ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #215 : Login 212: Operation Root Break 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 143
      7
      16 มี.ค. 61

    Login 212: Operation Root Break 1

     

                รุ่งเช้าของวันใหม่ได้มาเยือนแล้ว อิงศรรับรู้เรื่องนั้นจากแสงแดดที่แยงลอดผ่านหมู่แมกไม้ทอดลงมายังลานกว้างที่เกิดจากการต่อสู้ซึ่งกวาดต้นไม้รอบๆ จนโกร๋นซึ่งพวกเขาทุกคนยืนอยู่ที่นั่น

                พระอาทิตย์กำลังขึ้น แสงแดดเริ่มทอดลงสู่ป่าจากมุมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

                เท่านี้ก็หมดไปอีกวัน พวกเขาอยู่ที่เกาะนี้รวมห้าวันแล้ว

                “…”

                ตอนนั้นเองร่างของมิ่งขวัญที่มีอายุ 17 ก็เริ่มไม่เสถียร ร่างกายแตกซ่านเหมือนภาพในโทรทัศน์เสีย

                “ต้องไปแล้ว…คงจะได้เจอกันแค่นี้เท่านั้น แต่ก็พยายามเข้านะพี่”

                มิ่งขวัญกล่าวแล้วหายไป หายไปโดยทิ้งร่างวัย 15 ของตัวเองไว้

                มิ่งขวัญปรือตาขึ้น

                “หมอนั่นไปแล้วเหรอ”

                หมอนั่นที่ว่าคงหมายถึงตัวเองในอนาคตที่เพิ่งหายไป อิงศรตีความคำพูดน้องชายได้แบบนั้นจึงพยักหน้า

                “อืม แล้วจำอะไรได้บ้างรึเปล่านายโดนอสูรเข้าสิงจนเป็นเรื่องเลยนะ”

                นี่เป็นคำถามเพื่อตรวจสอบว่ามิ่งขวัญที่อยู่ตรงนี้จะพอรู้อะไรบ้างรึเปล่า

                น้องชายพยักหน้า

                “ก็คิดว่าจำได้หมดแหละตอนที่กลายเป็นแบบนั้นก็ยังมีสติอยู่”

                ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างอยู่บ้าง ไม่แน่ว่ามิ่งขวัญอาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนจากอนาคตนั่น

                ”เล่าได้รึเปล่า”

                พอพูดไป มิ่งขวัญก็ก้มหน้าลง

                “คืนนั้นตอนที่เดินเข้าป่ามากับทุกคนจู่ๆ ก็รู้สึกง่วงแล้วก็จำอะไรได้เลือนรางไปหมดแต่ก็รู้สึกตัวแหละว่าไปโกยเอาพวกเนื้อดิบที่เตรียมไว้ย่างบาบีคิวเข้ามาในป่าแล้วก็รู้สึกตัวอีกทีตอนนอนอยู่บนเตียงแล้วจากนั้นก็รู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ร่างตัวเองเหมือนมีใครกำลังใช้ร่างกายอยู่น่ะ”

                “แล้วรู้เรื่องที่ตัวนายจากอนาคตเข้ามาอยู่ในร่างเมื่อกี้ด้วยรึเปล่า”

                “อืม เคยเจอมาก่อนด้วย”

                “เคยเจอกับตัวเองในอนาคตเนี่ยนะ”

                “ในความฝันน่ะก่อนจะรู้สึกตัวว่าหมอนั่นเข้ามาอยู่ในร่างแล้วก็ฝันว่าตัวเองไปอยู่ในโลกที่ปกติแล้วพวกเกมที่เรากำลังเล่นก็เป็นแค่เกมคอมพิวเตอร์ด้วย”

                เดี่ยวก่อนนะ...อิงศรที่ได้ฟังเรื่องความฝันของน้องชายแล้วย้ำตัวเองให้ชะงักความคิดเอาไว้

                แต่ว่า...

