คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #182 : Login 179: Amageddon Epilouge 1
Login
179: Amageddon Epilouge 1
“กวินทร์!”
มิ่งขวัญร้องด้วยความตกใจ
สหายร่วมรบเพิ่งจะถูกตัดแขนกับขาไปอย่างละข้าง
โลหิตสีแดงพวยพุ่งเป็นน้ำพุ กวินทร์ล้มลงราวกับเป็นท่อนไม้
ด้วยความเป็นห่วงกวินทร์
มิ่งขวัญผละออกจากจุดยืนของตัวเอง
ตวัดเรเปียคู่ใจอันเคยเป็นที่สิงสถิตย์ของอัครเทวทูตมิคาเอล
แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้วตอนนี้เรเปียไม่มีพลังเสริมจากเดม่อนแอพอีกต่อไปก็เป็นเพียงอาวุธธรรมดาๆ
เท่านั้น
แล้วอาวุธธรรมดาๆ
นั่นก็เทียบดาบเทวะที่อีกฝ่ายใช้ไม่ติด
ดาบสีดำทะมึนสูบเลือดของผู้ใช้เป็นพลังงานราวกับผีดูดเลือดหรือว่าแท้จริงแล้วเลือดของแฟรนเซียมเองที่เป็นดาบ
มันเป็นอย่างไหนกันแน่?
มิ่งขวัญไม่คิดจะสนใจเรื่องยิบย่อยพรรค์นั้น
เขาขอแค่ให้ดาบของตัวเองยังพอปัดป้องดาบน่ารังเกียจที่พุ่งออกมาจากโพรงมิติโดยไม่สนทิศทางนั่นได้ก็พอ
โดยที่ทิ้งกองหลังมา
ป่านนี้คงกำลังวุ่นกับดาบพวกนี้อยู่ด้วยเป็นแน่
มิ่งขวัญเข้าใกล้กวินทร์ไปอย่างรวดเร็ว
กลับกันยิ่งเข้าไปได้เร็วก็แปลว่าจำนวนดาบที่ปัดกระเด็นไปนั้นมีเพิ่มมากขึ้น
แล้วเขาก็ทำเพียงแค่ปัดมันทิ้งแต่ดาบดำพวกนั้นดื้อด้านเกินกว่าจะสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ
ดาบดำที่มิ่งขวัญปัดทิ้งไประหว่างทางหักเลี้ยวแล้วไล่ตามมาติดๆ
ถ้าจะหนีก็ยังพอทำได้แต่แบบนั้นก็ช่วยกวินทร์ไม่ได้
“…”
มิ่งขวัญกัดฟันเค้นแรงสะบัดดาบเพิ่มความไวของมือปัดดาบที่ขวางทางยิ่งขึ้นไปอีก
ยังมีหนี้ที่ติดค้างหมอนั่นอยู่
มิ่งขวัญเคลื่อนไหวด้วยความตั้งใจแบบนั้น
แล้วรุกเข้าไปรวดเดียวจนถึงตัวกวินทร์
ก้มลงคว้าตัวเพื่อนขึ้นมาแบกพาดไหล่โดยไม่หยุดมือแกว่งดาบ
ถึงกระนั้นก็ยังมีดาบที่เล็ดลอดเข้ามาทำร้ายได้อยู่ดี
ส่วนใหญ่แค่ถากๆ
เพราะมิ่งขวัญยังไวพอจะหลบหลีกมันได้
แต่หลังจากนั้นแล้วดาบดำก็เหมือนกับจะเล็งเล่นงานที่ขาเพียงอย่างเดียว
ด้วยสภาพที่แบกกวินทร์เอาไว้การจะป้องกันช่วงขานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
มิ่งขวัญหยุดเคลื่อนไหว
เขาไม่มีที่เหลือให้ขยับอีกแล้วภายในดงดาบดำที่สะบัดไปมาราวกับแส้
ทันใดนั้นเอง
ก่อนที่ดาบทั้งหมดจะทันเข้าจู่โจมพวกมันก็ถูกสะบั้นขาดด้วยความเร็วชนิดมองตามไม่ทัน
