ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #200 : Login 197: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ตอบโต้)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 225
      8
      30 ม.ค. 61

    Login 197: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ตอบโต้)

     

                ในคืนของวันเดียวกันนั่นเอง

                เสียงหอนของสุนัขดังระงมไปทั้งอาคาร

                ช่วงเวลาน่าจะเหมือนเดิม เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อคืน

                บรรยากาศน่าสะพรึงนั่นกลับมาอีกครั้ง

                อิงศรนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง แต่เขาไม่ได้หลับ

                เด็กหนุ่มมองไปยังเตียงของน้องชาย มิ่งขวัญที่นอนอยู่บนนั้นก็มองมาเหมือนกันด้วยดวงตาที่ปูดจนแทบจะถลนออกจากเบ้าและยิ้มกว้างอย่างน่าสะพรึง

                ดูแล้วมิ่งขวัญคงจะโดนอะไรเข้าจริงๆ นั่นแหละ

                แกเป็นใคร ต้องการอะไรกัน

                “…”

                เขาพยายามจะถามแบบนั้นมาซักพักแล้วแต่เสียงกลับไม่ออกจากลำคอ ร่างกายก็ขยับไม่ได้เหมือนโดนกดทับ ด้วยเหตุนั้นถึงอยากจะยืนยันเวลาให้ชัดเจนก็ทำไม่ได้

                พอหันไปดูว่ามีอะไรที่วางอยู่บนหน้าก็มองเห็นแต่เงาตะคุ่มที่ดูไม่รู้ว่าเป็นอะไร

                แล้วเมื่อเสียงหอนทวีความดังของมัน นั่นก็เป็นเหมือนสัญญาณออกตัวของมิ่งขวัญ

                คืนนี้พวกมันก็จะพาขวัญออกไปอีกอย่างนั้นหรือ

                ไม่ยอมหรอก อย่ามายุ่งกับน้องฉันนะเว้ย

                “…”

                แต่ไม่มีเสียงดังออกมา แม้ว่าความโกรธจะคุกรุ่นอยู่ในอกจนล้นปรี่ก็ตาม แต่ร่างกายนั้นไม่อาจขยับได้ตามใจสั่ง

                มิ่งขวัญเริ่มเคลื่อนไหว หมอนั่นลุกจากเตียงแล้วเดินกระทืบเท้าจนพื้นส่งเสียงดัง ตึงๆๆๆ

                โธ่เว้ย! ขยับสิ แค่แขนก็ยังดี ขยับเซ่!

                อิงศรได้แต่คำรามอยู่ในใจ ได้แต่มองมิ่งขวัญที่ส่งยิ้มน่าสะพรึงนั่นหายลับไปจากสายตา

                ได้ยินเสียงประตูถูกลากเปิดออก

                ไปแล้ว

                มิ่งขวัญออกไปแล้ว

                ทันใดนั้นเอง…

                ทันทีหลังจากที่มิ่งขวัญออกไปแล้วความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                รู้สึกอ่อนล้าราวกับถูกสูบเอาพลังชีวิตไป

                แล้วตอนนั้นเองนั่นแหละ ที่ร่างกายของผู้ถือครองปีศาจถูกกล้ำกราย นั่นคือสัญญาณออกตัวของทางนี้เหมือนกัน

                “….”

                อิงศรจ้องมองเงาตะคุ่มที่นั่งทับอยู่บนหน้าออกของตนแล้วหลับตาลงให้เหมือนกับว่ากำลังจะหลับไปนั่นเอง

                “เฮ้ย! กล้าดีนี่หว่า!”

                เด็กหนุ่มตวาดลั่น เงานั้นถึงกับสะดุ้งจนน้ำหนักที่เคยกดทับหน้าอกไว้หายไปแวบหนึ่ง แต่ก็กลับมาหนักอีก อย่างไรก็ตาม น้ำหนักที่กดทับจะหนักกี่กิโลหรือกี่ตันก็ไม่หวั่นอยู่แล้วเพราะตอนนี้…

                “ไสหัวออกไปจากตัวคนทำสัญญาของข้าซะไอ้สวะอสูรชั้นต่ำ!”