                นั่นมันเหมือนกับที่เขาเคยฝันตอนที่กลับจากอาคาชิกเรคคอร์ดหลังจากได้เมอร์คาบาห์มาแล้วเลยไม่ใช่รึไง

                มิ่งขวัญยังคงพูดต่อไปว่า

                “แล้วก็พอคิดว่าตัวเองจะตื่นแล้วแต่กลับไปโผล่ในอีกความฝันหนึ่ง ความฝันที่เห็นตัวเองตอนโตกำลังจะฆ่าศร”

                จะว่าไปแล้วตอนที่มิ่งขวัญตื่นขึ้นมาหลังจากอสูรในร่างกำลังจะตายอยู่แปบหนึ่งก็เหมือนจะเคยพูดอะไรไว้แบบนั้น บอกว่า ก่อนจะตื่นขึ้นมาฝันว่าตนเองกำลังจะฆ่าเขา

                จากนั้นมิ่งขวัญก็พูดเรื่องที่ค่อนข้างเหลือเชื่อออกมา

                “ศรที่อยู่ในความฝันนั่นจำได้ว่า...เพราะปกป้องใครไม่ได้เลย ทั้งที่เสียสละกระทั่งวิญญาณของตัวเอง ทั้งที่จัดการกับศัตรูตัวสุดท้ายได้แล้วแต่กลับช่วยอะไรไว้ไม่ได้ซํกอย่างก็เลยกลายเป็นตัวอะไรไปก็ไม่รู้”

                บางทีนั่นอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในความเป็นไปได้ที่มิ่งขวัญวัย 17 จากมาซึ่งน่าจะเป็นโลกเดียวกับที่กฤษณะซึ่งมีหน้าตาเหมือนนรินทร์ หรืออาจจะเป็นนรินทร์ของโลกนั้น

                “แล้วยังรู้อะไรอีกบ้างบอกที่นายรู้มาให้หมดเลยจะอะไรก็ได้”

                อิงศรจับไหล่น้องชายแน่น เผลอใส่แรงบีบหนักมือไปโดยไม่รู้ตัว แต่แรงบีบของมนุษย์ทำอะไรร่างมนุษย์ต่างดาวของมิ่งขวัญไม่ได้อยู่แล้วดังนั้นฝ่ายที่รู้สึกตัวว่าทำรุนแรงลงไปจึงเป็นตัวเขาเอง

                “อะ...โทษทีมันเผลอไปหน่อย”

                “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บหรอกแต่ว่ามันรู้สึกแปลกๆ นะทั้งที่เหมือนจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่กลับไม่รู้อะไรเลยที่พอจะบอกได้ก็มีแต่เรื่องที่ตัวเองเข้าใจเท่านั้นเอง”

                มิ่งขวัญพูดแล้วก่ายหน้าผาก สีหน้าเจ็บปวดเหมือนทรมานเพราะนึกเรื่องที่อยากจะนึกไม่ออก

                มันคงเป็นแบบนั้นแหละ คงจะมีกลไกอะไรบางอย่างป้องกันเอาไว้แต่ข้อมูลที่ได้มาก็เพียงพอจะไตร่ตรองได้ระดับหนึ่งแล้ว

                ในหัวอิงศรกำลังเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาจากคราวนี้

                เจ้ากฤษณะนั่นพูดเอาไว้ว่าเห็น ‘เดธอาคานาร์แล้วยังไม่ฉุกใจคิดอีก’ นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน ตอนนี้ถ้าคิดจากข้อมูลที่ได้มาสมมติว่า กฤษณะคือนรินทร์จากโลกนั้น

                แล้วความเกี่ยวข้องของเดธอาคานาร์ที่พอจะนึกออกก็มีแค่นรินทร์เท่านั้น

                นรินทร์นารายณ์ ก็คือ เทพวิศนุ

                กฤษณะคือปางหนึ่งจากสิบปางของเทพวิศนุ

                ถ้าคิดแบบนั้นก็ลงล็อกเกินไปจนน่ากลัวว่าจะสำคัญอะไรผิดไปเลยทีเดียว

                “…”

                อิงศรหันไปมองนรินทร์แล้วส่ายหน้า

                ความเชื่อมโยงแบบนั้นมันก็แค่การคิดเอาเองเท่านั้นถึงจะมีความเป็นไปได้มากก็ตาม

                เรื่องที่สองที่กำลังคิดอยู่ก็คือ สิ่งที่ขวัญเล่าให้ฟังเรื่องความฝัน

                ความฝันที่ว่าตื่นขึ้นในโลกที่เกมโลกาวินาศเป็นเพียงแค่เกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น นั่นมันเหมือนกับความฝันที่เขาเองก็เคยฝันตอนที่ได้เมอร์คาบาห์มา

