คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Login 17 : ออกเดินทาง
อิงศรตื่นจากความฝัน
ความฝันที่สมจริงราวกับหลุดเข้าไปในโลกแห่งนั้น สถานที่ปริศนาที่เหมือนกับตึกร้างในยามค่ำคืน และการได้พูดคุยกับผู้ถูกลืมเลือน
หน้าจอระบบเปิดขึ้นมาเอง มันบอกเวลาตี่สี่ตรง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาตั้งปลุกเอาไว้
เด็กหนุ่มลุกจากเตียง เดินไปเข้าห้องน้ำ...
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบชุดเครื่องแบบมาเปลี่ยนกับชุดนอนที่ใส่อยู่ เครื่องแบบทหารฝึกหัดถูกหยิบออกมาแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า
"...จริงสิวันนี้เป็นภารกิจแรกของกิลด์ขับไล่"
เขาพึมพำออกมาอย่างนั้นแล้วสอดเครื่องแบบทหารฝึกหัดกลับเข้าตู้ไปจากนั้นก็หยิบเครื่องแบบอีกชุดออกมาแทน
อิงศรสวมใส่เครื่องแบบ
มันเป็นชุดที่คล้ายกับเครื่องแบบทหารในสมัยสงครามโลกเป็นชุดแขนยาวสีเขียวหญ้า มีถุงมือและผ้าคลุมสีดำเข้าชุดกัน กางเกงขายาวสีดำทำจากผ้าฝ้ายเย็บทับกันสองชั้น เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในเครื่องแบบทหารฝึกหัด
อิงศรมองตัวเองในกระจกพลางพลิกตัวไปมาเพื่อดูความเรียบร้อย ก่อนจะถอดส่วนผ้าคลุมออกมาพาดแขนเอาไว้เพราะรู้สึกว่าเกะกะและไม่คล่องตัว อย่างไรก็ตามผ้าคลุมมีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกัน ดังนั้นมีเผื่อเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก
5:30 a.m.
ร้านกาแฟอีคริปส์ ภายในตัวร้าน
ห้องขนาดกะทัดรัด มีโต๊ะยาววางขนานตามแนวด้านหนึ่งของห้องเอาไว้เป็นมุมเคาเตอร์สำหรับพนักงานด้านหลังมีประตูเชื่อมไปห้องครัว ถัดมาด้านหน้าเคาเตอร์จะเป็นมุมโต๊ะกับเก้าอี้สำหรับบริการลูกค้า
อิงศรนั่งโต๊ะตัวที่อยู่ติดผนังด้านในอยู่เพียงลำพัง
ในช่วงที่เช้าจัดขนาดนี้จะยังไม่มีลูกค้าคนอื่นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ที่แปลกคือร้านกาแฟที่เปิดเช้าเกินไปต่างหาก ตอนแรกเขานัดกับทุกคนเอาไว้ที่หน้าร้านหกโมงตรงดังนั้นหัวหน้าทีมอย่างเขาจะต้องมารอที่นี่ก่อนครึ่งชั่วโมง ซึ่งตอนที่มาถึงร้านก็เปิดอยู่แล้วโดยที่สภาพไม่เหมือนกับพึ่งเตรียมร้านเลย
ถ้าจะมีสิ่งที่บ่งบอกว่าร้านเพิ่งเปิดล่ะก็ คงมีแต่เรื่องที่เจ้าของร้านเพียงคนเดียวกำลังชงกาแฟอยู่หลังเคาเตอร์โดยที่ไม่มีพนักงานคนอื่นเป็นลูกมือช่วย
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืนรอตากลมอยู่ข้างนอกอิงศรจึงเข้ามานั่งในร้านและเพื่อเป็นการผ่อนคลายจึงสั่งกาแฟร้อนไปแก้วหนึ่ง จากนั้นก็นั่งทอดหุ่ยพลางขบคิดเรื่องราวต่างๆ
ทั้งเรื่องความฝันเมื่อคืนที่ได้เจอกับผู้ถูกลืมเลือน...
ผู้ถูกลืมเลือนน่าจะเป็นชื่อ ส่วนรูปร่างก็เป็นเพศชายอายุราวๆ สิบเจ็ดถึงสิบแปดมีสีผมสีขาวที่ดูไม่เหมือนกับย้อมมาดังนั้นน่าจะเป็นสีผมโดยธรรมชาติของเจ้าตัวเองนอกจากนั้นแล้วภายนอกก็ดูเหมือนคนธรรมดานี่คือข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้
แต่ถึงจะดูเหมือนมนุษย์ซักแค่ไหนก็ตาม บรรยากาศตอนที่ได้พบกันก็ชวนให้คิดว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์ อย่างไรเสียก็เคยพบกันแค่ในความฝันดังนั้นอาจจะเชื่อความรู้สึกทั้งหมดเลยทีเดียวไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ว่าผู้ถูกลืมเลือนเป็นผู้ส่งเมลตัวจับเวลาความตายมาให้ และภายในเมลก็จ่าชื่อผู้ส่งเอาไว้ว่าจีเอ็ม หากลองเชื่อมกันดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ถูกลืมเลือนคือจีเอ็ม
ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ควบคุมจัดการเกมโลกาวินาศนี่ก็คือหมอนั่น...
