คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #218 : Login 215: มหาเทพแห่งแสงสว่างและความมืด 2
Login
215: มหาเทพแห่งแสงสว่างและความมืด 2
ยิ่งดีเซมแมร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ก็ยิ่งมองเห็นความว่างเปล่าเบื้องหลังชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
แฟรนเซียมคิดหาทางหนีจากสถานการณ์นี้
สถานการณ์ซึ่งโดนประกบจากเครื่องทำสวนสองเครื่องด้วยกัน
แต่คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีคำตอบ
มีแต่ความตายของตัวเองที่เด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น
“จบกันแค่นี้สินะ”
ถึงจะตัดพ้อแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรอก
เพราะได้ทำไปหมดทุกอย่างแล้ว
ทั้งดิ้นรนในฐานะมนุษย์
ทั้งชี้นำยุคสมัยที่ตัวเองเห็นชอบ
ทั้งหมดในชีวิตคือความทะเยอทะยาน
คือความปรารถนาที่เติมเต็มความละโมบอันยิ่งใหญ่
แต่ความทะเยอทะยานเหล่านั้นไม่ได้รับการตอบรับแถมยังถูกต่อต้านโดยคนที่ตัวเองชุบเลี้ยงมา
นี่คงจะเป็นบทลงโทษที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างนั้นสินะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นแฟรนเซียมก็หยุดต่อต้านแล้วยืนนิ่งรอรับชะตากรรม
เมื่อ อาซี
ดาฮากา ดาเอว่า ที่สู้ถ่วงเวลาเอพบูรอาร์ถูกจัดการจนคืนสภาพเป็นดาบ
ดาบก็ร่วงลงปักคาพื้นอยู่อย่างนั้น แต่เขาไม่คิดจะกลับไปเก็บมาอีกแล้ว
ตอนนี้แค่รอก็พอ…
แฟรนเซียมหลับตาลง
แม้ว่าเครื่องทำสวนทั้งสองจะประกบเข้ามาจากข้างหน้าและข้างหลัง
เพียงแค่รอเท่านั้น
รอให้โชคชะตาที่วิ่งไล่ตามมาโดยตลอดบดขยี้ร่างนี้แล้วทุกอย่างก็จบ…
“อ้าวๆ
กลายเป็นของที่พังไปซะแล้วอย่างนั้นเรอะ”
มีเสียงดังขึ้นมาแบบนั้น
เสียงนั้นราวกับจะรับรู้ความนึกคิดในเวลานี้
วินาทีที่เสียงนั่นเข้ามาในโสตประสาท…
‘จงรับรู้ความสิ้นหวังจากก้นบึ้งแล้วปรากฏโฉมขึ้นด้วยความสิ้นหวังที่ล้ำลึกยิ่งกว่า’
ความมืดที่เคยสัมผัสก็พองตัวขึ้นมา
ในโลกก่อนหน้านี้...
มันเป็นคำพูดที่ได้ยินในตอนที่ความมืดมิดปกคลุมท้องฟ้าจนน่าสิ้นหวัง
แต่ความหวังที่เปล่งประกายก็พลอยเบ่งบานขึ้นมาด้วย
เพียงแค่น้ำเสียงก็สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของผู้สดับรับฟังได้
น้ำเสียงแบบที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่เขาจากมา
ใช่แล้ว
เป็นเสียงของคนที่ทำให้ตัวเองมายืนอยู่ที่นี่ในฐานะแฟรนเซียม
“…”
แฟรนเซียมปรือตา
เขาไม่ได้ลืมตามารับรู้ตัวตนของเจ้าของเสียงนั่นหรอก
อันที่จริงแล้วเขารู้สึกว่ามันนานเกินไปแล้วที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ก่อนจะปิดตาเครื่องทำสวนก็เข้ามาใกล้เนินที่เขายืนชนิดแทบจะหายใจรดได้
แต่ถึงกระนั้น...
