คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #225 : Login 222: ครอบครัวปฐมกาล
Login 222: ครอบครัวปฐมกาล
ตอนที่มัวแต่สนใจลายสลักบนผนังนั่นเองอิงศรก็ไม่ทันระวังตัว
“นายก็เหมือนกันเหรอ”
รูบิเดียมนั่นเอง
หล่อนเดินเข้ามาทัก
“เหมือนกัน…ถ้างั้นก็เคยมาที่นี่แล้วก็เห็นเจ้านี่มาก่อนด้วยสินะ”
ถ้าตีความจากคำพูดแล้วหล่อนน่าจะตรวจสอบลายสลักพวกนี้ไปแล้ว
รูบิเดียมตอบว่า
“ก็ต้องมาสำรวจเส้นทางเอาไว้ก่อนสิไม่อย่างนั้นคงไม่รู้หรอกว่ามีประตูแต่ไม่มีกุญแจน่ะ”
นั่นบอกได้ว่าเส้นทางทั้งหมดจนถึงตอนนี้ก็อยู่ในแผนของหล่อน
ไม่แน่ว่ารวมถึงการที่เขารู้สึกสนใจภาพแกะสลักนี้ด้วย
นั่นหมายความว่าเธอรู้สึกแบบเดียวกัน
“งั้นเธอเองก็ถูกรูปนี้ดึงดูดมาสินะ”
รูบิเดียมพยักหน้า
“เท่าที่ลองตรวจสอบดูวิหารแห่งนี้เป็นโบราณสถานที่มีมาก่อนจะมีคนมาตั้งรกรากกันที่หมู่บ้านนี้ซะอีกแล้ววิทยาการที่ใช้แกะสลักก็ไม่เข้ากับอายุของมันด้วย”
“จะบอกว่าไอ้นี่เป็นโอพาร์ทอย่างนั้นสิ”
“ไม่นึกเลยนะว่าจะเชื่อเรื่องแบบนั้นด้วย”
“…”
ก็น่าจะอย่างนั้น
โอพาร์ท หรือ สิ่งประดิษฐ์ที่ขัดกับหลักความเป็นไปของยุคสมัย
เรื่องพวกนั้นถูกพิสูจน์กันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนกลายเป็นเหมือนนิทานหลอกเด็กไปแล้ว
พอเขาไม่ตอบอะไรรูบิเดียมก็แค่นเสียงขึ้นจมูก
“เหอะ
แต่เอาเถอะขนาดมีปีศาจ สัตว์เทวะ กับมนุษย์ต่างดาวแล้วจะมีอะไรอย่างโอพาร์ทบ้างมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกจริงไหม”
แล้วยื่นมือไปสัมผัสลายสลัก
“ประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้เหมือนยิ่งค้นพบก็ยิ่งถูกบิดเบือน”
หล่อนพูดแล้วกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ขยับราวกับมีความหมายแฝงอยู่ในคำพูด
หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ อิงศรไม่แน่ใจในเรื่องนั้นเพราะหล่อนสวมแว่นกันแดดกรอบใหญ่ที่บดบังเกือบครึ่งหนึ่งของใบหน้าที่งดงาม
หล่อนเป็นคนที่ลึกลับและมีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับหล่อน
สีดา
กุมภา ราชินีมนุษย์ต่างดาว ที่เขารู้จักก็มีแต่เปลือกที่เอามาสวมทั้งสิ้น
หล่อนเป็นใครกันแน่
เป็นตัวอะไรกันแน่ มีความตั้งใจอย่างไรกันแน่
อีฟ…
“…”
ก่อนหน้านี้ที่เคยปะทะกับหล่อนบนสนามรบที่ออร์ทิเกสซาร์อาละวาด
เมอร์คาบาห์ของเขาได้เรียกหล่อนเอาไว้แบบนั้น
อีฟ
หรือ เอวา ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อถึงมนุษย์หญิงสาวคนแรกตามที่กล่าวไว้ในคำสอนของศาสนา
จากตรงนั้นทำให้ตั้งสมมติฐานว่าตัวจริงของเมอร์คาบาห์อาจจะเป็นเจตจำนงของอดัมหรืออะไรซักอย่างที่เกี่ยวข้องกัน
“พี่ศรทำอะไรอยู่น่ะครับ”
จู่ก็มีเสียงของกวินทร์ดังมาจากทางด้านหลัง
หมอนั่นกับมิ่งขวัญออกมาจากห้องโถงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แต่ว่าสองคนที่ซีลอร์ดเรียกว่าเป็น คาอิน กับ อาเบลก็มาอยู่ตรงนี้ด้วย
มิ่งขวัญที่มาด้วยกันถือดาบมาด้วยแล้วพูดข่มขู่รูบิเดียม
“คงไม่ได้คิดจะทำอะไรศรหรอกนะ”
แล้วทีนี้…
เอวา
คาอิน อาเบล เหล่าครอบครัวแห่งยุคปฐมกาลก็กลับมาอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้า