เกมเริ่มขึ้นจากฝ่ายมนุษย์ต่างดาวถ้าอย่างนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็เป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือมกัน...
พิพัฒน์ที่เมลบอกว่าจะตายก็ถูกมนุษย์ต่างดาวฆ่าตาย...
ถ้าคิดแบบนี้เรื่องทั้งหมดก็จะเชื่อมต่อกันได้พอดิบพอดี แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังมีจุดที่ไม่ตอบโจทย์อยู่อีกสองข้อ
หนึ่งคือที่มาที่ไปของเมลยังไม่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายทำได้ถึงขนาดทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ มนุษย์ต่างดาวไม่น่าจะมีพลังแบบนั้นอยู่กับตัว
สองความรู้สึกของตัวเองบอกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่ทั้งมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว ถึงการเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งจะไม่ใช่สไตล์ของเขาซักเท่าไหร่ แต่สัมผัสรัยรู้ที่ได้ไปเจอมากับตัวก็รู้สึกตัดขาดไม่ลง
อิงศรยังคงปล่อยให้ความคิดในหัวแล่นไปพลางเหม่อมองผนังของร้านจนไม่รู้สึกตัวว่าเจ้าของร้านเดินมาที่โต๊ะ
"ขอเสิร์ฟกาแฟนะครับ"
"..."
"ขอเสิร์ฟกาแฟนะ"
เจ้าของร้านต้องพูดย้ำอีกหน อิงศรถึงรู้สึกตัวแล้วตอบรับอีกฝ่ายไปว่า
"อะ..ครับ ได้เลยครับ"
ว่าแล้วเจ้าของร้านก็จัดแจงยกของจากถาดเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะ เป็นกาแฟร้อนถ้วยหนึ่งกับแซนวิชอีกหนึ่งจานเล็ก
อิงศรทำหน้างงๆ เพราะว่าเขาไม่ได้สั่งเมนูนี้มา
"คือว่าแซนวิชไม่ได้สั่ง.."
"บริการพิเศษน่ะ"
เจ้าของร้านยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวตัดออกมาจากใบหน้าที่มีผิวคล้ำเข้มและผมยาวหยิกหยอยซึ่งวันนี้ไม่ได้มัดรวบไว้และไม่ได้สวมหมวกแก๊ปเหมือนคราวก่อนที่มากับพวกมีนา นอกจากเรื่องหมวกกับมัดผมแล้วก็ พลอยให้สังเกตไปด้วยว่าเจ้าของร้านวันนี้ไม่ได้ใส่ผ้ากันเปื้อนโปรโมทร้านด้วยเช่นกันแต่อาจจะเป็นเพราะนี่ยังเช้าอยู่และไม่ใช่เวลาประจำของลูกค้า
จู่ๆ เจ้าของร้านก็พูดขึ้นว่า..