                แล้วคราวนี้ขวัญก็ฝันแบบเดียวกันแถมเป็นหลังจากที่ทำอวาแทรนซ์ได้

                สมมติฐานบ้าสุดกู่ผุดขึ้นมาไม่หยุด มีความเป็นไปได้ว่านั่นจะไม่ใช่ความฝันแต่เป็นโลกแห่งความเป็นไปได้อื่น พูดง่ายๆ ก็เป็นอีกโลกคู่ขนานนั่นเอง ในโลกนั้นตัวเขาแล้วก็คนอื่นๆ แค่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ การเอาตัวรอดในเกมโลกาวินาศเป็นแค่เกมคอมพิวเตอร์เล่นฆ่าเวลาเท่านั้น

                แล้วก็ความฝันเรื่องที่สองของมิ่งขวัญ โลกที่น่าจะเป็นที่มาของร่างวัย 17 ปีนั่น

                ถ้าหากว่านั่นเป็นความทรงจำของร่างในอนาคต แล้วล่ะก็มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างนั้นรึเปล่า ตัวเขาในอนาคตจะถูกมิ่งขวัญฆ่าด้วยสาเหตุบางอย่าง

                ถ้าจำไม่ผิดมิ่งขวัญในอนาคตถือหอกสีขาวที่ดูไม่คุ้นตามาด้วยแล้วก็บอกว่าเป็นหอกเมสสิยาห์ หอกที่เขาซึ่งเป็นพี่ชายเสียสละวิญญาณปกป้องโลกเอาไว้...

                อิงศรคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

                ไม่ไหว ไม่เข้าใจเลยซักนิดบางทีเรื่องนี้มันคงจะซับซ้อนเกินไป

                แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง ตอนนี้ปริศนาเรื่องหนึ่งกระจ่างไปเป็นที่เรียบร้อย

                ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยว่าใครที่กำลังบงการ สิงห์ กับ อารย-สนธยา อยู่เบื้องหลังอีกทีแล้วตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว

                กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธกาล ‘ฟาวเดชั่นอี’ คือนามขององค์กรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดมาโดยตลอดอย่างแน่นอน แล้วก็ดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคานาร์ด้วย อาคานาร์กลับหัวที่ใช้พลังได้ ‘รีเวิร์สอาคานาร์’ ที่กฤษณะแสดงให้เห็นนั่นจะต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับอาคานาร์ของเขา อาจจะสาวไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขาใช้อาคานาร์ได้ซึ่งนั่นยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้แล้วก็ไม่ได้หยุดคิดถึงมันเลยแม้แต่วินาที

                “พี่ศรครับ”

                จู่ๆ กวินทร์ก็เรียก ดังนั้นอิงศรจึงหยุดใช้ความคิดแล้วหันไป

                ไม่ใช่แค่กวินทร์แต่ทุกคน กำลังจ้องมองเขา ถึงไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้เลยว่าทุกคนกำลังคิดจะถามสาเหตุที่เขานิ่งไปเสียนาน เขาใช้เวลามากขนาดนั้นไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด มันมีเรื่องมากเกินไปจริงๆ นั่นแหละ

                เริ่มจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้วสิ

                เจ้าพวกนี้จะรู้ตัวกันไหมนะว่าเพิ่งจะพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องยุ่งยากแบบสุดกู่ จนอาจจะไม่เคยมีปัญหาอะไรใหญ่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ถึงเดิมทีพวกเขาจะกำลังแก้ปัญหาเรื่องที่โลกใกล้จะพังพินาศโดยสมบูรณ์เพราะพระเจ้าตัดสินใจลบทิ้งอยู่ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นแค่ปัญหาของโลกเพียงใบเดียว

                พอเริ่มคิดขึ้นมาอีกอิงศรก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังขนลุกชัน

                กำลังหวาดกลัวว่าปัญหาที่แท้จริงจะไม่ได้จบแค่โลกใบนี้เท่านั้นหรือไม่ก็ตัวเองกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วล่ะมั้งที่คิดเรื่องพรรค์นี้มาได้

                ว่าแล้วยังไม่ทันได้คิดสรุปความเลยปัญหาใหม่ก็กุลีกุจอเข้ามาอีก

                “เหวอ!”

                สั่น...พื้นกำลังสั่นสะเทือน แต่ไม่ใช่ความแรงระดับแผ่นดินไหว พื้นแค่สั่นเหมือนกับมีรถขุดเจาะถนนมาทำงานอยู่แถวนี้

                ตัวการของการสั่นสะเทือนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน โมเดลตึกจำลองจำนวนมากผุดขึ้นมาถมทับผืนป่า

                “นี่มันฮีโร่เวิร์สงั้นเรอะ”

                ถ้าอย่างนั้นซีเซียมก็...