                อิงศรกระแทกเสียงตวาดอย่างดุดัน บุคลิกภาพพลิกผันไปอย่างมากเพราะตัวเขาในตอนนี้

                มีเขาสีดำผุดงอกขึ้นมาบนหน้าผาก

                มีลวดลายสีแดงก่ำราวกับเลือดพาดผ่านดวงตาจนดูเหมือนเขี้ยวสัตว์

                ในปากมีเขี้ยวงอกออกมา ใช่แล้วล่ะ…

                อิงศรในตอนนี้

                ตัวเขาในตอนนี้

                …ได้กลายเป็นดั่งปีศาจไปอีกครั้ง

                “ไอ้สวะที่เป็นไม่ได้แม้แต่อสุราอย่างแกมันต้องเจอกับข้า!”

                อิงศรไม่ได้แค่ตวาดแต่คราวนี้ยื่นมือออกไปคว้าลำคอของสิ่งนั้น ตอนนี้เขาขยับตัวได้แล้วเพราะพลังของปีศาจ พลังของเอลิกอร์กำลังแล่นไปทั่วทั้งร่างกายแล้วชิงเอาการควบคุมกลับคืนมา

                อิงศรจับเงานั่นเหวี่ยงไปกระแทกผนังดังโครม

                ผนังห้องยุบตัวแล้วเงานั้นก็ถูกฝังลงไปในกำแพง

                เงานั่นอ้าปากจนเห็นฟันขาวและกรีดร้องด้วยเสียงของผู้หญิง

                “กรี้ดดด!!!”

                เสียงกรีดร้องดังลั่นจนอาจทำให้คนธรรมดาหมดสติได้ เหมือนเสียงกรีดร้องของต้นแมนดราโกร่าในนิทานปรัมปรา

     

    ***แมนดราโกร่า - พืชเวทมนต์ที่มีรากเหมือนรูปร่างมนุษย์ เมื่อถอนขึ้นมาจากดินรากของมันจะส่งเสียงกรีดร้องที่ทำให้ผู้ฟังหมดสติหรืออาจจะถึงชีวิต***

     

                แต่ที่นี่ไม่มีคนธรรมดาอยู่เลยซักคน โลกเบื้องหลังการล่มสลายคือโลกที่มนุษย์จะอยู่เหนือเทพและมารได้ด้วยการก้าวเดินไปข้างหน้า โลกที่มนุษย์ไขว่คว้ายุคสมัยของตัวเองยอมได้กระทั่งทรยศพระเจ้า

                “เฮอะ ส่งเสียงวี้ดว้ายน่ารำคาญอยู่ได้”

                อิงศรพูดแล้วกระโดดจากเตียงทีเดียวไปถึงผนังห้อง จิกหัวเงาปริศนาออกมาจากกำแพงแล้วทุ่มมันลงพื้นอย่างรุนแรง พื้นส่งเสียงปริร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เอลิกอร์น่าจะออมแรงเอาไว้เพราะไม่อย่างนั้นแล้วพื้นคงจะทะลุลงไปถึงชั้นล่าง

                เงานั่น…

                เป็นผู้หญิง…

                ที่จริงมันแค่มีรูปร่างให้พอเรียกแบบนั้นได้ มันอึมทึมเกินกว่าจะมองอย่างชัดเจนได้ว่าเป็นตัวอะไร ต่อให้ในห้องจะมืดแค่ไหนสายตาที่ได้รับพลังจากปีศาจก็ไม่น่าจะมองไม่ออกถ้าอย่างนั้นความอึมครึมนี่ก็เป็นพลังสำหรับปกปิดตัวตนของมัน

                “นี่มันตัวอะไรกัน”