ตัวเองยังไม่ตาย
ยังไม่บาดเจ็บ ยังไม่พิการ
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะมีคนมาขวางไว้
แต่คนๆ นั้นไม่ใช่เจ้าของเสียงเมื่อครู่
คนๆ
นั้นเป็นชายมีอายุดูจากที่บนศีรษะมีเส้นผมสีขาวหงอกแซมเป็นหย่อมๆ
แต่ร่างกายสูงกำยำดูแข็งแกร่ง
แววตายามที่เหลือบมองมาที่เขานั้นเป็นสายตาที่คมกล้าราวกับจะบาดลึกเข้าไปในใจของผู้ถูกมอง
เป็นสายตาที่มองทะลุทุกคนในองค์กรและอ่านคนได้อย่างเด็ดขาด
ถึงขนาดที่ว่ารูบิเดียมที่รับหน้าที่แทรกซึมเมตไตรยให้ถึงส่วนลึกจำต้องใช้การปลอมตัวเป็นตัวเองซ้ำอีกรอบเพื่อไม่ให้โดนอ่านออกในช่วงที่แทรกซึมอยู่
แล้วชุดที่ชายคนนั้นสวมก็เป็นเครื่องแบบของเมตไตรยแต่ไม่ใช่เครื่องแบบธรรมดา
เป็นชุดเครื่องแบบสีดำคล้ายกับของพลเอกที่เขาเคยสวมแต่มีเสื้อคลุมชั้นนอกที่แตกต่างกัน
เครื่องแบบของจอมพลสูงสุด…
“มกร!”
พ่อของสิงห์นั่นเอง…ให้ถูกกว่านั้นก็เป็นแค่พ่อในฐานะธุวดารกะ
พวกเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อยทั้งตัวสิงห์คนก่อนหรือแม้แต่ตัวเองที่มาจากอีกโลก
โลกใบเดียวกับที่
มกร ธุวดารกะ มีตัวตนแล้วก็เป็นคนอื่นที่แฟรนเซียมไม่รู้จัก
เป็นโลกในอีกมิติ
มิติในโลกที่ดำเนินบทบาทคล้ายคลึงกับโลกใบนี้แต่ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว
ในโลกใบนั้น....
ไม่มีมนุษย์ต่างดาว
ไม่มีเมตไตรย
มีธุวดารกะ...แต่ไม่ได้เป็นตระกูลที่วิจัยพัฒนาเกี่ยวกับปีศาจโดยตรงเป็นเพียงแค่ตระกูลเก่าแก่ที่มีพลังเพียงผิวเผินแต่ใช้พลังอันกระจ้อยร่อยแค่นั้นดูแลความสงบจากเหตุเหนือธรรมชาติมาหลายยุคสมัย
แล้วก็มีอารย-สนธยาที่ดำเนินการโปรเจคเมอร์คาบาห์และทำให้โลกล่มสลาย
โชคชะตาในโลกใบนั้นคือการทำสงครามกับอารย-สนธยาเป็นหลัก
แต่ธุวดารกะไม่มีพลังพอจะต่อกรกับอารย-สนธยาได้เหมือนอย่างในโลกใบนี้
เพราะว่าไม่มีพลังที่แฟรนเซียมนำติดตัวจากโลกก่อนหน้ามาใช้พัฒนาขุมกำลัง
แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ยังไม่มี มกร ที่สื่อสารกับเทวทูตได้มาก่อตั้งธุวดารกะอย่างในตอนนี้ด้วย
ดังนั้นตระกูลผู้เฝ้าสังเกตการณ์ภัยเหนือธรรมชาติถึงได้มีพลังไม่พอต่อต้านอารย-สนธยา
ในโลกที่ว่า
กลุ่มที่ต่อต้านอารย-สนธยาจึงไม่มีองค์กรขนาดใหญ่เหมือนอย่างเมตไตรย
ที่มีก็แค่กลุ่มของผู้รอดชีวิตเพียงหยิบมือที่ต่อต้านมัน
เขากับพวกพี่น้องธุวดารกะบางส่วนร่วมมือกับอิงศรที่ไม่ได้ถูกเขาชุบเลี้ยง
“ทำไม…”
แฟรนเซียมตั้งคำถามยามที่ได้เห็น
มกร ธุวดารกะ
ซึ่งควรจะตายไปแล้วเพราะถูกอนันตาสังหารไปตามแผนการผลักดันอิงศรให้ปลุกเมอร์คาบาห์
แต่เจ้านั่นก็ยังมาอยู่ต่อหน้า
“…”
แม้แต่ในโลกใบนั้นอิงศรก็เป็นตัวดำเนินเรื่องและเป็นจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนรอบตัวหมอนั่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
แล้วก็โหดร้ายกับหมอนั่นจนถึงที่สุด
อิงศรในโลกใบนั้นเป็นคนที่แตกต่างจากโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง
โชคชะตาของหมอนั่นคือการที่ไม่สามารถช่วยใครไว้ได้เลย
กลุ่มต่อต้านอารย-สนธยาเข้าต่อสู้ในศึกครั้งใหญ่และพ่ายแพ้
สูญเสียพวกพ้องไปมากมาย สูญเสียอย่างสูญเปล่า
