คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #186 : Login 183: World Administrator
Login
183: World
Administrator
แฟรนเซียมชี้ไปที่ซีลอร์ดแล้วกล่าวว่า
“ไม่รู้หรอกนะว่าโดนเจ้านั่นเป่าหูมายังไง
แต่คงจะไม่ได้บอกเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวเลี้ยงชาวโลกไว้ก็เป็นเงื่อนไขที่เจ้านั่นยื่นมาให้เพื่อแลกกับการไม่ถูกกวาดล้างให้ฟังเลยสินะ”
“...”
ทันทีที่กล่าวจบอิงศรก็เหม่อมองแฟรนเซียมด้วยแววตาสงสัยระคนกับประหลาดใจเล็กน้อย
“แล้วไง”
เขาพูดออกไปได้แค่นั้น
ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์กำลังดำเนินไปแบบไหน
แต่บรรยากาศเหมือนกำลังบอกว่าเขาควรจะตกใจ ร้อนใจ แล้วก็หวาดระแวง
เพียงแต่...
“ถ้าเรื่องที่ว่านั่นฉันก็พอจะเดาได้ตั้งนานแล้วล่ะ”
พอได้ฟังเรื่องราวจากซีลอร์ดตอนอยู่ที่อารย-สนธยาเขาก็คิดขึ้นมาได้
ถ้าหากลองคิดดูอีกซักนิดก็จะรู้ได้ไม่ยากเลยว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงต้องจับตัวมนุษย์ไว้แล้วบังคับให้แสดงละครชีวิตประจำวัน
ทำไมถึงเคลื่อนไหวแบบนั้นมาโดยตลอด
ทั้งหมดก็เพื่อยื้อเวลาที่จะถูกพิพากษา
เพื่อให้เห็นว่าว่ามนุษย์ยังไม่ได้สูญสิ้นความตั้งใจ
คนที่คิดเรื่องแบบนั้นได้ก็มีแต่ซีลอร์ดเท่านั้นแหละ
เพราะเงื่อนไขของซีลอร์ดทำให้มนุษย์ถูกไล่ล่าถูกกดขี่จากมนุษย์ต่างดาวมาถึงสี่ปี
ซีลอร์ดถามขึ้นมา
“แล้วเธอไม่โกรธเหรอที่ผม...”
แต่อิงศรก็แทรกพูดตัดบทไปว่า
“ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันพอจะเดาได้ถึงนายไม่ต้องบอกก็เถอะ
อีกอย่างถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกลุ่มของฉันตอนนี้ด้วย
สถานการณ์ที่ทำให้โลกล่มสลายมันเร็วเกินไปถึงมานั่งอธิบายก็ไม่มีใครฟังหรอก”
ทั้งที่พูดเรื่องธรรมดาๆ
ออกไปแต่ก็ไม่รู้ทำไมซีลอร์ดถึงได้ทำหน้าเหมือนปลื้มใจอะไรขึ้นมา
แฟรนเซียมพูดแทรกว่า
“รู้แบบนั้นแล้วนายยังจะไปเชื่อใจมันลงอีกเหรอ”
“อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่านายแหละน่า”
“อิงศรแก…ทำไมถึงได้โง่เง่าแบบนี้นะไปเชื่อคำพูดปั่นหัวพวกเครื่องทำสวนแบบนั้นแกตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าพวกเรายังมีทางเลือกอยู่”
“ที่บอกว่าจะย้อนกลับไปเริ่มใหม่นั่นน่ะเหรอ”
“ใช่
ถ้าเป็นพลังของแอดมินิสเทรเตอร์อาจจะทำได้ก็ได้ถ้าพวกเราแสดงให้เห็นว่ายังมีทางเลือกอื่นนอกจากการทำลายกันอยู่ล่ะก็พวกนั้นจะต้องเข้าใจ…”
“ไม่มีวันเข้าใจหรอกน่า!”
จู่ๆ
แฟรนเซียมก็ตะหวาด
“…”
“ยังไงเจ้าพวกนั้นก็ไม่คิดจะเข้าใจตัวหมากในเกมของพวกมันหรอกคนที่ควรจะตื่นจากความฝันมันคือนายต่างหากอิงศรตาสว่างได้แล้วมนุษย์เหลือทางเลือกแค่ทางนี้เท่านั้น!”