                อิงศรถามเอลิกอร์ที่อยู่ในร่าง ถึงก่อนหน้านี้เอลิกอร์จะพูดด้วยเสียงของตนมาแล้วว่าสิ่งนี้คือ…

                อสูร’

                สวะที่เป็นไม่ได้แม้แต่อสุรา’

                มันทำให้นึกถึงเรื่องที่ฟังจากซีเซียมเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา

                พงศาวดารแห่งเทวสุรสงคราม’ การต่อสู้ระหว่างอสุรากับเทวะ

                เอลิกอร์พูดผ่านปากของเขา

                ก็พอรู้เรื่องมาบ้างเหมือนกันนี่อิงศร อย่างที่แกกำลังคิดนั่นแหละเจ้านี่คือเศษเสี้ยวจากสงครามในครั้งอดีตกาลนั่นเศษเสี้ยวของอสูรมังกรเทวะนั่นตกลงมาที่สวนแห่งนี้แล้วมนุษย์โง่เง่าจอมโลภมากอย่างพวกแกก็เรียกมันว่าไสยศาสตร์รึไงนี่แหละ”

                ดูเหมือนเอลิกอร์จะแชร์ความทรงจำร่วมกันกับเขาหลังจากสั่งให้ทำงานดังนั้นจึงอธิบายออกมาในแบบที่ทำความเข้าใจได้เพราะเอลิกอร์เองก็มีระดับความเข้าใจเดียวกับตัวเองด้วย

                แต่ว่า…

                งั้นไอ้เจ้านี่ก็คือผีหรือไม่ก็พวกเล่นของแล้วตายแบบที่มีนาบอกสินะ”

                เออ”

                พวกเขาแลกเปลี่ยนบทสนทนากันจากภายในร่างของตัวเองจนเหมือนกับพูดอยู่คนเดียว

                ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของอสูรที่ชักดิ้นชักงอกระเสือกกระสนให้หลุดจากมือของเขา

                แต่พลังของอสูรนั้นเทียบไม่ได้กับปีศาจเลย แม้จะดิ้นเป็นปลาเกยตื้นถึงขนาดนั้นแต่มือของอิงศรก็ยังคงกดคอของอีกฝ่ายกดติดพื้นได้อย่างสบายๆ แม้จะถูกเตะถูกถีบก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บคันเลยซักนิดเดียว

                หืม”

                ตอนนั้นเองที่อิงศรรู้สึกได้ง่าร่างกายหนักขึ้นมาเล็กน้อยแล้วก็เหมือนมีใครกำลังดึงแขนอยู่

                เมื่อหันไปมองก็เจอกับเด็กและผู้หญิงวัยรุ่นแต่งตัวย้อนยุคแบบไทยโบราณ เด็กผมจุกไม่ใส่เสื้อนุ่งโจงกระเบนนั่งอยู่บนหลังของเขา กับ ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงดึงแขนข้างที่กำลังจับคอ อสูร ไว้

                ผู้หญิงสั่ง

                มึงปล่อยนายกูเดี๋ยวนี้”

                ผู้หญิงซึ่งมีใบหน้าซีดขาวราวกับมนุษย์ต่างดาวแต่สัมผัสอันชั่วร้ายที่เปล่งออกมานั้นทำให้รู้ว่าไม่ใช่

                ผู้หญิงคนนี้

                เด็กชายที่กำลังนั่งอยู่บนหลัง

                พวกนี้ก็เป็น อสูรเหมือนกัน

                “จะสั่งปีศาจมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะนังผู้หญิง

                เอลิกอร์คำรามแล้วใช้อีกมือที่ยังว่างคว้าหัวเด็กชายที่นั่งทับหลังตนทุ่มลงพื้นก่อนจะบีบขยี้จนแหลกเละแล้วเปลี่ยนไปจิกหัวผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ ทั้งหมดใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที รวดเร็วจน อสูร เองก็ตามไม่ทันความเร็วนั้น

                เอลิกอร์อ้าปากซึ่งมีเขี้ยวแหลมคมที่งอกขึ้นมาด้วยพลังที่ให้อิงศรยืมแล้วฝังคมเขี้ยวลงในลำคอของผู้หญิง

                อะ...