ในตอนนั้นเอง
ก็มีแสงสว่างแยงลงมาจากด้านบน พวกเขามองขึ้นไปดูว่าอะไรคือต้นกำเนิดของแสงสว่าง
อดัมนั่นเอง…อิงศรคิดระหว่างที่จ้องมองแชริออทอาคานาร์สีทองคำเปล่งแสงสว่างเจิดจรัสราวกับดวงดาวกำลังร่วงลงมา
กำลังจะมาร่วมกับเหล่าครอบครัวที่ยืนอยู่ตรงนี้
อาคานาร์กลายเป็นเทวทูต
เทวทูตเมอร์คาบาห์
ฮันเซลลัชช่า
“พี่ศรครับนี่มัน”
กวินทร์ถามคำถามมาแต่เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ตอบไม่ได้ว่าทำไมเมอร์คาบาห์ถึงมาปรากฏตัวเอาตอนนี้
รวมถึงไม่รู้ว่าทำไมเหล่าคนที่ถูกซีลอร์ดเรียกแทนด้วยตำแหน่งของมนุษย์ยุคปฐมกาลถึงได้มารวมตัวกันอยู่หน้าผนังแกะสลักแผ่นนี้
ไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแต่เมอร์คาบาห์ยิ่งเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าเมื่อมันลงมายืนต่อหน้าพวกเขา
เจิดจ้าเสียจนต้องหลับตาแต่แสงก็ยังแยงเข้ามาราวกับจะทะลุเปลือกตา
มันยิ่งเจิดจ้า
เจิดจ้า
เจิดจ้า
สัมผัสต่อสถานที่เริ่มจะเลือนราง
ไม่รู้สึกว่ากำลังยืนอยู่บนพื้นอีกต่อไป
ราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ
จู่ๆ
แสงสว่างก็หายไป รู้สึกได้ว่าข้างนอกมืดลงถนัดตาอิงศรจึงปรือตาแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
เขาไม่ได้อยู่ที่หน้าผนังแกะสลักกับคนอื่นๆ
อีกแล้ว
“ที่นี่มันที่ไหนกัน”
เขาลองส่งเสียงคำถามในใจออกไปเพื่อตรวจสอบว่าไม่ได้กำลังฝันอยู่
แต่ว่า…
ตนเองกำลังยืนอยู่บนสวนเขียวขจีซึ่งมองเห็นจากมโนภาพที่ลอยเข้าในหัวหลายครั้งตอนที่อยู่ที่อารย-สนธยา
สวนอันเขียวขจีและเต็มไปด้วยแสงสว่าง
สวนแสนคุ้นตาราวกับว่าเคยอาศัยอยู่ที่นั่น
แต่ทว่า…
อิงศรเริ่มไม่แน่ใจว่าที่นี่จะเป็นสวนแห่งเดียวกับที่เคยเห็น
ในเวลานี้มันแทบไม่มีแสงสว่างส่องลงมาเลย สวนจึงมืดอึมครึมและดูน่ากลัวขึ้นมา
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปเพื่อจะดูว่ามีดวงตะวันลอยอยู่หรือไม่
มีพระอาทิตย์อยู่…แต่กลายเป็นสีดำสนิทเพราะถูกบดบังด้วยคราส
สุริยุปราคางั้นเหรอ
สมองเขาตีความไปแล้ว
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยสมมติฐานที่ว่า เงาคราสบนดวงอาทิตย์กลับบิดเกลียว
คราสหดตัวเล็กลง
เปลี่ยนรูปร่างจนมีแสงสว่างเล็ดลอดลงมาจากช่องว่างที่เกิดขึ้น
เงาคราสกลายเป็นเครื่องหมายสวัสติกะแบบเดียวกับที่เห็นในลายแกะสลักบนผนังนั่น
และแล้ว…
เมื่อเครื่องหมายแห่งลางร้ายนั่นปรากฏขึ้น
หัวใจของอิงศรก็เต้นระรัว
เส้นประสาททุกเส้นเข้าสู่สภาวะตึงเครียด
รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาพร้อมกันทั้งร่าง
สัญชาตญาณกำลังร่ำร้องว่าสิ่งนั้นคือตัวตนที่อันตราย
คือผู้ที่มาไล่ล่า
คือผู้ที่มาลบล้าง
คือ
อวาตาร แห่งความว่างเปล่า
อิงศรยังคงจับจ้องอยู่ที่เงาคราสอันแปลกประหลาดจนไม่รู้สึกตัวไปพักใหญ่
กว่าจะรู้ว่าอุณหภูมิรอบตัวเริ่มสูงขึ้นก็ตอนที่เม็ดเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่มไหลผ่านดวงตาไป
เขาขยี้ตาตัวเองก่อนจะทันสังเกตว่าบริเวณรอบๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงไฟ
สวนกำลังรุกไหม้
“...”
ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อไฟลุกลามไปทั้งสวน
เขาถูกดึงกลับมายังความเป็นจริง กลับมาสู่ห้องที่แสดงผนังแกะสลัก
ยืนอยู่กับอีกสามคนที่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนๆ กัน
“เมื่อกี้มัน...”
พวกเขาพูดขึ้นมาพร้อมๆ
กัน ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความฝันแล้วก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วย
แต่เป็นเพราะเมอร์คาบาห์จงใจแสดงภาพนั้นให้เห็น
ดังนั้นอิงศรจึงถามกับรูบิเดียมว่า
“ก่อนหน้านี้เธอเคยพูดชื่อ
อดาเมียมออกมาเพราะงั้นน่ารู้อะไรบ้างสินะเกี่ยวกับภาพที่พวกเราเห็นน่ะ”
ราชครูสาวทำหน้าลำบากใจแบบที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก
ดูเหมือนว่าหล่อนจะรู้อะไรบางอย่าง
“ถ้าไม่มีข้อมูลอะไรเลยพวกฉันก็เคลื่อนไหวไม่ถูกเหมือนกันนะ”
รูบิเดียมชั่งใจอยู่พักหนึ่งจึงพูดออกมา
“ก็ได้ไม่ใช่เรื่องต้องปิดบังกันอีกแล้วนี่นะ
ยังจำที่เคยบอกเรื่องที่มาของมนุษย์ต่างดาวได้รึเปล่าล่ะ”
“ที่ว่าเป็นการดึงเอาตัวตนมาจากโลกคู่ขนานน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่โลกคู่ขนานแต่เป็นความเป็นไปได้ในช่วงเวลาอื่นต่างหาก”
รูบิเดียมกล่าวแล้ววางมือลงบนหน้าอกตัวเองแล้วพูดถึงร่างกายของตัวเอง
“ร่างนี้คือสิ่งที่เรียกกันว่าไฮพีเรี่ยน
(Hyperion) การที่ร่างกายในปัจจุบันผสานเข้ากับความเป็นไปได้ในห้วงเวลาที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็ตาม
มีคนที่ทำให้ฉันกับสิงห์กลายมาเป็นแบบนี้แล้วเจ้านั่นก็บริหารฟาวเดชั่นอี
ก็เลยได้รับความทรงจำของอีกความเป็นไปได้หนึ่งมาแต่ยังควบคุมร่างกายนี้ด้วยเจตจำนงของตัวเองดังนั้นฉันจึงรู้จักอดาเมียมผ่านทางความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของตัวเองตั้งแต่แรก”
ดูเหมือนเธอจะยืนยันว่าที่ยืนพูดให้พวกเขาฟังอยู่ตรงนี้คือกุมภาแล้วก็พูดถึงตัวเองในส่วนที่เป็นรูบิเดียมอยู่
“พวกนายก็น่าจะเห็นภาพเมื่อกี้กันใช่ไหม
สวนแห่งนั้นน่ะ นั่นคือโลกที่รูบิเดียมอาศัยอยู่กับอดาเมียม”
อิงศรพยักหน้าแทนคำตอบ
“เพราะงั้นฉันก็เลยบอกได้แค่ว่าอดาเมียมเป็นคนแบบไหนรวมถึงคำพูดติดปากของเขา”
“คำพูดติดปากที่ว่าน่ะหรือว่า”
“มนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น”
นั่นปะไร...อิงศรคิด
เขารู้แล้วว่ารูบิเดียมจะบอกคำตอบแบบไหนออกมา
“งั้นก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม”
“ฉันเองก็ใช่ว่าจะรู้ไปทุกอย่างหรอกนะแล้วนั่นน่ะถามปีศาจของตัวเองไม่เร็วกว่าเหรอ
เมอร์คาบาห์น่าจะเป็นคนทำให้พวกเราเห็นภาพเมื่อกี้นี่”
โดนสวนมาแบบนั้นจนได้
แน่นอนว่าเขาไม่มีวิธีที่จะถามปีศาจจากอาคานาร์ได้เลย
เขาไม่รู้วิธีจะทำแบบนั้นถึงแม้จะมั่นใจว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเมอร์คาบาห์ใกล้กันยิ่งขึ้นเพราะกลายเป็นเมอร์คาบาห์ฮันเซลลัชช่าแล้วก็ตาม
