คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #192 : Login 189: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ลางร้าย)
Login
191: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ลางร้าย)
อิงศรวิ่งกลับมาถึงกองไฟหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง
เสียงของพวกผู้หญิง
แล้วก็เสียงพูดคุย เสียง เอะอะ ของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกองไฟ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
อิงศรถาม
นี่เป็นครั้งที่สองหากนับจากที่ตะโกนก่อนจะวิ่งมาถึงที่นี่ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครตอบคำถามของเขาเลยซักคน
ดังนั้นจึงจับไหล่อันเปลือยเปล่าของกวินทร์ที่ยังใส่แค่กางเกงว่ายน้ำ
รุ่นน้องที่ปกติดูเหมือนจะไร้เดียงสาแต่ความจริงแล้วเป็นหนึ่งในคนที่สติแข็งที่สุด
“กวินทร์มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
รุ่นน้องจิตแข็งหันใบหน้าที่ยังไม่หายจากอาการตกใจมาให้
ดูเหมือนจะเกิดเรื่องน่าตกใจมากขนาดที่คนสติแข็งที่สุดยังทำหน้าช็อกได้ถึงขนาดนี้
“กวินทร์มันเกิดอะไรขึ้นเล่ามาที
ขอร้องล่ะ!”
อิงศรเร่งเสียงขึ้นอีกเพื่อสู้กับเสียงของทุกคนที่กำลังแตกตื่น
“เมื่อกี้มันอะไรน่ะ”
“น่ากลัวชะมัดเลย”
“ยายแก่ล่ะ
ฉันว่าฉันเห็นยายแก่”
นั่นคือประโยคที่พอจะจับมาได้
พอถึงตรงนี้ทุกคนก็เริ่มรู้สึกตัวกันแล้วว่าเขากลับมาที่กองไฟ
พวกซีเซียม
โพแทสเซียม ลิเธียม เพิ่งจะตามมาถึง
“ตกลงเอะอะโวยวายอะไรกันเนี่ย”
อิงศรตอบคำถามนั้น
“เห็นว่าเจอยายแก่หรืออะไรเนี่ยแหละคงเล่าเรื่องผีแล้วตาฝาดกันล่ะมั้ง”
เขาคาดเดาเอาว่าทุกคนคงจะเล่นเล่าเรื่องสยองกันแล้วเกิดมีคนขวัญอ่อนไปเห้นอะไรเข้าเลยพาทุกคนกลัวตามกันไปด้วย
แต่ทว่า...
“ไม่ใช่นะครับพี่ศรพวกเราเห็นกันจริงๆ
ครับ”
กวินทร์กลับโต้แย้งอย่างแข็งขัน
มีนาเองก็เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
หล่อนชี้ให้เขามองไปที่ชายป่าที่ห่างออกไปเล็กน้อย
ตรงนั้นเป็นจุดที่แสงจากกองไฟส่องไปเกือบไม่ถึง
“พวกเราเห็นกันจริงๆ
ค่ะคุณอิงศร ตอนแรกน้องนิวเขาบอกว่ารู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกจ้องมาจากที่ไหนซักแห่ง
ทุกคนก็เลยช่วยกันหาแล้วฉันกับคุณพลอยก็หันไปเจอเข้าพอดีตรงชายป่าตรงนั้นมีเงาคนอยู่ค่ะ”
เมษาที่อยู่ด้วยก็ช่วยมีนายืนยันเช่นกัน
“แล้วพอนรินทร์เอาคบไฟส่องไปทางนั้นก็เห็นเข้าเลยล่ะหน้ายายแก่ผมรุงรังๆ
ขาวจั๊วะกำลังยิ้มมองมาทางพวกเรา”
ระหว่างที่เล่าก็มีทำท่าประกอบไปด้วย
จนยากจะเขื่อว่าไม่ได้กำลังล้อกันเล่นอยู่
เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจอิงศรจึงคิดจะเดินไปตรงจุดที่ว่าเห็นยายแก่