                ผู้หญิงร้องครางอย่างทรมาน สัมผัสที่ปากกำลังสูบเอาของเหลวเข้ามา ของเหลวที่มีกลิ่นเหมือนโลหะ

                เลือด...เอลิกอร์กำลังบังคับให้เขาดื่มเลือด

                ทว่า ดื่มไปได้เพียงอึกเดียวเอลิกอร์ก็โยนผู้หญิงคนนั้นตัวลอยไปกระแทกกำแพงห้องและไถลลงมากองกับพื้น พลางพ่นเลือดที่สูบมาทิ้ง

                เลือดของพวกสวะนี่มันไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ

                แต่เลือดที่ลงคอไปหน่อยก็ทำให้อิงศรสำลัก

                แค่ก แค่ก นี่นายกินเลือดด้วยเหรอเป็นแวมไพร์แบบมิกซ์รึไง

                เอลิกอร์หัวเราะ

                ฮะฮะฮะ คิดว่าปีศาจกินเนื้อหมูเนื้อวัวแบบพวกเจ้ารึไงกันอิงศรเครื่องสังเวยในสมัยโบราณเขาก็เอาเลือดสดๆ เซ่นปีศาจกันทั้งนั้นแต่เลือดของพวกอสูรเนี่ยบอกตามตรงเลยว่าเพิ่งเคยได้ลิ้มลองปกติพวกนี้กินแต่ของดิบๆ ของเน่าๆ เลือดก็เลยไม่อร่อยไปด้วย น่าเสียดายนะว่าให้เจ้าได้รู้จักดื่มด่ำกับความรื่นรมย์แบบขุนนางปีศาจดูบ้างจะได้เลิกยึดติดกับความเป็นมนุษย์เสียที

                ในคำพูดนั้นมีเจตจำนงแฝงมาอย่างเห็นได้ชัด เอลิกอร์ยังไม่ได้เลิกคิดที่จะยึดครองร่างกายของเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้คงต้องพึ่งพาหมอนี่ไปก่อน

                ช่วงนั้นเองที่ร่างกายของอสูรเด็กซึ่งโดนบีบหัวเละไปเริ่มระเหยเป็นไอควันจนกระทั่งหายไปทั้งหมด บางทีคงจะเป็นรูปแบบการตายของ อสูร

                อสูรผู้หญิงที่โดนเหวี่ยงไปกระแทกผนังห้องนั่นก็เหมือนกัน ท่าทางว่าเอลิกอร์จะไม่ได้ยั้งมือในคราวนั้นผนังจึงมีคราบเลือดที่ออกมาจากร่างของอสูรเปรอะติดเป็นทางยาวจนถึงพื้นที่มันลงไปกอง

                ร่างกายของอสูรตนนั้นก็เริ่มการระเหยจนกระทั่งหายไปเช่นกัน

                ตอนนี้จึงเหลืออสูรอีกเพียงตนเดียว อสูรที่ถูกตนกำลำคอเอาไว้ยังคงดิ้นพล่านและส่งเสียงกรี้ดร้องไม่หยุด

                น่าแปลก ที่ไม่มีใครตื่นขึ้นมาหรือมีเสียงของปฏิกิริยาตอบรับจากภายนอก มีเพียงเสียงหอนของสุนัขยังดังประสานกับเสียงกรีดร้องนี้เท่านั้นราวกับว่าภายในห้องเป็นมิติที่ตัดแยกจากโลกภายนอกไปเลย

                จะว่าไปก็ไม่ใช่เวลามัวมาอ้อยอิ่งแล้วต้องไล่ตามมิ่งขวัญไป

                อิงศรคิดแบบนั้นแล้วลงมือบีบคอของอสูร บีบจนกระทั่งเสียงกรีดร้องหยุดไป

                แล้วเอลิกอร์ก็พูดขึ้นว่า

                อ้าว ไม่คำนึงเรื่องมนุษยธรรมไร้สาระอะไรนั่นแล้วเรอะเจ้านี่ถึงจะตายแล้วแต่ก็เคยเป็นมนุษย์นะ

                ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอสูรเคยเป็นมนุษย์แต่ว่า...