“…”
เพราะเขาไม่ตอบคำถามเสียที
รูบิเดียมจึงเตรียมจะเดินกลับเข้าไปที่โถง
“นายเองก็ไมรู้คำตอบสินะงั้นเราก็ลืมเรื่องเมื่อกี้ไปเถอะ
คืนนี้ดึกมากแล้วรีบไปพักเถอะพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด”
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บงำความสงสัยต่อภาพเมื่อครู่เอาไว้แล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพวกพ้องที่กำลังรออยู่โดยมีมิ่งขวัญกับกวินทร์ตามหลังมา
หลังจากรับพักผ่อนและรับประทานอาหารเสร็จอิงศรก็เสนอให้จับกลุ่มประชุม
พวกเขานั่งล้อมกันเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากันอยู่ในห้องโถงของวิหาร
ตั้งแต่มาถึงที่นี่รูบิเดียมก็พาคนของตัวเองแยกไปอยู่อีกห้องแล้วปล่อยพวกเขา
กับราชครูอีกสามตนไว้ที่นี่
หัวข้อการประชุมก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้
อิงศรเข้าใจดีว่าความรู้สึกของพวกพ้องที่เป็นมนุษย์นั้นจะกลัดกลุ้มกันขนาดไหนเมื่อรู้ว่าวันพรุ่งนี้ตัวเองอาจจะต้องตาย
การเผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์ในคราวนี้คงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แล้วถ้าต้องสู้กับตัวตนที่เป็นดั่งพระเจ้าแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครตาย
มันจะกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
สงครามที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์
การปลดแอกตัวเองออกจากพระเจ้าที่สร้างตนขึ้นมามันจะกลายเป็นสงครามที่ราวกับเรื่องเล่าในเทพนิยาย
จะต้องกลายเป็นตำนานอย่างแน่นอนถ้าหากหลังจบสงครามคราวนี้แล้วยังมีคนที่เหลือรอดจดบันทึกเรื่องราวการต่อสู้อันกล้าหาญนี้อยู่ล่ะก็นะ...
บางทีความกล้าที่คิดหาญต่อกรกับพรเจ้าอาจจะไม่ควรถูกเรียกว่าความกล้า
แต่มันคือความบ้าคลั่ง
พวกเขาที่อยู่ตรงนี้เป็นพวกบ้าคลั่งพอที่จะสู้ในศึกที่มองไม่เห็นทางชนะ
แต่ยังมองเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำสงครามครั้งนี้กันอยู่รึเปล่านั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ
อิงศรยืนยันความคิดของตัวเองแล้วพูดกับทุกคนในวงล้อม
“ไม่อยากจะให้เครียดกันเกินไปเพราะงั้นที่จัดประชุมนี่ก็เลยอยากจะถามซักหน่อย
ถ้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งแล้วพวกนายคิดจะทำอะไรกันบ้าง”
มีนาพูด
“ฉันเองเพิ่งจะกลับมารวมกลุ่มได้ไม่นานเลยอยากจะถามให้แน่ใจก่อนว่ากลับไปเริ่มใหม่เนี่ยก็หมายความว่าพวกเราจะถูกลบความทรงจำไปด้วยใช่รึเปล่าคะ”
“ฉันคิดว่าน่าจะถูกลบนะแต่ว่าไว้รอถามเจ้าซีลอร์ดพรุ่งนี้ดีกว่ายังไงหมอนั่นก็ต้องรออยู่ที่บาเบลอยู่แล้ว”
พูดจบอิงศรก็หันไปทางที่ซีเซียม
โพแทสเซียมและลิเธียม นั่งเรียงกันอยู่
“แล้วฉันก็คิดว่าจะลองถามเรื่องโลกคู่ขนานที่รูบิเดียมเล่ามากับหมอนั่นด้วยอาจจะมีวิธีแก้ไขโดยที่ไม่ต้องทำให้พวกนายหาย...”
