คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #235 : Login 232: คมหอกทะลวงแห่งคำสาบาน 2
Login
232: คมหอกทะลวงแห่งคำสาบาน 2
มิ่งขวัญหวนนึกถึงคำสาบานของตนเอง
‘จะปกป้องศรเอง’
คำสาบานว่าจะทุ่มเททั้งหมดปกป้องอิงศร
แล้วก็คิดขึ้นมาว่าทำไมตัวเองถึงทำได้ถึงขั้นนี้กันนะสามปีก่อนก็ด้วย
พอลองย้อนกลับไปแล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเลยออกจะเกลียดกันด้วยซ้ำ
แต่พอโลกล่มสลาย
พอได้อยู่กับศรมากขึ้น
รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนที่สามารถยกทุกอย่างของตัวเองแม้กระทั่งชีวิตให้กับพี่ชายคนนั้นได้ไปแล้ว
“ว้ากกกกกกก!!!”
มิ่งขวัญพุ่งตัวออกไป
ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะปกป้อง สายตาจ้องเขม็งไปที่วงแหวนเพลิงสีคราม
พลังที่ตัวเองไขว่คว้ามาเพื่อปกป้องคนสำคัญ
แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนที่ต้องปกป้องไม่ได้มีแค่พี่ชายอีกต่อไป
ที่เบื้องหลังนั้นยังมีพวกพ้องที่ทำให้ได้รู้ถึงเรื่องนั้นอยู่
เมื่อทะลุผ่านวงแหวนเพลิง
พลังอันมหาศาล พลังแห่งดวงดาวก็ไหลบ่าเข้ามา
หมุนวนขับเคลื่อนอยู่ภายในร่าง
ร่างกายเปล่งแสง
เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหนือล้ำกว่าแสงสว่าง
คมดาบที่สะบั้นแม้แต่แสงของพระเป็นเจ้า
นามนั้นคือ…
“แทคีออนสไลเซอร์!!”
“ขวัญ…”
เสียงตะโกนของกวินทร์ที่ดังไล่หลังมานั้นถูกทิ้งห่างออกไปในพริบตาเหมือนกลายเป็นเสียงดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงนั้นขมขื่นสักเพียงใด
ตนเองก็เข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อถูกอิงศรปกป้องในวัยเด็ก
ความรู้สึกขมขื่นที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูการเสียสละของผู้เป็นที่รัก
เข้าใจมันเป็นอย่างดี
เข้าใจถึงความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างดี
แต่ถ้าไม่มีใครซักคนลงมือทำก็จะไม่มีใครที่รอดเลย
อิงศรมักจะพูดว่า
‘ต้องก้าวเดินไปข้างหน้า’ แล้วก็ ‘ต้องแสดงความตั้งใจออกมา’
ในตอนแรกเขาคิดว่าพี่ชายโดนหลอก ถูกเป่าหูให้กลายเป็นพวกคลั่งอุดมการณ์
เขาไม่สบายใจเสมอมา อิงศรเอาแต่เลือกเส้นทางอันตรายอยู่เสมอ
แต่พอไม่มีที่ให้พึ่งแล้ว…
พออิงศรหมดสติไป
พอตัวเองถูกทิ้งให้ไร้ที่พึ่งก็เข้าใจขึ้นมาว่าตลอดเวลาตัวเองเอาแต่พึ่งพาอิงศรมากขนาดไหน
พอหมดที่พึ่งไปเขาจึงได้รู้ว่าอิงศรต้องเผชิญหน้ากับอะไร
ทำไมถึงเลือกทางอันตรายอยู่ตลอด
ทำไมถึงเลือกจะแบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียว
นั่นเพราะโชคชะตามันขี้โกงพวกเขามาโดยตลอดนั่นเอง
อิงศรถูกบีบด้วยทางเลือกแสนขี้โกงที่บีบคั้นแบบนี้เสมอ
ถ้าอย่างนั้นคราวนี้เขาจะทำลายมันเอง
ทำลายสิ่งที่โกงพวกเขามาโดยตลอด
มิ่งขวัญพุ่งไปถึงจุดรอยร้าวที่ว่า
เสียบปลายหอกเข้าไปในรอยนั่นอย่างแม่นยำพร้อมกับส่งพลังทั้งหมดไปที่จุดๆ นั้น
“ว้ากกกกกก!!!!!”
