คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #259 : Extra Log 255: ความจริงของโลก 1
เทิร์นบริงเกอร์…
หากจะกล่าวถึงที่มาของมันแล้วล่ะก็คงต้องย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดของจักรวาล
มิติ เวลา ทุกสรรพสิ่งเลยนั่นล่ะ
แรกเริ่มที่ทุกสรรพสิ่งยังเป็นเพียง
‘เคออส’
ความสับสนวุ่นวายระหว่างแสงสว่างและความมืดที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกจนกระทั่ง
เวลาถูกกำหนดขึ้น
มิติแผ่ขยายขึ้น
แสงสว่างกับความมืดจึงเริ่มแยกจากกัน
เมื่อระยะทางเริ่มเกิดขึ้นและวินาทีเร่มนับเดิน แสงจึงต้องเดินทางในขณะที่ความมืดถมเต็มมิติ
และนั่นก็คือ ‘จักรวาล’
ต่อมามิติและเวลาก็เหลื่อมล้ำกันจักรวาลจึงแยกออกไปและเกิด
‘คู่ขนาน’ ขึ้นมาตัวการที่ทำให้เกิดขึ้นก็คือ ‘ความเป็นไปได้’
หากจะกล่าวว่า
‘ความเป็นไปได้’ คือการก้าวเดินไปข้างหน้าของจักรวาลก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นแล้วความนึกคิดของจักรวาลที่อยากจะย้อนกลับไปยัง
‘เคออส’ ก็คงจะเรีนกได้ว่า เทิร์นบริงเกอร์ นั่นเอง
“พวกเราคือเจตจำนงแห่งความว่างเปล่า
คือเจตจำนงที่อยากจะหวนคืนสู่รูปเดิมของจักรวาลทั้งหมด
พวกเราคือทูตที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อการนั้น”
นี่คือคำพูดของมังกรแห่งความว่างเปล่าตนหนึ่งในโลกที่แตกต่างออกไปจากทุกที
ที่นั่นคือโลกที่ยุคสมัยของมนุษย์จบลงไปและสัตว์เดียรัจฉานวิวัฒนาการขึ้นมาปกครองโลกแทนมนุษย์
ที่โลกแห่งนั้นมีธรรมชาติอันงดงามและสมบูรณ์ยิ่งราวกับโลกเมื่อครั้งยังเยาว์และมนุษย์ที่ยังเหลือรอดก็ดำรงชีพอยู่ในอวกาศอันดำมืดด้วยเทคโนโลยีของพวกเขาและทำสงครามกับเดียรัจฉานบนโลกเพื่อเอาดวงดาวของตนกลับคืน
เทิร์นบริงเกอร์ได้ปรากฏตัวขึ้นที่โลกแห่งนั้นและทำลายทั้งสองฝ่ายจนย่อยยับด้วยพลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น
แล้วก็ไม่ใช่แค่โลกใบนั้นจักรวาลในเส้นคู่ขนานนั้นเองก็ล่มสลายและหายไปจากสารระบบจักรวาล
ยังมีอีกหลายที่ที่ เทิร์นบริงเกอร์ ไปรุกรานและทำลายจนหมดสิ้น
กลืนกินผู้คนของที่นั่น
ช่วงชิงพลังและความเป็นไปได้ทั้งหมดมาพัฒนาพวกมันจนแข็งแกร่งขึ้น
ทุกครั้งที่ภารกิจสำเร็จพวกมันก็จะเลวร้ายมากขึ้นจนไม่มีอะไรจะหยุดยั้งพวกมันได้อีก
และสำหรับที่นี่…
ความจริงสำหรับมนุษย์ทั้งปวงในจักรวาลนี้คือความสิ้นหวังที่ลึกล้ำเกินกว่าจะปีนออกมาได้
อิงศรกำลังจะเข้าใจถึงเรื่องนั้นในอีกไม่ช้านี้
Extra Log 255: ความจริงของโลก 1
บนเรือสำเภา
หลังจากหลบหนีออกมาโดยผ่านทางรูมิติ
เรือสำเภาก็พาพวกเขามาถึงเขตท้องฟ้าซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังอาคาชิกแซงทัวรี่
สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเดินทางขึ้นมาด้วยลิฟต์และเข้าปะทะกับลูนาริสหนึ่งในแอดมินิสเทรเตอร์
เมื่อรอดตายมาหวุดหวิด
ทุกคนก็พากันทิ้งตัวลงกับพื้นเรือ แทบจะไม่มีใครยืนไหว
เมษา
กับ ฟูล้มตัวลงไปนอนเกลือกกลิ้งโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เห็นแบบนั้นแล้วอิงศรก็อยากทำบ้างแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์เท่าไหร่
สาเหตุเป็นเพราะหอกที่ถืออยู่ในมือ
เขาจ้องมองมัน
“….”
