งไปแล้วเริ่มต้นใหม่
มอบความสัมพันธ์ครั้งใหม่ให้กับเธอ นายแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของผู้สะบั้นแล้ว
การที่จะผดุงความเชื่อมต่อของสวนศักดิ์สิทธิ์นั้นจำเป็นที่จะต้องสะบั้นสิ่งที่ขาดเกินออกไปเพื่อให้ยังคงส่วนที่เหลือเอาไว้
แม้จะเป็นการตัดออกแต่มันก็นำมาซึ่งการเชื่อมต่อครั้งใหม่ การเชื่อมต่อกับความเป็นไปได้ที่ยังไม่รู้จัก”
กวินทร์ส่ายหน้าให้กับคำพูดยาวเหยียดนั่น
ที่เขาอยากจะถามมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
“ที่ผมถามน่ะหมายถึงที่บอกว่านี่เป็นการทดสอบของผมต่างหากแล้วพี่ศรล่ะ
ขวัญล่ะ สองคนนั้นไม่สอบร่วมกับผมเหรอ”
“ก็เปล่านี่พวกนายทดสอบแยกกันต่างหาก
ยังไม่มีใครพูดเลยนะว่าการทดสอบจะคิดคะแนนรวมกันน่ะ
ต่อให้จะมีคนที่ทำการทดสอบอยู่ในที่เดียวกันแต่บททดสอบต่อคนจะถูกกำหนดตามจำนวนเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วของนายน่ะคือฉัน”
“งั้นก็แปลว่ายังมีครื่องทำสวนเครื่องอื่นทำการทดสอบพี่ศรกับขวัญอยู่งั้นสิ”
“ใช่ แล้วก็ดูจะเลวร้ายสุดๆ กับอิงศรนี่ล่ะนะ”
จูลลับบิทตาร์กล่าวพลางหันไปทางที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
“ตกเย็นแล้วเหรอเนี่ย”
กวินทร์เพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่สีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงและแสงแดดคล้ายหายไป
ไทเทเนียมพูด
”เพราะเข้าไปเล่นข้างในโดมก็เลยไม่รู้เวลาข้างนอกเลย”
จูลลับบิทตาร์พูด
“เวลาจะไม่เหลือแล้ว ถ้ายังไม่แสดง ‘ความกล้า’ ออกมาก็ไม่มีวันเข้าถึงสมบัติอันนั้นแน่”
ช่วงนี้ fictionlog ล่มอยู่สำหรับคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ถ้า like เพจใน เฟสไว้ก็ยังอุ่นใจหาทางตามต่อได้อยู่ล่ะนะเพราะมีอัพไว้สามที่ด้วยกัน ซึ่งหลักๆ ก็ที่ Dek-D นี่ล่ะ
ว่าแล้วก็เข้าเรื่องซะหน่อย การทดสอบดำเนินมาถึงเกือบสุดท้ายแล้ว อิงศรจะสอบตกหรือไม่ ศักดิ์ศรีของพี่ชาย บ้าๆ นั่นจะค้ำคอร์ เอ้ย ค้ำไม่ให้ผ่านหรือเปล่าลุ้นกันในตอนที่จะลงวันเสาร์นี้นะเอ้อ
แล้วก็ซักอาทิตย์หน้าไม่แน่ใจว่าจะงดตอนหนึ่งไหมว่าจะหาเวลาออกแบบพลังใหม่ที่พวกอิงศรจะได้จากต้นไม้แห่งชีวิตซักหน่อย(ยังกะจะขายของ555+) นาทีนี้ตอนอวสานได้ถูกเขียนคร่าวๆ ไว้แล้วเหลือแค่จะเขียนไปเชื่อมจนนำออกมาใช้ได้ไหมเท่านั้นนน เรื่องวนี้ต้องจบภายในปีนี้ โอเมก้า(แล้วไอ้คำพูดที่ว่าจะจบต้นปีที่ผ่านมาล่ะเฟ้ยยย!!!) เอื้อก(กลืนน้ำลายแบ้ว ไม่ติดคออุ๋งอิ๋ง)
ความคิดเห็น