‘อะ…อึก
แกจะทำอะไรน่ะวัชพืช’
รอยร้าวเล็กเท่ารูมดเริ่มปริแตกและแพร่กระจายมากขึ้น
รอยร้าวลามไปจนกระทั่งเกิดรูโหว่ลึกเท่ากับตัวหอกที่เสียบจนมิดด้าม
สำเร็จ
เท่านี้พระเจ้าก็จะตาย
“…”
แต่เขาเองก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน
ถ้าปล่อยมือจากหอกเร็วกว่านี้ก็อาจจะรอดแต่ถ้าทำอย่างนั้นพลังจะไม่พอเจาะทะลวงจนสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับพระเจ้าได้
มิ่งขวัญถูกดึงขึ้นไปตามการหมุนของดวงจันทร์
ถูกลากเข้าหาแสงสว่างที่จะฆ่าตัวเอง
“…”
โลกที่ไม่มีอิงศรนั้นเขาไม่สามารถอยู่ได้
ความกลัวในเรื่องนั้นมันจับใจเสียยิ่งกว่าความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาเสียอีก
“…”
เพื่อพี่ชายแล้วเขาฆ่าได้กระทั่งพระเจ้า
ถ้าหาก....
ถ้าหากว่า
ถ้าหากว่าได้เริ่มต้นใหม่
ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริงล่ะก็
…ขอให้ได้เป็นพี่น้องที่สนิทกันอย่างตอนนี้ก็คงจะดี
“พี่...ศร”
มิ่งขวัญเปรยอย่างเศร้าๆ
เด็กหนุ่มหลับตาลงเพื่อให้ยอมรับชะตากรรมที่ไม่ยุติธรรมนั่นได้โดยไม่เจ็บปวด
แสงสว่างห้อมล้อมเข้ามา
รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังจะหลอมละลาย
“…”
มิ่งขวัญได้ตายลง…
ถูกแผดเผาจนตายในแสงสว่างเจิดจ้า
แล้วจากนั้นก็เป็นตาของพระเจ้าบ้าง
ลูนาริสที่หยุดการหมุนของตัวเองไม่ทันเพราะมิ่งขวัญจู่โจมเจ้ามากะทันหันเกินไป
ด้านที่ถูกหอกของมิ่งขวัญเสียบเอาไว้สัมผัสกับแสงสว่าง
แสงไหลทะลักเข้าไปในรอยแผล
ละลายหอกหายไปหมดสิ้นแล้วเผาทำลายภายในของลูนาริส
‘อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!”
ดวงจันทร์พองตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อมันรับเอาแสงสว่างเข้าไปข้างใน
พื้นผิวเริ่มมีรอยปริร้าวออกมาให้เห็น
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีที่กวินทร์ร้องตะโกนชื่อของเพื่อนคนสำคัญ
“ขวัญญญญญญญญญญญญ!!!”
กวินทร์ทรุดเข่าลงทันที
เขาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายไปกับการตะโกนห้ามทำให้แรงค้ำยันร่างกายเหือดหายไปหมด
ดวงจันทร์ที่ใกล้จะระเบิดกดทับลงมา
“แย่ล่ะสิขืนเป็นแบบนี้ได้เกมโอเวอร์กันหมดเลยนะ”
ซีลอร์ดกล่าว
แต่ว่าไม่มีใครที่จะยืนขึ้นมาไหวแล้วในตอนนี้
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องจบอยู่แค่ตรงนี้
‘ถึงตอนนั้นก็ฝากด้วยนะ’
จู่ๆ
ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยขึ้นมา
ซีลอร์ดหันไป…ตามเสียงนั้น
“อดัม…”
เขาเปรยด้วยความตกตะลึง
เขามองเห็นเงาที่ซ้อนทับขึ้นมาบนอิงศรที่นอนหมดสติอยู่ไม่ไกลนัก
เงาคล้ายกับอดีตสหายคนสนิท
“ไม่สิ”
สิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่อดัม
แต่ว่าเป็นร่างที่โปร่งใสจนแทบมองไม่เห็นของเมอร์คาบาห์
ปีศาจแห่งโชคชะตาที่อิงศรครอบครอง
คงเพราะลูนาริสหมดลมหายใจไปและใกล้จะระเบิดออกพลังที่ยับยั้งปีศาจไว้เลยหายไปด้วย
“งั้นเหรอ ที่นายบอกว่าฝากหมายถึงตอนนี้สินะ อดัม”
เขาพยักหน้าให้กับความคิดที่ทึกทักเอาเอง
จนถึงตอนนี้ตัวเองก็ก่อกบฏต่อผู้สร้างลงไปแล้ว
พวกอิงศรแสงความตั้งใจให้เห็นแล้ว