หอกซึ่งรับช่วงต่อมาจากมิ่งขวัญที่มาจากอีกโลกคู่ขนาน
มันเพ่งจะหดตัวลงจนเหลือขนาดเท่ากับตะเกียบ
เหมือนเป็นโมเดลของเด็กเล่นเมื่อไม่มีพลังส่งมาที่มันอีกต่อไป
เป็นสัญญาณยืนยันว่าเจ้าของได้เสียชีวิตลงแล้วหรือว่าเป็นอย่างอื่นกันแน่เขาเองก็ไม่รู้
แต่ที่มั่นใจ คือมิ่งขวัญที่ถูกทิ้งไว้ที่นั่นไม่มีทางรอด
“พี่ศร”
อิงศรหันไปตามเสียงเรียก
กวินทร์กำลังเดินมาทรงนี้โดยมีมิ่งขวัญช่วยพยุงปีกหิ้วมาตลอดทาง
ที่กวินทร์ตกอยู่ในสภาพนั้นก็มาจากการต่อสู้กับพวกผู้รุกรานขณะที่เรือถูกสมุนของราหูดึงเอาไว้
สายตาของรุ่นน้องจับจ้องมาที่หอกในมือ แล้วใบหน้านั้นก็ฉาบไปด้วยสีแห่งความเจ็บช้ำ
กวินทร์เบ้หน้า
“มิ่งขวัญคนนั้นเขา…”
ถึงจะพูดออกมาไม่หมดแต่กวินทร์คงเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาสูญเสียพวกพ้องไปอีกหนึ่งแล้ว
อิงศรกำหอกที่หดเล็กลงเท่าตะเกียบเพื่อไม่ให้กวินทร์ต้องเห็นมันอีก
“ถึงจะเป็นคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่ก็เหมือนรู้จักกันมานาน
จากนี้ไปพวกเราต้องทำเผื่อในส่วนของหมอนั่นด้วย”
ทั้งที่ติดว่าคำพูดเพียงเท่านี้คงจะตัดการสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ลงได้แต่วาเหตุที่แท้จริงซึ่งกำลังรบกวนจิตใจของรุ่นน้องกลับไม่ใช่เพียงเรื่องเดียว
กวินทร์พูดเหมือนกับตัดพ้อ
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีกใช่ไหมครับ”
“…”
รุ่นน้องก้มหน้าลงแล้วพูดต่อ
“ตอนที่พวกเราสู้กับลูนาริส
หลังจากพี่ศรหมดสติไป…เรื่องในคราวนี้มันทำให้ผมนึกถึงตอนนั้นขึ้นมาอีก”
อิงศรเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน
มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้นกัน
ช่วงเวลาที่กวินทร์กล่าวถึงน่าจะเป็นหลังจากที่เขาได้ยินเสียงกระซิบของราหูทำให้ปลดปล่อยพลังของอาคานาร์จนโค่นลูนาริสลงได้…
“หลังจากพี่ศรหมดสติไปลูนาริสยังไม่ถูกจัดการไปทั้งหมดเจ้านั่นพยายามจะฆ่าพวกเรา”
นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายหลังจากนั้น
จุดที่ทำให้กวินทร์เป็นกังวลคงจะอยู่ตรงนี้
“เพื่อที่จะเอาชนะมันขวัญก็เลย…”
มิ่งขวัญทำอะไรลงไปคิดว่าในฐานะพี่ชายอย่างเขาพอจะเดาได้อยู่หรอก
ขวัญนั้นถึงจะขี้แยและเอาแต่ใจ แต่นั่นมันก่อนที่โลกจะล่มสลาย
หลังจากนั้นมาขวัญกลายเป็นคนที่เขาคิดว่าจำเป็นต้องคอยดูแลมากยิ่งกว่าเดิมเพราะได้กลายเป็นคนที่เอาตัวเข้าแลกและทุ่มเทร่างกายเพื่อคนอื่นมากเกินไป
บางทีอาจจะมากยิ่งกว่าเขาเสียอีก
แต่ก่อนที่กวินทร์จะทันได้พูดต่อไปนั่นเองมิ่งขวัญที่พยุงปีกกวินทร์ก็กล่าวขัดเอาไว้ซะก่อน
“พอแล้วน่าเรื่องตอนนั้นน่ะมัน”
“แต่ว่ามันสองครั้งแล้วนะที่ฉันต้องมาเห็นนายตายไปเพื่อพวกเราแบบนี้น่ะ”
กวินทร์ดึงคอเสื้อมิ่งขวัญให้ใบหน้าคล้อยลงมาฟังเสียงตนเองระหว่างที่พูด
ดูเหมือนเหตุการณ์คราวนี้จะเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับกวินทร์