                พื้นดินเบื้องหน้าแยกออกจากกัน ไอร้อนและควันระอุของแมกม่าจากใต้โลกลอยฟุ้งขึ้นมา ถึงจะบอกว่าแมกม่าใต้โลกแต่นั่นน่าจะเป็นภาพมายาของฮีโร่เวิร์ส

                หุ่นพยนต์ซึ่งเกิดจากการรวมร่างของมังกรกระดูกห้าตัวผุดขึ้นจากใต้แมกม่านั่น ไม่รู้ว่าซีเซียมทำได้ยังไงทั้งที่ตอนนี้ไม่มีพวกชั้นศิษย์ตนอื่นๆ อยู่ด้วย

                แต่อย่างหมอนั่นคงแก้สกิลแล้วใช้เองอยู่ดีนั่นแหละ

                เมื่อหุ่นพยนต์ปีนขึ้นมาจากปากเหวแล้วแผ่นดินก็สมานตัวติดกัน ซีเซียมยืนอยู่บนไหล่ของหุ่นพยนต์ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็มองไม่ทันเหมือนกัน แต่แน่ใจว่าตอนที่มันผุดขึ้นมาจากแมกม่าซีเซียมยังไม่ได้อยู่ที่นั่น

                แต่ทำไมถึงเรียกหุ่นพยนต์มาล่ะหรือว่าหมอนี่จะกำลังโกรธที่โดนเขาทำเพดานห้องถล่มใส่จนหัวโนตอนที่สู้กับอสูรเมื่อคืนกันนะ

                ถ้างั้นก็ต้องอธิบายแบบไม่บอกความจริงกันแล้ว แค่บอกว่าอสูรบุกโจมตีก็พอหมอนั่นน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพราะสลบไปทั้งคืนนี่นะ

                 “เดี๋ยวเซ่คุยกันดีๆ ก่อนได้ไหมเนี่ย”

                แต่ซีเซียมที่ได้ยินกลับตีหน้ามุ่ย

                “พูดเรื่องอะไรของแกฟระ”

                “อ้าว ไม่ได้กำลังโมโหอยู่เหรอ”

                “โมโหอะไรกันเล่าตอนนี้ลนลานจะแย่แล้วต่างหากนอกเกาะตอนนี้มีกองเรือของพวกมนุษย์ต่างดาวล้อมเข้ามาแล้วนะ”

                ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นแต่ที่บอกว่ากองเรือของมนุษย์ต่างดาวล้อมเข้ามาแล้วนี่มันอะไรกัน...

                “หา! ได้ไง ไหนบอกว่าที่นี่กางอาณาเขตรบกวนการตรวจจับไว้แล้วไง!”

                “จะไปรู้เรอะตอนนี้รีบเตรียมสู้เหอะไม่มีที่ให้เราหนีแล้ว”

                ทว่า ในตอนนั้นเอง...

                ก็มีร่างคล้ายมนุษย์ตกลงมาจากท้องฟ้า ร่างนั้นลงจอดบนพื้นโดยทำให้เกิดหลุมตื้นๆ บนพื้น ถ้าลงมาแรงขนาดนั้นต่อให้เป็นมนุษย์ในโลกแห่งการล่มสลายนี่ถึงไม่หักก็คงต้องขาชากันบ้างล่ะ

                แต่พอมองดูแล้วนั่นเป็นคนที่พวกเขารู้จักมาก่อน

                “รูบิเดียม!”

                ราชครูสาวเงยหน้าแล้วชันตัวลุกโดยไม่มีอาการบาดเจ็บจากการลงจอดอย่างรุนแรงเลยแม้แต่น้อย

                รูบิเดียมพูด

                “อะไรกัน อย่าทำหน้าแบบนั้นสิไม่ได้จะมาสู้กับพวกนายหรอกนะ”

                “ถ้างั้นแล้วมาที่นี่ทำไม”

                “เพราะเวลาไม่เหลือแล้วน่ะสิ”

                หล่อนชี้ไปที่ท้องฟ้าด้านหนึ่งซึ่งหน้าจะเป็นทิศใต้ พวกเขามองตามไปก็แลเห็นบนท้องฟ้าที่เริ่มสว่างแล้วกลับมีจุดสีดำมืดปรากฏให้เห็นที่เส้นขอบฟ้าซึ่งจรดกับผืนน้ำทะเล

                จุดสีดำนั่นกำลังขยายกว้างขึ้นและดูเหมือนจะเคลื่อนตัวมาทางนี้อย่างเชื่องช้า

                “นั่นคือความว่างเปล่าที่กัดกินโลกมาตลอดสี่ปี”