ความตั้งใจที่ฆ่าผู้ควบคุมโชคชะตาได้
ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็ต้องทำบ้าง
แสดงความตั้งใจที่ก้าวต่อไปข้างหน้า
ความตั้งใจที่จะมองดูปลายทางของการเลือกสำหรับมนุษย์ในตอนนี้
“อึก…”
กวินทร์พยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น
แต่ร่างกายที่บาดเจ็บจากการค้ำยันดวงจันทร์เอาไว้ยังไม่ฟื้นฟู
กระดูกยังไม่เข้าที่เข้าทางพอจะขยับตัวได้สะดวกนัก
“ต้องรีบ…หนี”
ในเมื่อลุกไม่ได้กวินทร์ก็เริ่มคลาน
คลานไปหาอิงศรขณะที่ดวงจันทร์ใกล้ระเบิดกดทับลงมา
“หมอบลงซะ”
ซีลอร์ดพูดแล้วแส้ใบมีดก็ผุดทะลวงขึ้นมาจากพื้นยันดวงจันทร์ขึ้นไปเล็กน้อย
รู้สึกว่าร่างของผู้สร้างเบากว่าที่คิด อำนาจภายในคงเสื่อมถอยไปหมดสิ้นแล้ว
จากนั้นจึงบังคับแส้ให้ดึงกวินทร์กับอิงศรเข้ามารวมกันแล้วเรียกแส้ขึ้นมาเพิ่มมัดทบกันเป็นโดมครอบพวกตนไว้ด้วยความหนาเป็นพิเศษเพื่อต่อต้านแรงปะทะจากการระเบิดที่จะเกิดขึ้น
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
มมมมมมมม!!!
ระเบิดแล้ว
พระเจ้าได้ตายลงไปแล้วหนึ่งองค์
แรงระเบิดรุนแรงเป็นอย่างมาก
แส้ที่อยู่ชั้นนอกละลายหายไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนทำขึ้นใหม่แทบไม่ทัน
“ไม่ทันแล้ว”
ซีลอร์ดพูดสบถ
โดมที่ช่วยป้องกันกำลังจะพังทลายเข้ามาถึงชั้นในสุดนี้
น่ากลัวว่าไม่ใช่แค่โดมแต่ลิฟต์อาจจะพังไปด้วย
ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อให้รอดไปได้ก็ต้องตกลงไปข้างล่างอยู่ดี
ผนังโดมป้องกันปริร้าวขึ้นเรื่อยๆ
บางจุดถูกเจาะทะลุจนมีแสงสว่างลอดเข้ามา
“อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นช่วยอดทนไว้หน่อยเถอะตัวของผม”
ซีลอร์ดรับรู้ได้ว่าข้างนอกนั่นแรงระเบิดกำลังอ่อนแรงลง
มันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ถ้าทนรับเอาไว้ได้อีกซักห้าวินาทีล่ะก็
“ไม่ได้เหรอเนี่ย”
ซีลอร์ดรู้ว่าตัวเองคงทนได้ไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ
เหลือเศษอยู่สองวินาที
แต่ถ้าปล่อยให้แรงระเบิดเข้ามาปะทะในสองวินาทีที่เหลือพื้นลิฟต์ที่มีเหลืออยู่แค่ใต้โดมนี่ก็จะต้องพังทลายลงไปแน่
“เงื่อนไขโหดจังเลยนะอดัม ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบนี้”
ซีลอร์ดพูดกลั้วหัวเราะอย่างประชดประชันแล้วเรียกแส้จำนวนหนึ่งให้จับตัวเขาเหวี่ยงขึ้นไปที่หลังคาโดม
ซีลอร์ดใช้แผ่นหลังของตัวเองอุดรูรั่วเอาไว้และใช้แส้จากร่างกายของตัวเองสานกับหลังคาโดมเพิ่มความหนาเข้าไป
5 วินาที
4
3
“อ๊ะ…”
บริเวณหน้าอกของซีลอร์ดเกิดเป็นรูขึ้น
แสงสว่างลอดเข้ามาจากทางรูนั้น
ยังมีรูอีกหลายจุดที่เจาะเข้ามาจนร่างกายของซีลอร์ดที่เย็บติดกับหลังคาโดมป้องกันพรุนเป็นรังผึ้ง
2 วินาที
กวินทร์ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เต็มที่แล้ว
ต้องขอบคุณพลังของเวพ่อนไนซ์กับระดับพลังฟื้นฟูสายอาชีพเอเลเมนทัลเอนแชนท์เตอร์ที่เลเวล
144
แถบพลังชีวิตกลับมาเต็มอีกครั้งกระดูกทุกชิ้นในร่างกายผสานกันสนิท
กวินทร์ Lv.144
[/////82200:82200/////]
“เฮ้ ไหวรึเปล่าน่ะ”
“ปกป้องอิงศรที!”