แฟรนเซียมพูดออกมาว่ามนุษย์เหลือแค่ทางเลือกเดียว
พูดมันต่อหน้าพวกมนุษย์ต่างดาวที่กำลังเลือกข้างที่จะอยู่
เท่ากับว่าหมอนั่นเลือกจะทิ้งความเชื่อถือในฐานะราชามนุษย์ต่างดาวไป
เพื่อแลกกับการทำให้เราตาสว่างเนี่ยนะ…
อิงศรไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแฟรนเซียมถึงตัดสินใจเลือกทางนั้นหรือว่าคนที่กำลังเลือกทางผิดคือตัวเองกันแน่
หรือไม่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในแผนที่จะทำให้เขาไขว้เขวไปจากทางเลือกของตนเอง
เพราะแฟรนเซียมรู้จักเขาดีแล้วตัวเขาเองก็รู้จักแฟรนเซียมที่เป็น
สิงห์ ธุวดารกะ ด้วยเหมือนกันเรียกได้ว่า ‘ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่’
ต่างฝ่ายต่างรู้ไส้รู้พุงกันเอง
“…”
“…”
ไม่มีการตอบโต้กันหลังจากคำพูดนั้น
ความเงียบคือหลักฐานว่าการต่อสู้ได้ย้ายจากสมรภูมิน้ำลายก้าวล้ำขึ้นไปอีกขั้น
ไปสู่ขั้นของการต่อสู้ด้วยจิตใจ
ใครจะถูกหลอกก่อนกันหรือใครที่พูดความจริงมาแล้วกันแน่…อิงศรตัดสินใจอย่างยากลำบากจนก้าวต่อไปไม่ได้
ตอนนั้นเอง
ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
ในเสียงหัวเราะมีเสียงฟันเฟืองลั่นดังเอี้ยดอ้าดผสมปนเปมาด้วย
“โผล่หัวมาซักทีนะออร์ฟิอูคูมันนาร์”
ผู้ส่งเสียงก็คือ ออร์ทิเกสซาร์ที่ยังถูกเสียบติดกับพื้นด้วยใบหูของจูลลับบิตต้า
“มัวทำอะไรอยู่ไฮโดรเจน
รีบเอาพาสให้เจ้าพวกนั้นเร็วเข้าเดี๋ยวก็ไม่ทันเวลาหรอก”
จู่ๆ
ซีเซียมก็ตะโกนข้ามฟากมาจากทางด้านหลัง
ในมือของเจ้าตัวมีของที่เหมือนกับกระดาษแผ่นเล็กๆ
หรือถ้าตีความตามที่พูดก็อาจจะเป็นตั๋วอะไรซักอย่าง
ซีเซียมเริ่มแจกมันให้กับพวกนรินทร์กับราชครูฝ่ายเดียวกันที่อยู่ตรงนั้น
ระหว่างที่แจกจ่ายกันอยู่นั่นเองข้าวหลามก็แทรกตัวผ่านทุกคนเข้าไปหาซีเซียมด้วยความเร็วเหนือมนุษย์แล้วฉกใบหนึ่งมาจากมือของนรินทร์ที่กำลังรับจากซีเซียม
“แจกอะไรน่าสนใจดีนี่”
ข้าวหลามพูดแล้ววิ่งอ้อมกลับไปรวมกับวิเชียรมาศ
นรินทร์ตั้งใจจะตามไปเอาคืนแต่ก็ถูกซีเซียมรั้งตัวไว้ก่อน
“ไม่ต้องตามไป ยังมีสำรองอีกเยอะตอนนี้รีบแจกให้ทุกคนก่อน”
“ก็ได้อยู่หรอกว่าแต่มันคืออะไรกันน่ะเจ้านี่เนี่ย”
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ซีเซียมเร่งรัดตัดบทจนนรินทร์ยอมทำตามและเริ่มแจกตั๋วให้กับทุกคน
ขณะเดียวกันคำพูดของออร์ทิเกสซาร์ก็ยังคงดำเนินต่อไป
“ออร์ฟิอูคูมันนาร์เจ้ามาทันโชว์ปิดม่านสุดท้ายพอดีเลยนะ
ไม่สิอาจจะต้องพูดว่าเจ้าจงใจมาเพื่อการแสดงปิดม่านนี้มากกว่า ฮะฮะฮะ...”