แต่ซีเซียมก็พูดขัดคำพูดเขาเสียก่อน
“ไม่จำเป็นต้องมาเห็นใจหรอกที่อยู่ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีมาตั้งแต่แรกแล้วยังงก้ต้องหายไปในตอนสุดท้ายอยู่ดี”
“แต่แบบนั้นมัน...”
“แทนที่จะมานั่งคิดเรื่องจะหาที่ลงยังไงเอาเวลาไปคิดเรื่องพรุ่งนี้เถอะฉันเองก็ไม่คิดว่าแผนคราวนี้จะสำรเจหรอกนะการเข้าใกล้ผู้ควบคุม
เข้าใกล้แอดมินิสเทรเตอร์มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก”
ซีเซียมกล่าวอย่างนั้นแล้วหันไปทางโดโกบาร์กับคู่ฝาแฝดจูเนอร์มินาร์
“พวกนั้นน่าจะรู้ดีกว่าใครเลยนี่ว่าถ้าไปท้าทายพระเจ้าจะเกิดอะไรขึ้น”
โดโกบาร์พยักหน้ารับแล้วให้คำตอบแก่ที่ประชุมทันที
“ถ้าพวกเจ้ามีความเป็นไปได้ที่จะโค่นล้มแอดมินิสเทรเตอร์ได้ล่ะก็ป่านนี้เราคงไม่ได้มานั่งคุยกันอยุ่ตรงนี้หรอก”
นั่นหมายความว่าพวกเขาจะตายกันทั้งมดนี่จริงๆ
สินะ
โดโกบาร์ยังคงพูดต่อไปอีก
“แต่เป้าหมายของผู้ถูกฟันเฟืองเลือกไม่ใช่การโค่นล้มถ้าจะเจรจาล่ะก็ไปแสดงพลังให้เห็นก็คงพอเป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันแอดมินิสเทรเตอร์ไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น”
ดูเหมือนจะมีความหวังอยู่บ้าง
จากที่ฟังมาโดโกบาร์คงกำลังบอกให้พวกเขาทำเหมือนที่เคยทำตอนที่รับการทดสอบกับซีลอร์ด
แสดงพลังให้เห็นเพื่อให้รู้ว่าคำพูดของพวกเขาไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ
ลงท้ายแล้วก็ไม่มีใครตอบคำถามว่าจะทำอะไรหลังจากได้เริ่มใหม่
ดังนั้นเลยยืนยันได้ว่าทุกคนยังเป็นกังวลกับเรื่องพรุ่งนี้
เมื่อการประชุมทำท่าจะจบลงโดยที่ไม่ได้อะไรซีเซียมก็ลุกจากที่
“ยังไงก็มีแต่พวกนายที่ขึ้นไปเผชิญหน้าพระเจ้าได้ถึงฉันจะอยู่นี่ไปก็ไม่มีความหมายอยู่ดีพวกนายก็ประชุมกันต่อไปก็แล้วกัน”
จากนั้นโพแทสเซียมก็กล่าวตามอย่างเห็นดีเห็นงาม
“ก็อย่างที่ท่านซีเซียมว่านั่นแหละงั้นก๊วนต่างดาวก็ขอตัวลาล่ะนะ”
แล้วพากันกับลิเธียมลุกออกจากวงล้อมไปพร้อมกัน
ต่อจากนั้นก็เป็นพวกเครื่องทำสวนที่แยกตัวออกไป
ตอนนี้จึงเหลือกันแค่กลุ่มของมนุษย์ที่ยังนั่งกันอยู่
“...”