                เอาเถอะแค่คิดว่าบีบคอจนหยุดร้องแล้วจะฆ่าอสูรได้แกมันก็ยังเป็นไอ้หนูอ่อนหัดอยู่ดีแหละอิงศร

                สิ้นคำเอลิกอร์ก็เป็นช่วงเดียวกับที่เขาผ่อนแรงที่มือพอดี

                อสูรก็ฉวยมือเข้ามาจับลำคอของเขา

                มึงตาย!!”

                คำพูดสบถที่ค่อนข้างหยาบแต่ก็เป็นคำพูดแบบโบราณสุดแสนจะคลาสสิกที่เห็นได้จากละครหลังข่าวเกี่ยวกับความแค้นของวิญญาณอาฆาตอะไรทำนองนั้น

                ซึ่งเอลิกอร์ไม่ไดแยแสมันเลยซักนิดแล้วปล่อยหมัดอีกข้างกระแทกใส่หน้าอสูรจนยุบลงไป หมัดไม่ได้หยุดแค่ต่อยหน้ายุบเท่านั้นแต่ส่งร่างทั้งร่างของอสูรทะลุพื้นลงไปสองชั้นซึ่งห้องข้างล่างนี้ถ้าจำไม่ผิด

                ซวยละนั่นมันห้องเจ้าซีเซียม...

                แต่ไม่ทันแล้ว เขาไม่สามารถหยุดมือที่ปีศาจเป็นคนปล่อยหมัดออกไปได้อีกแล้ว

                อสูรทะลุลงไปข้างล่างพร้อมกับพื้นห้อง

                อิงศรกระโดดถอยออกมาเพราะพื้นตรงนั้นเริ่มพังทลายตามๆ กันจนกลายเป็นหลุมกว้าง

                เมื่อเดินกลับมาดูโดยก้มมองผ่านหลุมที่พื้นก็มองเห็นร่างของอสูรกำลังระเหยเป็นไอ

                ...และซีเซียมที่นอนอยู่ห้องข้างล่างโดนเศษปูนจากพื้นที่พังลงไปรวมกันสองชั้นกลบฝังอยู่บนเตียง

                โดนเข้าไปขนาดนั้นแล้วยังไม่ตื่นก็คงจะสลบไปกระมัง เพราะอย่างไรเสียมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก

                ต้องรีบตามขวัญไปก่อนเร็วเถอะเอลิกอร์

                อิงศรผละจากหลุมไปที่ประตูห้องซึ่งเปิดค้างไว้อยู่แล้วพุ่งออกไปถึงระเบียงในอึดใจเดียว

                แต่ไม่ว่าจะมองหาตรงไหนก็ไม่เจอขวัญ

                อิงศรเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจ

                ชิ ไปไหนกันนะ

     

                @@@

     

                บนชั้นห้า

                ภายในห้องนอนของพวกผู้หญิง

                มีนา พลอย นิว ทั้งสามนอนรวมกันอยู่ในห้องนี้โดยแบ่งให้นิวกับพลอยนอนเตียงเดียวกัน ส่วนตัวมีนานั้นนอนเดี่ยวอยู่เตียง

                ตั้งแต่ที่กลับเข้าห้องมามีนาก็ยังไม่ได้นอนเลยซักงีบเดียว

                เธอเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ แต่สาเหตุที่เป็นกังวลนั้นระบุไม่ได้รู้เพียงแค่ว่าบรรยากาศน่าอึดอัดจนไม่อยากจะนอน

