คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #249 : Extra Log 245: ก้าวไปข้างหน้า - ย้อนกลับสู่โลกที่ล่มสลาย
Extra
Log 245: ก้าวไปข้างหน้า - ย้อนกลับสู่โลกที่ล่มสลาย
พักกลางวันของวันนั้นเอง
“แจ๋ว
ข้างนอกไม่มีคนเลยทางสะดวก”
เมษาพูดมาอย่างนั้น
ขณะที่ปีนกำแพงรั้วของโรงเรียน
“อย่าเสียงดังสิ”
อิงศรพูดแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
ว่ามีใครอยู่ในบริเวณหรือไม่
จุดที่พวกเขาเลือกใช้สำหรับโดดเรียนคือมุมกำแพงด้านหลังของโรงเรียนซึ่งติดกับซอยแคบที่กั้นระหว่างโรงเรียนและบ้านคน
ตรงจุดนี้จะไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่านไปมานัก
แล้วจากด้านในของโรงเรียนก็เป็นบริเวณลานจอดรถของพวกอาจารย์ทำให้ไม่ค่อยมีใครผ่านมาที่นี่ในช่วงเวลานี้
อีกทั้งบริเวณฐานรั้วก็เป็นกระถางปลูกต้นไม้แนวยาวทำให้อาศัยกิ่งก้านของพวกมันอำพรางสายตาได้
นอกจากนี้พวกเขาก็ทิ้งกระเป๋าไว้ที่ห้องด้วย
นั่นน่าจะพอหลอกว่าเขาอาจจะยังไม่ได้ขึ้นห้องมาแต่ยังอยู่ในโรงเรียน
อย่างน้อยพวกเพื่อนร่วมห้องก็จะคิดอย่างนั้นกัน
“ส่งมือมาสิ”
เมษาที่ปีนข้ามไปอีกฝั่งแล้วยังเกาะอยู่บนกำแพงพลางส่งมือมาให้
อิงศรจับมือนั้นไว้แล้วปีนขึ้นไปบนกำแพง
จากนั้นพวกเขาก็ลงไปที่ซอยแคบ
ออกจากโรงเรียนได้สำเร็จ
หนีเรียนออกมาแบบนี้ทำเอานึกถึงตอนที่ยังสังกัดเป็นนักเรียนทหารของเมตไตรยขึ้นมาเลย
ในตอนที่ตัวเองยังพยายามปกปิดฝีมือเพื่อหลีกหนีจากการจับยัดเข้ากองทัพของสิงห์
เขามักจะแอบโดดเรียนเพื่อให้ผลการประเมินตกลง
แต่สุดท้ายมันก็แค่ชะลอเวลาลงไปเท่านั้นเอง
พวกเขาเดินออกมาถึงถนนใหญ่
เตรียมจะมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อนั่งไปลงที่สถานีรถไฟฟ้า
แต่ทว่า…
ดูเหมือนเรื่องจะไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น
“นี่ พวกเธอน่ะ ป่านนี้แล้วออกมาทำอะไรข้างนอกโรงเรียนกัน”
นายตำรวจคนหนึ่งกับเพื่อนเดินตรงมาหาพวกเขาที่กำลังจะไปถึงป้ายรถเมล์
เครื่องแบบนักเรียนทำให้การออกมาเดินเตรดเตร่อยู่ข้างนอกมันยุ่งยากจริงๆ
นั่นแหละ แต่ว่าหาเรื่องกลบเกลื่อนไปมันง่ายอยู่แล้ว
“…”
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตำรวจทั้งสองคนที่เข้ามาหานั้นชักปืนแล้วเดินตรงมาที่นี่เลยล่ะก็นะ
เมษายกมือทั้งสองข้างทำท่ายอมแพ้
“เฮ้ๆ
พวกผมไม่ได้ทำอะไรเลยซักหน่อยไม่ต้องชักปืน…”
แต่นั่นไม่ได้ผลหรอก
อีกฝ่ายไม่คิดจะเจรจาเลยแล้วก็คงไม่ใช่ตำรวจด้วย
เปรี้ยง!!