ไม่รู้ว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้สนิทกันถึงขนาดนั้น
ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายอิงศรคิดว่ามันควรจะหยุดที่ตรงนี้
“ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะกวินทร์แล้วฉันก็ดีใจนะที่นายเข้ากับมิ่งขวัญจนเป็นห่วงกันได้ขนาดนั้น
แต่ว่าถึงมาตัดพ้อเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะพวกเรามีแต่ต้องก้าวต่อไปข้างหน้าเท่านั้นไม่อย่างนั้นได้โดนหมอนั่นที่หน้าเหมือนเจ้าบ๊องส์ตื้นนี่หัวเราะเอาแน่”
พูดจบจบเขาก็เอาตัวเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งสองพลางใช้มือหยีหัวเบาๆ
อย่างเอ็นดู ซึ่งมันก็ได้ผลทั้งคู่สงบลง
จากนั้นทุกคนบนเรือก็เริ่มรวมตัวกันเพื่อพูดคุย
พวกเขาล้อมเป็นครึ่งวงกลมอยู่หน้าพวงมาลัยเรือที่ซากิริกพลังขับอยู่
ซากิริพูด
“อาร์คลำนี้จะพาพวกเราไปที่อาคาชิกแซงทัวรี่ในอีกไม่นานนี้แหละไว้ค่อยไปคุยกันบนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”
อาร์คคือชื่อของเรือสำเภาที่พวกเขาโดยสารกันอยู่ดูเหมือนว่าซากิริจะสร้างมันโดยอาศัยพลังของออร์ฟี่และแบบแปลนเรือจากซาคคิเอล
เห็นว่าเป็นเรือแบบเดียวกับในตำนานของโนอาห์ ซึ่งก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเรื่องที่เล่ามานั้นคือประวิตศาสตร์หรือเป็นแค่เรื่องแต่งของพวกเทวทูตอีก
อิงศรพูด
“ไม่ล่ะเราไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกไม่รู้ว่าพวกมันจะตามมาได้ถึงที่นี่ด้วยรึเปล่า”
แฟรนเซียมกล่าวสนับสนุนความเห็นนั้น
“แต่ฉันคิดว่ามันทำได้อย่างน้อยที่สุดมันก็เคยเป็นแอดมินิสเทรเตอร์
ดีไม่ดีไอ้ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปเนี่ยอาจจะเจอมันดักรออยู่ก็ได้”
คำพูดนั้นทำให้คนอื่นๆ
พากันหวาดวิตก แต่ออร์ฟี่ก็กล่าวขัดขึ้นมา
“แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะ
ถ้าทำได้ถึงขนาดมาดักรอพวกเราจริงคงไม่ทุ่มกำลังดึงพวกเราไว้ที่นั่นหรอกแล้วอีกอย่างก่อนจะลงมาพวกเราก็ตัดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างรากกับอาคาชิกสแตร์เวย์
(Akashic Stairway) ที่เป็นเส้นทางเดียวในการไปแซงทัวรี่แล้วด้วยพวกนั้นคงต้องใช้เวลากว่าจะไล่ตามมาได้เราจะมีเวลาให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเอาคืนมันทีหลัง”
ทว่าแฟรนเซียมก็กล่าวขัดคำพูดนั้น
“เตรียมกำลังสำหรับไปเอาคืนงั้นเรอะถามจริงเถอะพวกนายมองเห็นทางที่จะเอาชนะเจ้านั่นได้รึเปล่า”
หลังจากคำถามนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ดูเหมือนว่าแม้แต่พวกออร์ฟี่ที่ลงมาช่วยก็แค่มาช่วยเท่านั้นยังไม่เข้าใจหรือรู้ว่าจะรับมือกับศัตรูแบบนั้นอย่างไรดี
ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพระเจ้าเสียอีก
พลังของราหูนั้นเขาที่เคยปะทะกับพระเจ้ามาแล้วยังมองไม่เห็นแนวทางที่จะใช้ต่อกรได้