                รูบิเดียมพูด

                ความว่างเปล่าที่ว่านั่นคงหมายถึง กระบวนการลบข้อมูลของโลกใบนี้ที่ซีลอร์ดเคยเล่าให้ฟัง

                ทุกสิ่งที่โดนความมืดสีดำนั่นกลืนกินเข้าไปจะไปอยู่ที่อาคาชิกเรคคอร์ดหรือก็คือกลายเป็นซากข้อมูล

                ชีวิต ประวัตศาสตร์ ความทรงจำ ทุกอย่างเมื่อไปอยู่ที่นั่นจะสูญเสียความหมายไปในทันที แล้วบัดนี้ความว่างเปล่านั่นก็โผล่มาให้พวกเขาเห็นด้วยตาของตัวเอง ดังนั้นเรื่องที่บอกว่าไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วของรูบิเดียมจึงไม่ใช่คำพูดโกหก

                จากความเร็วของการกลืนกินที่กะด้วยสายตาแล้วแค่วันเดียวความว่างเปล่าก็คงมาถึงเกาะแห่งนี้ได้ เหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันนะก่อนที่โลกจะดับสูญลงไป

                รูบิเดียมพูดต่อ

                “มันเริ่มขึ้นแล้วล่ะการกวาดล้างของแอดมินิสเทรเตอร์น่ะ ตรงจุดสีดำนั่นมีพวกเครื่องทำสวนที่ตื่นขึ้นมาเองหลังจากวันนั้นทำการกวาดล้างทุกอย่างจนกลายเป็นความว่างเปล่า มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่เกินสามสัปดาห์แผ่นดินที่เหลืออยู่ทั้งหมดคงหายไปแน่”

                ‘วันนั้น’ ที่รูบิเดียมพูดน่าจะหมายถึงห้าวันก่อนในสนามรบบนชายหาด

                วันที่แอดมินิสเทรเตอร์ลูนาริส ปรากฏตัวขึ้นบนโลกนั่นเอง

                แล้วข้อมูลของรูบิเดียมตรงกับข้อมูลที่เขามีอยู่ ถ้าหักห้าวันที่มาพักกันอยู่ที่เกาะนี่มันก็เหลือเวลาแค่ราวๆ สามสัปดาห์ แต่เวลาที่แน่นอนก็คือนับถอยหลังอีก 20 วันนั่นเอง

                แต่ความเร็วของการกลืนกินที่มองเห็นจากตรงนี้กลับรู้สึกว่ามันจะกลืนโลกให้หายไปได้เร็วกว่านั้นหรือไม่ก็ที่มันเร่งขึ้นมาเร็วซะขนาดนี้จะเป็นเพราะเครื่องทำสวน

                “เครื่องทำสวนอื่นๆ ทำงานขึ้นมาเองตั้งแต่วันนั้นน่ะเหรอ”

                “ใช่ แล้วก็สถานการณ์อื่นๆ ด้วยพวกนายไม่รู้อะไรเลยสินะเหมือนที่ไฮโดรเจนพูดไม่มีผิด”

                ไฮโดรเจน...ซีลอร์ดน่ะเหรอ เจ้านั่นหรือว่ากับรูบิเดียม...

                แต่แล้วซีเซียมก็พูดแทรก

                “เดี๋ยวก่อนนะไฮโดรเจนไปหาเธองั้นเรอะ”

                “ใช่ ไม่งั้นคงมาที่นี่ไม่ถูกหรอกจริงไหมเพราะฉันบอกว่าจะช่วยก็เลยบอกพิกัดของเกาะแห่งนี้มานี่ไม่ใช่เวลามาแตกคอกันเองแล้วพวกนายกำลังหาที่ตั้งของบาเบลเทอร์มินัลที่นำไปหาแอดมินิสเทรเตอร์อยู่ไม่ใช่รึไง”

                ซีลอร์ดคงจะบอกเธอทั้งหมด ทั้งที่อยู่ของพวกเขาแล้วก็เป้าหมายในตอนนี้ด้วย

                ซีเซียมพูด

                “แล้วไง เธอรู้มันอยู่แล้วนี่เห็นโพแทสเซียมบอกว่าไปรีดมาจากพวกเทวทูตแล้วคิดจะบอกพวกฉันรึไง”

                “ก็ใช่น่ะสิ”

                “อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลยเธอมีแผนอะไรกันแน่”

                “เปล่าเลยเพราะรู้เนี่ยแหละถึงได้รู้ด้วยว่าถ้าฉันไม่ช่วยพวกนายก็ไม่มีทางไปถึงที่นั่นได้ทันเวลาแน่เพราะเทอร์มินัลอยู่ที่แชงกรีลา”

                “ว่าไงนะ!”