แต่ดวงตาของมิ่งขวัญก็เห็นอะไรบางอย่างพุ่งผ่านไปในบ่วงเวลานั้น
เจ้านั่นตวัดใบดาบที่แขนทั้งสองข้างตัดดาบดำที่เรเปียของเขาตัดไม่ขาดให้สะบั้นได้ราวกับตัดกระดาษ
ดาบดำที่ขาดร่วงหล่นเกลื่อนพื้นก็ละลายกลับเป็นเลือด
”ขวัญ! หนีไปเลย”
อิงศรตะโกนมา
มิ่งขวัญคาดเดาได้ตั้งแต่เห็นสิ่งที่ตัดดาบดำพุ่งผ่านไป
อิงศรให้เมอร์คาบาห์เข้ามาช่วยเอาไว้เมื่อครู่และเมื่อทางเปิดโล่งแล้ว
มิ่งขวัญก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
เพียงอึดใจเดียวก็ส่งกวินทร์ถึงมือนรินทร์กับพลอยที่รออยู่
แม้ว่าทั้งสองจะบาดเจ็บจากดาบดำของศัตรูที่แพร่กระจายมาถึงตรงนี้ก็ตาม
แต่เพราะเมอร์คาบาห์ของอิงศรช่วยตัดดาบพวกนั้นให้กองหลังจึงกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้
ที่เป็นแบบนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะดาบไม่ได้เลือกโจมตีแค่พวกเขาแต่การที่มันโผล่ออกมาแบบไม่รู้ทิศทางทำให้พวกมนุษย์ต่างดาวศัตรูต้องถอยฉากออกไปเหมือนกัน
หลังจากส่งตัวกวินทร์ถึงมือหมอแล้วมิ่งขวัญก็
“แล้วศรล่ะ”
มองหาพี่ชายที่ส่งความช่วยเหลือมาให้โดยมองไล่หลังเมอร์คาบาห์ที่น่าจะย้อนกลับไปหาเจ้าของ
ที่ฟากตรงข้ามกับที่พวกเขาอยู่กันนั่นเอง อิงศรกำลังปะทะกับแฟรนเซียม
จวนเจียนจะแพ้เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าแถมยังแบกมีนาไว้ด้วย
”ศร!”
มิ่งขวัญกระชับดายในมือแล้วถีบตัวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มตั้งโล่ในมือซ้ายขึ้นใช้มันกำบังแล้วพุ่งชนดาบดำที่ขวางทางให้กระเด็นออกไป
พวกมันไม่ได้สนใจเขาจึงบุกฝ่าเข้าไปได้ง่าย
”โดนเจ้านั่นเป่าหูมาว่ายังไงบ้างล่ะอิงศร”
แฟรนเซียมพูดกับพี่ชายแล้วเงื้อดาบฟาดลงมา
แต่อิงศรก็ชักดาบสั้นที่เอวขึ้นรับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
พลังที่ต่างกันมากระหว่างมนุษย์กับราชครูลำดับที่หนึ่งกดทับดาบของอิงศรจนเข่าทรุดแทบเท้าตัวเอง
“อัก”
ได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบราวกับกรีดร้อง
หนึ่งวินาที…นั่นน่าจะเป็นเวลานานที่สุดเท่าที่อิงศรจะต้านรับเอาไว้ได้ก่อนถูกบดขยี้ไปพร้อมกับมีนา
“รอยัลเซเบอร์
ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็น…”
มิ่งขวัญร่ายสกิลเอาในวินาทีนั้นแล้วยื่นดาบออกไปด้านหน้า
“รอยัลเซเบอร์รีเบลเลี่ยน!”