ซีลอร์ดไม่ตอบคำถามแต่บอกสิ่งที่ต้องทำออกไปทันทีเพราะว่านี่คือ…
1 วินาทีสุดท้าย
โผละ
ร่างกายแตกเหมือนแก้วที่ถูกทุบด้วยค้อน ทั้งหลังคาโดม
ทั้งร่างกายของซีลอร์ดแตกละเอียดไม่เป็นชิ้น
แสงสว่างสาดเข้ามา
แสงระเบิดที่เป็นหลักฐานยืนยันความตายของพระเจ้า
กำลังไล่ตามมา
ตามมาเอาชีวิต
“ไม่ยอมให้ทำหรอกน่า!”
กวินทร์สบถใส่แสงสว่างนั่น
เขายื่นมืออย่างเร็วที่สุดไปคว้าซีลอร์ดที่ตอนนี้เหลือแค่ศีรษะที่หลุดร่วงลงมาเหน็บไว้ใต้รักแร้แล้วพลิกตัวไปดึงอิงศรเข้ามาหลบใต้ตัวเอง
จากนั้นก็ตวัดดาบ
“คมเขี้ยวอัคคีกวัดแกว่งกำราบมาร โอนิมารุ คุนิ ทซึนะ”
ลูกแก้วที่ดาบเปลี่ยนเป็นสีแดง
ตัวดาบก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน ออร่าพลังสีแดงห้อมล้อมเขา
ท่ามกลางสีแดงจัดจ้านนั้นมีสีขาวเบ่งบานออกมา เงาสีขาวคล้ายเสือกำลังคำราม
กวินทร์แทงดาบลงกับพื้นลิฟต์
ด้วยพลังของดาบทำให้เกิดระเบิดจนพื้นแตกออกเป็นชิ้น เขาคว้านพื้นนั้นขึ้นมาเป็นโล่กำบัง
สามารถลดทอนแรงระเบิดลงไปได้
แต่พื้นลิฟต์ที่โดนคว้านไปเกือบครึ่งหนึ่งนั้นทนต้านรับแรงปะทะกับน้ำหนักตัวของพวกเขาไม่ไหวจึงพังทลายลง
“เหวอ!!”
กวินทร์ร้องผวาตอนที่กำลังจะร่วงลงไปนั่นเอง
เด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากดาบแล้วคว้าตัวอิงศรกับกอดศีรษะของซีลอร์ดเอาไว้
“มาได้แค่นี้เหรอ”
ซีลอร์ดที่เหลือแต่หัวพูด
“แล้วทำอะไรไม่ได้เลยรึไงน่ะนาย”
“ถ้ายังมีร่างกายเหลืออยู่ก็คงได้แหละนะแต่ว่า....”
“โธ่ว้อย แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ยยย!!!”
กวินทร์ได้แต่สบถคำรามอย่างสิ้นหวัง
พวกเขาได้แต่ร่วงหล่นลงไป
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจะถึงพื้น หรือ แม้แต่ว่าข้างล่างอาจจะไม่มีพื้นเลยก็ได้
ถึงอย่างนั้นกวินทร์ก็พยายามพลิกตัวให้อิงศรอยู่เหนือตัวเขาไว้ถ้าหากตกลงไปกระแทกพื้นอย่างน้อยที่สุดร่างกายของตนจะช่วยเป็นเบาะรองกระแทกให้
พอตกลงมาได้ช่วงหนึ่งหลังก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง
บางทีกระดูกคงจะหักอีก
กวินทร์กัดฟันพร้อมรับความเจ็บปวดนั้น
แต่ทว่า
“เอ๊ะ...”
