ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #22 : Login 20 : ค่าตอบแทนของความเชื่อใจ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.13K
      60
      1 ก.ย. 59

     Login 20 : ค่าตอบแทนของความเชื่อใจ


                เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนบนกล้องส่องทางไกลของมีนา ที่อิงศรหยิบติดมือมาจากรถ

                ตอนนี้ยืนสังเกตการณ์อยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำที่พาดผ่านสวนสาธารณะ


                "เสริมพลังด้วยพาสซีฟสกิลเป็นหลักไม่พึ่งพาอาวุธหรือเครื่องป้องกัน จู่โจมด้วยทักษะกายภาพแล้วใช้ทักษะเวทมนต์เสริม แถมยังใช้  ซุสนัคเคิลที่เป็นสกิลมือเปล่าของอาชีพเวพ่อนเอนแชนท์เตอร์ได้ด้วยอย่างนั้นสินะ บิลด์คลาสวอยด์เป็นงี้นี่เอง"

                อิงศรสรุปบิลด์คลาสของเมษาตามความเข้าใจหลังจากสังเกตการณ์อยู่นาน ก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น

                "ท่าทางว่าที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้จะผิดหมดเลยนะนั่น"

                พลางคิดไปว่าแผนการจัดวางตำแหน่งในทีมต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด

               เมื่อได้เห็นสกิลของมีนากับเมษาแล้ว แผนการใหม่ก็ผุดขึ้นมาไม่หยุด 

               เพราะทั้งสองต่างก็มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เอามาพลิกแพลงได้หลากหลาย แต่อย่างไรเสียถ้าทำให้เชื่อฟังไม่ได้ต่อให้แผนการณ์มีมากเท่าไหร่ก็ไร้ความหมาย

                ระหว่างที่ปล่อยให้ความคิดแล่นไปเรื่อยๆ ก็พลันนึกถึงคำเตือนของเมล์

                “แต่ก่อนจะคิดเรื่องทำให้เชื่องคงต้องหาทางขุนให้รอดก่อนสินะ

                พึมพำออกมาอย่างนั้นแล้วเปิดเมลล์ตัวจับเวลาตาย ดูรูปถ่ายยามสิ้นชีพของทั้งสามอีกครั้ง


                ....ในภาพทั้งสามคนนอนจมอยู่ในกองเลือดที่ดูมากเกินกว่าจะเป็นเลือดของคนสามคน อีกทั้งน้ำเลือดก็ดูใสไม่ข้นเหมือนอย่างที่เลือดควรจะเป็น มันเหมือนกับแอ่งน้ำที่เลือดไหลลงไปผสมเสียมากกว่า

                 วิเคราะห์ได้ดังนั้น ก็ส่องกล้องมองหาพื้นที่ๆ น่าจะเข้าข่าย

                พื้นที่ชุ่มน้ำ แอ่งน้ำ สถานที่ที่มีน้ำขัง

               แต่ก็หาที่แบบนั้นในสวนสาธารณะไม่เจอ หรือบางทีทั้งสามคนอาจจะไม่ได้ตายในสวนแห่งนี้

                อย่างไรก็ตามเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะเป็นไปตามภาพเหลืออีกเพียงสิบห้านาที แต่ทั้งสามยังต่อสู้อยู่ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นที่อื่นไปได้

     

                ตอนนั้นเองฟ้าก็ร้องดัง ครืนๆ

                อิงศรดึงกล้องส่องทางไกลออกแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า

                มีเค้าของเมฆฝนตั้งมาแต่ไกล เมื่อประเมินจากแรงของลมแล้วคงจะถูกพัดมาตกที่นี่ในอีกไม่กี่นาที

                สภาพอากาศทำให้คิดถึงคำเหล่านี้

                ฝน...แอ่งน้ำ...น้ำขัง            

                “แอ่งน้ำขังเกิดจากฝนนี่เอง

                จากนั้นก็ใช้กล้องส่องหาสถานที่ที่จะเกิดแอ่งน้ำขังตามในรูปภาพ และหาเจอในที่สุด

                เป็นลานซีเมนต์ที่ยุบตัวลงไปเหมือนแอ่งก้นกระทะตั้งอยู่ในสวนเด็กเล่น รายล้อมไปด้วยเครื่องเล่นชนิดต่างๆ

                แต่เดิมคงเป็นบ่อเล่นทรายสำหรับเด็ก แต่ก็ขนทรายออกไปจนหมด ทำให้มองเห็นตะแกรงระบายน้ำติดอยู่ตรงก้นแอ่ง ดูแล้วน่าจะระบายน้ำได้ไม่ดี นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มันถูกยกเลิกการเป็นบ่อทราย เพราะทรายคงจะลอยน้ำจนไหลออกนอกบ่อ