แต่กวินทร์ก็เรียกเอาไว้ก่อน
“พี่ศรจะไปตรงนั้นเหรอครับ”
“ก็ต้องไปตรวจสอบแหงอยู่แล้วสิ”
ทีนี้มีนาก็พูดแย้งมาว่า
“แบบนั้นมันอันตรายนะคะ”
“ถ้าไม่รู้มันยิ่งอันตรายกว่าอีก
ถ้านั่นไม่ใบ่ยายแก่แต่เป็นพวกเอเลี่ยนหรือสัตว์เทวะหรือปีศาจจากอารย-สนธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ไล่ตามพวกเรามาล่ะแบบนั้นยิ่งต้องรู้ให้ได้เลยว่าบนเกาะนี้มีแค่พวกเราเท่านั้นรึเปล่า”
“แต่ไปคนเดียวแบบนั้นมันก็อันตรายอยู่ดีแหละค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปกันหมดนี่เลยก็ได้จะได้ช่วยกันหาด้วย
พอพูดแล้วอิงศรก็หันไปขอความเห็นชอบจากทุกคน
“…”
ไม่มีใครโต้แย้ง
แม่จะทำหน้าอิหลักอิเหลื่อไม่แน่ใจหรือกำลังกลัวกันอยู่ก็ไม่รู้แต่ว่าคงพอไหว
อย่างไรก็ตาม
ในบรรดาเจ้าพวกตาขาวที่ต่อสู้กับปีศาจและสัตว์เทวะมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังกลัวกับอีแค่ผีที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่านั่นก็มีอยู่คนหนึ่งที่ดูจะออกอาการมากกว่าเพื่อน
“ขวัญ…”
อิงศรเรียกน้องชายที่ยืนตัวเกร็งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เมื่อครู่
“…”
“เฮ้ย ขวัญ!”
มิ่งขวัญตกใจจนตัวสะดุ้ง
“ว่าไง”
น้องชายมีเหงื่อไหลอาบตั้งแต่ใบหน้าลงไปจนทั่วทั้งตัวและเพราะไม่ได้ใส่เสื้อก็เลยเห็นว่าแผ่นหลังนั่นขุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เห็นเพียงแค่นั้นอิงศรก็นึกขึ้นมาได้
“จะว่าไปนายกลัวผีนี่นะ”
“เปล่ากลัวซักหน่อย!”
มิ่งขวัญเถียงเสียงแข็ง
แต่ในน้ำเสียงนั่นสัมผัสได้ถึงเสียงกระทบของฟันที่ปนมากับคำพูดด้วย
“…”
หมอนี่กำลังกลัวอยู่จริงๆ
อิงศรหรี่ตามองน้องชายสุดห้าวแต่ดันกลัวผี
หมอนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย…เขาคิดแบบนั้นแล้วภาพเก่าๆ
ที่หวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในโลกซึ่งล่มสลายเมื่อสี่ปีก่อนก็ลอยขึ้นมา
“จะว่าไปมิกซ์กับฟู
นายสองคนก็กลัวเหมือนกันนี่”
ความทรงจำสมัยเด็กที่ตนโดนปลุกขึ้นมากลางดึกเพราะเด็กขี้กลัวสามคนอยากไปเข้าห้องน้ำแต่เพราะอ่านนิยายสยองขวัญก่อนเข้านอนเลยไม่กล้าลุกไปกันเอง
แต่ฟูในตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกลัวเลย
“ตอนนี้ไม่กลัวแล้วอ่ะพี่ศร”
มิกซ์ก็เป็นแบบเดียวกันโดยให้เหตุผลมาว่า
“คือพวกผมเนี่ยก็เป็นกึ่งปีศาจอยู่แล้วก็เลยรู้สึกว่าไม่ควรจะกลัวพวกเดียวกันน่ะ”
มนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ถือว่าเป็นผีเหมือนกันก็เลยไม่ต้องกลัวอย่างนั้นเรอะ
อิงศรพยักหน้าเบาๆ
อย่างเข้าใจ
“งั้นขวัญรออยู่ที่นี่แหละทุกคนไปกัน...”