อิงศรในโลกนั้นได้จมอยู่กับความเศร้าและเป็นคนที่เย็นชากว่าในตอนนี้
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือหมอนั่นเป็นคนโง่พอที่จะเลือกหนทางเสียสละตัวเองซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาในตอนนั้นเพียงวิธีเดียว
ในตอนสุดท้ายที่กลุ่มต่อต้านสามารถโค่นอารย-สนธยาลงได้นั่นเอง
ทุกอย่างกลับสายเกินแก้
พวกเขาเอาแต่ทำสงครามกับมนุษย์ด้วยกันจนหลงลืมและไม่ได้สังเกตว่าโลกยังคงฟอนเฟะต่อไปแม้จะไม่มีอารย-สนธยาแล้วก็ตาม
กว่าจะรู้ก็ตอนที่พวกมันปรากฏขึ้นมา
ตัวตนที่จะกวาดล้างทุกอย่าง
เครื่องทำสวนนั่นเอง
ทั้งสิบสองเครื่องและรวมถึงออร์ฟิอูคูมันนาร์
เครื่องทำสวนไร้ลำดับก็เข้าร่วมในการทำลายนี้
แล้วประวัติศาสตร์ก็กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้งจนกระทั่ง
มกร ปรากฏตัวขึ้นมา
นั่นทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนไป
“ทำไม”
แฟรนเซียมกล่าว
แต่พูดออกไปไม่หมด
ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่…ไม่สามารถถามออกไปได้
มกรถูกเขาฆ่าตามแผนการที่ตัวเองวางไว้แต่กลับมายืนอยู่ต่อหน้าแล้วไหนจะเสียงพูดที่ดังแว่วมาก่อนที่มกรจะปรากฏตัวนั่นอีก
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นตัวเจ้าของเสียงที่ว่า
ถ้าหากว่าเจ้านั่นอยู่ที่นี่แล้วถาม
มกร ว่าทำไมยังมีชีวิตอยู่ ตนคงจะโดนฆ่าในทันที
โดนฆ่าโทษฐานที่ทำนอกลู่นอกทาง
ถึงตอนนี้จะไม่ได้อาลัยอาวรณ์ชีวิตตัวเองแล้วก็ตามแต่จะตายไปโดยที่ยังไม่รู้อะไรเลยแบบนั้นมันไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
น่าแปลก…แฟรนเซียมคิด
พอเจ้าของเสียงนั่นโผล่ออกมาความอยากมีชีวิต
อยากก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็เหมือนจะถูกสตาร์ทเครื่องขึ้นมา
ทั้งที่ตอนแรกนั้นในหัวนั้นว่างเปล่าไปหมดแต่ตอนนี้กลับคิดถึงแต่
เรื่องของหมอนั่น
เรื่องของโลกเก่าที่จากมา
เหตุผลก็เป็นเพราะตัวเขาเองยังไม่เคยได้รู้เลยว่าทำไมถึงโดนส่งมาที่นี่
เจ้าผู้บงการนั่นต้องการอะไร ไม่เคยรู้เลยจริงๆ
ที่รู้ก็มีแค่หมอนั่นเป็นคนกุมบังเหียนองค์กรที่คอยสนับสนุนทั้งเมตไตรยและอารย-สนธยา
อย่างลับๆ มาโดยตลอดซึ่งข้อมูลที่ว่าก็ยังเป็นข้อมูลที่เขากับรูบิเดียม
สืบหามาเองแต่ก็ยังหาได้เพียงหยิบมือ
ที่พอจะรู้อีกเรื่องก็คือ
มกร ถูกส่งมาโดยหมอนั่นเหมือนกับเขาที่ถูกส่งมาแทนที่สิงห์ของโลกนี้ซึ่งตายไปเมื่อสิบสองปีก่อนแต่กรณีของ
มกร เจ้านั่นน่าจะโดนส่งตัวมาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้วก็ไม่แก่ชราเลยทั้งที่ในวันที่มาถึงเขาใช้ร่างและอายุร่วมกับสิงห์ของโลกนี้และยังคงเติบโตตามปกติ
ดูเหมือนการปรากฏตัวของ
มกร จะทำให้เครื่องทำสวนชะงักไปก็จริง คงเพราะกำลังวิเคราะห์ว่า มกร
ที่แทรกแซงเข้ามานั้นเป็นอะไรกันแน่
ไม่นานนักดีเซมแมร์ก็เปิดฉากโจมตี
คงรู้แล้วว่ามกรเองก็ไม่ต่างไปจากเขาที่อยู่ตรงนี้
เป็นเพียงแค่วัชพืชเท่านั้น
ลำแสงสีแดงพุ่งออกจากดวงตาของดีเซมแมร์กำลังมุ่งตรงมาที่นี่
แต่มกรกลับยื่นมือออกไปและต้านรับมันไว้โดยสร้างกำแพงโปร่งใสหรืออะไรซํกอย่างที่มองไม่เห็นขึ้นมากำบัง
แต่ว่า...
