คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #193 : Login 190: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (หลอกหลอน)
Login
190: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (หลอกหลอน)
เมื่อกลับมาที่ชายหาด
ตรงจุดที่พวกเขาก่อกองไฟไว้เหมือนเพิ่งโดนพายุถล่ม
ข้าวของล้มระเนระนาดแถมกองไฟยังโดนทำลายจนไฟเกือบจะมอดอยู่แล้ว
ตอนที่กลับมาก็ไม่พบพวกซีเซียมที่น่าจะเฝ้ากองไฟไว้หรือว่าบางที
“เจ้าพวกนั้นเจออะไรเข้ารึไง”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงจะมีศัตรูอยู่บนเกาะจริงๆ
แล้วก็ร้ายกาจขนาดจัดการกับราชครูมนุษย์ต่างดาวถึงสามตนได้
แต่แล้ว
ความกังวลนั้นก็คลายออกเมื่อซีเซียมกับราชครูตนอื่นเดินกลับมาจากอีกฟากของชายหาด
“พวกนายไปไหนมาไม่ได้เฝ้ากองไฟไว้เรอะ”
ซีเซียมที่เดินมาถึงก่อนพอเห็นสภาพของกองไฟก็ตีสีหน้างุนงง
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“นั่นน่ะทางนี้อยากจะถามมากว่าแล้วพวกนายไปไหนกันมา”
“เห็นเงาน่าสงสัยอยู่ทางโน้นเลยไล่ตามไป”
“แล้วปล่อยให้หนีไปได้เรอะ”
“มันหายไปตอนที่พวกเราไปถึงแค่พริบตาเดียวเองด้วย”
ถึงกับหลบหนีจากการไล่ล่าของราชครูสามตนแถมหนึ่งในนั้นยังมีลิเธียมที่ว่ากันว่าว่องไวที่สุดในบรรดาราชครูทั้งหมดอยู่ด้วย
“แล้วนายล่ะเจ้าหัวสตอร์เบอรี่เร็วๆ
อย่างนายน่าจะไล่ตามไปคนแรกเลยใช่ไหม”
ซีเซียมพยักหน้าและดูจะไม่มีปฏิกิริยากับการที่ถูกเขาเรียกว่าเจ้าหัวสตอร์เบอรี่
“ใช่
ไปถึงคนก่อนพวกท่านลำดับที่สองกับสี่แต่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย
แวบหนึ่งก่อนจะเข้าไปถึงเหมือนกับว่ามันสลายไปกลางอากาศเลย”
“สลายไป
หมายถึงหายตัวได้น่ะเหรอ”
“ก็อาจจะใช่”
ตอนนั้นเองโพแทสเซียมก็ยื่นหน้าเข้ามาสอดการสนทนา
“แต่พอกระผมตามไปถึงก็ลองใช้สกิลตรวจสอบดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อนเลยล่ะ
น่ากลัวเอาเรื่องเลยนะเนี่ย”
ระดับโพแทสเซียมที่เป็นสายอาชีพเดียวกันแถมยังมีความสามารถกลบเกลื่อนร่องรอยได้อย่างแนบเนียนจนเขายังหาไม่พบถึงกับพูดว่าหาวี่แววไม่เจอ
อีกฝ่ายร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียว
แล้วทีนี้เมษาก็พูดเรื่องน่าขันออกมา
“ไม่ใช่ว่าพวกนายตาฝาดกันหรอกนะ”
มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกตาฝาดพร้อมกันสามคนแถมยังเป็นมนุษย์ต่างดาวที่สมรรถนะร่างกายสูงมีสายตาที่ดีเยี่ยมมันไม่มีทางตาฝาดไปได้หรอก
“ไม่หรอก
มีคนอื่นอยู่ที่นี่จริงๆ บนเกาะนี้น่ะ”
“งั้นคนร้ายก็อยู่ในหมู่พวกเราเหรอคะ”
มีนาหัวเราะหลังจากพูดมุกตลกฝืดๆ
ออกมา
“ไม่ใช่เรื่องแนวสืบสวนแบบในนักสืบคอยนานซะหน่อย”
“ก็แค่เปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้น่ากลัวเกินไปน่ะค่ะแล้วตกลงว่ารู้รึยังว่าคนๆ
นั้นเป็นใครกันล่ะคะ”
อิงศรส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ
แต่ว่า”
แล้วหันไปทางซีเซียม
“นายน่าน่าจะรู้ใช่ไหมก็คนเลือกสถานที่ลี้ภัยมาที่นี่มันคือนายนี่”
แต่ซีเซียมก็ปฏิเสธ
“จะไปรู้เรอะแค่สุ่มมาที่นี่เพราะมันโลเคชั่นดีเท่านั้นแหละหาอาหารง่ายพาเวลได้มีที่พักแถมห่างไกลจากความว่างเปล่าที่กำลังกัดกินโลกฉันก็แค่หาสถานที่ดีๆ
แบบนั้นไม่ได้ง่ายๆ นี่หว่า”
“งั้นก็ไม่รู้เรื่องที่มีศาลเล่นของตั้งอยู่ในป่าด้วยเหรอ”
“ศาล? พูดเรื่องอะไรของแกวะ”
สรุปก็คือแม้แต่หมอนี่ก็ไม่รู้เรื่อง
“ช่างเถอะ
ว่าแต่เห็นขวัญบ้างไหมเจ้านั่นหนีออกมาก่อนพวกเราจะมาน่ะ”
“รากเหง้าของแบเรียมน่ะเหรอเห็นหลังแวบๆ
ตอนที่ไล่ตามเงาปริศนาน่ะคงจะกลับที่พักไปแล้วมั้ง”
อิงศรลองตรวจสอบจากหน้าจอติดตามก็ขึ้นสัญญาณของมิ่งขวัญกำลังกลับเข้ารีสอร์ทไป
ถ้าอย่างนั้นก็วางใจได้
อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกแต่สภาพของมิ่งขวัญไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
มีนาพูด
“ว่าแต่อะไรทำให้กองไฟกับเตาย่างล้มระเนระนาดได้ขนาดนี้กันล่ะคะเนี่ย”
เมษาแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดว่า
“อาจจะโดนลมพัดก็ได้มั้ง
ลมเริ่มพัดแรงขึ้นแล้วนี่พรุ่งนี้ฝนตกแหง”
จริงอย่างที่ว่าลมบริเวณเริ่มพัดแรงขึ้น
ถึงจะไม่แรงมากแต่เตาย่างก็มีทรงขาตั้งที่ไม่ได้สมดุลนักแล้วกองไฟก็ก่อด้วยทรายล้อมรอบจะโดนพัดจนเละก็ไม่แปลก
แต่ว่า
“นี่พวกนายเอาเนื้อดิบที่เตรียมไว้ไปย่างหมดแล้วเหรอ”
มีนาตอบคำถามด้วยใบหน้าสงสัยเช่นกัน
“ไม่นะคะ
ก่อนออกไปยังตั้งไว้ข้างๆ เตาอยู่เลยค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าโดนทรายกลบหรอกเหรอ”
“แต่หาไม่เจอเลยนะคะ