แสงห้อมล้อมใบดาบและยืดยาวออกไปถึงสองช่วงตัว
มิ่งขวัญตวัดเรเปียไปที่แขนของแฟรนเซียมหวังตัดมันให้ขาดจากตรงนี้
แต่ราชาผู้มีพลังเหนือกว่าเขาก็ชักแขนกลับไปพร้อมกับก้าวถอยหลังทันที
เรเปียจึงฟันใส่พื้นแทนแล้วคว้านเอาทรายพุ่งขึ้นมาตลบอบอวลไปหมด
ทันทีที่ทรายจางลง...
“ขวัญ”
อิงศรทำหน้าบอกไม่ถูกเมื่อเห็นมิ่งขวัญก้าวมายืนขวางระหว่างเขากับแฟรนเซียม
ตนยังอ่อนแอถึงขนาดต้องให้น้องชายช่วยหรือควรจะภูมิใจกับการเติบโตนี้ดีล่ะ
ความรู้สึกขัดแย้งกันเองยิ่งพุ่งพล่านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากแฟรนเซียมที่เพิ่มมากกว่าตอนแรก
กว่าจะรู้สึกตัวดาบดำห้อมล้อมก็พวกเขาเอาไว้แล้ว
มันชอนไชอากาศเป็นโพรงแล้วก็เปิดอีกหลายโพรงแตกเป็นอีกหลายเส้น
เพิ่มจำนวนเป็นเท่าทวีจนแทบจะถมทับอากาศบริเวณรอบๆ ไปหมด
“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอพวกนายพี่น้องพร้อมหน้ากันสินะ”
แฟรนเซียมพูด
ไม่รู้ทำไมถึงยกเรื่องนั้นขึ้นมาแต่เดาได้ว่ากำลังเล่นจิตวิทยาอีกเหมือนที่ทำกับกวินทร์
พวกน้องๆ
เติบโตขึ้นก็จริงแต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังเป็นเด็กยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี
“…”
เขาเองก็เหมือนกัน
ถึงจะโตที่สุดในกลุ่มแต่ก็ยังเป็นเด็กเมื่อเทียบกับแฟรนเซียมที่ทั้งเจนศึกกว่า ฉลาดกว่า
พลังมากกว่า ซ้ำร้ายยังเป็นคนที่สอนเกี่ยวกับการต่อสู้ทุกอย่างให้กับตนด้วย
นั่นเท่ากับว่าไม่มีสิทธิ์จะชนะได้เลย
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเตรียมตัวเพื่อตอบโต้อย่างไร
“เอาเถอะเพราะแกช่วยหยุดออร์ทิเกสซาร์ให้แถมยังพามีนาหนีออกมาได้ถือว่าเกินการคาดการณ์ไปมากฉันอยากจะประเมินผลงานนั่น
ไม่ลองเก็บไปคิดอีกครั้งหน่อยเรอะ
มาเข้าร่วมกับฉันนายมีแต่ได้ทั้งนั้นพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องสู้กันเลยต้นเหตุพวกแอดมินิสเทรเตอร์พวกมันต่างหากที่เป็นศัตรู”
คำพูดของแฟรนเซียมสมเหตุสมผล
หากตอบรับข้อเสนอก็จะหยุดการสู้รบที่ไร้ความหมายนี่ได้แล้วก็ถ้าคุยกันดีๆ
อาจจะยังพอตกลงร่วมกันได้เรื่องทางเดินในอนาคตข้างหน้า
“ถ้านายมาร่วมมือด้วยฉันจะช่วยรับฟังความเห็นที่ขัดแย้งนั่นแล้วหาทางลงที่พอใจซึ่งกันและกันให้ก็ได้นะนายก็รู้ว่าฉันไม่เคยโกหก”
ใช่
ตอนที่เป็นสิงห์หมอนี่ก็ไม่เคยโกหก พูดจริงทำจริงทุกอย่าง
แม้แต่บทลงโทษที่ดูหนักเกินกว่าเหตุก็ยังทำจริงๆ
จับเขาโยนให้สัตว์เทวะกินเพราะผลการฝึกไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินที่ตั้งเอาเองก็เคยทำมาแล้วแต่ก็เอาชีวิตรอดกลับมาได้
รวมถึงตอนที่ส่งเขากับพวกพ้องไปเก็บเลเวลให้เป็น 60
นั่นก็เหมือนกัน
ทุกอย่างผ่านการคำนวณมาเรียบร้อยแล้วว่าเป็นไปได้ดังนั้นเรื่องข้อเสนอที่จะตกลงร่วมกันนั่นก็...