"วันนี้เธอน่ะจะต้องออกไปต่อสู้แล้วสินะ"
“…”
อิงศรไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกถามอย่างนั้น เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือว่าจะเป็นเพราะเจ้าของร้านที่มีความสามารถมองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งกันแน่
“ถ้าไม่ใช่ก็โทษทีนะฮะๆๆ พอดีเห็นข่าวเรื่องที่นี่จะถูกสัตว์เทวะโจมตีแล้ววันนี้เธอก็มาที่นี่ชั้นก็เลยเดาเอาว่าเธอคงจะมานัดรอเพื่ออกไปต่อสู้กับพวกสัตว์เทวะน่ะนะ”
เจ้าของร้านพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“ไม่หรอกครับที่พูดมาก็ถูกอยู่แล้ว”
"งั้นเหรอ ถ้างั้นก็พยายามเข้าล่ะ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของชั้นแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้ก็ต้องปิดร้านเตรียมย้ายแล้วล่ะ”
ถึงจะได้ยินแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร ความจริงที่ว่าผู้อาศัยในค่ายเริ่มอพยพย้ายไปที่ศูนย์บัญชาการหลักนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว
“ถ้างั้นแซนวิชนี่ก็…”
“อื้ม! บริการพิเศษส่งท้ายปิดร้านด้วยไงล่ะ”
สรุปก็คือบริการพิเศษที่เอาของในสต็อกที่เหลือมาใช้ให้หมดก่อนย้ายนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรถ้าจะกินรองท้องไว้ซักหน่อย ดังนั้นอิงศรจึงรับแซนวิชไปกินแล้วจิบกาแฟไปพลางฟังเจ้าของร้านพูดเรื่อยเปื่อยไปพลาง
“แต่แหม~ ถึงจะเตรียมใจเรื่องที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้เอาไว้แล้วก็เถอะแต่ก็อดเสียดายโปสเตอร์นี่ไม่ได้เลยแฮะทั้งที่อุตส่าห์ชอบมันมากแท้ๆ”
โปสเตอร์ที่ว่าคือภาพวาดสีแผ่นใหญ่ที่แปะอยู่บนผนัง กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของร้าน เป็นรูปวาดแบบลายไทยโบราณที่แสดงเรื่องราวของกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังทำสิ่งคล้ายกับเล่นชักเย่อโดยใช้มังกรแทนเชือกแต่กลับเอาตัวของมังกรพันรอบสิ่งที่น่าจะเป็นภูเขา รูปวาดกลุ่มคนเองก็มีความแตกต่างของแต่ละกลุ่มมีกลุ่มที่เหมือนกับยักษ์มีเขี้ยวและร่างกายล่ำสัน อีกกลุ่มคล้ายกับคนธรรมดาร่างกายอ้อนแอ้นกว่ากลุ่มแรกแต่กลับมีการแต่งกายที่หรูหราครบองค์ทรงเครื่องคล้ายคณะลิเกมีสวมชฎาและมีของที่คล้ายกับรัศมีเปล่งออกมาจากบริเวณศีรษะจรดปลายไหล่ทั้งสองข้าง
เจ้าของร้านเริ่มสาธยายโปสเตอร์ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ชั้นได้รับโปสเตอร์นี่มาระหว่างออกเดินทางก่อนที่โลกจะล่มสลายน่ะ มันเป็นภาพตำนาน ‘กวนเกษียรสมุทร’ ตำนานมีอยู่ว่าเพราะสงครามระหว่างเทวดากับยักษ์ทำให้เกิดพิธีกรรมนี้ขึ้นซึ่งเป็นอุบายของเหล่าเทวดาที่ต้องการหลอกใช้พวกยักษ์เพื่อสร้างน้ำอมฤตขึ้นเมื่อดื่มสิ่งนั้นแล้วพวกเทวดาก็มีพลังเพิ่มจนสามารถขับไล่ยักษ์ลงไปจากสวรรค์ได้ แต่ว่านะที่ถูกใจโปสเตอร์นี่ก็มีอีกเหตุผลด้วย”
เจ้าของร้านชี้ขึ้นไปด้านบนของโปสเตอร์ ซึ่งมีรูปวาดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แต่กลับวาดเป็นสีดำทั้งดวงเหลือไว้ให้เดาออกด้วยรูปร่างของแฉกแสงรอบวงกลมของดวงอาทิตย์และรูปร่างพระจันทร์เสี้ยวของดวงจันทร์แทน
“โปสเตอร์นี่มีการเล่าเรื่องแฝงเอาไว้อีกเรื่องหนึ่งซึ่งภาพวาดตำนานกวนเกษียรสมุทรส่วนใหญ่จะไม่มีนั่นคือเรื่องของการกำเนิด 'คราส' ที่เป็นที่มาของชื่อร้านนี้ไงล่ะ”
“หมายความว่าที่ถูกใจจริงๆ มีแค่ตรงนั้นของโปสเตอร์ทั้งแผ่นเองเหรอ ?”
“ใช่ เพราะงั้นจะทิ้งไปก็น่าเสียดายเนอะแต่ขืนแกะออกมีหวังขาดเละเทะแหงม”
พูดเสร็จเจ้าของร้านก็ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน
อิงศรยิ้มเจื่อนๆ ให้กับความช่างจ้อนั่นแล้วจิบกาแฟไปพลางฟังเจ้าของร้านโม้เรื่องโปสเตอร์ต่อจนกระทั่งเกือบถึงหกโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของพวกมีนา
กระดิ่งร้านส่งเสียงดัง
ประตูร้านเปิดออกพร้อมกับชายในชุดเครื่องแบบทหารเช่นเดียวกับที่อิงศรสวมใส่อยู่ คนๆ นั้นก้าวเท้าเข้ามาในร้านแต่กลับไม่ใช่ กวินทร์ หรือ เมษา ที่ควรจะมาได้แล้ว คนที่มานั้นคือพันโทข้าวหลาม
พันโทเดินเข้ามาแล้วสั่งกาแฟเสียงดัง
“มาสเตอร์ขอเอสเพรสโซ่เหมือนเดิมนะ!”