                หลังจากเปิดหน้าจอเช็คเวลาล่าสุดก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว

                ข้างนอกนั้นเงียบสงัดจนน่าอึดอัด กระทั่งเสียงของฝนก็ไม่ได้ยินแล้ว ฝนที่ตกลงมาทั้งวันดูเหมือนจะหยุดลงไปแล้ว

                มีนานอนกลิ้งไปมาอยู่อีกพักใหญ่จนเริ่มจะรู้สึกง่วง....

                ปึง ปึง ปึง!

                กลับมีเสียงเคาะประตูดังตึงตัง

                มีนากระเด้งตัวลุกจากเตียงทันที

                เฮ้ เปิดประตูหน่อย

                เสียงของอิงศรดังข้ามประตูห้องนอนมา

                มีอะไรหรือคะคุณอิงศร

                เปิดประตูให้หน่อย

                อิงศรตอบกลับมาแล้วยิ่งเคาะประตูเสียงดังขึ้น

                ปึง ปึง ปึง ปึง !!

                คงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างที่สังหรณ์เอาไว้

                มีนาเดินไปที่ประตูแล้ววางมือลงบนลูกบิดแต่ยังไม่หมุนมัน

                เปิดประตูให้หน่อย

                อิงศรเร่งมาอีก

                คุณอิงศรคะรหัสค่ะ

                ถึงเสียงข้างนอกจะเป็นอิงศรแต่ก็รู้แปลกๆ อิงศรที่เอาแต่เคาะประตูตึงตังแล้วพูดแค่ว่าเปิดประตูให้เพียงท่าเดียวมันไม่น่าจะเป็นไปได้ต่อให้รีบร้อนแค่ไหนก็เถอะ

                เปิดประตูให้ทีนี่ฉันเองนะ

                รหัสค่าคุณอิงศร

                แต่อิงศรก็ไม่ยอมพูดรหัสลับที่ตกลงกันไว้มาเสียทีแต่กลับยิ่งเคาะประตูหนักขึ้นจนบานพับถึงกับขยับ

                เปิดประตูให้หน่อย

                น่ากลัวว่าประตูจะพังเอาซะก่อนแต่จะชักช้าไปกว่านี้ก็ไม่ได้แล้วเกิดอีกฝ่ายเป็นตัวจริงที่มีเรื่องรีบด่วนขึ้นมาจนลืมกระทั่งรหัสลับหรือไม่อยู่ในสภาพที่จะพูดรหัสลับได้ล่ะ

                ไม่เปิดให้คงจะไม่ได้แล้ว...เมื่อคิดได้แบบนั้นมีนาก็เปิดคลังออกมาแล้วชักเอาเคียวออกมาถือเตรียมพร้อมไว้

                เข้าใจแล้วค่ะจะเปิดให้นะคะ

                พอพูดไปแบบนั้นเสียงจากอีกฟากก็เงียบลง

                ...

                มีนากลืนน้ำลายให้ใจเย็นลงแล้วจึงเปิดประตู

                คุณอิงศร

                ข้างนอกนั้นอิงศรในชุดนอนเสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้าขาสั้นสีดำยืนรออยู่ในสภาพเหงื่อตัวท่วมและหอบอย่างอิดโรย

                ไปทำอะไรมาคะน่ะ

                ทีแรกมีนาตกใจกับสภาพของอิงศรแต่พอสังเกตบริเวณรอบๆ ที่น่าจะเป้นระเบียงของชั้นห้าแต่มันกลับกลายเป็นป่าดงดิบที่มืดทึบไปแทน

                อะไรกันน่ะ

                ทันทีที่พูดออกไปก็รู้สึกตัวได้ว่าบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