แต่มีนากลับพูดแย้ง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“อะไรอีกเล่าหรือว่าเธอก็กลัวผี”
“ไม่กลัวค่ะแล้วอาชีพฉันก็เป็นหมอผีอยู่แล้วด้วยแต่ทิ้งคุณมิ่งขวัญไว้คนเดียวแบบนั้นไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือคะ”
“แล้วจะให้คนกลัวไปที่ๆ
น่ากลัวด้วยทำไมเล่า”
“แต่โดนทิ้งไว้คนเดียวน่ากลัวกว่าอีกนะคะ”
“งั้นเธอก็อยู่เฝ้าน้องชั้นไปก็แล้วกัน”
ไม่รู้ทำไม
แต่พอพูดไปแบบนั้นมีนาก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
“เฮ้ๆ
อย่าบอกนะว่าคิดจะทำอะไรน้องฉันน่ะ”
“มันต้องกลับกันไม่ใช่เหรอคะ!”
“ขวัญมันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า”
เขารับรองอย่างมั่นใจว่ามิ่งขวัญไม่ใช่คนแบบนั้นแล้วอีกอย่างน้องชายก็ยังเด็กเกินไปถึงจะอายุ
15
แล้วก็เถอะแต่หมอนี่ไม่ได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรอยู่แล้ว...
“ทำไมถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจขนาดนั้นกันล่ะคะ
หัดรักษาจิตใจสาวน้อยกันบ้างสิคะคุณอิงศร”
สงสัยจะไปสะกิดต่อมอะไรเข้าล่ะมั้ง
อิงศรทำหน้าลำบากใจ
เขาไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงเอาซะเลย
ไม่สิทำไมมีนาถึงเพิ่งจะมาทำตัวสมหญิงเอาในเวลาแบบนี้หรือจะเป็นผลกระทบจากการรักษาอาการอัลไซเมอร์กันนะ
แต่ยังไงก็ต้องจัดการเรื่องยืนยันว่ามีคนอื่นนอกเหนือจากพวกเขาอยู่ในเกาะรึเปล่าเสียก่อน
อิงศรจึงหันไปทางน้องชาย
“งั้นขวัญไปด้วยกันไหวเปล่า”
น้องชายพยักหน้าให้แทนคำตอบ
อิงศรจึงหันไปบอกกับพวกซีเซียม
“งั้นฝากพวกนายเฝ้ากองไฟไว้ทีเอเลี่ยนคงไม่กลัวผีกันสินะ”
แต่ซีเซียมกลับ...
“ผีเนี่ยคืออะไรเหรอ”
ถามกลับมาอย่างนั้น
แต่ไม่อยากเสียเวลากับการอธิบายแล้ว
“ช่างเถอะช่วยเฝ้าไว้ก่อนก็แล้วกัน”
จากนั้นอิงศรก็เรียกคนอื่นๆ
“ทุกคนตามฉันมา”
แล้วหยิบเอาฟืนอันหนึ่งที่กองอยู่ข้างกองไฟมาจุดทำเป็นคบไฟก่อนจะออกเดินนำกลุ่มไปยังชายป่าที่ว่า
...ตรงชายป่านั้นมืดเกือบจะสนิท
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่แสงจากคบไฟก็ยิงชัดเจน
พื้นที่เปลี่ยนจากทรายเป็นดินร่วน
ต้นหญ้าที่ปูทางอยู่บนทางเดินนำเข้าสู่ป่าสะท้อนกับแสงจากคบไฟ
“เคยมีคนมาอยู่ตรงนี้จริงๆ
ด้วย”
อิงศรพูดหลังจากมองดูสภาพรอบๆ
จุดที่ทุกคนบอกว่าเป็นคุณยายแก่ๆ
เพียงเท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงฟันกระทบกันดังแก่กๆ
และรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง
อิงศรจึงหันคบไฟกลับไปดู
“ทำอะไรของพวกนายกันฟระ”
ที่ไหล่ซ้ายนั้นมิ่งขวัญเป็นคนจับเอาไว้แถมเจ้าตัวยังหลับตาปี๋
ส่วนไหล่ขวาเป็นกวินทร์ที่เอาแต่ล่อกแล่กไปมา
แล้วข้างหลังเจ้าสองคนนั่นก็เป็นมีนา
พลอย ถัดไปก็พวกฟูกับมิกซ์กำลังกอดนิวกับเน็กส์กันกลมเลยทีเดียว
ที่ยังไม่ออกอาการว่ากลัวเห็นจะมีแต่นรินทร์กับเมษา
“มันหนักนะ
ปล่อยมือซักที”
อิงศรพูด
น้องชายกับรุ่นน้องจึงยอมปล่อยมือ จากนั้นมีนาที่อยู่ข้างหลังกวินทร์ก็ถามมาว่า
“แล้วตกลงว่ามีใครอยู่กันล่ะคะ”
“ไม่รู้
แต่ที่พื้นหญ้ามีรอยแหวกนิดหน่อยคล้ายรอยเท้าคนด้วยคงจะไม่ใช่ผีหรอกน่าจะมีใครอยู่บนเกาะนี้มากกว่า”
อิงศรตอบแล้วเรียกหน้าจอระบบขึ้นมา
“สแกนนิ่ง!”