                ถ้าเป็นที่นี่ก็จะเกิดเหตุการณ์ตามภาพได้แล้วก็มั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อส่องกล้องเจอมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์กระจายตัวกันอยู่ในแนวต้นไม้รอบๆ บริเวณนั้น เป็นไปได้มากว่าจะมีกับดักหรืออะไรบางอย่างวางเอาไว้

                อิงศรหันกล้องกลับไปดูพวกเมษา ซึ่งยังคงต่อสู้อยู่เหมือนเดิม รูปการณ์กำลังได้เปรียบศัตรู

                ความได้เปรียบนั้นเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ต่างดาวชั้นครูเพิกเฉยไม่ออกคำสั่งกับพวกลูกน้อง จนน่าสงสัย...

                น่าสงสัยว่าข้อสันนิษฐานของเขาจะถูก มีการวางกับดักที่บ่อทรายนั่นจริงๆ

                อิงศรเปิดหน้าจอ Inventory แล้วตรวจสอบของที่ใช้ติดตั้งกับดักพลางพึมพำไปว่า

                "ฝ่ายนั้นอาชีพสเปลเลอร์(Speller) สินะ..."

               

     

                สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้พื้นดินชุ่มช่ำและแปรสภาพเป็นโคลน

                เมษาไล่ตามมนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่จับเด็กเป็นตัวประกันหนีมาจนถึงลานกว้าง

                มีเครื่องเล่นกระจายตั้งอยู่ทั่วทั้งลานแห่งนั้น

                มนุษย์ต่างดาวยืนถัดไปทางด้านหลังของพื้นซีเมนต์ที่ยุบตัวเป็นแอ่งก้นกระทะ ภายในแอ่งเริ่มมีน้ำขังจากฝนที่ตกลงมา

                พุ่มไม้ด้านหลังสั่นไหว มีเสียงแหวกออก

                มีนากับกวินทร์นั่นเอง.. ทั้งสองไล่ตามมาหลังจากเกลี้ยกล่อมแม่ของเด็กได้แล้ว

                เมษาตะโกน

                "ไม่ต้องกลัวนะจะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ"

                “…”     

                ไม่มีการตอบกลับจากเด็กหญิง เธอถูกทำให้หมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บางทีคงจะเป็นระหว่างที่วิ่งไล่ตามกัน มนุษย์ต่างดาวคงทำไปเพื่อให้สะดวกในการหลบหนี

                ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยเด็กกลับมาให้เร็วที่สุด

                เมษาคิดอย่างนั้นแล้ววิ่งนำออกไปทันที  โดยที่มีนากับกวินทร์วิ่งตามหลังมาติดๆ

                พวกเขาวิ่งข้ามแอ่งที่เคยเป็นบ่อทรายเก่า

                ทันทีที่ก้าวเท้าลงไปในแอ่ง...

     

                มนุษย์ต่างดาวก็แสยะยิ้ม

                "เสร็จข้าล่ะ มหาเวท พันธนาการแห่งอันโดรมิด้า (Andromeda) "

                การร่ายอาคมสัมฤทธิ์ผล พื้นที่พวกเมษายืนอยู่เปล่งแสง

                แสงวาดเป็นข่ายอาคมรูปดาวหกแฉก ปลดปล่อยแรงพันธนาการตรึงเท้าของผู้ที่เหยียบลงบนเขตแดน

     

                "แย่แล้วขยับเท้าไม่ได้เลย"

                กวินทร์พูดเสียงผวา

                "นี่มันผนึกเขตแดนของบิลด์คลาสควินท์เอสเซนท์ (Quintessence) นี่คะ!"

                มีนาพูด

                เขตแดนสำหรับจำกัดการเคลื่อนไหวด้วยพลังแห่งธาตุตั้งชื่อตามเจ้าหญิงในปกรณัมเทพที่ถูกนำไปมัดไว้บนก้อนหินเพื่อสังเวยแด่สัตว์ประหลาดทะเล

                 โดยปกติแล้วสกิลนี้ต้องใช้เวลาเตรียมการจึงไม่ใช่ของที่ทำขึ้นมาอย่างปุบปับได้ สรุปก็คือ

                เมษาเดาะลิ้นแล้วพูดว่า

                "ชิ มันจงใจล่อให้พวกเราตามมาติดกับดักที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วสิ"

                มนุษย์ต่างดาวได้ยินดังนั้นก็ลำพองในชัยชนะแล้วป่าวประกาศแผนการออกมา

                "ใช่แล้วเจ้าพวกชาวโลกหน้าโง่ ที่ให้พวกแกสู้กับชั้นศิษย์เมื่อกี้ทำให้เห็นรูปแบบการโจมตีหมดแล้วพวกแกน่ะไม่มีการโจมตีระยะไกลสินะ"

                แต่มีนากลับกระซิบขึ้นมาว่า

                "มีสิคะ สเตโกซอมบี้ของฉันโจมตีระยะไกลได้นะ"

                พลางอมยิ้ม เงื้อจอบหมายจะเรียกเนโครดราก้อนออกมา แต่ก็ถูกเมษาห้ามไว้เสียก่อน

                "ไม่ได้นะเดี๋ยวก็โดนเด็กไปด้วยหรอก!"