                “เดี๋ยวก่อนซีเซียม”

                อิงศรปรามราชครูไว้ ทันทีหลังจากได้ยินว่าสถานที่ตั้งของเทอร์มินัลบาเบลที่พวกเขาหากันอยู่นั้นอยู่ที่ แชงกรีลา

                “แชงกรีลา เนี่ยมันเกือบจะหลุดออกจากจีนอยู่แล้วนะ”

                เพราะแบบนั้นเลยทำให้หาไม่เจอมาตลอดอย่างนั้นรึเปล่า การที่พิกัดของสถานที่เหลื่อมล้ำกับข้อมูลที่ได้จากซีเซียมซึ่งบอกว่า เทอร์มินัลตั้งอยู่ที่ไหนซักแห่งในประเทศจีน อย่างหมิ่นเหม่แบบนี้มีความเป็นไปได้ว่าหล่อนจะโกหก

                “ที่หากันในจีนจนวุ่นไปหมดนั่นเพราะเดิมทีมันเป็นข้อมูลจากบันทึกเก่าแก่ตั้งนานนมแล้วน่ะสิ ภูมิประเทศกับการปกครองมันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วย”

                “เดี๋ยวสิ ไม่ใช่ว่ามนุษย์ต่างดาวเพิ่งเดินทางมาที่โลกในยุคสมัยปัจจุบันหรอกเหรอ”

                พอถามไปแบบนั้นรูบิเดียมก็ตั้งท่าชันคางราวกับชั่งใจอยู่ แล้วหล่อนก็พูดออกมา

                “ก่อนจะร่วมมือกันคงต้องเคลียกันให้ชัดๆ ก่อนสินะ งั้นไหนลองบอกหน่อยสิว่านายคิดว่ามนุษย์ต่างดาวมาจากที่ไหน”

                ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงชวนคุยเรื่องนั้นแต่อิงศรก็ตอบไปตามตรง ตอบโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากโดโกบาร์

                “กำเนิดขึ้นจากแอดมินิสเทรเตอร์โซลาริสบนสวนแห่งที่หนึ่ง”

                “แล้วสวนแห่งนั้นก็ตกทับลงบนโลก นายเชื่อตามที่แพทซ์ของเกมเขียนจริงๆ สินะ มันก็ถูกอยู่หรอกแต่ต้องมองในแง่มุมที่แตกต่างจากมุมมองของศาสนาซักหน่อย สวนแห่งที่หนึ่งไม่ใช่สวรรค์ที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วก็ไม่ใช่ดาวดวงอื่นด้วยแต่เป็นโลกคู่ขนาน”

                นั่นปะไร... อิงศรเบ้หน้าให้กับคำตอบของรูบิเดียม

                ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เพิ่งจะเผชิญหน้ากับตัวตนที่มาจากโลกคู่ขนานแล้วตอนนี้ก็จะได้รู้ที่มาของมนุษย์ต่างดาวพร้อมกับตอบคำถามเรื่องที่กำลังคิดอยู่พอดีอีก

                รูบิเดียมถาม

                 “แล้วรู้ไหมว่าฉันสร้างมนุษย์ต่างดาวได้ยังไงแล้วทำยังไงให้ตัวเองกับมิ่งขวัญกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว”

                “…”

                พอถามคำถามแบบนั้นมาหล่อนก็ชายตามองไปที่มิ่งขวัญ อิงศรเหลือบสายตาตามไปก็เห็นขวัญทำหน้าเหมือนจะโมโห

                “อย่ามาสะกิดจุดผิดที่ผิดทางรีบๆ พูดมา”

                เขาพูดแบบนั้นเพื่อให้การสนทนาดำเนินต่อ รูบิเดียมจึงกล่าวต่อว่า

                “แอดมินิสเทรเตอร์สร้างมนุษย์ต่างดาวโดยสร้างโลกแห่งความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วดึงความเป็นไปได้ในอนาคตมาสร้างเป็นร่างเนื้อฉันเองก็ทำคล้ายๆ กันแต่เอาดีเอ็นเอของมนุษย์ต่างดาวมาทำโคลนนิ่งแทน”

