คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Login 20 : ค่าตอบแทนของความเชื่อใจ
Login 20 : ค่าตอบแทนของความเชื่อใจ
เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนบนกล้องส่องทางไกลของมีนา ที่อิงศรหยิบติดมือมาจากรถ
ตอนนี้ยืนสังเกตการณ์อยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำที่พาดผ่านสวนสาธารณะ
"เสริมพลังด้วยพาสซีฟสกิลเป็นหลักไม่พึ่งพาอาวุธหรือเครื่องป้องกัน
จู่โจมด้วยทักษะกายภาพแล้วใช้ทักษะเวทมนต์เสริม แถมยังใช้ ‘ซุสนัคเคิล’ ที่เป็นสกิลมือเปล่าของอาชีพเวพ่อนเอนแชนท์เตอร์ได้ด้วยอย่างนั้นสินะ
บิลด์คลาสวอยด์เป็นงี้นี่เอง"
อิงศรสรุปบิลด์คลาสของเมษาตามความเข้าใจหลังจากสังเกตการณ์อยู่นาน ก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น
"ท่าทางว่าที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้จะผิดหมดเลยนะนั่น"
พลางคิดไปว่าแผนการจัดวางตำแหน่งในทีมต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด
เมื่อได้เห็นสกิลของมีนากับเมษาแล้ว แผนการใหม่ก็ผุดขึ้นมาไม่หยุด
เพราะทั้งสองต่างก็มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เอามาพลิกแพลงได้หลากหลาย
แต่อย่างไรเสียถ้าทำให้เชื่อฟังไม่ได้ต่อให้แผนการณ์มีมากเท่าไหร่ก็ไร้ความหมาย
ระหว่างที่ปล่อยให้ความคิดแล่นไปเรื่อยๆ ก็พลันนึกถึงคำเตือนของเมล์
“แต่ก่อนจะคิดเรื่องทำให้เชื่องคงต้องหาทางขุนให้รอดก่อนสินะ”
พึมพำออกมาอย่างนั้นแล้วเปิดเมลล์ตัวจับเวลาตาย ดูรูปถ่ายยามสิ้นชีพของทั้งสามอีกครั้ง
....ในภาพทั้งสามคนนอนจมอยู่ในกองเลือดที่ดูมากเกินกว่าจะเป็นเลือดของคนสามคน
อีกทั้งน้ำเลือดก็ดูใสไม่ข้นเหมือนอย่างที่เลือดควรจะเป็น
มันเหมือนกับแอ่งน้ำที่เลือดไหลลงไปผสมเสียมากกว่า
วิเคราะห์ได้ดังนั้น ก็ส่องกล้องมองหาพื้นที่ๆ น่าจะเข้าข่าย
พื้นที่ชุ่มน้ำ แอ่งน้ำ สถานที่ที่มีน้ำขัง
แต่ก็หาที่แบบนั้นในสวนสาธารณะไม่เจอ
หรือบางทีทั้งสามคนอาจจะไม่ได้ตายในสวนแห่งนี้
อย่างไรก็ตามเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะเป็นไปตามภาพเหลืออีกเพียงสิบห้านาที แต่ทั้งสามยังต่อสู้อยู่ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นที่อื่นไปได้
ตอนนั้นเองฟ้าก็ร้องดัง
ครืนๆ
อิงศรดึงกล้องส่องทางไกลออกแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า
มีเค้าของเมฆฝนตั้งมาแต่ไกล
เมื่อประเมินจากแรงของลมแล้วคงจะถูกพัดมาตกที่นี่ในอีกไม่กี่นาที
สภาพอากาศทำให้คิดถึงคำเหล่านี้
ฝน...แอ่งน้ำ...น้ำขัง
“แอ่งน้ำขังเกิดจากฝนนี่เอง”
จากนั้นก็ใช้กล้องส่องหาสถานที่ที่จะเกิดแอ่งน้ำขังตามในรูปภาพ
และหาเจอในที่สุด
เป็นลานซีเมนต์ที่ยุบตัวลงไปเหมือนแอ่งก้นกระทะตั้งอยู่ในสวนเด็กเล่น
รายล้อมไปด้วยเครื่องเล่นชนิดต่างๆ
แต่เดิมคงเป็นบ่อเล่นทรายสำหรับเด็ก
แต่ก็ขนทรายออกไปจนหมด ทำให้มองเห็นตะแกรงระบายน้ำติดอยู่ตรงก้นแอ่ง
ดูแล้วน่าจะระบายน้ำได้ไม่ดี นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มันถูกยกเลิกการเป็นบ่อทราย
เพราะทรายคงจะลอยน้ำจนไหลออกนอกบ่อ
ถ้าเป็นที่นี่ก็จะเกิดเหตุการณ์ตามภาพได้แล้วก็มั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อส่องกล้องเจอมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์กระจายตัวกันอยู่ในแนวต้นไม้รอบๆ
บริเวณนั้น เป็นไปได้มากว่าจะมีกับดักหรืออะไรบางอย่างวางเอาไว้
อิงศรหันกล้องกลับไปดูพวกเมษา
ซึ่งยังคงต่อสู้อยู่เหมือนเดิม รูปการณ์กำลังได้เปรียบศัตรู
ความได้เปรียบนั้นเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ต่างดาวชั้นครูเพิกเฉยไม่ออกคำสั่งกับพวกลูกน้อง
จนน่าสงสัย...