     

                มนุษย์ต่างดาวตะโกนเรียกพรรคพวกที่ซุ่มรออยู่

                "ออกมากันได้แล้วพวกเรา มาจัดการชาวโลกที่โง่เขลาเหล่านี้กัน"

                แล้วควงไม้เท้าร่ายอาคม

                "มหาพสุธา (Mahapasuta)"

                หินงอกผุดขึ้นมาจากพื้นตรงหน้าความสูงประมาณสิบเมตร จากนั้นหินก็แตกร้าวแล้วระเบิดไปทางด้านหน้า

                เศษหินมากมายกำลังพุ่งตรงเข้ามา

                มีทั้งชิ้นที่เล็กเท่าเข็มแต่ก็แหลมคมราวกับใบมีดพร้อมจะเชือดเฉือนเป้าหมาย

                ส่วนชิ้นที่ใหญ่ถึงจะไม่มีปลายคมกริบแต่หากถูกทุ่มด้วยน้ำหนักอันหาศาลนั่นก็คงจะสลบในทันทีหรือไม่ก็บี้แบนในพริบตา

                จะต้องตายอย่างแน่นอนหากรับเอาการโจมตีนี้เข้าไป

                เลือดจำนวนมากจะไหลหลั่งลงในแอ่งเพราะบาดแผลจากคมของเศษหิน

                กระดูกจะแหลกละเอียดเพราะ ถูกชน ถูกทับ ด้วยหินอันหนักหน่วง

                หนทางรอดมีแต่ต้องหลบเท่านั้น

                แต่เท้ากลับไม่สามารถขยับได้

     

                มาได้แค่นี้เรอะ...

                เมษาตัดสินใจออกมาในเสี้ยววินาที

                "พวกนายน่ะป้องกันหัวไว้แล้วมาหลบข้างหลังชั้นซะ"

                มีนาตกใจกับการตัดสินใจนั้น

                "แต่ว่าแบบนั้นมัน..."

                จากนั้นกวินทร์ก็พูดว่า

                "พี่เมษาก็โดนคนเดียวเลยน่ะสิครับ"

                ทั้งสองต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก

                ...แต่ไม่มีเวลามามัวซาบซึ้งกับมิตรภาพเล็กน้อยอีกแล้ว

                เมษากอดคอทั้งสองคนแล้วกดให้หมอบลง

                "ช่างมันเถอะน่า! ชั้นเป็นคนลากพวกนายมาเพราะงั้นชั้นจะรับผิดชอบเอง"

                พลางเอาตัวกำบังร่างของทั้งสองไว้โดยทำใจที่จะตายเอาไว้แล้ว

                กวินทร์เรียกหน้าจอสำหรับติดต่อขึ้นมาแล้วกดเรียกไปที่อิงศร

                "พี่ศร.."

                แต่เมษากลับพูดแทรกขึ้นว่า

                "อย่าเรียกนะ!"

                แล้วหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ตนประสบเจอมา

     

                ...เขากับมีนาได้เข้าประจำการในกิลด์ขับไล่ผู้รุกราน เซเวียมาหนหนึ่งแล้ว

                ได้ร่วมทีมกับหัวหน้าหน่วยที่ได้รับการไว้วางใจจากคนใหญ่คนโตในกองทัพ

                เป็นชายที่เฉลียวฉลาด มีประวัติเป็นที่กล่าวถึงว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากการปะทะกับมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูมาก่อน 

               เป็นคนหนุ่มที่มีแววรุ่ง และได้รับการคาดหวังว่าจะไต่เต้าขึ้นไปได้เทียบเท่ากับ สิงห์ ธุวดารกะ ที่เป็นพลเอกอายุน้อยผู้ได้รับฉายาว่าอัจฉริยะคนนั้น

                แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่เปลือก

                ชายคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก....