“ไม่ดีกว่า”
อิงศรปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“ทำไมล่ะ”
“คิดว่าฉันอยู่กับนายมากี่ปีกันแล้วคนอย่างนายพูดจริงทำจริงทุกอย่างเพราะงั้นไม่มีทางยอมเปลี่ยนเป้าหมายสร้างโลกใหม่นั่นเพื่อให้ฉันเข้าร่วมอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“นั่นสิ
ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
อีกฝ่ายยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
สรุปก็คือแฟรนเซียมไม่ได้คิดจะร่วมมือด้วยจริงๆ
อยู่แล้ว ยังไงพวกเขาก็เป็นเพียงเครื่องมือ
เป็นตัวหมากเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายมันก็เท่านั้นเอง
เมื่อการเจรจาล้มเหลวเป็นครั้งที่สาม
แฟรนเซียมคงไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป
ข้อเสนอเมื่อครู่คือโอกาสสุดท้ายแล้วสินะ…อิงศรคิดอย่างนั้นแล้วดึงคันธนูออกมาจากหน้าจอที่แอบเปิดระหว่างพูดดึงความสนใจแฟรนเซียม
“เทคนิคัลเวพ่อน”
เขาเปลี่ยนมันเป็นหน้าไม้เพื่อจะได้สู้โดยที่แบกมีนาไปด้วยได้
แฟรนเซียมสะบัดดาบในมือ
บงการดายดำที่อยู่รอบๆ ให้จู่โจมใส่พวกเขาพี่น้อง
”โปรโตชิลด์”
มิ่งขวัญยกโล่ขึ้นมาพร้อมกับร่ายสกิล
[Proto
Shield Lv(4/4)
Element:
Light
Attribute:
Buffs, Enhance, Item, Shield
(Cast
Cost) สวมใส่ไอเทม Shield;
สร้างบาเรียที่จะลดทอนความเสียหายให้ครึ่งหนึ่งตอนที่ร่ายสกิลนี้ออกมาเป็นเวลา
2 วินาที จากนั้นได้รับบัพ Def + 100 , Special Def +
50; ห่อหุ้มโล่ด้วยแสงแห่งวิทยาการจงกรุยทางสู่อนาคต
บริเวณผิวหน้าของโล่สีดำที่น้องชายยกขึ้นมานั้นเกิดม่านแสงแผ่พุ่งออกมากำบังร่างกายเอาไว้เหมือนกับออร่า
มิ่งขวัญใช้ร่างกายของตัวเองเป็นกำแพงกำบังให้เขา
ดาบดำแทงใส่ร่างแต่ก็กระดอนออกไป
พวกมันสร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยเพราะผลคุ้มครองจากสกิลที่ช่วยเพิ่มพลังป้องกันให้ระยะเวลาหนึ่ง
แต่ช่วงเวลานั้นไม่ได้คงอยู่ไปตลอด
แต่เมื่อม่านพลังที่ช่วยป้องกันให้หายไปมิ่งขวัญก็ร่ายสกิลต่อเนื่องทันที
“ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็นโปรโตชิลด์ฟิลาเมนท์!”