ร่ายสกิล
ปลดปล่อยอาคมที่จะกระจายออกไปตรวจสอบบริเวณรอบๆ
ว่ามีสิ่งมีชีวิตในรัศมีห้าร้อยเมตรแล้วส่งข้อมูลกลับมาที่หน้าจอ
ผลการค้นหานั้นระบุว่าไม่มีพบอะไรอยู่ในบริเวณดังกล่าวเลย
รัศมีที่กระจายออกไปค่อนข้างกว้างกินระยะเกือบจะทั้งแถบชายป่าแถวนี้
ถ้ามีคนเคยอยู่ตรงนี้จริงๆ แล้วล่ะก็
“มันคงหนีไปซ่อนอยู่บนภูเขาแล้วมั้ง”
นั่นเป็นเส้นทางใกล้ที่สุดที่จะหนีพ้นจากการตรวจจับไปได้ในเวลาที่เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นแล้วเส้นทางอื่นจะต้องวิ่งอ้อมเกาะไปอีกฟากซึ่งจะทำให้เสียเวลามากกว่าและโดนสกิลตรวจจับเอาได้
“ช่วยไม่ได้
งั้นจับกลุ่มกันแบ่งเป็นทีมสามคนแล้วแยกย้ายกันไปดูรอบๆ
นี้เจออะไรก็ตะโกนบอกไม่ก็แชทมาหาฉันแล้วอย่าไปไกลกันนักล่ะ”
หลังจากออกคำสั่งไปแบบนั้น
เมษากับมีนาก็จับคู่กันไปพร้อมกับนรินทร์ ฟู มิกซ์
พลอยสามคนรวมกลุ่มกันและพานิวกับเน็กส์ที่ยังเด็กไปด้วยกัน
ส่วนเขาจับกลุ่มกับมิ่งขวัญและกวินทร์เป็นทีมอดีตผู้ถูกฟันเฟืองเลือกไปโดยปริยาย
จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าไปในป่า
ก่อนจะแยกกันอิงศรได้แจกไฟฉายที่มีสำรองอยู่ในคลังสองกระบอกให้กลุ่มของมีนากับฟูไปคนละกระบอกส่วนกลุ่มตัวเองใช้คบไฟที่ถือมาตอนแรก
กลุ่มของฟูจะเข้าไปสำรวจช่วงกลางป่า
กลุ่มของมีนาสำรวจด้านในของป่าที่ลึกที่สุด
กลุ่มของอิงศรจะสำรวจอยู่รอบชายป่าด้านนอก
การวางแนวสำรวจแบบนี้ทำให้สามารถดูแลกลุ่มของฟูที่มีเด็กกับผู้หญิงได้ง่ายกว่าและกลุ่มที่มีคนเยอะสามารถสำรวจได้มากกว่าและกลุ่มของมีนาที่มีเมษากับนรินทร์ก็จะเคลื่อนไหวได้คล่องตัวกว่าในการสำรวจส่วนลึกซึ่งมืดและรกชันรวมถึงถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถให้แอพพลิเคชั่นปีศาจเวตาลพากำลังเสริมไปหาได้
เมื่อเดินสำรวจมาได้ซักพักหนึ่งอิงศรก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่ศร”
กวินทร์ถามเพราะเห็นว่าเขาหยุดเดินขึ้นมาดื้อๆ
“ฉันเพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี้น่ะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“รอยเท้าน่ะสิถ้ามีคนอยู่ที่นั่นจริงๆ
และหนีไปแล้วทำไมถึงไม่เจอรอยเท้าที่วิ่งเข้าไปในป่าหรือวิ่งออกจากป่าเลย”
จู่ๆ
มิ่งขวัญก็ตะคอกเสียง
“ย..อย่าพูดให้กลัวได้ป่ะ!”