“ต้านไม่ไหวหรอก”
พลังของเครื่องทำสวนไม่ใช่ระดับที่จะต่อกรด้วยได้
แม้จะเป็นพลังของ มกร ก็ตาม ถ้าว่ากันตามหลักการแล้วเขาที่เป็นราชามนุษย์ต่างดาวน่าจะแข็งแกร่งกว่าหลายขุมยังไม่คิดจะรับการโจมตีของเครื่องทำสวนโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
ไม่ทันไรลำแสงก็ทะลุผ่านปราการป้องกันที่
มกร สร้างเข้ามา
ลำแสงตกกระทบลงพื้นแล้วระเบิด
แรงระเบิดเป่าแฟรนเซียมกระเด็นแต่ มกร กลับถูกลำแสงบดขยี้ไปทั้งอย่างนั้น
แฟรนเซียมกลิ้งไถลลงไปจากเนินขี้เถ้า
จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าดาบมังกรเทวะที่ปักคาพื้นอยู่
มือเอื้อมออกไปโดยอัตโนมัติทั้งที่ไม่คิดว่าจะรอด
แต่สัญชาตญาณบอกให้คว้าอาวุธมา
อย่างน้อยก็ขอสู้ก่อนตาย...
“ไม่ดีเลยนะ”
แต่กลับมีเสียงดังขึ้นมาแบบนั้นแล้วเจ้าของเสียงก็เอาร่างพุ่งออกมาจากกองไฟที่ลุกไหม้เพราะลำแสงของดีเซมแมร์
กระโดดลงมายืนใกล้กับจุดที่ดาบปักอยู่พลางแย่งไปต่อหน้าเขา
“จะรีบสิ้นหวังตั้งแต่ตอนนี้ไปทำไมในเมื่อพลังที่ข้าให้ไปก็ยังอยู่ครบถ้วนดีนี่”
ชายที่แย่งดาบไป
ใช้นิ้วแตะตรงปลายเหมือนจะทดสอบความแหลมคม แล้วพลิกดาบไปมา พินิจมันอย่างถี่ถ้วน
“เก็บเลเวลมาพอสมควรเลยนี่”
น้ำเสียงนั่น
เป็นเสียงเดียวกับที่ได้ยินก่อนที่ มกร จะปรากฏตัว เสียงของผู้กุมบังเหียน
ฟาวเดชั่นอี ที่สนับสนุนเงินทุนให้กับทั้งเมตไตรย และ อารย-สนธยา
ในโลกเก่านั้น
ในตอนที่เครื่องทำสวนจะทำการกวาดล้างครั้งสุดท้ายเสียงที่ว่าก็ดังขึ้นพร้อมกันนั้นโลกก็ตกอยู่ในความมืดมิด
‘คราส’ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
สรวงสวรรค์มืดมน อนธกาล
ไปขณะหนึ่งยามที่เจ้านั่นปรากฏตัว
มันเป็นเทพหรือปีศาจหรือพระเจ้า
เขาตอบตัวเองในเรื่องนั้นไม่ได้เพราะไม่รู้เลยว่ามันปรากฏตัวขึ้นโดยต้องการสิ่งใด
แต่มันส่งเขาข้ามมิติมาที่นี่และมอบวิญญาณเครื่องทำสวนของออร์ทิเกสซาร์ที่ผนึกไว้ในรูปของแอพพลิเคชั่นปีศาจ
แต่เจ้าของเสียงมายืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ทั้งเจ้านั่นแล้วก็ไม่ใช่
มกร ด้วย แต่กลับเป็นเพียงชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์กว่า
เป็นชายหนุ่มอายุราว
20 ผิวเข้ม มีผมยาวหยิกม้วนคล้ายพวกเร็กเก้
ชุดที่ใส่เป็นเสื้อยืดคอวีกับกางเกงยีนส์ที่หาได้ทั่วไป
แต่มีจุดสังเกตเด่นชัดที่ทำให้รู้สึกขัดตาคือสวมผ้ากันเปื้อนสีเขียวน้ำตาลและมีลายโลโก้ร้านกาแฟอยู่บนนั้น
ได้กลิ่นกาแฟจางๆ
ลอยออกมา เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยเพราะข้าวหลามมักจะไปดื่มกาแฟแบบที่ว่าบ่อยๆ
ชื่อของร้านนั่น...