เสียงลั่นปืนดังขึ้น
ลูกกระสุนดิ่งตรงมา
แน่นอนว่ามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของลูกกระสุนนั่นหรอกเพราะที่นี่ไม่ใช่ในเกมโลกาวินาศแล้ว
แต่อิงศรก็ตะครุบตัวเมษาลงไปหมอบกับพื้นก่อนตั้งแต่วินาทีที่ตำรวจยกปืนขึ้น
กระสุนพุ่งไปที่ป้ายรถเมล์ทำให้ป้ายเป็นรูโหว่ที่มีควันร้อนลอยฉุย
“วิ่ง!”
อิงศรตะโกนพร้อมกับดึงตัวเมษาให้ลุกขึ้น
แต่ตำรวจก็ยิงมาอีก
เปรี้ยง
กระสุนพลาดเป้า
เพราะไม่ได้เล็งหวังผลแต่แรกเนื่องจากพวกเขาเคลื่อนไหวในทันที
อิงศรกับเมษาวิ่งออกห่างจากป้ายรถเมล์ไป
แต่ตำรวจยังคงตามมา
เมษาพูดขณะที่วิ่งนำหน้าเขา
“ทำไมตำรวจต้องมาไล่ล่าพวกเราด้วยล่ะฟะเนี่ย”
“ไม่รู้สิ
บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่ตำรวจก็ได้”
อิงศรคาดเดาเอา
บางทีศัตรูอาจจะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขามาโดยตลอด
พอเริ่มจะออกนอกลู่นอกทางก็เลยส่งคนมา
ถ้างั้นตำรวจพวกนั้นก็เป็นคนของฟาสเดชั่นอีงั้นสิ
อิงศรมองกลับไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
พยายามหาจุดสังเกตที่อาจจะบอกใบ้อะไรเกี่ยวกับศัตรูได้บ้าง
แต่ไม่มีอยู่เลย
ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเจ้าพวกนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรหรืออะไรทำนองนั้น
ก็แค่ตาลุงสองคนที่ใส่เครื่องแบบตำรวจ
“อะ เฮ้ย!!”
จู่ๆ
เมษาก็ร้องออกมา
พอหันไปก็เข้าใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่ว่าตาลุงสองคนนั่นอาจจะเป็นตำรวจจริงๆ
หรือไม่ก็ฟาวเดชั่นอีคงเป็นหน่วยงานระดับรัฐบาล
เพราะบนถนนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้มีฝูงรถตำรวจกำลังมุ่งหน้ามาหา
แถมบนท้องฟ้าก็มีเฮลิคอปเตอร์อีก หกลำด้วยกัน
เฮลิคอปเตอร์พวกนั้นติดอาวุธทุกเครื่องแถมส่งเสียงดังหนวกหูเหลือเกิน
“แค่เด็กหนีเรียนมันไม่โอเวอร์ไปหน่อยเหรอเนี่ย”
คำพูดของเมษาสมเหตุสมผลสำหรับโลกที่มีสามัญสำนึก
แต่ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่
โลกที่ดูปกติและสงบสุขแห่งนี้ไม่น่าจะเป็นโลกที่มีสามัญสำนึก
ไม่ใช่โลกที่พวกเขาปรารถนา
เสียงรบกวนของเฮลิคอปเตอร์ดังมากขึ้น
พวกมันขยับใกล้เข้ามาจนอยู่เหนือหัวพวกเขาแล้วก็สาดกระสุนลงมา
อิงศรเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีกเพื่อหนีให้พ้นจากวิถีกระสุน
แต่ร่างกายที่เป็นแค่เด็กอายุ 17 ธรรมดาๆ มันไม่พอจะหลบหนีได้อย่างสมบูรณ์
“อึก”
มีกระสุนเฉี่ยวหัวไหล่ไปนัดหนึ่ง
ความเจ็บปวดแล่นไปทั้งแขน รู้สึกแสบชนิดจะล้มลงไปให้ได้
ไม่รู้ว่าเพราะประสบการณ์ในโลกที่ล่มสลายนั่นทำตัวเขาอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อราวกับเป็นเรื่องที่หลุดออกมาจากละคร
หรือว่าแค่โชคดีกันแน่ก็ไม่รู้
อิงศรใช้มืออีกข้างปิดบาดที่มีเลือดไหลซึมจนเสื้อนักเรียนสีขาวกลายเป็นสีแดง