ดูจากสภาพของทุกคนที่นี่แล้วไม่มีใครอยากจะถกกันอีกแล้ว
ที่สำคัญมันก็ดึกมากแล้วด้วยพวกเขาเดินทางกันมาทั้งวันควรจะปล่อยไปพักผ่อนเลยจะดีกว่า
ไม่มีประโยชน์ที่จะประชุมเรื่องแผนการต่อสู้หรือจัดฟอร์เมชั่นอะไรอีกของพวกนั้นทำกันมาตั้งแต่อยู่บนเกาะร้างกลางทะเลแล้ว
“ถ้างั้นก็แยกย้ายกันเถอะ”
แล้วทุกคนก็เริ่มลุกจากที่เตรียมจะกลับไป
อิงศรเองก็จะลุกขึ้นเหมือนกัน
ทว่า
ตอนที่จะลุกขึ้นไปนั่นเองมิ่งขวัญที่นั่งอยู่เคียงข้างเขาก็ดึงแขนเสื้อเอาไว้ก่อน
“แฮปปี้เบิรธเดย์....”
พูดแบบนั้นแล้วยื่นแว่นตาที่หยิบมาตอนไหนก็ไม่รู้ส่งมา
อิงศรรับมันไว้ด้วยท่าทางมึนงง
“นี่มันอะไรน่ะ”
“ก็ของขวัญวันเกิดไงเมื่อก่อนตอนที่ศรไปหาฮาโมนิการ์มาให้ทำให้แว่นที่ใส่อยู่ประจำมันแตกใช่ไหมล่ะก็เลย...”
ก็เลยไปหามาคืนให้อย่างนั้นสินะ
แต่ว่ามีเรื่องน่าทึ่งกว่าของขวัญวันเกิดนี่อีกเรื่องก็คือมิ่งขวัญยังจำวันเดือนปีได้อีกทั้งที่เขาเลิกจำมันไปแล้วตั้งแต่โลกล่มสลายลง
อิงศรก้มลงมองดูแว่นตาที่ได้รับมา
มันเป็นแว่นตาที่เลนส์ยังไม่ตัดเป็นเลนส์สายตาด้วยซ้ำดูแล้วเป็นแค่ของแสดงในร้านแว่นเท่านั้นเองแล้วสภาพก็ยังดูใหม่อยู่ทั้งที่โลกล่มสลายมานานถึงสี่ปีไม่มีทางที่จะมีของใหม่ขนาดนี้เหลือรอดมาได้
ถ้าไม่ใช่ว่ามิ่งขวัญตั้งใจจะมอบสิ่งนี้ให้ตั้งแต่สามปีก่อนที่ยังอยู่ด้วยกันหลังจากที่เขาให้ฮาโมนิการ์ไปก็ไม่มีทางมีของแบบนี้อยู่กับตัวได้
มันคงจะถูกเก็บเอาไว้ในระบบคลังเก็บของอยู่หลายปีถึงได้ยังใหม่เอี่ยมอยู่
มิ่งขวัญพูดโดยที่หลบสายตา
ดูเหมือนใบแก้มจะขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยนิดหน่อย
“หลังจากพวกฟูมาอยู่ด้วยเลเวลก็เพิ่มขึ้นเลยพอจะสู้พวกสัตว์เทวะแถวนั้นได้เลยไปหามาน่ะตั้งใจว่าจะให้ตอนวันเกิดปีนั้นเลย”
แต่ว่าพวกเขาก็มาถูกแยกออกจากกันซะก่อนจนต้องใช้เวลาถึงสามปีเต็มกว่าจะมอบให้เขาได้
“…”
แว่นตานี่ถึงได้มาก็ใช้การไม่ได้เพราะไม่มีเลนส์สายตาแล้วถึงตอนนี้ดวงตาของเขาจะหายเป็นปกติจนไม่ต้องใช้ทั้งคอนแทกเลนส์หรือแว่นตาแล้วก็ตาม
แต่ว่า
หัวใจก็รู้สึกพองโตขึ้นมา
อิงศรวางมือลงบนหัวน้องชาย
ลูบไล้มันอย่างอ่อนโยน
“ขอบใจนะ”
”เอ่อ
แล้วก็…”
มิ่งขวัญตั้งใจจะพูดอะไรซักอย่างจึงยังไม่ลุกจากที่แต่มองมาที่ดวงตาของเขา
สื่อสารด้วยสายตาแล้วพูดตอบคำถามที่เขาถามไปในที่ประชุมเมื่อกี้
“ถ้ากลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจะสนิทกันให้เหมือนตอนนี้ขวัญจะไม่ลังเลอีกแล้ว”
“ถ้าได้แบบนั้นฉันก็ดีใจนะ”
อิงศรยิ้มให้น้องชายแล้วนั่งลงอีกครั้งพลางก้มตัวต่ำให้ระดับสายตาเท่ากันก่อนจะพูดว่า