เสียงที่จู่ๆ
ก็ดังแบบนั้นทำให้เขากับกวินทร์เผลอสะดุ้งตัวตกใจ
“ไอ้น้องบ้าอย่าตะโกนกะทันหันแบบนี้สิเว้ย!”
“ก็ศรนั่นแหละอยู่ๆ
อย่าพูดเหมือนกับว่าผีจะออกมาเด้!”
ระหว่างที่ทะเลาะกันอยู่นี่เองก็มีเสียงเตือนจากระบบแชท
มาจากกลุ่มของมีนาที่เข้าไปสำรวจด้านในสุด
อิงศรกดรับสายนั้น
“เจออะไรงั้นเหรอ”
‘มาดูเองดีกว่าค่ะพาทุกคนมาที่นี่ด้วยกันเลยก็ดี
เพราะท่าทางเราจะมีปัญหาแล้วล่ะค่ะ’
น้ำเสียงของมีนาไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เข้าใจแล้วรออยู่ที่นั่นแหละเดี๋ยวจะพาทุกคนไปหา”
ครู่ต่อมาอิงศรกับคนอื่นๆ
ก็ตามมาสมทบกับกลุ่มของมีนาที่อยู่ด้านในสุดของป่า
จากตรงนี้จะมองเห็นยอดของรีสอร์ทที่พวกเขาพักตั้งอยู่อีกฟากของหน้าผาสูงชันที่ไม่สามารถปีนได้
จุดนี้เป็นเหมือนทางตันของป่า
และเป็นจุดที่มีต้นไผ่ขึ้นชุกอย่างน่าประหลาด
บริเวณรอบๆ
แทบจะรายล้อมไปด้วยกอไผ่
แล้วที่ใจกลางด้านสุดติดกับหน้าผาชันก็มีก่อไผ่โดดเดี่ยวตั้งอยู่กอหนึ่งเป็นกอไผ่ที่หนามากราวๆ
สิบต้นรวมกันได้ ตรงกลางของกอไผ่แหวกออกเหมือนกับจะมีสิ่งของตั้งเอาไว้ตรงนั้น
พวกมีนารออยู่หน้ากอไผ่ต้นที่ว่าและโบกมือเรียก
“ทางนี้ค่ะคุณอิงศร”
อิงศรชูคบไฟแล้วเดินตรงเข้าไปจนถึงระยะที่แสงจากคบไฟส่งให้เห็นภายในก่อไผ่
ศาลพระภูมิทำจากไม้ตั้งอยู่ภายในก่อไผ่
ความเก่าและทรุดโทรมตามกาลเวลาบวกกับสภาพแวดล้อมภายในป่าวังเวงตอนกลางคืนช่วยเพิ่มความน่าสยดสยองให้มากขึ้น
แต่อิงศรไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้น
เขาสงสัยมากกว่ามีนาเรียกมาเรื่องอะไรกันแน่
“แล้วเจออะไรเข้าหรือจะบอกว่าศาลนี่มีอะไรรึไง”
“ค่ะ
ศาลนี่มีปัญหาแล้วล่ะค่ะแถมมีเยอะซะด้วย”
แล้วมีนาก้หันไปทางที่พลอยกับนิวยืนอยู่
“ทั้งสองคนก็รู้สึกใช่ไหมคะ”
พลอยพยักหน้าแล้วพูดว่า
“อื้อ
แถวนี้มีกลิ่นเหม็นๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“นิวก็ได้กลิ่นเหมือนกันค่ะ”
สองสาวยืนยันเช่นนั้น
แต่ว่าเขาไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลย จึงลองสูดจมูกเพื่อหากลิ่นดู
กลิ่นหญ้ากับใบไม้
กลิ่นไผ่
มีแต่กลิ่นพวกนั้นไม่มีกลิ่นที่ว่าเหม็นๆ
ลอยเข้ามาเลย
“ฟูนายได้กลิ่นอะไรบ้างไหม”
เขาหันไปถามคนที่จมูกน่าจะดีที่สุด
“ไหงพี่ศรถึงหันมาถามผมเลยล่ะทำอย่างกะผมเป็นหมา”
“ก็นายจมูกดีที่สุดแล้วไม่ใช่เรอะ”
ฟูทำปากยื่นเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจแต่ก็ยอมดมกลิ่นให้
“ไม่เห็นมี่กลิ่นอะไรเลย
มีแต่กลิ่นหญ้า”
แต่มีนาก็เริ่มอธิบาย