น่าสงสัยว่าข้อสันนิษฐานของเขาจะถูก
มีการวางกับดักที่บ่อทรายนั่นจริงๆ
อิงศรเปิดหน้าจอ
Inventory แล้วตรวจสอบของที่ใช้ติดตั้งกับดักพลางพึมพำไปว่า
"ฝ่ายนั้นอาชีพสเปลเลอร์(Speller) สินะ..."
สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้พื้นดินชุ่มช่ำและแปรสภาพเป็นโคลน
เมษาไล่ตามมนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่จับเด็กเป็นตัวประกันหนีมาจนถึงลานกว้าง
มีเครื่องเล่นกระจายตั้งอยู่ทั่วทั้งลานแห่งนั้น
มนุษย์ต่างดาวยืนถัดไปทางด้านหลังของพื้นซีเมนต์ที่ยุบตัวเป็นแอ่งก้นกระทะ ภายในแอ่งเริ่มมีน้ำขังจากฝนที่ตกลงมา
พุ่มไม้ด้านหลังสั่นไหว มีเสียงแหวกออก
มีนากับกวินทร์นั่นเอง..
ทั้งสองไล่ตามมาหลังจากเกลี้ยกล่อมแม่ของเด็กได้แล้ว
เมษาตะโกน
"ไม่ต้องกลัวนะจะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ"
“…”
ไม่มีการตอบกลับจากเด็กหญิง
เธอถูกทำให้หมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
บางทีคงจะเป็นระหว่างที่วิ่งไล่ตามกัน มนุษย์ต่างดาวคงทำไปเพื่อให้สะดวกในการหลบหนี
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยเด็กกลับมาให้เร็วที่สุด
เมษาคิดอย่างนั้นแล้ววิ่งนำออกไปทันที โดยที่มีนากับกวินทร์วิ่งตามหลังมาติดๆ
พวกเขาวิ่งข้ามแอ่งที่เคยเป็นบ่อทรายเก่า
ทันทีที่ก้าวเท้าลงไปในแอ่ง...
มนุษย์ต่างดาวก็แสยะยิ้ม
"เสร็จข้าล่ะ
มหาเวท พันธนาการแห่งอันโดรมิด้า (Andromeda) "
การร่ายอาคมสัมฤทธิ์ผล
พื้นที่พวกเมษายืนอยู่เปล่งแสง
แสงวาดเป็นข่ายอาคมรูปดาวหกแฉก
ปลดปล่อยแรงพันธนาการตรึงเท้าของผู้ที่เหยียบลงบนเขตแดน
"แย่แล้วขยับเท้าไม่ได้เลย"
กวินทร์พูดเสียงผวา
"นี่มันผนึกเขตแดนของบิลด์คลาสควินท์เอสเซนท์
(Quintessence) นี่คะ!"
มีนาพูด
เขตแดนสำหรับจำกัดการเคลื่อนไหวด้วยพลังแห่งธาตุตั้งชื่อตามเจ้าหญิงในปกรณัมเทพที่ถูกนำไปมัดไว้บนก้อนหินเพื่อสังเวยแด่สัตว์ประหลาดทะเล
โดยปกติแล้วสกิลนี้ต้องใช้เวลาเตรียมการจึงไม่ใช่ของที่ทำขึ้นมาอย่างปุบปับได้
สรุปก็คือ…
เมษาเดาะลิ้นแล้วพูดว่า
"ชิ
มันจงใจล่อให้พวกเราตามมาติดกับดักที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วสิ"
มนุษย์ต่างดาวได้ยินดังนั้นก็ลำพองในชัยชนะแล้วป่าวประกาศแผนการออกมา
"ใช่แล้วเจ้าพวกชาวโลกหน้าโง่
ที่ให้พวกแกสู้กับชั้นศิษย์เมื่อกี้ทำให้เห็นรูปแบบการโจมตีหมดแล้วพวกแกน่ะไม่มีการโจมตีระยะไกลสินะ"
แต่มีนากลับกระซิบขึ้นมาว่า
"มีสิคะ
สเตโกซอมบี้ของฉันโจมตีระยะไกลได้นะ"
พลางอมยิ้ม
เงื้อจอบหมายจะเรียกเนโครดราก้อนออกมา แต่ก็ถูกเมษาห้ามไว้เสียก่อน
"ไม่ได้นะเดี๋ยวก็โดนเด็กไปด้วยหรอก!"