“ฉันเองก็เหมือนกันจะสนิทกันให้มากกว่าตอนนี้อีก”
แล้วยื่นนิ้วก้อยออกไป
เป็นการทำเหมือนสมัยเด็กๆ เมื่อมีเรื่องที่ตกลงกันได้พวกเขาก็จะเกี่ยวก้อยสัญญากัน
มิ่งขวัญก็ยื่นนิ้วก้อยมาเช่นกัน
พวกเขาเกี่ยวก้อยสัญญากัน เป็นสัญญาที่มีต่ออนาคตข้างหน้า
“ผมเองก็จะไม่หนีอีกแล้วครับ”
จู่ๆ
กวินทร์ก็พูดขึ้นมา นั่นทำให้เขากับน้องชายสังเกตเห็นว่าทุกคนยังไม่ได้แยกกันไปนอนแต่กลับยืนล้อมพวกเขาอยู่ห่างๆ
กวินทร์พูดต่อไปว่า
“ผมจะไม่หนีออกจากบ้านแต่จะพูดกับพ่อตรงๆ
ให้เลิกเป็นนักปิดปากครับแล้วก็ถ้าทำได้จะหาทางช่วยพี่ฟ้าไม่ให้ถูกคุณลุงรังแกด้วย”
นั่นคงจะเป็นตำตอบเรื่องในอนาคตที่จะทำหลังจากย้อนกลับไป
กวินทร์เองก็คิดจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าแล้ว
จากนั้นทุกคนก็เริ่ทพูดเป้าหมายหลังจากย้อนกลับไปออกมา
ดูเหมือนคำพูดของเขากับมิ่งขวัญจะไปกระตุ้นให้ทุกคนเริ่มมองเป้าหมายกันบ้างแล้ว
มีนาพูด
“ถึงกลับไปแล้วจะร่างกายอ่อนแออีกแต่จะลองพยายามดูค่ะเมษาเองก็ช่วยใช่ไหมล่ะ”
เมษาพูด
“มันก็แหงอยู่แล้ว”
จากนั้นนรินทร์ก็พูดโดยโอบคอฟูกับมิกซ์ไว้
“ถ้าโลกที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งไม่มีอารย-สนะยาแล้วผมเองก็จะบอกให้พ่อเลิกยึดติดกับวัดแล้วทำเรื่องที่สมควรทำซักที”
ถ้าทำแบบนั้นได้พวกเด็กกำพร้าก็จะได้เป้นครอบครัวเดียวกับนรินทร์
ได้เป็นเด็กธรรมดาๆ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับปีศาจและไม่กลายเป็นเดโมนอยด์
ตอนนี้พวกเขามีเป้าหมายที่จะเอาชนะบททดสอบนี้แล้ว
การมีเป้าหมายจะยิ่งทำให้หนทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น
การที่รู้ความต้องการของตัวเองย่อมดีกว่าการกระทำไปโดยที่ยังมีความลังเล
อิงศรจึงลุกขึ้นพร้อมกับจูงมิ่งขวัญให้ลุกขึ้นด้วยแล้วพูดกับทุกคนที่นี่
“เกมโลกาวินาศนี่น่ะทำให้มันจบลงกันเถอะ พวกเรามาก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
พรุ่งนี้พวกเราจะจบเกมนี้ใช่ไหม!”
ทุกคนต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
“โอ้!!”
พรุ่งนี้....
ในวันปีใหม่ซึ่งย่างเข้าปีที่ห้าหลังจากโลกล่มสลายลง
ในวันคล้ายวันครบรอบการเปิดตัวของเกมโลกาวินาศ
พวกเขาที่อยู่ตรงนี้จะจบเกม
@@@
แม้ว่าเสียงแห่งความพินาศจะดังก้องเพียงใด
แม้ว่าโชคชะตาจะกีดกั้นสักแค่ไหน
สายลมแห่งยุคใหม่จะกลายเป็นพายุ
จะนำพายุคสมัยของมนุษย์มา
พระเจ้าจะพินาศ
มนุษย์จะก้าวไปข้างหน้า
ท่ามกลางโลกที่บิดหมุนไปอย่างบ้าคลั่งนั่น
ความหมายของ สวัสติกะ ที่ปรากฏขึ้นในยามที่สวรรค์มืดมน อนธกาล
จะนำพาบทสรุปแบบใดมา...