ทันใดนั้นเองโล่ก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่าง
แสงเหล่านั้นที่ต่อมากลายเป็นเส้นใยแสงถักถอเป็นมุ้งคลุมร่างของผู้ใช้
[Shield
Device, Filament Lv(1/1)
Element:
Light
Attribute:
Buffs, Shield, Device, Awakening
(Cast
Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล 'ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็น' + (ชื่อ Shieldที่จะติดตั้ง) + 'ฟิลาเมนท์'; ติดตั้ง
Device ลงใน Buffs ที่มี Shield
อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , ลดความเสียหาย
Physical ลง 20 %; ถักทอโล่ใยแสงลดแรงกระแทก]
ดาบดำที่แทงเข้ามาหลังจากนั้นจะแฉลบให้เป็นแผลนิดหน่อยแล้วจึงกระดอนออก
พลังการป้องกันต่ำกว่าม่านป้องกันเดิมทำให้พลังชีวิตของมิ่งขวัญลดลงอย่างรวดเร็ว
มิ่งขวัญ Lv.102 [/////12500:25000…..]
“อึก”
น้องชายส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดกับบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการโจมตีซึ่งถาโถมเข้ามาไม่หยุด
แม้แต่อิงศรที่อาศัยร่างกายน้องหลบก็ยังมีถูกลูกหลงแฉลบไปบ้างทั้งนี้ก็เพราะต้องเอาร่างกายตัวเองป้องกันมีนาที่ยังไม่ได้สติ
“ขวัญ!”
แต่อิงศรก็เรียกน้องชายด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน
หากไม่รีบทำอะไรเข้าซักอย่างคงได้ตายพร้อมกันทั้งคู่
“ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็นโปรโตชิลด์คอสโม!”
มิ่งขวัญกัดฟันสู้ความเจ็บปวดร่ายสกิลนั้นจนกลายเป็นว่าตะเบ็งเสียงร่าย
[Shield
Device, Cosmo Lv(1/1)
Element:
Light
Attribute:
Buffs, Shield, Device, Awakening
(Cast
Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล 'ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็น' + (ชื่อ Shieldที่จะติดตั้ง) + 'คอสโม'; ติดตั้ง
Device ลงใน Buffs ที่มี Shield
อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , ฟื้นฟูพลังชีวิต
100 ทุก 3 วินาที; ห่อหุ้มโล่ด้วยพลังคุ้มครองแห่งจักรวาล]
ทันใดนั้นเองก็มีแสงร่วงลงมาจากท้องฟ้าเหมือนดาวตก
แสงหล่นใส่มิ่งขวัญ อาบร่างแล้วทำให้พลังชีวิตทยอยฟื้นฟู
มิ่งขวัญ Lv.102 [/////13500:25000/....]
สกิลเสริมพลังประเภทโล่ของไชนิ่งเอนฟอร์ซเซอร์นั้นแม้จะช่วยในการตั้งรับได้สูงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตามจำนวนดาบที่จู่โจมเข้ามาไม่ทัน
“วินด์ช็อก!”
อิงศรร่ายสกิล
เขาไม่คิดจะปล่อยให้น้องชายปกป้องอย่างเสียเปล่าจึงเล็งหน้าไม้ลอดช่วงเอวของมิ่งขวัญ
ที่ปลายทางนั่นน่าจะมีแฟรนเซียมที่ควบคุมดาบอยู่ เนื่องจากเล็งเป้าตรงๆ ไม่ได้เพราะดาบดำจำนวนมหาศาลพวกนั้นบดบังทัศนวิสัย
“มาร์สไตร์”
ลั่นไก แผ่นยันต์ในคลังถูกใช้ไปเองโดยอัตโนมัติด้วยผลของสกิลติดตัว
ทว่า ลูกดอกเพลิงกลับพุ่งฝ่าม่านดาบดำพวกนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่มีทางเข้าถึงตัวแฟรนเซียมที่มีดาบโอบล้อมเป็นดั่งปราการได้เลย
มิ่งขวัญ Lv.102 [///..9500:25000.....]