                ดูเหมือนหล่อนจะอยากพูดเปรียบเปรยเรื่องที่เหมือนกับหลุดจากนิยายกับเรื่องของวิทยาศาสตร์เพื่อให้พวกเขาทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

                ถึงมันจะไม่มีประโยชน์กับเจ้าพวกที่ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้างหลังเขาก็ตามที

                แต่เรื่องที่รูบิเดียมพูดมามีส่วนที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ฟังแล้วการกำเนิดมนุษย์ต่างดาวที่ฟังจากปากคนเคยเป็นมนุษย์มาก่อนดูจะเข้าใจได้ง่ายกว่าที่ฟังจากพวกเครื่องทำสวนเสียอีก เพียงแต่

                “รู้สึกวันนี้จะรีบยื่นหมูให้จังเลยนะทางนี้ยังไม่ทันยื่นแมวเลย อีแบบนี้คงไม่ใช่ว่าเป็นละครตบตากันหรอกนะ”

                โดยรวมแล้วเขายังไม่เชื่อคำพูดของรูบิเดียมเสียทั้งหมด ที่ผ่านมาในการเผชิญหน้ากับหล่อนที่เป็นทั้งสีดาก็ดี ทั้งกุมภาก็ดี บทบาทสมมติของหล่อนล้วนแล้วแต่หลอกปั่นหัวเขามาโดยตลอด

                เพราะหล่อนมิ่งขวัญถึงต้องกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว พวกฟูถูกอารย-สนธยาจับตัวกลับไปใช้งาน

                แล้วก็เพราะหล่อนที่ทำมีนาเกือบตายในเครื่องทำสวน บังคับขู่เข็นให้เมษามาฆ่าเขาโดยใช้มีนาเป็นตัวประกัน มีแต่เรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้ทั้งนั้น

                “...”

                แล้วนางมารร้ายตรงหน้าก็กำลังปั้นหน้าลำบากใจอยู่หลังแว่นกันแดด

                นั่นก็เป็นละครด้วยรึเปล่า

                จำเป็นต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากถึงจะเหมือนเป็นฝ่ายถูกขอร้องอยู่แต่รูบิเดียมก็กุมไพ่เหนือกว่า    ฝ่ายนั้นรู้ตำแหน่งเป้าหมายของพวกเขาแล้วก็บอกมาแล้วแต่นั่นมันเชื่อไม่ได้ แล้วถึงจะเชื่อตามนั้นแต่ด้วยพลังของพวกเขาในตอนนี้ไม่มีทางไปถึงแชงกรีลาทันภายใน 20 วันที่เหลือแน่

                หลังจากนิ่งเงียบมาซักพักรูบิเดียมก็เริ่มพูด

                “เพราะว่าทางนี้สูญเสียแฟรนเซียมไปแล้ว”

                นึกแล้วเชียว...แน่นอนว่าคำตอบนั้นอิงศรพอจะเดาได้ตั้งแต่แรก แต่ปัญหาคือทำไมถึงต้องประนีประนอมกับพวกเขาด้วย นั่นต่างหากที่อยากจะถาม

                “แล้วทำไมต้องเป็นพวกฉันล่ะ”

                พอถามไปรูบิเดียมก็ถอดแว่นกันแดดออกคล้ายกับจะบอกว่าจากนี้ไปเป็นเรื่องจริงหรือโกหกก็จงมองตาของเธอแล้วตัดสินใจเอาเอง

                ถึงจะตบตาเก่งขนาดไหนแต่การปล่อยจุดอ่อนให้แบบนี้ก็พอจะใช้เป็นการแสดงความจริงใจได้…

                มันก็ต้องไม่เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว…อิงศรคิด ที่ผ่านมารูบิเดียมปลอมตัวให้เห็นอยู่หลายครั้ง บางทีแม้แต่ตอนนี้ที่ใช้ร่างมนุษย์ต่างดาวมาเข้าหาก็อาจจะเป็นการปลอมตัวที่ทำให้บังคับแสดงสีหน้ากับแววตาที่ดูเหมือนคนอับจนหนทางออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

                รูบิเดียมพูดโดยที่สบตากับอิงศร

                ”พวกฉันมีที่ตั้งของบาเบลแต่ไม่มีกุญแจเมอร์คาบาห์ที่อยู่กับพวกนายก็ทำอะไรไม่ได้ หรือต่อให้แย่งชิงกุญแจจากพวกนายไปลำพังพวกฉันก็เข้าไปที่เทอร์มินัลไม่ได้อยู่ดี”