@@@
เมื่อรุ่งสางของวันใหม่มาเยือน
เกมโกงวันโลกาวินาศก็ย่างเข้าสู่ปีที่
5
ที่หน้าทางเข้าวิหารนั่นเองพวกเขาทั้งหมดได้มารวมตัวกันเพื่อเตรียมจะออกเดินทางสู่
บาเบล หอคอยซึ่งเชื่อมแผ่นดินกับสรวงสวรรค์
บรรยากาศรอบๆ
เต็มไปด้วยหมอกหนาจนแทบมองทางไม่เห็น
อิงศรไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะเดินทางในทะเลหมอกนี้ได้อย่างไร
แต่ก็ตามรูบิเดียมมาแล้ว หล่อนบอกว่าให้รอจนกว่าจะมีแสง
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง
ก็มีแสงแดดส่องลงมา
แสงแดดทาบทับบนแผ่นหมอกหนาแล้วทำให้ปรากฏเงาของหอคอยที่สูงเสียดฟ้าฉายขึ้นมา
รูบิเดียมยกกล้องขึ้นมาถ่ายบันทึกวิดีโอไว้ก่อนที่เงานั่นจะหายไป
เพราะเงาปรากกขึ้นแค่สิบวินาทีเท่านั้น
หล่อนหันมาบอกกับพวกเขาที่กำลังสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น
“วันนี้บาเบลจะปรากฏขึ้นที่เดียวกับเงานั่น”
อิงศรถาม
“งั้นบาเบลนั่นก็เคลื่อนที่ได้งั้นเหรอ”
“ที่เคลื่อนที่คือเทอมินัลที่ใช้พาไปยังบาเบลน่ะ
มันจะเปลี่ยนใหม่ทุกเช้าตรู่ของวันแล้วก็จะมองเห็นเงาของบาเบลที่สะท้อนออกมาจากเทอมินัลได้แค่ที่นี่เท่านั้นเพราะแบบนั้นถึงได้หาเจอลำบากไง”
หลังจากอธิบายจนจบพวกเขาก็ออกเดินทางโดยใช้วิดีโอที่บันทึกไว้เทียบระยะทางเพื่อหาเทอมินัลสำหรับไปยังบาเบล
ตอนที่เดินออกจากวิหารมาหมอกก็เริ่มเบาบางลงจนมองเห็นทัศนวิสัยรอบๆ
ได้ชัดเจนขึ้น
เพราะเมื่อคืนตอนที่เดินทางมาถึงฟ้าก็มืดไปแล้วจึงมองไม่เห็นทิวทัศน์อันงดงามวิจิตรของหมู่บ้านแห่งนี้
ภาพของท้องฟ้าที่ไร้เส้นขอบราวกับว่าเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนก้อนเมฆ
ราวกับสรวงสวรรค์
ราวกับหลุดเข้าไปในเทพนิยาย
แล้วก็ในเช้าวันนี้เอง...
อิงศรเรียกน้องชายที่เดินอยู่เคียงข้างมา
“ขวัญแฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ”
น้องชายหันมาส่งยิ้มให้เขา
“อืม”
ส่วนของขวัญวันเกิดนั้นจะต้องเป็นอนาคตที่พวกเขาจะก้าวไปอยู่แล้ว
จะต้องเอาชนะบททดสอบไปให้ได้....อิงศรสาบานกับตัวเองไว้เช่นนั้น
***เนื่องจากอาทิตย์นี้ไรท์โดนงานเบียดเข้ามาเยอะมากจนทำให้ไม่มีเวลาปั่นต้นฉบับเลย
เพราะงั้นขอรวบสองตอนลงบทเดียวไปเลยครับ
อาทิตย์หน้าเดี๋ยวขอดูก่อนนะครับว่าจะลงได้สามตอนหรือจะลงได้แค่สองตอน
อาทิตย์ต้องขอโทษจริงๆ ครับไรท์งานรัดตัวมากเพราะเปิดงานใหม่หลังจากหยุดสงกรานต์***
ความคิดเห็น