เมษาหันมา
คงเพราะได้ยินเสียงร้องครางเมื่อครู่
“เฮ้ย
เป็นอะไรมากป่าวไหล่นายแดงเถือกแล้วนะนั่น”
อิงศรกัดฟันพูด
“แค่ถากๆ น่ะ
อย่าหยุดวิ่งนะ”
พวกเขายังคงใส่ฝีเท้าวิ่งกันอย่างเต็มแรงมุ่งหน้าตรงไปที่สี่แยกไฟแดงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
น่าแปลกที่ตลอดเส้นทางก็มีคนเดินไปมาแถมยังมีรถคนอื่นๆ
สัญจรกันอยู่บนถนนด้วย แต่กลับไม่มีใครสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
แม้ว่าจะมีรถตำรวจเปิดเสียงไซเรนจนดังหนวกหู
แม้ว่าจะมีเฮลิคอปเตอร์บินตามกันมาเป็นพรวน
แล้วถึงขั้นมีการยิงปืนกราดลงมาบนถนนขนาดนี้ก็ตามที
ถึงจะกลายเป็นฉากแอคชั่นบู๊กันสนั่นเมืองแบบในหนังแล้วก็ยังไม่มีใครที่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
กลับดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปราวกับมองไม่เห็นพวกเขา
ตอนนี้นอกจากเรื่องหนีแล้วก็ต้องคิดหาทางตอบโต้เผื่อไว้ด้วย
ไม่แน่ว่าตอนนี้คนอื่นๆ ก็กำลังถูกไล่ล่าด้วยหรือเปล่า
ถ้าไม่มีหนทางตอบโต้เลย
ถ้ายังอยู่ในร่างที่เป็นแค่คนธรรมดาก็ทำอะไรไม่ได้
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวคือต้องหาทางเชื่อมโยงกับโลกที่ล่มสลายเพื่อเอาพลังกลับคืนมา
ต้องย้อนกลับไปยังวันคืนแห่งความขมขื่นที่อุตส่าห์สู้พยายามจนหนีพ้นจากมันมา
น่าขบขันชะมัด
อิงศรยิ้มออกมา ยิ้มทั้งทั้งที่ตอนนี้ยังเจ็บแผล
ดูเหมือนไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังก็จะมีศัตรูตัวใหม่รอขวางทางอยู่เสมอ
“คงต้องเสี่ยงเดิมพันกันละ”
อิงศรพึมพำแล้วล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
นี่คือสิ่งเดียวที่จะช่วยเชื่อมโยงพวกเขากับโลกที่ล่มสลาย
การที่โทรศัพท์ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากการย้อนกลับของเวลาเป็นเหตุผลที่มีค่าให้ลองเสี่ยงดู
เขาเปิดเมล์ที่ได้รับมาตั้งแต่วันแรก
วันก่อนที่จะรู้สึกตัวถึงการย้อนกลับของเวลามีแต่เมล์ฉบับนี้เท่านั้นที่ถูกส่งเข้ามือถือมาแล้วก็ไม่มีเมล์ฉบับอื่นอยู่เลยจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก
อิงศรพูด
“เมษา”
“อะไร”
“เอาโทรศัพท์นายมาที”
อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่ายดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้
อิงศรใช้มือข้างที่เคยปิดแผลที่หัวไล่รับเครื่องมาแล้วเปิดเมล์ฉบับเดียวกันซึ่งในเครื่องของเมษาก็มี
พอเจ้าตัวเห็นว่าเขาเอาเครื่องมาทำอะไรก็พูด
“เฮ้ย เวลาแบบนี้ยังจะมีอารมณ์แบบนั้นอีกเหรอ”
พูดมาตอนที่ลิงค์ในเมล์นำทางไปยังหน้าเว็บที่มีรูปล่อแหลม
อิงศรเพิกเฉยคำกล่าวหานั้น
แล้วกดลงไปบนรูปซึ่งเป็นลิงค์เข้าเว็บไซต์อีกที
ปลายทางที่นำไปไม่ใช่เว็บไซต์อย่างว่า
แต่กลายเป็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ถูกดึงไปยังหน้าดาวโหลดแอพพลิเคชั่นแทน