หรือว่าที่เตาล้มกับกองไฟเละนี่จะไม่ใช่เพราะลมแต่เป็นสัตว์เทวะพวกมันอาจจะหลงมาที่นี่แล้วเอาไปก็ได้”
คำพูดของมีนามันก็ฟังดูมีเหตุผลดีอยู่หรอกแต่ที่นี่คือโลกหลังการล่มสลาย
โลกที่กลายเป็นเกม
สัตว์ธรรมดากลายเป็นสัตว์เทวะ
ดังนั้นเหตุผลทางสามัญสำนึกแบบนั้นจึงใช้ไม่ได้
“ไอ้ที่ว่าหลุดอาณาเขตมามันก็มีอยู่หรอกแต่สัตว์เทวะน่ะมันไม่กินไม่ดื่มไม่ใช่เหรอ”
“ถ้างั้นจะบอกว่าใครเอาไปอย่างนั้นเหรอคะ”
“แล้วฉันจะไปรู้เรอะ”
แต่แล้วโพแทสเซียมก็เอ่ยขึ้นมา
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะไหนๆ
แล้วถือโอกาสนี้เก็บของเข้านอนกันดีกว่าครับนี่ก็ดึกมากแล้วแถมลมแรงแบบนี้อีกซักพักฝนคงตกแน่ๆ”
ก็จริงอย่างที่ว่า
มันก็ดึกมากแล้วจริงๆ นั่นแหละ
เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย
“งั้นก็เก็บของกันเถอะฉันเริ่มเป็นห่วงขวัญแล้วด้วย”
พวกเขาเลือกจะเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเก็บกวาดทุกอย่างบนชายหาดก่อนจะตรงกลับเข้าไปในรีสอร์ททันทีเพราะฝนเริ่มลงเม็ด
เวลาเที่ยงคืนพอดี
แล้วพายุฝนก็โถมลงมาบนเกาะแห่งนี้
อิงศรเปิดประตูห้องพักของตัวเองแล้วเดินเข้าไป
ภายในห้องมืดสนิท
แต่มีการเดินไฟในรีสอร์ทด้วยผลงานของเขากับซีเซียมทำให้มีไฟฟ้าใช้ในส่วนที่พักดังนั้นสวิตซ์ไฟในห้องจึงสามารถทำงานได้
อิงศรคลำมือหาสวิตซ์ที่ข้างผนังห้องจนเจอแล้วเปิดไฟ
ผนังห้องสีเทาอ่อนๆ
ปรากฏขึ้นจากความมืด
ภายในห้องมีเตียงเล็กอยู่สองเตียงกับโต๊ะวางโคมไฟกั้นระหว่างกัน
บนเตียงหลังหนึ่งมีคนนอนรออยู่ก่อนแล้ว
มิ่งขวัญนั่นเอง
นอนห่มผ้าคลุมโปงอยู่บนเตียง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เลือกแบ่งห้องภายในรีสอร์ทเขากับมิ่งขวัญก็ถูกจับให้มาอยู่ห้องเดียวกันตามความเห็นของทุกคนในกลุ่มโดยให้เหตุผลเลี่ยนๆ
อย่าง ‘ให้พี่น้องที่แยกจากกันมานานได้ทำความสนิทสนมกัน’ กับ
‘คนที่จะคุมมิ่งขวัญที่ตอนนี้แข็งแรงระดับมนุษย์ต่างดาวได้ก็มีแต่อิงศรเท่านั้น’
ด้วยเหตุผลสองข้อที่ว่าทำให้เขากับมิ่งขวัญมานอนห้องเดียวกัน
อิงศรปิดประตูห้องแบบไม่ระวังจึงเกิดเสียงกระทบดังปัง
เขาใช้โอกาสนี้สังเกตว่ามิ่งขวัญมีปฏิกิริยาหรือไม่
แต่น้องชายที่คลุมโปงอยู่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับ
“ขวัญ
ตื่นอยู่รึเปล่า”
เขาลองถามออกไป
“….”