                ที่ว่าขึ้นไปไม่ได้นั่นน่ะหมายความว่ายังไง”

                “คนที่เข้าไปได้มันถูกกำหนดไว้แล้วน่ะสิ”

                รูบิเดียมถอนหายใจหลังจากพูดออกไปแล้วชี้มาที่เขา...ย้ายนิ้วไปทางมิ่งขวัญแล้วก็ไล่ไปทีละคนพร้อมกับอธิบาย

                “พวกนายทั้งสิบเอ็ดคนตรงนี้เป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์ หลักการคัดเลือกมันก็เหมือนตำแหน่งเดือนทั้งสิบสองของธุวดารกะนั่นแหละพวกเทวทูตคัดเลือกคนมาเพื่อจะทำแผนการแบบนี้ด้วย

                จำนวนสิบเอ็ดคนนั่นไม่ได้นับรวมซีเซียม โพแทสเซียม แล้วก็ลิเธียมลงไปด้วย

                อย่างนี้นี่เอง ชื่อของคนในตระกูลธุวดารกะถึงได้เป็นชื่อเดือนทั้งหมด แล้วที่เมตไตรยรวบรวมธุวดารกะทั้ง 12 คนก็เพื่อแผนการที่ว่าอย่างนั้นสินะ

                อิงศรนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเผชิญหน้าเทวทูตเป็นครั้งแรกพวกมันบอกว่าเขาคือผู้เหมาะสมกับตำแหน่ง ธันวา นั่นหมายความว่าถ้าได้เป็นธุวดารกะเขาจะอยู่ในตำแหน่งเดือนธันวาคมซึ่งตรงกับวันเกิดของตัวเอง วันที่ 31 ธันวาคม

                ถ้าอย่างคิดตามหลักการนี้มิ่งขวัญก็จะเป็นตำแหน่งเดียวกับ มกร ที่เป็นผู้นำธุวดารกะซึ่งโดนพญาอนันตนาคราชของ อารย-สนธยา ฆ่าตายไปแล้ว ส่วนมีนา กับเมษา สองคนนั้นเป็นธุวดารกะมาตั้งแต่แรก แล้วทีนี้พวกเด็กกำพร้าทั้งห้าที่อยู่ตรงนี้ซึ่งรอดมาได้เพราะอวโลกิตะชุบชีวิตกลับมาก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ด้วยล่ะมั้ง

                สาเหตุที่ว่าก็คือตัวเขา มิ่งขวัญ กวินทร์ มีนา เมษา นรินทร์ ฟู มิกซ์ พลอย เน็กส์ นิว มีแต่มนุษย์กับคนที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งสิบเอ็ดคนตรงนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปในเทอร์มินัลบาเบล

                รูบิเดียมยังคงพูดต่อไปอีก

                ”เดิมทีเป็นแผนของพวกเทวทูต ฉันกับแฟรนเซียมตั้งใจจะขโมยมันมา แผนการเดิมที่จะผ่านบาเบลขึ้นไปยังที่พำนักของแอดมินิสเทรเตอร์ โอเปอเรชั่นรูทเบรก ไงล่ะ”


    ***บทนี้จะเริ่มกล่าวถึงหัวใจสำคัญของภาคนี้แล้วก็ปมที่ผ่านมาจะเริ่มเฉลยเพื่อปูไปยังปมสุดท้ายแล้วนะครับ(เปิดมาก็เรื่องโลกคู่ขนานเลยรีดเดอร์งงตายกันพอดีเหอๆ) สำหรับเมื่อวันพุธต้องขออภัยที่ไม่ได้ลงไว้ด้วยนะครับพอดีเกิดผิดพลาดนิดหน่อยเลยต้องแก้เนื้อเรื่องกันยาวเลย พอดีไรท์เคยคิดพล็อตไว้ชุดหนึ่งแต่ตอนหลังคิดพล็อตใหม่มาแทนที่ว่าจะใช้ทิ้งพล็อตแรกแต่ตอนหยิบมาเขียนดันใช้พล็อตแรก ลำดับตัวละครที่มีอยู่ในปัจจุบันเลยสลับกันมั่วจนต้องลบทิ้งแล้วนั่งพิมพ์ใหม่อีกรอบเลยทีเดียวสำหรับส่วนนของวันพุธที่ไม่ได้ลงไปนั้นจะชดเชยให้พรุ่งนี้นะครับตอนนี้ขอไปปั่นต่อก่อนล่ะ***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×