ชื่อของแอพนั้นคือ ‘Apocalypse Online.apk’
อิงศรปรายยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“จริงๆ ด้วยนี่คือเมล์จากหมอนั่น”
“จากซีลอร์ดน่ะเหรอ”
ดูเหมือนว่าเมษาก็รู้ตัวแล้วเหมือนกัน
ตอนนั้นเอง
พวกเขาก็เลี้ยวตรงหัวมุมของสี่แยกพอดี
ทีนี้ก็จะหลบเฮลิคอปเตอร์พ้นเพราะว่าต้องบินอ้อมอาคารตรงหัวมุมเนื่องจากที่บินต่ำลงมาไล่ยิงพวกเขาเมื่อครู่ทำให้ความสูงไม่พ้นตัวอาคาร
ทว่า…
ทันทีที่เลี้ยวหัวมุมมา
ตรงด้านหน้าพวกเขาก็คือกลุ่มตำรวจที่นำกำลังมาปิดล้อมราวกับรู้อยู่ก่อน
นอกจากนี้แยกอื่นๆ
ก็มีตำรวจนำกำลังมาปิดล้อมเอาไว้
ทางตันโดยสมบูรณ์
อิงศรก้มหน้าลงมองหน้าจอโทรศัพท์
ยังต้องใช้เวลากว่าแอพพลิเคชั่นจะดาวน์โหลดเสร็จ
เมษาถอยหลังเข้ามาใกล้
ระหว่างนั้นพวกตำรวจก็ชักปืนเล็งมาที่พวกเขา
แต่ยังไม่ยิงทันทีราวกับจะรอให้พวกเขายอมจำนน
นายตำรวจคนหนึ่งอยู่ใกล้กับรถตำรวจที่จอดห่างออกไปพูดใส่โทรโข่งมาว่า
“ทิ้งมือถือซะ”
นั่นปะไรเล่า
มือถือนี่คือสิ่งที่เชื่อมดยงพวกเขากับโลกที่ล่มสลายอย่างที่คิด
ไม่อย่างนั้นแล้วพวกตำรวจ...พวกศัตรูคงไม่อยากให้พวกเขาทิ้งมันหรือถึงกับออกไล่ล่ากันมาขนาดนี้
เมษาพูด
“ข้างหน้ามีซอกเล็กๆ
อยู่เข้าไปในนั้นกันนายนำไปเลย”
อิงศรมองไปตามจุดที่เมษาบอก
เยื้องไปข้างหน้าห่างจากจุดที่พวกเขายืนไปประมาณสิบก้าวมีทางแยกเข้าซอยแคบๆ อยู่
ถ้าเป็นที่นั่นพวกตำรวจก็จะกรูกันเข้ามาไม่ได้
แต่ในความพอดีนั่นมันมีข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าเอามากๆ
อิงศรพูด
“จำไม่ผิดที่นั่นมันซอยตันไม่ใช่เหรอเข้าไปที่แบบนั้นพวกเราจะกลายเป็นเป้ากระสุนเอานะ”
แต่เมษาก็ยังยืนยันเหมือนเดิม
“นายนำไปก่อนเลยเข้าไปแล้วฉันจะถ่วงเวลาอยู่ข้างนอกเอง”
“แต่แบบนั้นนายก็จะ”
“เร็วๆ เถอะน่า”
เมษาเร่งมา
เพราะเวลาจะไม่มีแล้ว แต่ถ้าเอาตามแผนของเมษาเท่ากับว่าเมษาจะต้องเป็นกำแพงรับกระสุนที่จะเข้ามาในซอกแคบนั่น
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานขนาดไหนกว่าที่แอพพลิเคชั่นจากทั้งสองเครื่องจะดาวน์โหลดเสร็จ
ตำรวจส่งเสียงมาเร่งให้พวกเขายอมจำนน
“ทิ้งมือถือซะ”
ไม่มีเวลามาเลือกแผนแล้วจริงๆ
นั่นแหละ
เมษาดันหลังเขาให้วิ่ง
พอก้าวเท้าไปมันก็จะเริ่มขึ้น
การต่อสู้เสี่ยงชีวิตเหมือนๆ
กับในโลกที่ล่มสลาย
ทันทีที่ขาขยับปืนทุกกระบอกก็คำรามลั่นกระสุนหมายจะปลิดชีพเด็กนักเรียนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธแค่สองคน
ปืนสิบกว่ากระบอกยิงเข้ามาพร้อมๆ กัน
อิงศรใส่แรงไปเต็มที่วิ่งไปที่ซอกแคบก่อนที่เสียงปืนจะดัง
ภายในซอกนั้นมืดมากและแคบเสียจนแทบจะอัดตัวเองลงไปไม่ได้
หัวไหล่ที่โดนยิงเสียดสีกับกำแพงทำให้รู้สึกแสบจนอยากจะร้องคราง
แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้เพราะตอนนี้มีคนที่ร้องดังกว่าแล้วก็เจ็บกว่าตัวเองเป็นร้อยเป็นพันเท่า
“อ้ากก!!”