“ทำไมถึงกลับมาก่อนล่ะ”
พอถามเซ้าซี้อีกมิ่งขวัญที่นอนคลุมโปงอยู่ก็ตอบกลับมา
“รู้สึกไม่ค่อยดีเลยกลับมาพักน่ะ”
น้ำเสียงนั้นค่อนข้างจะแหบพร่าเหมือนคนไม่มีแรง
คงจะอ่อนเพลียอย่างที่บอกจริงๆ
“งั้นเหรอคงเหนื่อยเพราะไปหาเสบียงล่ะมั้ง
แต่ว่าพรุ่งนี้ถ้ายังไม่หายลองไปให้นรินทร์ดูอาการหน่อยก็ดีนะ”
“อืม”
ถึงจะดูแปลกๆ
ไปบ้างแต่เสียงนั้นก็เป็นขวัญจริงๆ
เพื่อความแน่ใจจึงคิดจะลองเข้าไปเลิกผ้าห่มขึ้นมาดู
แต่พอถอดรองเท้าแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าพื้นห้องมันสากๆ
มีทรายตกเป็นทางไปจนถึงเตียงของมิ่งขวัญ
“นี่นายไม่ได้เช็ดเท้าให้ดีๆ
ก่อนเข้าห้องเลยเรอะ”
“…”
ไม่มีการตอบกลับ
พอจ้องไปที่เตียงของมิ่งขวัญซักพักเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าทั้งชุดรบที่ได้จากซีลอร์ดกับชุดไปรเวทที่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นก็ยังแขวนเอาไว้บนที่แขวนติดผนังเหนือเตียงนอน
“ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อก็นอนเลยเรอะ”
ด้วยความสงสัยอิงศรวางรองเท้าพิงกับผนังห้องไว้แล้วเดินเข้าไปเลิกผ้าห่มขึ้นมาเล็กน้อย
มิ่งขวัญนอนหนุนหมอนอยู่ข้างใต้ผ้าห่มนั่น...โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดจากกางเกงว่ายน้ำเลย
จึงคิดจะปลุกขึ้นมาตักเตือนแต่พอเห็นใบหน้าที่หลับเคลิ้มอย่างสบายแบบนั้นบวกกับวันนี้ก็รบกวนให้ไปหาเสบียงมาจัดงานเลี้ยงทั้งวันแล้วจึงคิดว่าจะปล่อยให้สักวันหนึ่ง
อิงศรห่มผ้าให้น้องชายอย่างหนาแน่เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัดแล้วแยกไปเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทที่หาได้จากร้านค้าที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในรีสอร์ทแห่งนี้ซึ่งชุดของมิ่งขวัญกับคนอื่นก็หามาจากที่นั่นเพราะนอกจากชุดรบที่ได้มาจากซีลอร์ดแล้วก็ไม่ได้เตรียมชุดอื่นๆ
มาด้วยเลย
อิงศรเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้านิ่มขาสั้นสีน้ำตาลที่ใส่สบายตัวจากนั้นจึงปิดไฟแล้วปีนขึ้นเตียงนอน
พอร่างกายได้สัมผัสกับความอบอุ่นจากผ้าห่มและเตียงนุ่มๆ
ความง่วงก็เข้าจู่โจมอย่างรุนแรง
อิงศรผล็อยหลับไปในตอนนั้น...
เวลาตีสาม...
บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงัด
แม้แต่เสียงฝนข้างนอกก็ยังหายไป ดูเหมือนจะหยุดตกมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว
ท่ามกลางความเงียบนั่นเอง
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระทืบเท้า
ปึง ปึง ปึง
เสียงกระทืบเท้าเหมือนมีใครเดินอยู่ในห้อง
เมื่ออิงศรปรือตาที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนออกก็มองเห็นลางๆ
ว่ามีเงาใครบางคนกำลังเดินไปที่ประตู
เพราะความง่วงทำให้สัญชาตญาณไม่ค่อยจะตื่นตัวนักแต่เขาก็เหลือบไปมองที่เตียงของน้องชาย
ที่นั่นไม่มีใครนอนอยู่
“จะไปไหนน่ะขวัญ”
“....”
“ห้องน้ำเหรอ”
“…”
อิงศรรู้สึกแปลกใจที่น้องชายไม่ยอมตอบ
แต่ว่าตัวเขาเองก็พูดด้วยเสียงที่เบาเอามากๆ บางทีขวัญอาจจะไม่ได้ยิน
จึงพยายามเร่งเสียงขึ้นอีก
“ขวัญ...”