“คนที่ได้กลิ่นน่าจะมีเฉพาะคนที่มีอาชีพพื้นฐานเป็นสเปลเลอร์ล่ะมั้งคะเพราะมีสัมผัสที่ไวต่อพลังเหนือธรรมชาติมากกว่าอาชีพอื่นด้วย”
“นี่เธอจะบอกว่ากลิ่นเหม็นนั่นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติรึไง”
มีนาพยักหน้า
“ใช่ค่ะแล้วก็เป็นไสยเวทดำที่น่ากลัวมากๆ
เลยล่ะค่ะ”
หล่อนผายมือไปที่ศาลผุๆ
นั่น
“ก่อนที่คุณอิงศรจะมาที่นี่ฉันกับคุณนรินทร์ช่วยกันตรวจสอบแล้วพบว่าในศาลไม้นี่มีร่องรอยการทำไสยเวทหรือมนต์ดำไว้ด้วยแต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน”
ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อไปบ้าง
แต่โลกใบนี้ก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อมามากจนนี่ดูธรรมดาไปเลย
โลกที่ล่มสลาย
สัตว์เทวะออกอาละวาด
มนุษย์ต่างดาวบุกโลก
ปีศาจมีตัวตนอยู่จริง
พระเจ้ามีจริง เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังขนาดทำลายโลกได้
พวกเขาผ่านเรื่องน่าประหลาดใจพวกนั้นมาหมดแล้วดังนั้นอิงศรจึงสรุปสิ่งที่มีนาพยายามจะสื่ออกมาในแบบที่สามารถยอมรับได้ในทางหลักและเหตุผลมากกว่าจะบอกว่านี่เป็นเรื่องผีหรือไสยศาสตร์
“งั้นคนที่ทำของใส่ศาลนี่ไว้ก็อาจจะเป็นพวกอารย-สนธยาก็ได้สินะบางทียายแก่นั่นอาจจะเป็นปีศาจหรือไม่ก็เดโมนอยด์”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแต่ของพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมามีเอาหลังจากโลกล่มสลายหรือจะเหมารวมเป็นอารย-สนธยาทั้งหมดก็ไม่ถูกเหมือนกันค่ะ”
“งั้นจะบอกว่ามีหมอผีหรือใครที่เคยอยู่ที่นี่ทำของไว้งั้นเรอะ”
“ถ้าดูจากความเก่าของศาลแล้วฉันว่ามันอยู่มานานกว่าสี่ปีนะคะก่อนโลกจะล่มสลายแน่นอนแล้วถึงอารย-สนธยาจะอยู่มาก่อนหน้านั้นด้วยก็เถอะแต่เรื่องของอาคมกับปีศาจเนี่ยมันก็มีอยู่มาตั้งแต่โบราณกาลแล้วล่ะค่ะก่อนพวกเราจะเกิดขึ้นมาซะอีก”
จู่ๆ
กวินทร์ก็ทำหน้าตื่นเข้ามาแทรกการสนทนา
“มีใครเห็นขวัญมั่งไหมครับผมหาไม่เจอตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็เริ่มเป็นกังวล
“ไม่ใช่ว่าอยู่กับนายตลอดเรอะ
กวินทร์”
“ไม่นะครับพวกเราแยกกันเดินมาตอนที่รวมกลุ่มกันมาที่นี่”
งั้นขวัญไปไหนกันล่ะ
หรือว่าถูกโจมตี
แต่หมอนั่นเป็นมนุษย์ต่างดาวเลเวลร้อยเลยนะพลังระดับชั้นครูของมนุษย์ต่างดาวไม่น่าจะเสียท่าใครง่ายๆ
ต่อให้เป็นปีศาจของอารย-สนธยาก็เถอะ
อิงศรเรียกหน้าจอระบบขึ้นมาแล้วเปิดไปยังหน้าจัดการปาร์ตี้จากที่นี่จะสามารถตามรอยของพวกพ้องที่มีรายชื่อในกลุ่มเขาใช้วิธีนี้ตอนที่พาทุกคนมาหามีนาที่นี่
“ขวัญออกไปที่ชายหาดแล้วคงพลัดหลงกันกลางทางมั้ง”
พอได้ยินแบบนั้นทุกคนก็พากันโล่งอก
แต่ทว่า...