สัมผัสที่หลังกลับนุ่มมาก
นุ่มจนคิดว่าตัวเองตกลงบนฟองน้ำหรืออะไรบางอย่างที่ไม่ใช่พื้น
กวินทร์หันไปมองว่าตกลงบนอะไร
แต่เขากลับจมลงในสิ่งนั้นเสียก่อน พื้นที่รองรับเขาไว้อ่อนนุ่มและไม่มั่นคง มันเป็นเหมือนเมือกสีดำสนิทคล้ายกับน้ำมัน
พวกเขาจมลงในเมือกนั่นแล้วทะลุผ่านไปยังอีกด้าน
ความเร็วในการตกลดลงจากการทะลุผ่านชั้นเมือกที่ว่าทำให้หลังจากนั้นถึงตกลงมากระแทกพื้นหินแข็งๆ
ก็ไม่เจ็บตัวเท่าไหร่
แต่คิดอีกทีมันก็น่าจะเจ็บอยู่เหมือนกัน...
“อั่ก”
กวินทร์ร้องเมื่อหลังของตัวเองกระแทกกับพื้นแล้วด้านหน้าก็ต้องรับน้ำหนักของอิงศรกับหัวของซีลอร์ดอีก
พวกเขาตกลงมาบนพื้นที่เหมือนกับลิฟต์ที่พังไป
เป็นพื้นหินกว้างราวสนามฟุตบอล
ที่นี่ดูเหมือนลิฟต์อีกตัวที่เพิ่งจะตามขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
ขณะเดียวกันซากลิฟต์ตัวเก่าก็ร่วงหล่นลงมา
กวินทร์พลิกตัวเอาหลังขึ้นกำบังให้อิงศรกับซีลอร์ด
กำบังจากเศษซากของลิฟต์ตัวเก่า เศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกกระแทกใส่แผ่นหลังของเด็กหนุ่ม
เขากัดฟันทนจนกระทั่งเศษซากตกลงมาทั้งหมด
ซากลิฟต์ที่ตกลงมาทำให้เกิดฝุ่นควันบดบังทิวทัศน์รอบๆ
แสงสว่างที่ไล่ตามพวกเขาลงมาพอไม่มีลูนาริสคอยสะท้อนแสงมันพุ่งตรงดิ่งเป็นเส้นตรงยิงทะลุใจกลางลิฟต์ตัวใหม่
ตอนนี้ถ้าไม่ไปยุ่งกับมันก็ไม่มีอันตรายอะไร
พอเริ่มจะผ่อนคลายจากความตึงเครียดมาได้
กวินทร์ก็เริ่มจะนึกถึงสิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ขึ้นมา
เขาลุกขึ้นยืนเอามืออังรอบปากแล้วตะโกน
“ขวัญญญญ!!!”
เขาตะโกนเรียกด้วยความหวังที่ว่ามิ่งขวัญอาจจะยังรอดชีวิตอยู่
ถ้าเป้นอย่างนั้นก็ต้องบอกข่าวดีให้รู้ว่าเขากับอิงศรปลอดภัยดี
มิ่งขวัญจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล
แต่ว่า...
“เฮ้ ขวัญญญญ!!!”
มันไม่มีการตอบกลับมา
“ตอบมาเซ่!! ขวัญญญญ!!”
พอตะโกนครั้งที่สามกวินทร์ก็เข้าใจขึ้นมา
เข้าใจว่ามันงี่เง่าขนาดไหน
เพื่อนงี่เง่าที่สร้างความทรมานให้กันขนาดนี้
หมุนเวียนความเศร้าในอกได้ถึงขนาดนี้
“อึก...วะ.... ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย
ใจร้ายที่สุดเลย
ยังคงกรีดร้อง
“...ว้ากกกกกกกกก!!!”