“อีคริปส์”
พอหลุดปากไปแบบนั้น ชายผิวสีซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ข้าวหลามไปเป็นลูกค้าประจำคนนั้นก็ปรายยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า
“ครับ มาอุดหนุนร้านเราเป็นครั้งแรกสินะครับ ไม่สิ”
ชายผิวเข้มหมุนดาบมังกรเทวะไปมาราวกับเล่นสนุก
“คุณลูกค้าท่านแรกที่หายหน้าหายตาไปซะนานวันนี้จะรับอีคริปส์เบรนด์ไหมครับ
เอาเถอะเรื่องนั้นไว้ทีหลัง ร่างของมกร
หมดสภาพไปแล้วยิ่งกว่าตอนโดนอนันตาเล่นงานเอาเสียอีก
แบบนั้นคงเอามาใช้ไม่ได้อีกแล้วโชคดีไปนะที่มีดาบนี่อยู่เพราะว่าในตอนนี้ข้ายังร่างแท้จริงไม่ได้ไม่อย่างนั้นคงลำบากแย่”
แล้วโยนดาบขึ้นไป
ดาบมังกรเทวะหมุนควงลอยขึ้นไป
ลอยสูงเป็นอย่างมาก
น่าจะซักสองถึงสามเมตร
ชายผิวเข้มกางแขนออกราวกับเล่นละคร
“ตื่นได้แล้ว และจงอาบย้อมสวรรค์ให้มืดมิดอนธกาล มังกรสัมบูรณ์กาล
อาซี-ดาฮาคา-อหุราคา”
ดูเหมือนดาบมังกรเทวะจะรับฟังคำพูดนั้น
มันระเบิดตัวเอง ของเหลวสีดำมะเมื่อมไหลทะลักกลางอากาศบดบังแสงแดดจากพวกเขา
ราวกับดวงตะวันถูก ‘คราส’ กินเข้าไป
เหมือนดั่งเช่นในวันนั้น
ในอีกโลกที่แตกต่างจากที่นี่
มันทำให้แฟรนเซียมนึกถึงคำพูดในวันนั้นขึ้นมา
คำพูดที่ผู้สร้าง ‘คราส’ ขึ้นมาปกคลุมท้องฟ้าและกลืนกินเครื่องทำสวนทั้งหมด สำแดงพลังอำนาจอันเกินจินตนาการ
บอกนามเรียกขานตัวมันเองว่า
“มหาเทพราหู ราหูราริส (Rahularis)”
***และแล้ว...ก็เปิดตัวบอสออกมาแล้วครับนั่นหมายความเรื่องนี้ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว
เหลือแค่ Act สุดท้ายแล้วครับ คาดว่าจะอวสานในสิ้นเดือนหน้าถ้าไม่ติดขัดอะไรล่ะนะครับ
ที่จริงก็แอบใบ้เอาไว้หลายรอบเหมือนกันรวมถึงตอนย้อนอดีตนรินทร์ด้วยเรื่องกลิ่นกาแฟ
และในสองภาคที่ผ่านมาเจ้าของร้านก็มักจะมีบทมาเล่าตำนานเกี่ยวกับ คราส อยู่บ่อยๆ แต่ในภาคสามไม่โผล่เลยเพราะเมืองมันโดนออร์ทิเกสซาร์บึ้มไปตอนต้นเรื่องก็มาโผล่เอาตรงนี้นี่เองครับ***
ความคิดเห็น