ซีลอร์ดไม่ได้ตอบโต้คำพูดของออร์ทิเกสซาร์เพียงแต่จับจ้องมองมันด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“สุดท้ายข้าจะขอบอกพวกเจ้าไว้ก็แล้วกันวัชพืชเอ๋ย
เครื่องทำสวนไม่ได้มีไว้แค่เพื่อถอนวัชพืชอย่างพวกเจ้าแต่ยังเป็นเทอมินัลสำหรับนำทางผู้ควบคุมมายังสวนด้วยเช่นกัน”
เครื่องทำสวนจะนำพาพระเจ้าลงมายังสวน...ดูเหมือนมันตั้งใจจะกล่าวแบบนั้นแล้วเสียงก็เงียบลงทันใด
ดวงตาของสิงโตที่เปล่งประกายแสงแดง บัดนี้ดับมอดลง
ทันใดนั้นเอง...
บรรยากาศก็เริ่มขมุกขมัวไปด้วยหมอก
หมอกสีขาวปกคลุมชายหาดทั้งหมด
หมอกไหลบ่าลงมาจากท้องฟ้า
จากเมฆกลายเป็นหมอก
ท้องฟ้าเปิดออก
แสงแดดจึงส่องลงมาและทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นรุ่งสางทั้งที่น่าจะเลยเที่ยงวันไปแล้ว
บรรยากาศรอบตัวไม่ให้ความรู้สึกว่ากำลังอยู่บนโลกเลย
ที่ๆ พวกเขายืนกันอยู่ยังคงเป็นชายหาดที่เดิมแต่กลับไม่ได้ยินเสียงคลื่นที่สาดกระทบฝั่ง
ทะเลถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
อิงศรมองดูปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้แล้วก็เปรยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“สภาพนี่มัน...”
เขารู้สึกคุ้นเคยกับสภาพในตอนนี้อย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกสั่นสะท้านยามที่สัมผัสถูกหมอกและบรรยากาศอันเงียบสงัดราวกับจะไม่มีสรรพชีวิตใดๆ
หลงเหลืออยู่อีก
“เหมือนกันรากอาคาชิกเรคคอร์ดเลยนี่”
ตอนที่พูดออกไปซีลอร์ดก็ยื่นตั๋วที่เหมือนกับที่ซีเซียมถือมาให้สามใบ
“ที่นี่กลายเป็นอาคาชิกเรคคอร์ดไปแล้วรีบเอาพาสพวกนี้ไปแจกให้พวกพ้องเธอเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันการเพราะว่าเขากำลังจะมาที่นี่แล้ว”
“กำลังจะมา...ใครเหรอ
อะไรกำลังจะมา”
“ออร์ทิเกสซาร์ก็บอกไปแล้วนี่”
หรือว่าจะหมายถึงพระเจ้าที่สร้างเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์กันนะ
ออร์ทิเกสซาร์เองก็พูดไว้แบบนี้...
เครื่องทำสวนยังเป็นเทอมินัลสำหรับนำทางผู้ควบคุมลงมาที่สวน
...ถ้าอย่างนั้นที่กำลังจะมาก็คงจะเป็น...
“…”
อิงศรมองเข้าไปในดวงตาของซีลอร์ดและเข้าใจในทันทีว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน
ตั๋วที่แจกให้น่าจะมีความสำคัญอะไรซักอย่างดังนั้นเขาจึงส่งมันให้กับมิ่งขวัญและเอาอีกใบยัดใส่มือมีนาที่ยังไม่ได้สติ
วินาทีถัดจากนั้นเองที่ซากร่างของออร์ทิเกสซาร์กับเครื่องทำสวนเครื่องอื่นๆ
ที่หยุดการทำงานไปแล้วเปล่งแสงออกมา
เครื่องทำสวนเหล่านั้นทยอยแตกตัวเป็นอนุภาคแสง
อนุภาคเหล่านั้นล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไปสู่ดวงจันทร์ดวงเล็กที่ปรากฏขึ้นให้เห็นตั้งเริ่มเช้าวันนี้มา
เงาของดวงจันทร์ที่มองเห็นแค่ลางๆ
ตอนนี้กลับเห็นชัดเจนขึ้น แถมยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นมันอะไรกันน่ะ...ดวงจันทร์มัน..”
อิงศรไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
พวกพ้องของเขาก็เช่นกัน ทุกคนในสนามรบก็เหมือนกัน
ทุกคนพากันแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ดวงจันทร์ค่อยๆ
ขยายใหญ่หรือให้ถูกก็คือมันเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“เฮ้
นี่มันยังไงกันแน่น่ะ”
อิงศรหันไปขอคำตอบจากซีลอร์ดที่น่าจะรู้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นแต่ซีลอร์ดกลับลดตัวลงไปนั่งคุกเข่าชันขาขึ้นข้างหนึ่งแล้วก้มหัวเหมือนทำท่าแสดงความเคารพต่อกษัตริย์หรืออะไรซักอย่างที่ดูเหมือนอัศวินในยุคกลางมักจะทำกันเวลาอยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโต
“อย่าเสียมารยาทเชียวล่ะวัชพืชไม่อย่างนั้นจะทางเลือกไหนก็ไม่มีเหลือสำหรับพวกเจ้าแน่”
โดโกบาร์ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่พูดแล้วก็ตามนั่งท่าเดียวกับซีลอร์ดเคียงข้างกัน
....และแล้ว
เมื่อความสับสนพุ่งถึงขีดสุดพร้อมกับแสงของเครื่องทำสวนได้หายไป
ดวงจันทร์ก็ลงมาอยู่ห่างไปจากพื้นดินในระยะที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดาวบริวารที่มาอยู่บนโลกช่างมีขนาดใหญ่จนมนุษย์กลายเป็นเพียงมดปลวก
ครู่ต่อมาก็เริ่มมองเห็นบางสิ่งที่โปร่งใสเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ
ดวงจันทร์ เป็นรูปทรงรีที่เรียวแหลมคล้ายกับหนาม เบื้องหลังดวงจันทร์เริ่มปรากฏให้เห็นเงาดำที่เลือนรางซึ่งกำลังเด่นชัดขึ้นทุกขณะ
จนกระทั่งมันเผยโฉมออกมาดูคล้ายกับคนใส่ชุดและคลุมหัวด้วยผ้าสีเหลือง มีเงาที่ดูเหมือนกรงเล็บกับขายื่นออกมาจากใต้ผ้าคลุม
...แล้วจู่ๆ
‘มนุษย์เอย
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้เผชิญหน้ากับเราอย่างนั้นสินะ’
มีเสียงดังก้องขึ้นมาในหัว
เสียงอันทรงพลังเปี่ยมด้วยอำนาจแทรกซึมเข้าไปสมองโดยไม่ผ่านการฟังหรือสัมผัสใดๆ
เป็นเสียงที่ทำให้อิงศรถึงกับเข่าอ่อนขึ้นมา
เขาแหงนหน้ามากขึ้น
มองขึ้นไปยังตัวตนอันแปลกประหลาดที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าที่ดูไม่เหมือนอยู่บนโลก
แล้วถามออกไปด้วยสัญชาตญาณ
“แกคือพระเจ้า...คือแอดมินิสเทรเตอร์อย่างนั้นเหรอ”
เสียงก่อนหน้าดังขึ้นในสมองอีก
‘ข้าคือลูนาริสผู้ร่วมจัดการควบคุมความเป็นไปและกฎระเบียบแห่งจักรวาล
เป็นแอดมินิสเทรเตอร์แห่งรากระบบอาคาชิก’
...แล้วนั่นก็คือครั้งแรก
และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่มนุษยชาติได้เผชิญหน้ากับผู้สร้าง
นี่อาจจะเป็นได้ทั้งจุดจบและจุดเริ่มต้นของการมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง
รอบการหมุนสู่จุดจบของโลกดูเหมือนหยุดนิ่งลง
จุดจบมาถึงแล้ว!
ความคิดเห็น