                ประตูห้องที่จับเอาไว้หายไป

                เคียวที่ถือไว้ก็เช่นกัน

                ห้องที่เคยมีอยู่ก็กลายเป็นป่าไปด้วย ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นป่าบนเกาะเพราะมองเห็นเงาของน้ำทะเลที่สะท้อนแสงจากพระจันทร์อยู่ลิบๆ

                พวกเราถูกอะไรก็ไม่รู้เล่นงานเข้าแล้วล่ะเมื่อกี้ที่ห้องฉันพอตื่นมาก็เป็นแบบนี้แล้ว

                อิงศรอธิบายเร็วๆ แล้วจับมือเธอ

                รีบไปกันเถอะ

                ไปไหนล่ะคะ

                กลับไปที่พักไง

                อิงศรไม่รอฟังคำตอบก็ลากกึ่งจูงออกไปทันที

                มีนายอมเดินตามไปก่อนเพราะยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งเส้นทางในป่าที่เฉอะแฉะไปด้วยน้ำฝนทำให้เดินลำบากกว่าปกติ

                รอเดี๋ยวค่ะคุณอิงศรช้าลงหน่อยค่ะฉันวิ่งไม่ไหวค่ะ

                แต่อิงศรไม่หยุดยังคงวิ่งลากเธอต่อไปเรื่อยๆ

                เส้นทางในป่าเองก็ดูวกวนกว่าเมื่อวานที่เข้ามาสำรวจ แลมองไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่ายิ่งเดินพวกเขาก็ยิ่งห่างออกจากชายหาดที่เป็นทางกลับไปอาคารที่พัก กลับกันยิ่งถลำลึกเข้าไปในป่าแทน

                เดี๋ยวสิคะคุณอิงศรที่พักมันไม่ได้ไปทางนี้ไม่ใช่เหรอคะ

                “….”

                “คุณอิงศร!”

                แต่อิงศรที่ลากจูงเธออยู่ไม่ยอมตอบเลยซักคำ มีนาจึงหยุดวิ่งแล้วพยายามจะดึงอิงศรไว้แต่กลับสู้แรงไม่ได้และถูกลากให้วิ่งต่อ

                อะไรกัน แกเป็นใครกันแน่ไม่ใช่คุณอิงศรสินะ

                ถึงจะถามไปอีกฝ่ายก็ไม่ตอบ

                มีนาถูกจูงให้วิ่งลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มเดินง่ายขึ้นไม่มีพุ่มไม้หรืออะไรกีดขวางเหมือนตอนแรกรวมถึงเริ่มจะมืดลงจนแทบมองไม่เห็นทาง

                จมูกได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ โชยมา

                กลิ่นซากศพหรืออะไรบางอย่างที่ตายแล้วจนส่งกลิ่นฉุน

                มีนายกมือขึ้นปิดจมูกเพราะทนไม่ไหว เธอพยายามหยุดอิงศรอีกครั้ง

                แต่ไม่ได้ผลคราวนี้เธอถูกดึงจนเสียหลักล้มแล้วโดนลากต่อไปทั้งแบบนั้น

                อ๊า~ หยุดนะ

                มีนากรีดร้องแต่เธอก็ยังโดนลากไปเรื่อยๆ

                อากาศเริ่มเย็นลง เย็นจนขนลุกชัน

                มีนายังคงถูกลากถูลู่ถูกังไปกับพื้นโดยที่แทบจะต่อต้านไม่ได้

                แต่หล่อนก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

                เวตาลปัญจวิงศติ!”

                เกิดเสียงดัง ฟุ่บ

                อึดใจต่อมาทั้งเธอทั้งอิงศรก็กลับมาอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน

                อิงศรที่ยังจูงมือเธอพยายายามจะลากเธอไปอีก แต่ตอนนี้ในมือเธอมีเคียวอยู่

                เลิกเล่นกันแค่นี้แหละ ลีลีสสเตท! เวตาล!!”

                แล้วเหวี่ยงเคียวใส่อิงศร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×