มนุษย์ต่างดาวตะโกนเรียกพรรคพวกที่ซุ่มรออยู่
"ออกมากันได้แล้วพวกเรา
มาจัดการชาวโลกที่โง่เขลาเหล่านี้กัน"
แล้วควงไม้เท้าร่ายอาคม
"มหาพสุธา (Mahapasuta)"
หินงอกผุดขึ้นมาจากพื้นตรงหน้าความสูงประมาณสิบเมตร
จากนั้นหินก็แตกร้าวแล้วระเบิดไปทางด้านหน้า
เศษหินมากมายกำลังพุ่งตรงเข้ามา
มีทั้งชิ้นที่เล็กเท่าเข็มแต่ก็แหลมคมราวกับใบมีดพร้อมจะเชือดเฉือนเป้าหมาย
ส่วนชิ้นที่ใหญ่ถึงจะไม่มีปลายคมกริบแต่หากถูกทุ่มด้วยน้ำหนักอันหาศาลนั่นก็คงจะสลบในทันทีหรือไม่ก็บี้แบนในพริบตา
จะต้องตายอย่างแน่นอนหากรับเอาการโจมตีนี้เข้าไป
เลือดจำนวนมากจะไหลหลั่งลงในแอ่งเพราะบาดแผลจากคมของเศษหิน
กระดูกจะแหลกละเอียดเพราะ
ถูกชน ถูกทับ ด้วยหินอันหนักหน่วง
หนทางรอดมีแต่ต้องหลบเท่านั้น
แต่เท้ากลับไม่สามารถขยับได้
มาได้แค่นี้เรอะ...
เมษาตัดสินใจออกมาในเสี้ยววินาที
"พวกนายน่ะป้องกันหัวไว้แล้วมาหลบข้างหลังชั้นซะ"
มีนาตกใจกับการตัดสินใจนั้น
"แต่ว่าแบบนั้นมัน..."
จากนั้นกวินทร์ก็พูดว่า
"พี่เมษาก็โดนคนเดียวเลยน่ะสิครับ"
ทั้งสองต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก
...แต่ไม่มีเวลามามัวซาบซึ้งกับมิตรภาพเล็กน้อยอีกแล้ว
เมษากอดคอทั้งสองคนแล้วกดให้หมอบลง
"ช่างมันเถอะน่า!
ชั้นเป็นคนลากพวกนายมาเพราะงั้นชั้นจะรับผิดชอบเอง"
พลางเอาตัวกำบังร่างของทั้งสองไว้โดยทำใจที่จะตายเอาไว้แล้ว
กวินทร์เรียกหน้าจอสำหรับติดต่อขึ้นมาแล้วกดเรียกไปที่อิงศร
"พี่ศร.."
แต่เมษากลับพูดแทรกขึ้นว่า
"อย่าเรียกนะ!"
แล้วหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ตนประสบเจอมา
...เขากับมีนาได้เข้าประจำการในกิลด์ขับไล่ผู้รุกราน
‘เซเวีย’ มาหนหนึ่งแล้ว
ได้ร่วมทีมกับหัวหน้าหน่วยที่ได้รับการไว้วางใจจากคนใหญ่คนโตในกองทัพ
เป็นชายที่เฉลียวฉลาด มีประวัติเป็นที่กล่าวถึงว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากการปะทะกับมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูมาก่อน
เป็นคนหนุ่มที่มีแววรุ่ง และได้รับการคาดหวังว่าจะไต่เต้าขึ้นไปได้เทียบเท่ากับ สิงห์ ธุวดารกะ ที่เป็นพลเอกอายุน้อยผู้ได้รับฉายาว่าอัจฉริยะคนนั้น
แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่เปลือก
ชายคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก....