                เมษามารู้ทีหลังว่าที่ชายคนนั้นเคยรอดชีวิตจากการปะทะกับมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูได้ก็เพราะว่าหักหลังพวกพ้องและทิ้งให้ถ่วงเวลาเพื่อให้ตัวเองหนีรอดมา

                ความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้นในตอนที่พวกเขาไปทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ NPC ที่ถูกจับอยู่ในเขตของมนุษย์ต่างดาว

                โชคไม่ดีที่วันนั้นบังเอิญมีมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูอยู่ที่นั่นทำให้แผนการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

                แล้วชายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยก็ทำอย่างที่เคยทำเมื่อในอดีต

                เขาทิ้งพวกคนที่มาช่วย ทิ้งพวกพ้องร่วมรบ แล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว

                แต่ชายคนนั้นก็ตายลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครู

                ราชครูมนุษย์ต่างดาวได้พูดเอาไว้

                “เจ้ามันช่างน่ารังเกียจเหลือเกินคิดจะสังเวยพวกพ้องเพื่อให้ตัวเองหนีรอดอีกแล้วอย่างนั้นสินะแต่ว่าคราวนี้อย่าได้หวังเลย

                คำพูดนั้นทำให้เมษาได้รู้ความจริง

                ความจริงที่ว่าเนื้อแท้ของคนที่เขาเคยนับถือมันเน่าเฟะถึงเพียงไหน

                ความรู้สึกนับถือของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ในวันนั้น

                แล้วราชครูมนุษย์ต่างดาวก็ปล่อยให้พวกเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่หนีมา

                “จงไปซะชาวโลก ถ้าพวกเธอล้มเลิกการช่วยเหลือเหล่า NPC ผมจะละเว้นชีวิตให้ พวกเธอไม่จำเป็นต้องมาตายเพราะการต่อสู้ที่น่ารังเกียจของเศษสวะพรรค์นั้นหรอก หรือถ้าหากเจ็บแค้นใจล่ะก็ จงไปฝึกฝนเพิ่มพูนฝีมือมาอีกเมื่อเวลานั้นมาถึงผมจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง

                เขากับมีนาและคนที่ยังเหลือต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

                หนีหัวซุกหัวซุนกลับค่ายโดยแบกเอาความเจ็บแค้นและความละอายกลับไป

                โทษของการหนีทัพกลับมานับเป็นความผิดสูงสุดที่สามารถประหารได้ทันทีแต่เพราะเรื่องที่หัวหน้าทีมเป็นคนทอดทิ้งพวกเขาความผิดจึงลดลงเหลือแค่ลดขั้น

                ส่วนหน้าใหม่อย่างเขากับมีนาก็ถูกไล่กลับไปเรียนพื้นฐานใหม่ ทำให้ต้องกลับไปเป็นนักเรียนทหารฝึกหัดอีกครั้ง

     

                ด้วยประสบการณ์ในอดีตทำให้เมษาไม่อาจเชื่อใจ อิงศรที่สถานะคล้ายกันกับชายที่เคยหักหลังเขาได้

                “ถ้าบอกไปล่ะก็มันจะทิ้งพวกเราไว้แล้วหนีเอาตัวรอด...

                แต่ทว่า...

                “ใครจะหนีมิทราบ

                มีเสียงดังมาอย่างนั้น

                แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว เขายืนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเศษก้อนหินกับพวกเมษา

                อิงศรนั่นเอง...

                เด็กหนุ่มจ้องมองพายุเศษหินที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา แล้วดึงผ้าคลุมที่ติดอยู่บนไหล่โยนไปขวางทางมันเอาไว้

                อำนาจป้องกันของผ้าคลุมทำให้เศษหินที่พุ่งเข้ามาสะท้อนออกไป

                เมษาพูดว่า

                “ไม่ได้หรอกแค่ผ้าคลุมต้านไม่อยู่แน่!

                จริงตามที่ว่า ผ้าคลุมเริ่มฉีกขาด มีเศษหินแทรกตัวผ่านรอยที่ขาดเข้ามา แล้วแฉลบผ่านใบหน้าของอิงศรไป รู้สึกได้ว่าผิวกำลังปริแตก

                แต่เด็กหนุ่มยังคงรักษาท่าทีสุขุมเอาไว้แล้วกล่าวว่า

                “แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว

                พร้อมกับเผยสวิตซ์ในมือแล้วกดมันลงไป

                “แทรปโฮล์ (Trap Hole)”

                พื้นซีเมนต์บริเวณรอบตัวที่พวกเมษาหมอบกันอยู่ เกิดทรุดตัวถล่มลงไปเป็นหลุมลึก ทั้งสามตกลงไปในนั้น

                อิงศรกระโดดตามลงไปในหลุม

                จากนั้นพายุเศษหินก็ฉีกผ้าคลุมที่ใช้คุ้มกันขาดเป็นชิ้นๆ แล้วพุ่งข้ามหลุมไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×