ตอนนั้นเองซากิริก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบลง
“ถึงแล้ว”
แสงสว่างตรงปลายทางสาดส่องกระทบเรือ
แสงจ้าจนต้องปิดตาไปครู่หนึ่ง
จนเมื่ออิงศรปรือตาขึ้นใหม่
ทิวทัศน์ของสวนศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่กว้างอยู่ตรงหน้า เรือกำลังลอยอยู่เหนือ
สวนเขียวชะอุ่ม ทุ่งหญ้าเขียวขจีแผ่กว้างไพศาล
และท้องฟ้ากระเพื่อมเหมือนกับคลื่นทะเล
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง
แต่ต่างกันตรงที่คราวนี้พวกเขากลับมาในฐานะเจ้าบ้านของที่นี่แทน เมื่อโค่นโซลาริสลงพวกเขาก็ยึดเอาสวนมาให้ออร์ฟี่ดูแล
ไม่รู้ว่าเวลาจากตอนนั้นผ่านไปนานเท่าใดกันแล้ว สี่ปี หรือ ชั่วพริบตาเดียว
ความรู้สึกรับรู้ถึงเวลาของเขาดูจะสับสนนิดหน่อย
เพราะความทรงจำเกี่ยวกับการเติบโตของตัวเองในช่วงที่ย้อนกลับไปสี่ปีก่อนที่โลกจะล่มสลายจนวนกลับมาที่นี่
แล้วเขาก็นึกขึ้นมา
‘พวกเจ้าอยู่ในภาพลวงตา…’
ถึงคำพูดของราหูที่กล่าวเอาไว้เมื่อตอนที่มันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
‘ไม่สิโลกทั้งหมดก็เป็นแค่ภาพลวงตา
ความจริงในเรื่องโกหก เรื่องโกหกกลายเป็นจริง ก็เหมือนดั่งหมอกพวกนี้
ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลยซักอย่างเดียว’
ดูเผินๆ
แล้วก็เหมือนจะเป็นคำพูดเยาะเย้ยพวกเขาที่ติดอยู่ในโลกวนลูปหนึ่งวันไม่จบสิ้นนั้นเฉยๆ
“…”
เพียงแต่มันรบกวนจิตใจเขา
ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
ความกระสับกระส่ายยามที่นึกถึงอดีตของตัวเอง
แม้ว่าความทรงจำจะชัดเจน
แต่ภาพร่างแห่งความรู้สึกของความทรงจำกลับเลื่อนลอย
หากจะพูดแล้วมันก็เหมือนกับตอนที่เขาหลุดจากความฝันไปยังโลกคู่ขนานอื่น
ความทรงจำในสมองเกี่ยวกับตัวเองในโลกใบนั้นเป็นเหมือนตัวหนังสือที่สลักคำพูดบอกเล่าความทรงจำแต่กลับนึกภาพของมันไม่ออก
“…”
อิงศรจ้องไปที่ซากิริ
พอเริ่มคิดเรื่องนั้นขึ้นมาเขาก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงถามออร์ฟี่
“นายชุบชีวิตให้หล่อนด้วยเหรอ”
ออร์ฟี่พยักหน้า
“อืม
แฟรนเซียมเขาขอร้องมาบอกว่าเป็นกำลังเสริมที่ดีน่ะ
ถ้าไม่ได้เธอพวกเราคงหนีมาไม่ได้หรอก”
มันเป็นอย่างที่กำลังนึกสงสัยอยู่จริงๆ
ด้วย
“งั้นเหรอ”
อิงศรพูดตอบแต่เขาก็ได้ย้ำกับตัวเองเอาไว้ว่าหลังจากนี้ไปโลกทัศน์จะเปิดกว้างยิ่งขึ้น
และน่าตกใจกว่าที่ผ่านๆ มา
…ถ้าหากการสันนิษฐานนี้ถูกต้องล่ะนะ
“ถ้างั้นนายช่วยตรวจสอบอาคาชิกเรคคอร์ด
ตามที่ฉันจะบอกหน่อยได้รึเปล่า”
“หา?”
***อาทิตย์ที่แล้วที่ไรท์หายไปเลยต้องขอโทษด้วยครับ
พอดีป่วยกะทันหันแถมเป็นไข้หวัดใหญ่
ไข้ขึ้นจนลุกจากเตียงไม่ได้เลยนอนซมไปอาทิตย์เต็มๆ (ลุกไปกินข้าวกับไปกลับที่ทำงาน-บ้านก็จะตายแหล่ว)
อาทิตย์นี้ก็ยังคงมีด้วยกัน 2 ตอนครับ อีกตอนคาดว่าจะลงในวันเสาร์ช่วงดึกๆ
เลย ก็ค่อยมาอ่านกันในวันอาทิตย์ได้ครับ***
ความคิดเห็น