แต่เสียงก็ยังดังออกไปไม่มากอยู่ดี
แล้วพอยิ่งคิดว่าจะต้องส่งเสียงให้มากขึ้นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับหนักอึ้งคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างกดทับไว้ที่หน้าอก
สันหลังเย็นวาบขึ้นมาทันที
มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
จากมุมมองของสายตาในสภาพที่นอนหงายอยู่นี่ทำให้มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง
เสียงประตูลากไปกับพื้นและเสียงปิดประตู
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกระทืบเท้าเหมือนคนเดินขึ้นมาอีก
แต่เสียงกลับห่างไกลออกไปจนกระทั่งเสียงเงียบลง
ความง่วงเข้าจู่โจมอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
อิงศรรู้สึกสู้กับความง่วงนั้นไม่ได้ทั้งที่ตอนนี้ตัวเองกำลังเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมิ่งขวัญรึเปล่าและอยากจะลุกออกจาเตียงแต่ร่างกายกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“….”
อิงศรผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เสียงหมาหอนดังระงม
แต่ที่นี่คือโลกหลังการล่มสลายที่สัตว์ธรรมดากลายเป็นสัตว์เทวะ
ถ้าอย่างนั้นตัวอะไรล่ะที่หอน?
แล้วท่ามกลางเสียงหอนอย่างโหยหวนชวนสยองนั่นก็....
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูถูกบิด ตามด้วยเสียงลากประตูไปกับพื้นและจบด้วยเสียงปิดดังปัง
ดูเหมือนจะมีใครเข้ามาในห้อง
อิงศรได้สติอีกครั้งหลังจากหลับไปตื่นหนึ่ง
“ขวัญเหรอ”
เขาสะดุ้งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที
คราวนี้ทำได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่รู้สึกหนักเหมือนมีอะไรกดทับอีก
สายตาของอิงศรจ้องตรงไปยังประตูซึ่งตอนนี้ปิดสนิทไปแล้วจึงหันเหไปทางเตียงของน้องชายก็เห็นว่ามีคนมุดเข้าไปใต้ผ่าห่ม
ส่วนหัวที่ลอดผ่านขึ้นมาถึงหมอนนั้นคือมิ่งขวัญที่จ้องมองมาทางนี้
...และยิ้มกว้าง
“ไปไหนของนายมาน่ะ”
“…”
“ยิ้มทำไมฟะ”
แต่มิ่งขวัญก็ไม่ตอบกลับเอาแต่มองมาที่เขาแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อย
ชักไม่ดีแล้ว...ตอนที่คิดแบบนั้นก็เตรียมจะเรียกหน้าจอแชทไปหานรินทร์ให้มาช่วยดูอาการน้องชาย
แต่ทว่า...
“อะ...”
อิงศรลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงของตัวเอง
แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
หัวใจเต้นแรง รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอนมาอย่างไรอย่างนั้น
“ขวัญ”
เขาหันไปทางเตียงของน้องชาย
ขวัญอยู่ที่นั่น
นอนหลับสนิทไม่ได้ยิ้มหรือเปิดดวงตาจ้องมองมา
นี่มันกี่โมงแล้ว...
อิงศรเรียกหน้าจอระบบขึ้นมาดู
นาฬิกาบอกเวลาตีสี่
ผ่านมาสี่ชั่วโมงหลังจากเริ่มนอนและหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่มิ่งขวัญออกไปข้างนอก
มิ่งขวัญกลับมาแล้วก็เอาแต่จ้องมองเขาพร้อมกับยิ้มน่ากลัวไปด้วย
แถมยังมีเสียงหมาหอนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ดังระงมในตอนนั้น
“หรือว่าฝันไปงั้นเหรอ”
อิงศรได้แต่สรุปแบบนั้นและตั้งสติไว้ตลอดจนกระทั่งเช้า
แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย
ความคิดเห็น