เมษามารู้ทีหลังว่าที่ชายคนนั้นเคยรอดชีวิตจากการปะทะกับมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูได้ก็เพราะว่าหักหลังพวกพ้องและทิ้งให้ถ่วงเวลาเพื่อให้ตัวเองหนีรอดมา
ความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้นในตอนที่พวกเขาไปทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์
NPC ที่ถูกจับอยู่ในเขตของมนุษย์ต่างดาว
โชคไม่ดีที่วันนั้นบังเอิญมีมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูอยู่ที่นั่นทำให้แผนการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
แล้วชายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยก็ทำอย่างที่เคยทำเมื่อในอดีต
เขาทิ้งพวกคนที่มาช่วย
ทิ้งพวกพ้องร่วมรบ แล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
แต่ชายคนนั้นก็ตายลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครู
ราชครูมนุษย์ต่างดาวได้พูดเอาไว้…
“เจ้ามันช่างน่ารังเกียจเหลือเกินคิดจะสังเวยพวกพ้องเพื่อให้ตัวเองหนีรอดอีกแล้วอย่างนั้นสินะแต่ว่าคราวนี้อย่าได้หวังเลย”
คำพูดนั้นทำให้เมษาได้รู้ความจริง
ความจริงที่ว่าเนื้อแท้ของคนที่เขาเคยนับถือมันเน่าเฟะถึงเพียงไหน
ความรู้สึกนับถือของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ
ในวันนั้น
แล้วราชครูมนุษย์ต่างดาวก็ปล่อยให้พวกเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่หนีมา
“จงไปซะชาวโลก
ถ้าพวกเธอล้มเลิกการช่วยเหลือเหล่า NPC ผมจะละเว้นชีวิตให้
พวกเธอไม่จำเป็นต้องมาตายเพราะการต่อสู้ที่น่ารังเกียจของเศษสวะพรรค์นั้นหรอก
หรือถ้าหากเจ็บแค้นใจล่ะก็
จงไปฝึกฝนเพิ่มพูนฝีมือมาอีกเมื่อเวลานั้นมาถึงผมจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง”
เขากับมีนาและคนที่ยังเหลือต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
หนีหัวซุกหัวซุนกลับค่ายโดยแบกเอาความเจ็บแค้นและความละอายกลับไป
โทษของการหนีทัพกลับมานับเป็นความผิดสูงสุดที่สามารถประหารได้ทันทีแต่เพราะเรื่องที่หัวหน้าทีมเป็นคนทอดทิ้งพวกเขาความผิดจึงลดลงเหลือแค่ลดขั้น
ส่วนหน้าใหม่อย่างเขากับมีนาก็ถูกไล่กลับไปเรียนพื้นฐานใหม่ ทำให้ต้องกลับไปเป็นนักเรียนทหารฝึกหัดอีกครั้ง
ด้วยประสบการณ์ในอดีตทำให้เมษาไม่อาจเชื่อใจ
อิงศรที่สถานะคล้ายกันกับชายที่เคยหักหลังเขาได้
“ถ้าบอกไปล่ะก็มันจะทิ้งพวกเราไว้แล้วหนีเอาตัวรอด...”
แต่ทว่า...
“ใครจะหนีมิทราบ”
มีเสียงดังมาอย่างนั้น
แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว
เขายืนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเศษก้อนหินกับพวกเมษา
อิงศรนั่นเอง...
เด็กหนุ่มจ้องมองพายุเศษหินที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา
แล้วดึงผ้าคลุมที่ติดอยู่บนไหล่โยนไปขวางทางมันเอาไว้
อำนาจป้องกันของผ้าคลุมทำให้เศษหินที่พุ่งเข้ามาสะท้อนออกไป
เมษาพูดว่า
“ไม่ได้หรอกแค่ผ้าคลุมต้านไม่อยู่แน่!”
จริงตามที่ว่า
ผ้าคลุมเริ่มฉีกขาด มีเศษหินแทรกตัวผ่านรอยที่ขาดเข้ามา
แล้วแฉลบผ่านใบหน้าของอิงศรไป รู้สึกได้ว่าผิวกำลังปริแตก
แต่เด็กหนุ่มยังคงรักษาท่าทีสุขุมเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว”
พร้อมกับเผยสวิตซ์ในมือแล้วกดมันลงไป
“แทรปโฮล์ (Trap Hole)”
พื้นซีเมนต์บริเวณรอบตัวที่พวกเมษาหมอบกันอยู่
เกิดทรุดตัวถล่มลงไปเป็นหลุมลึก ทั้งสามตกลงไปในนั้น
อิงศรกระโดดตามลงไปในหลุม
จากนั้นพายุเศษหินก็ฉีกผ้าคลุมที่ใช้คุ้มกันขาดเป็นชิ้นๆ
แล้วพุ่งข้ามหลุมไป
ความคิดเห็น