มิ่งขวัญคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นานนัก
บาดแผลเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนการฟื้นฟูตามไม่ทันไปแล้ว เกราะอ่อนที่ได้จากซีลอร์ดมานั้นแทบจะไม่ช่วยป้องกันดาบดำเลยทั้งที่มันมีพลังป้องกันสูงมากระบุไว้ในคุณสมบัติ
หรือไม่ก็ดาบพวกนี้มีพลังพิเศษที่เจาะการป้องกันได้กระมัง
“ติดตั้งดีไวซ์...พัฒนาเป็นโปรโตชิลด์มีเทียร์”
[Shield
Device, Meteor Lv(1/1)
Element:
Light
Attribute:
Buffs, Shield, Device, Awakening
(Cast
Cost) 1 Awakening Gold Unit , ร่ายโดยไม่ต้องบอกชื่อสกิล 'ติดตั้งดีไวซ์พัฒนาเป็น' + (ชื่อ Shieldที่จะติดตั้ง) + 'มีเทียร์'; ติดตั้ง
Device ลงใน Buffs ที่มี Shield
อยู่ใน Attribute และเป็นธาตุแสง; เวลาคงอยู่บัพ + 60 วินาที , ลดความเสียหาย
Special ลง 20 %; เพิ่มพลังคุ้มครองด้วยรังสีแร่อุกกาบาต]
มิ่งขวัญร่ายสกิลเพิ่มพลังให้กับการป้องกันอีกชั้น
คราวนี้เป็นโล่ป้องกันความเสียหายแบบพิเศษแต่ก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเลย
ดาบนั่นไม่ใช่ทั้งการโจมตีกายภาพแล้วก็แบบพิเศษ
ดูเหมือนดาบดำจะโอบล้อมเข้ามาเร็วขึ้น
บางทีฝ่ายนั้นคงคิดจะเผด็จศึกแล้วล่ะมั้ง
“มาแล้ว”
อิงศรเปรยกับตัวเอง
เขารอจังหวะอยู่ลูกดอกเพลิงเมื่อครู่ไม่ใช่การโจมตีเพื่อหวังผลสังหารแต่ทำไปเพื่อคาดเดาระยะทางจากด้านบนของจุดที่พวกเขาอยู่กันไปจนถึงตัวแฟรนเซียม
“เอาเลยเมอร์คาบาห์ใช้
เมสไซอาร์บัสเตอร์!!”
สิ้นคำลูกไฟยูนิทที่ได้จากการใช้สกิลยิงลูกดอกเพลิงก็ลอยขึ้นไปข้างบน
ทะลุผ่านม่านดาบดำไปหาปีศาจที่เขาสั่งเอาไว้ตามแผนที่เตรียมการล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่ลงมาจากเครื่องทำสวน
วินาทีถัดจากที่ลูกไฟยูนิทหายขึ้นด้านบนดาบดำที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันขาดสะบั้น
บางสิ่งพุ่งดิ่งลงมาและตัดดาบดำขาดได้
นั่นมีเพียงสิ่งเดียว คือดาบของเมอร์คาบาห์ที่รวมกันเป็นใบมีดเสี้ยวพระจันทร์
เมสไซอาร์บัสเตอร์ดิ่งตรงในแนวเฉียงมุ่งหน้าไปหาแฟรนเซียมโดยที่ไม่มีอะไรจะยับยั้งมันได้
ปลายของคมดาบสะท้อนชัดอยู่ในแววตาของราชามนุษย์ต่างดาว
***ต้องขอโทษที่เลทไปมหาศาลด้วยครับ
เนื่องจากคอมฯไรท์มีปัญหากะทันหันทำให้ต้องเอาไปฝากศูนย์วันหนึ่งเต็มๆ
เลยเอาต้นฉบับในเครื่องมาลงไม่ทัน ก็เดินมาเกือบครึ่งทางของภาค
รูทเบรกกันแล้วติดตามกันต่อไปนะครับใกล้ไคล์แมกซ์ล่ะ ทันก่อนสิ้นปีแน่นวล
เจอกันใหม่วันอังคารจ้า***
ความคิดเห็น