“อ้าววันนี้ก็มาเหรอ”
เจ้าของร้านทำท่าตกใจเล็กน้อย
“อื้มก็วันนี้สุดท้ายแล้วนี่พรุ่งนี้มาสเตอร์ก็จะย้ายแล้วใช่ไหมล่ะเลยกะว่าจะมาดื่มเอสฝีมือมาสเตอร์ซักหน่อย”
“ถ้ารอดมาได้ก็อย่าลืมตามไปอุดหนุนต่อที่นั่นด้วยล่ะ”
“แหงอยู่แล้วกาแฟมาสเตอร์น่ะต่อให้ตายก็จะตามไปกินคอยดูเหอะ”
“ฮะๆๆ ถ้าตายก็ไม่ต้องมากินก็ได้นะกลัวปี๋หลอก”
“แฮ่ !”
พันโทข้าวหลามพูดหยอกล้อกับเจ้าของร้านอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวว่าเขาเองก็อยู่ในร้านก็ตอนที่คุณเจ้าของร้านเดินไปที่หลังเคาเตอร์เพื่อชงกาแฟที่สั่งไว้
“อ้าวศร! มานั่งอู้จิบกาแฟอยู่นี่เองเรอะ”
“เปล่านี่แค่กำลังรอเจ้าพวกขี้เซาที่ปล่อยหัวหน้ารอเก้อก็เท่านั้นเอง”
อิงศรตอบกลับไปอย่างประชดประชัน แต่พันโทกลับเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วยแล้ววางมือลงบนไหล่ซ้ายของเขาพลางพูดปลอบใจด้วยสำนวนหยอกล้อแบบทุกที
“เอาน่าก็ภารกิจแรกของทีมจะเกร็งกันจนลืมหยิบของมาก็เลยต้องย้อนกลับไปเอาที่ห้องแล้วก็ดันลืมกุญแจห้องก็เลยต้องวิ่งวุ่นไปขอกุญแจสำรองจากผู้ดูแลหอบ้างก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่”
“ถ้าจะขี้ลืมขนาดนั้นป่านนี้คงลืมกระทั่งทางมาร้านด้วยแล้วมั้ง”
อิงศรพูดตัดบทไปแล้วซดกาแฟจนหมดแก้วก่อนจะตัดสินใจเรียกทุกคนด้วยระบบติดต่อ แต่ในตอนนั้นเองประตูร้านก็เปิดออก พร้อมกับคนสามคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา
เป็น กวินทร์กั บมีนา แล้วก็เด็กผู้ชายผมสั้นเรือนผมสีแดงที่มีใบหน้าคล้ายกันซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดชื่อว่า เมษา ทั้งสามอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งแข่งร้อยเมตรมาอย่างไรอย่างนั้น
แล้วมีนาก็เริ่มพูด...
“ข...ขอโทษค่ะพอดีว่าตอนออกมาลืมของก็เลยต้องกลับไปเอาที่ห้องแต่ว่าดัน….”
“ลืมกุญแจเอาไว้ในห้องก็เลยต้องไปขอกุญแจจากคนดูแลหอถึงได้มาสาย…”
แต่อิงศรกลับพูดขัดคำพูดของเธอ
“ใช่ค่ะ…เอ๋แล้วทำไมถึงรู้ล่ะ!”
เด็กสาวทำหน้าเหวอ
“…”
อิงศรชายตามองไปยังพันโทข้าวหลามซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกับจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’
“แล้วทำไมกวินทร์ถึงมาสายด้วยอยู่กันคนละหอไม่ใช่รึไง”
“คือว่าผมลืมทางมาที่นี่แต่บังเอิญเจอพี่มีนาก็เลยตามๆ กันมาน่ะครับ”
“เลยต้องวกไปรอยัยเบ๊อะเอาของที่ลืมด้วยงั้นสิ ?”
“…”
ไม่มีใครตอบคำถามนอกจากยิ้มแห้งๆ เหมือนจะบอกว่าเดาได้ถูกต้องแล้ว
อิงศรดูเวลาจากนาฬิกาดิจิตอลบนหน้าจอระบบ มันบอกเวลา 6.15 AM
“สายไปสิบห้านาที…”
เขาพึมพำเบาๆ
ทันใดนั้นพันโทข้าวหลามตบตักดังฉาดแล้วเริ่มพูดหยอกล้ออีก
“นั่นไงๆ เมื่อกี้พุดเหมือนเจ้าสิงห์เด๊ะเลย ยังกะพ่อลูกแน่ะ!”
ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเหมือนคิ้วตัวเองถูกกระตุก
“ข่างเถอะเราจะออกเดินทางกันเลย”
ว่าแล้วอิงศรก็เดินไปจ่ายค่ากาแฟที่เคาเตอร์แล้วเดินออกจากร้านไปทันที โดยไม่สนใจฟังเสียงโอดโอยของพวกมีนาที่เพิ่งวิ่งกันมาจะต้องตามเขาออกจากร้านไปโดยที่ยังไม่ได้พัก
เวลาล่วงเลยมาจนเกือบถึงเจ็ดโมงเช้า
ท้องฟ้าสว่างปรอดโปร่งไร้เมฆหมอก เป็นวันที่เหมาะกับการออกเดินทาง
แต่ทว่านอกจากอิงศรแล้วคนที่เหลือในทีมกลับมีสภาพดูไม่จืด ต่างพากันเหนื่อยล้าเพราะว่าเพิ่งจะวิ่งกันมาแล้วก็ต้องเดินทางต่อทันทีโดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่ครั้งเดียว
พวกเขาออกจากค่ายและกำลังเดินไปบนถนนรกร้างไร้ซึ่งผู้คนอันเป็นทิวทัศน์อันปกติของโลกหลังจากล่มสลายมาถึงสี่ปียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ประชากรของมนุษย์นั้นนับวันมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ อัตราการเกิดใหม่ที่เมืองซึ่งอยู่ในความดูแลของศูนย์ใหญ่ประกาศออกมาทุกปีก็แทบไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็ไม่แปลกอะไรนัก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดขนาดที่ว่าอาจจะตายวันตายคืนได้ทันทีใครมันจะมามีอารมณ์ร่วมรักขยายเผ่าพันธุ์กัน มิหนำซ้ำตอนวันสิ้นโลกไวรัสก็คร่าชีวิตพวกที่มีความสามารถในการสืบพันธุ์ไปซะเกือบหมด เหลือไว้แต่พวกที่ไม่ค่อยสนหรือประสีประสาเรื่องความรักอย่างเด็กที่อายุไม่เกิน 14 ปี หรือไม่ก็พวกผู้ใหญ่ที่ขยันทำสีหน้ายุ่งยากจนเมินเฉยเรื่องความรู้สึกไป
“พี่ศร”
เสียงของกวินทร์ดังไล่มาจากทางด้านหลังต่อมาเด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าหนึ่งปีก็เร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินเทียบเคียงพร้อมกับยื่นกระป๋องสเปรย์ให้
“นี่เป็นไอเทมที่พันโทข้าวหลามฝากมาให้พี่ศรก่อนจะออกจากร้านกาแฟน่ะครับ”
กระป๋องสเปรย์ที่กวินทร์ยื่นมาให้เป็นไอเทมที่มีคุณสมบัติช่วยขยายเสียงให้ดังขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง เป็นไอเทมที่ชิในเรื่องจิปาถะมากกว่าจะเอาไว้ใช้ในการต่อสู้ไม่ได้ไร้สาระจนถึงกับต้องทิ้งไปแต่ตอนนี้ Inventory ของเขาเต็มไปด้วยข้าวของสำหรับการเก็บเลเวลในครั้งนี้แล้วดังนั้น
“นายเก็บไปก็แล้วกันชั้นยกให้ อีกอย่างกระเป๋าเต็มอยู่”
“งั้นถ้าจะใช้ก็บอกได้เลยนะครับ”
กวินทร์เก็บสเปรย์แล้วย้ายกลับลงไปเดินตามหลังเหมือนเดิม
จากนั้นก็ยังคงเดินต่อไปโดยที่จุดหมายมีเพียงอิงศรเท่านั้นที่รู้
เมื่อเดินไปจนเกือบถึงป้ายรถเมล์แรกที่มีมาให้เห็น ตอนนั้นเองก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองด้วยสายตา
"นี่เธอยังไม่เลิกจับตามองชั้นอีกงั้นเรอะมีนา"
"เอ๋? ฉันเนี่ยนะคะ"
เด็กสาวชี้ใส่ตัวเองพลางเบะปาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เธอ...ถ้าอย่างนั้นแล้วใครกัน
"..."
ไม่ต้องรอคำตอบนานนักเพราะสายตานั่นยังคงมองมา เขาหันไปยังทิศที่ว่า แต่มันกลับไม่มีอะไรเลย... นอกจากภาพทิวทัศน์ของโลกที่ล่มสลายไปแล้วโดยมีก้อนอุกกาบาตยักษ์ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ เป็นฉากหลัง
"อุกกาบาตนั่น..."