เมษายังอยู่ข้างนอก
คอยเอาตัวบังซอกนี้ไว้ไม่ให้กระสุนเข้ามาได้ดังนั้นร่างกายของหมอนั่นเลยต้องรับเอากระสุนไว้เอง
เลือดไหลนองลงใต้เท้าเมษาแต่หมอนั่นก็ยังยืนหยัดอยู่โดยเอาหลังพิงกับผนังที่ล้อมซอกแคบนี้
“เมษา!”
อิงศรตะโกน
“...”
“เฮ้! ทำใจดีๆ ไว้นะ”
ไม่ไหว
หมอนั่นไม่ยอมตอบสนองเลย
แอพยังคงดาวน์โหลดไม่เสร็จ...
ต่อให้ดาวน์โหลดเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทันการหรือเปล่า
ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดี
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
เสียงฝีเท้าจำนวนมาก
พวกตำรวจคงจะเข้ามาดึงตัวเมษาออกไปเพราะขวางทางยิง
เมษาตายแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เพราะหมอนั่นตายแล้วแต่ยังไม่ยอมล้มก็เลยเข้ามาจะดึงตัวออกไปง่ายๆ
กันเลยอย่างนั้นหรือ?
“โธ่เว้ย เร็วเข้าเซ่”
อิงศรสบถใส่มือถือ
หวังให้ตัวเลขดาวน์โหลดขยับเร็วขึ้นแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี
ตอนที่มีแสงสว่างแยงเข้ามาในซอกที่ทั้งมืดทั้งแคบแห่งนี้
ร่างของเมษาก็ขยับเล็กน้อย เพียงแค่เล็กน้อยจริงๆ
“เมษา....นายยังไม่ตายใช่ไหม”
“อะ...”
ดูเหมือนเจ้าตัวจะส่งเสียงได้แค่นั้น
แล้วร่างของเมษาก็โดนดึงออกไป
“ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้”
เสียงของตำรวจดังเข้ามา
พอเมษาถูกดึงออกไปแล้วก็มองเห็นว่าข้างนอกซอกแคบนั่นเต็มไปด้วยตำรวจที่กำลังเล็งปืนมาที่นี่
ปิ๊บๆๆ
เสียงมือถือดังขึ้น
อิงศรมองไปที่หน้าจอ
มือถือของเขาดาวน์โหลดเสร็จแล้วแต่ของเมษายังต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย
หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏพาแนลที่ไม่เคยเห็นขึ้นมา
บนพาแนลนั้นมีข้อความเขียนเอาไว้กับปุ่มให้เลือกสองปุ่ม
ถ้าไม่ถอยหลังตอนนี้จะไม่มีโอกาสแล้วนะ
[ใช่] [ไม่]
เป็นคำถามเหมือนกับในเมล์ก่อนที่จะเริ่มดาวน์โหลดแอพ...ไม่สิคราวนี้มันต่างออกไป
คำถามถามว่าจะถอยหลังกลับหรือไม่แทนที่จะถามว่าจะก้าวต่อไปข้างหน้าหรือเปล่า
มันมีความหมายอะไรพิเศษหรือเปล่า
ถ้าตอบผิดจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้อะไรเลยซักนิดเดียว
แต่อิงศรก็กดปุ่มลงไป
กดโดยที่ไม่คิดเพราะว่าไม่มีเวลาให้ลังเล
เขากดปุ่ม [ไม่]
ลงไปแล้วเพิ่งจะมาคิดเอาทีหลัง
คำถามว่าจะย้อนกลับไปหรือไม่
ในสถานการณ์ที่อยากจะพึ่งพาพลังของเกมโลกาวินาศ
แต่เขากับพวกพ้องเลือกก้าวไปต่อข้างหน้ามาโดยเสมอถ้าหากว่าคนที่ส่งเมล์ฉบับนี้มาคือ
ออร์ฟี่แล้วล่ะก็ไม่ว่าอย่างไรคำตอบก็ต้องเป็น ‘ไม่’
แต่ก็กดลงไปโดยสัญชาตญาณ
กดไปเพราะมันเคยชิน
ผลลัพธ์สำหรับคำตอบนั้นก็คือ....