มันจะโหดเกินไปแล้วนะแบบนี้น่ะ
พี่ชายนายยังนอนอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะแล้วทำไม...ทำไม
ยังกรีดร้องต่อไปเรื่อยๆ
“...ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
ทำไมถึงต้องทิ้งพวกเราไว้ตรงนี้
จนกระทั่งรู้สึกว่าลำคอไม่มีเสียงลอดออกมาอีก
“แค่ก...แค่ก แค่ก”
กวินทร์จึงหยุดแล้วหันสายตาเศร้าสร้อยไปมองอิงศร
มองดูสิ่งที่เหลืออยู่แล้วนึกถึงคำสั่งเสียที่มิ่งขวัญฝากเอาไว้
“....พี่ศร”
กวินทร์พยายามเรียกปลุก
แต่อิงศรก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา
“พี่ศร!!”
เขาเร่งเสียงให้ดังขึ้น
“…”
แต่อิงศรไม่ตอบสนอง
“พี่ศร...”
“พี่ศรรู้ไหมครับว่าขวัญน่ะตอนอยู่กับผมเขาพูดถึงพี่ศรว่ายังไงบ้าง”
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันนะ?
“เพราะได้สนิทกับขวัญแล้วผมถึงเข้าใจตัวพี่ศรมากขึ้น
พี่ศรน่ะเป็นคนที่พยายามจะเข้าใจหัวอกคนอื่น ถึงจะดูเหมือนไม่สนใจใครแต่ก็คอยสังเกตคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดขวัญน่ะเขานับถือพี่ศรมากเลยนะครับ
ผมเองก็เหมือนกันเพราะงั้นการที่ผมหรือขวัญหรือใครก็ตามต้องมาตายที่นี่ไม่ใช่ความผิดของพี่ศรเลยอย่าโทษตัวเองเลยครับ”
พยายามจะปลอบประโลมอิงศรหรือว่าตัวเองกันแน่
“พี่ศรน่านับถือขนาดนั้นพวกเราถึงได้ติดตามมาเพราะงั้นตอนนี้”
ไม่รู้เลยจริงๆ
แต่ว่า
”ตื่นขึ้นมาสิครับ!!”
ช่วยตื่นขึ้นมาทีเถอะ
ตื่นขึ้นมาให้ผมได้พึ่งพิงทีเถอะ ขอร้อง…
“ขอร้องล่ะครับ พี่ศร”
กวินทร์โน้มตัว
ซบใบหน้าที่เขรอะไปด้วยหยาดน้ำตาลงกับอกของอีกฝ่าย
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจเต้นของอิงศรยังคงดังอยู่
แต่รุ่นพี่ที่น่านับถือก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา
จะไม่ไหวแล้ว...
“...พี่ศร”
ขอที่ให้พึ่งพิงหน่อยเถอะ
แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง เสียงแห่งความกลัว
เสียงที่กระชากหัวใจที่กำลังบอบช้ำของกวินทร์ให้เงยหน้าขึ้นหันไปมอง
“เพราะไปนับถือไอ้คนน่าสมเพชแบบนั้นพวกแกถึงได้เอาตัวไม่รอดกันยังไงล่ะ
กวินทร์ วชิระ”
กวินทร์ที่ได้ยินเสียงนั้นหันหลังกลับไป
ที่ตรงนั้นเอง เพราะระยะทางที่ห่างออกไปกับฝุ่นควันจากซากของลิฟต์ก่อนหน้านี้ก็เลยไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรบางอย่างยืนอยู่บนลิฟต์ตัวนี้ด้วย
แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาอีกว่าการที่มีลิฟต์อีกตัวนั่นหมายความว่าจะต้องมีใครซักคนไล่ตามพวกเขาขึ้นมา
เจ้าของเสียงแทรกตัวผ่านหมอกควันที่กำลังจะจางลง
เส้นผมสีเงิน
เครื่องแบบราชครูสีดำ
ใบหน้าปราดเปรื่องและเย็นชา
“แฟรนเซียม…”
“ไม่เรียกพลเอกแล้วเรอะ”
กวินทร์เอาตัวบังอิงศรไว้แล้วหันเผชิญหน้ากับแฟรนเซียม
“....นี่แกยังไม่ตายอีกงั้นเรอะ”
***ตอนหน้าคนฆ่าพี่สาว 2018 มาเจอกัน ....ตลกม่ายลงงง ขวัญญญ!!! แอ่ววว****
ความคิดเห็น