"อ้าว รู้ด้วยหรือคะว่านั่นคืออุกกาบาตที่ตกลงมาตอนวันสิ้นโลก"
"ก็พอจะได้ยินมาบ้าง..."
"งั้นรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่าคะ เรื่องที่ว่าอุกกาบาตนั้นวันที่มันตกลงมาน่ะที่จริงมันเหมือนลอยลงมามากกว่าเพราะว่าแรงปะทะน้อยกว่าที่คาดจนพื้นที่รอบๆ นี่แทบจะไม่เสียหายเลยล่ะค่ะ"
สรุปว่าก้อนอุกกาบาตนั่นไม่ใช่แค่หินธรรมดาๆ ที่นำพาไวรัสลงมาเท่านั้นแต่อาจจะมีอะไรซ่อนเอาไว้อีก
"ช่างเถอะ..."
อิงศรพูดแล้วออกเดินนำกลุ่มอีกครั้ง
หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรอีกจนกระทั่งพวกเขามาถึงป้ายรถเมล์
ทันทีที่มาถึงอิงศรก็รีบนั่งลงตรงเก้าอี้ทันทีพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ออกมา ความเหนื่อยล้าจากการเดินเริ่มประสานเข้ากับการอดหลับอดนอนคิดแผนการเก็บเลเวลทั้งคืนเข้าให้แล้ว ความง่วงได้เปิดฉากเข้าจู่โจม
จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่โดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสามคนที่มาด้วยกันก็ยังยืนรออยู่ด้วยความงุนงง
“คือว่ารออะไรเหรอคะ”
มีนาถามเปิดประเด็น
“ถามได้..ก็รถเมล์ไง”
อิงศรตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย กาแฟที่กินไปตอนเช้าแทบจะไม่ช่วยอะไรเลยจนถึงตอนนี้คอก็แทบจะพับแล้ว ความง่วงทำให้ทุกอย่างช้าไปหมดกระทั่งเสียงร้องของพวกพ้องก็ยังฟังได้ไม่ถนัด
“หา!”
เสียงของทุกคนดังขึ้นมา จากนั้นกวินทร์ก็โวยวายออกมาเป็นคนแรก
“เดี๋ยวก่อนนะครับพี่ศรโลกมันแตกไปแล้วจะมีรถเมล์มาวิ่งได้ยังไงล่ะครับ”
“หรือว่านัดใครให้ขับรถมารับไว้รึเปล่าคะ”
มีนายังคงคิดในแง่บวกเอาไว้บ้าง แต่ทว่า...
“จริงสิ โลกแตกไปแล้วมันก็ไม่มีรถเมล์นี่นะ”
“ล้อกันเล่นใช่ไหมคะเนี่ย”
“อา...แย่แล้วสิมัวแต่คิดเรื่องเก็บเลเวลให้ทันเลยลืมคิดเรื่องเดินทางไปซะสนิท”
อิงศรพยายามนึกหาวิธีเดินทางแบบปุบปับแต่ความง่วงก็ทำให้สมองไม่ค่อยจะแล่นซักเท่าไหร่
“ไม่ไหวแหะนอนไม่พอเลยคิดอะไรไม่ค่อยออกแล้วสิ”
“ฮะๆๆ นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมคะเนี่ย”
มีนายังคงกัดฟันหัวเราะสู้ แต่ความจริงในตอนนี้คือเขาไม่ไหวแล้ว
“เปล่าอันนี้ชั้นพูดจริงๆ”
อิงศรตอบคำถามจริงจัง แล้วกุมมือลงบนหน้าผากเป็นท่าทางประกอบให้ดูว่าไม่ได้พูดเล่น
ตอนนั้นเอง เมษาซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยมาตลอดทางก็เอ่ยขึ้นมา
“เฮอะ...ยังไม่ทันเริ่มก็เผยสันดานออกมาแล้วสินะเจ้าคนเหลาะแหละ”
อีกฝ่ายพูดอย่างดูแคลน แต่ทว่า
“…”
“เฮ้! ตกลงจะเอาไงแน่”
“…”
แต่อิงศรยังคงนิ่งเงียบและนั่งคอพับก้มหน้าไม่ตอบคำถามใดๆ
เมษาที่เริ่มจะควบคุมอารมณ์ไม่ไหวจึงตะหวาดมาว่า
“เฮ้ย! ชั้นคุยกับแกอยู่นะคิดจะกวนตีนกันรึไง!”
“…”
ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว เมษาตั้งท่าจะวิ่งเข้ามาซัดแต่ก็ถูกกวินทร์จับตัวเอาไว้ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น
“ทำเมินกันเหรอเฮ้ย!”