พาแนลบนหน้าจอโทรศัพท์หุบลงไป
กลายเป็นสีดำไปทั้งจอ จากนั้นข้อความสีขาวก็ปรากฏขึ้น ข้อความเขียนว่า
Apocalypse On!
อิงศรไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หน้าจอที่ขึ้นข้อความกระพริบราวกับรอการตอบสนอง มันรอคำสั่งจากเขาอยู่
แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ใช้ป้อนคำสั่งเข้าไปหรือต้องสั่งการมันอย่างไร
อิงศรอ่านข้อความบนหน้าจอนั้นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย
“อโพคาลิปส์…ออน”
แต่โทรศัพท์กลับตอบสนอง
ข้อความบนหน้าจอเปลี่ยนไป
‘Write!’
ในตอนนั้นเอง...
“ยิงเลย!”
พวกตำรวจก็ลั่นไกปืน
เปรี้ยง
เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงปืนดังสนั่น
ลูกกระสุนพุ่งเข้ามาในตรอกแคบยิงใส่ผนังบ้างพื้นบ้างจนฝุ่นควันลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั้งตรอก
ท่ามกลางความอึกกะทึกนั่นเอง
“บัพ-แอโร่ว!!”
เสียงของอิงศรดังลอดหมอกควันออกมาจากตรอกแคบ
ทันใดนั้นมหิงสาเพลิงก็พุ่งทะยานออกจากตรอกขวิดตำรวจที่ปิดล้อมทางเข้าจนปลิวกระเด็น
อิงศรพุ่งตามมาทีหลัง
ออกมาจากตรอกแล้วตรงไปหาเมษา
หมอนั่นถูกตำรวจสองนายหิ้วปีกอยู่
เขาแย่งตัวเมษามาแล้วซัดตำรวจสองคนนั้นจนปลิวด้วยแรงพลังที่เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กอายุ
17 แต่ว่า...
เพราะว่ามันได้กลับมาแล้ว
อิงศร Lv.144 [/////48000:48000/////]
แถบพลังชีวิตกับเลเวล
ชุดนักเรียนถูกแทนที่ด้วยเครื่องแบบออกรบสีฟ้าคราม
โทรศัพท์มือถือกลายเป็นคันธนูตัวเก่งที่เคยใช้ในโลกที่ล่มสลาย
ธนูที่มีมีดติดอยู่สี่เล่มและดาบสั้นคาดอยู่ที่เอวอีกเล่ม
***สายสะบัดแบบอาทิตย์ที่แล้วอีกแย้ว =w=’ แอบอนาถใจกับตัวเองเหลือเกินที่พักหลังมาไม่ตรงเวลาเอาเสียเล้ยยย
งานราชก็พอกันนึกจะมาก็มา ทำเอาเวลาปั่นต้นฉบับป่วนไปหมด
เอาเป็นว่าเจอกันใหม่วันอังคารหน้านะฮับ***
ความคิดเห็น