“แปลกๆ นะ”
อิงศรกลับรู้สึกขัดใจเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนปกติ
มีนาถาม
“อะไรเหรอคะ”
“ทำไมขวัญถึงเดินออกไปเลยล่ะน่าจะติดต่อมาบอกกันบ้างสิ”
เมษาที่อยู่ข้างหลังพูด
“อาจจะกลัวผีก็เลยรีบหนีก็ได้มั้ง”
“อันนั้นก็แปลกเหมือนกันแหละ”
“ยังไง”
“ถึงขวัญมันจะกลัวผีก็เถอะแต่ปกติแล้วจะกลัวเพราะอ่านหรือดูอะไรที่มันบิวท์อารมณ์ให้กลัวมากกว่าถ้าอยู่ๆ
มาเจอผีหรือปีศาจเลยก็คงซัดแหลกเพราะคิดว่าเป็นแค่มอนสเตอร์หรือสัตว์เทวะอยู่ดีนั่นแหละก็ตอนไปโจมตีอารย-สนธยา
ยังซัดกระสือซัดปอบกระเด็นเป้นว่าเล่นอยู่เลยใช่ไหมกวินทร์”
“…”
“กวินทร์”
“อะ...ครับ”
รุ่นน้องดูเหม่อลอยอย่างน่าประหลาด
“เป็นอะไรรึเปล่าหรือว่านายจะรู้อะไร”
กวินทร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจตัวเอง
จนสุดท้ายก็ยอมปริปาก
“คือว่าเมื่อตอนบ่าย...”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังแว่วเข้ามา
เสียงเหมือนโลหะกระทบกัน
อิงศรพูด
“เสียงเมื่อกี้มันอะไรน่ะ”
เขาหันไปทางฟูซึ่งนอกจากจะจมูกดีแล้วหูก็ยังดีด้วย
ตอนที่หันไปก็ยังเห็นหูสุนัขฟูๆ ที่งอกออกมาเพราะใช้พลังของปีศาจในตัวกำลังกระดิก
“เสียงเหมือนมีอะไรล้มโครมดังมาจากทางนั้นน่ะ”
ฟูชี้ไปยังทิศที่เยื้องกับทางที่พวกเขาเดินมา
“นั่นมันทางที่พวกเราก่อกองไฟไว้ใช่ป่ะ”
ถ้าเป็นอย่างที่ฟูว่าเมื่อครู่คงจะเป็นเสียงเตาย่างบาบีคิวกับพวกเครื่องใช้วางอยู่แถวๆ
นั้นล้มระเนระนาดกระมัง
สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจขึ้นเรื่อยๆถึงจะยังติดใจเรื่องของศาลไม้ผุๆ
นี่แต่ว่า
“ชักไม่ค่อยดีแล้วถอยก่อนเถอะไว้ตอนเช้าค่อยกลับมาอีกที”
มีนาก็เห็นด้วยกันกับความคิดนั้น
“ก็ดีเหมือนกันค่ะยิ่งดึกของพวกนี้ยิ่งแรงรีบถอยก่อนจะเกิดอะไรขึ้นดีกว่า”
แล้วพวกเขาก็พากันออกจากป่า
***อาทิตย์นี้ขอปรับลงช้าไปวันหนึ่งเป็น อังคาร พฤหัส เสาร์ นะครับ เนื่องจากติดงานและส่วนหนึ่งคือพล็อตบทคั่นความยาวประมาณหกสิบหน้าหรือ 5 - 6 ตอนย่อย นี้ค่อนข้างจะสยองสำหรับคนกลัวผีอย่างไรท์พอสมควรเลยปั่นต้นฉบับตอนกลางคืนไม่ได้ต้องเขียนเป็นร่างบทกับคำพูดไว้แล้วมาใส่ความรู้ตอนเช้าแทนเลยปั่นไม่ทันไปด้วย TwT แอ่ววว****
ความคิดเห็น