“หวา~ ใจเย็นก่อนสิครับพี่เมษา”
“…”
ยังคงไร้ซึ่งการตอบกลับจากอิงศรอยู่ดี จนมีนาที่อดสงสัยไม่ได้ต้องก้มหน้าลงไปดู
“หวายนี่หลับไปแล้วนี่คะ”
“หา!”
ทั้งเมษาและกวินทร์ ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน ตอนนี้เองอิงศรก็ได้สะดุ้งตัวขึ้นมาเพราะเสียงหนวกหูของทั้งคู่
“อ๊ะ...โทษที”
แล้วกล่าวขอโทษพลางใช้ข้อมือขยี้ตาไปมาให้คลายง่วง
ส่วนมีนายังคงทำใจเย็นไว้ได้และถามต่อไป
“ตื่นแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ตกลงจะเอายังกันคะเรื่องเดินทางน่ะ”
อิงศรเงยหน้าขึ้นดวงตายังคงงัวเงียอยู่
“ช่วยไม่ได้...พวกนายลองเสนอความเห็นมากันบ้างสิจากที่นี่จะไปให้ถึงสวนสัตว์ดุสิตภายในวันนี้น่ะ”
ทุกคนช่วยกันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเมษาก็เสนอมาว่า
“ถ้างั้นปั่นจักรยานไปกันไหมล่ะ หาขโมยเอาแถวๆ นี้แหละ”
แต่มีนากลับกล่าวขัดคำพูดของน้องชายฝาแฝด
“ระหว่างปั่นคงจะต่อสู้ไมได้ดังนั้นต้องใช้เส้นทางอ้อมไปตามการรักษาเขตแดนเพื่อหลีกเลี่ยงพวกสัตว์เทวะ"
โดยที่เปิดหน้าจอระบบนำทางซึ่งฉายภาพแผนที่เอาไว้ แล้วคำนวณเวลาที่ต้องใช้ออกมา
"รวมๆ แล้วก็ใช้เวลาเกือบสองวัน”
“สรุปว่าไม่ได้สินะครับ”
กวินทร์พูดตอกหน้าเจ้าของความคิดไปแบบไม่รู้ตัว
“ง..งั้นมีนาก็ลองเสนอความคิดมาบ้างเด้!”
เมษาพูดเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องความเห็นของตัวเอง
"..."
หลังจากใช้เวลาคิดอยู่นานมีนาก็ให้คำตอบที่เธอเค้นสมองคิดออกมา
“ไหนๆ ก็เป็นไปไม่ได้แล้วงั้นเรากลับเข้าค่ายไปแล้วรอวันเรดบอสมาถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันค่ะ”
“แบบนั้นก็ได้โดนพี่สิงห์เอาตายกันพอดีอ่ะเด้!”
“งั้นเราหนีกันซะตอนนี้เลยดีไหมล่ะคะ”
“นี่เธอ...พูดมาแบบนั้นแกล้งโง่รึไงกันคิดว่าอย่างพี่สิงห์จะปล่อยให้เราหนีกันง่ายๆ เรอะ”
“ก็ไม่คิดหรอกค่ะแต่ตอนนี้ทางไหนก็ตายอยู่ดีเลยขี้เกียจคิดค่ะ”
“ว้าก!!”
เมษาระเบิดเสียงพลางกุมขมับด้วยความโมโห ขณะที่การสนทนากำลังดำเนินไปถึงจุดต่ำที่สุดของมันนั้นเอง กวินทร์ก็เสนอความเห็นขึ้นมา
“ถ้างั้นนั่งรถไปกันไหมครับ ถ้ามีคนบอกทางให้ก็น่าจะได้อยู่”
พอได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็หันไปมองเขาด้วยสายตางุนงง...
อิงศรและพรรคพวกเดินออกจากป้ายรถเมล์ตรงไปที่ลานจอดรถคอนโดแห่งหนึ่ง แล้วยืนมองกวินทร์นั่งยองๆ อยู่หน้ารถเก๋งที่จอดทิ้งไว้ รุ่นน้องกำลังงัดแงะประตูรถด้วยอุปกรณ์ช่างที่หยิบมาจากอู่ซ่อมรถซึ่งตั้งอยู่ในลานจอดรถแห่งนั้น
ใช้เวลาไม่นานประตูรถก็ถูกปลดกลอน จากนั้นจึงเริ่มเช็คสภาพรถแล้วใช้เวลาอีกพักหนึ่งในการซ่อมแซมสายไฟที่งัดขึ้นมาจากหน้ารถ ก่อนที่เสียงสตาร์ทเครื่องจะดังกระหึ่มขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
บรืน บรืนน บรืนนน!!
ในที่สุดรถก็สตาร์ทเครื่องติด กวินทร์ยื่นใบหน้ายิ้มแป้นที่เปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นกับคราบน้ำมันออกมาจากห้องคนขับ
“ทุกคนใช้ได้แล้วล่ะครับ! โชคดีชะมัดเลยที่คันนี้มีน้ำมันอยู่พอดีแถมไฟยังไม่เสียด้วย”
ทุกคนมองกวินทร์ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อและรู้สึกทึ่งในความสามารถของรุ่นน้องที่อ่อนวัยกว่าหนึ่งปีคนนี้ เพราะไม่เพียงขับรถได้เท่านั้นแต่ยังงัดและซ่อมมันมาใช้ได้เหมือนไม่ใช่เรื่องยากเย็น
“กวินทร์มีอาชีพรองเป็นเอนจิเนียร์หรืออะไรพวกนั้นเหรอคะดูชำนาญดีนะ”
มีนาถาม
“เอ้ออันนี้มันเป็นความสามารถติดตัวสมัยเด็กน่ะครับ ส่วนอาชีพรองของเกมผมเป็นช่างไม้”
ความสามารถติดตัวตั้งแต่เด็ก…ความสามารถในการงัดแงะรถ… แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่ารุ่นน้องคนนี้ใช้ชีวิตแบบไหนก่อนโลกจะล่มลายถึงได้มีความสามารถแบบนี้ติดตัวมา
เมษาออกอาการตะลึงเล็กน้อยพลางถามไปว่า
“ก่อนโลกแตกนายมีชีวิตยังไงกันแน่เนี่ย”
กวินทร์เหมือนจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายตั้งใจถามในความหมายใดจึงตอบเลี่ยงไปว่า
“คือว่าเรียนมาจากน้าอีกทีน่ะครับ”
“งั้นถ้าเป็นไปได้อย่าถลำลึกไปกับน้าคนนั้นให้มากนักจะดีกว่านะคะ”
มีนาพูดแซวเล่นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเหมือนทุกที
“ฮะๆๆ ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับน้าผมน่ะเขาตายไปแล้วล่ะ”
กวินทร์พูดกลั้วเสียงหัวเราะพลางหันหน้ากลับไปเช็คสภาพรถต่อ
“อุ๊ย !”
มีนาอุทานด้วยความตกใจ เธอไม่รู้ว่าคำพูดหยอกล้อเมื่อครู่จะกลายเป็นคำพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายไปได้จึงรีบกล่าวขอโทษทันที
“ข..ขอโทษนะคะฉันไม่รู้..”
แต่กวินทร์ก็กล่าวขัดคำพูดนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...คิดว่าโลกของเราตอนนี้ไม่น่าจะมีคนที่ไม่เคยสูญเสียคนสำคัญไปแล้วหรอกครับ”
เด็กหนุ่มพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดา...
อิงศรก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น โลกของเราตอนนี้มันทรุดโทรมจนใกล้พังทลายอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ในโลกแบบนี้ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัวขนาดที่จะต้องเสียเวลาคร่ำครวญกับมันนานๆ เหมือนเมื่อก่อน เพราะอย่างนั้นเขาถึงทำใจเรื่องของพิพัฒน์กับเรื่องของคนในห้องคิงที่ถูกมนุษย์ต่างดาวฆ่าตายได้ในเร็ววัน กวินทร์เองก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ในที่สุดรถก็อยู่ในสภาพใช้การได้ ทุกคนขึ้นรถโดยมีกวินทร์เป็นคนขับ
มีนากับเมษาขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง จากนั้นเธอก็เริ่มพูดหยอกล้อขำขันขึ้นมาอีก
“ขโมยรถน่ะมันถือเป็นอาชญากรรมนะคะ”
ตอนนั้นเอง อิงศรก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วเข้ามานั่งในรถพลางพูดตอบคำพูดนั้นไปว่า
“โลกแตกไปแล้วใครมันจะมานั่งบ่นกันแล้วก็ไม่ต้องเล่นมุกใบขับขี่ด้วยนะ จะของีบซักพักไม่งั้นหัวชั้นคงเบลอไม่หยุดแน่”
เมื่อหัวถึงเบาะแล้วเขาก็ปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์สัมผัสทั้งหมดเริ่มแผ่วปลาย ร่างกายกำลังต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่
สิ่งที่ยังรู้สึกอยู่ก็คือรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว...
มีเสียงของมีนากับกวินทร์ดังสลับไปมากันเป็นระยะ
ตามที่ตกลงกันเอาไว้ให้มีนาเป็นคนนำทางและหาเส้นทางที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลียงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นจากสัตว์เทวะ ส่วนกวินทร์ก็จะขับตามคำแนะนำนั้น
ดังนั้นทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไปตลอดทาง...
ความคิดเห็น