ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #175 : Login 172: ความสิ้นหวัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      6
      20 พ.ย. 60

    Login 172: ความสิ้นหวัง

     

                ท่ามกลางสนามรบที่ห้อมล้อมไว้ด้วยเพลิงอันบ้าคลั่งที่ปล่อยออกมาจาก ‘เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์’

                เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์คืออุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อรักษาความเป็นระเบียบของพระเจ้าที่เรียกตัวเองว่าแอดมินิสเทรเตอร์ พวกมันถูกส่งลงมาที่โลกเพื่อทดสอบและพิพากษาสิ่งมีชีวิตซึ่งละเมิดกฎระเบียบหรือทำตัวผิดครรลอง อย่างเช่นมนุษย์ที่สูญเสียความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้าแต่กลับยังทำให้อารยธรรมเจริญรุดหน้าไปแบบผิดธรรมชาติ...นั่นคือสิ่งที่อิงศรรับรู้มาจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับผู้คนรวมถึงการล่วงรู้อดีตที่พวกผู้ใหญ่ในโลกก่อนการล่มสลายได้ก่อบาปเอาไว้

                บาปที่มีชื่อว่าการเลือกทางเดินที่ผิด

                เด็กชายธรรมดาผมสีดำแต่กลับมีหูสุนัขที่ปกคลุมไปด้วยขน สวมเครื่องแบบสีฟ้าตัดขาวแบบเดียวกับเขา เด็กคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์

                “โซเดียอาทิลเรลรี่ฟีเธอร์ !”

                กระสุนแสงรูปขนนกซึ่งเครื่องทำสวนครึ่งคนครึ่งนกสะบัดลงมานั้นมุ่งเป้ามาที่อิงศรแต่โดโกบาร์ก็เข้ามาขวาง โดยการสร้างกำแพงพลังงานที่โปร่งใสปัดป้องกระสุนขนนกออกไป

                “ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกมิ่งขวัญเอ๋ยขึ้นมาตัวข้าสิ จะขอยืมพลังหน่อย”

                โดโกบาร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพูดแบบนั้นก่อนจะหายตัวไป

                และแล้ว...

                โดโกบาร์ก็นำสถานการณ์เป็น-ตาย ความหวัง-ความสิ้นหวัง ลงมาจากฟากฟ้า

                ก้อนอุกกาบาตซึ่งกักเก็บเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์กำลังร่วงหล่นลงมาตรงจุดที่อิงศรกับพวกพ้องยืนอยู่

                “บ..เบ้อเริ้มเลย”

                กวินทร์พูดโดยที่แหงนน้ามองก้อนหินยักษ์บนท้องฟ้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ

                “ชักไม่ดีแล้วนะหนีกันก่อนดีไหม”

                ฟูพูด

                “แล้วจะให้หนีไปไหนกันเล่าแถมใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นหนีไม่ทันแหง”

                มิกซ์พูด คำพูดของหมอนั่นถูกต้องทุกอย่าง

                เส้นผ่าศูนย์กลางของมันราวสามกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย แถมยังตกลงมาด้วยความเร็วของแรงโน้มถ่วง คาดว่าไม่น่าเกินสิบวินาทีก็คงจะหล่นตุ้บใส่พวกเขาแล้ว

                เครื่องทำสวนที่แฟรนเซียมขับอยู่บินถอยออกจากระยะไปเรียบร้อย หมอนั่นเคลื่อนไหวก่อนใครด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของเครื่องทำสวน ส่วนออร์ทิเกสซาร์เครื่องทำสวนรูปสิงโตที่เป็นผู้เผาทำลายชายหาดก็ก้าวถอยหลังแค่ไม่กี่ก้าวก็หลุดจากระยะที่อุกกาบาตจะตกใส่

                พวกมนุษย์ต่างดาวก็ไมได้ก้าวเข้ามาใกล้เลยซักก้าวตั้งแต่ตอนที่พวกเขาปรากฏตัวบนสนามรบหรือแม้แต่ตอนที่แฟรนเซียมออกคำสั่งให้จัดการก็ตาม เพราะออร์ทิเกสซาร์อาละวาดอย่างหนักนั่นเอง

                สรุปว่ามีแต่พวกเขาที่จะโดนทับตายและต่อให้เริ่มคิดหาทางหนีเอาตอนนี้คงจะโดนเก็บเอาง่ายๆ

                “โธ่เว้ย จะทำไงดีล่ะเนี่ย”

                อิงศรเค้นสมองเต็มที่ พยายามนึกเหตุผลที่โดโกบาร์ทำแบบนี้

                จำได้ว่าก่อนเจ้านั่นจะหายตัวไปก็บอกว่าจะหยุดแฟรนเซียมที่ใช้เครื่องทำสวนแล้วบอกให้มิ่งขวัญขึ้นไปบนตัว...หรือว่าจะหมายถึงให้มิ่งขวัญขึ้นไปขับเครื่องทำสวนที่อยู่ข้างในอุกกาบาตนั่น

                “แล้วทำไมต้องเป็นเจ้าขวัญด้วยล่ะฟะ”

                มิ่งขวัญยังไม่เคยมีประสบการณ์ขึ้นขับเครื่องทำสวนเลยทำไมถึงเจาะจงไปที่หมอนั่นทั้งที่ตัวเขาซึ่งเคยขึ้นไปบนตัวดีเซมแมร์น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

                “แล้วที่สำคัญจะให้บอกขวัญมันยังไงให้ขึ้นไปบนนั้นได้ล่ะฟะ”

                ‘ข้ากับเจ้าไม่น่าจะเข้ากันได้น่ะสิ’

                “หา?!”

                มีเสียงเบาเหมือนกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของอิงศร เด็กหนุ่มรู้สึกเช่นนั้นแต่ไม่มีใครมายืนกระซิบอยู่ข้างๆ เขาเลย ที่สำคัญกว่าคือนั่นเป็นเสียงของโดโกบาร์หมายความว่าหมอนั่นส่งกระแสจิตหรือไม่ก็ติดต่อกับเขาด้วยวิธีการอะไรซักอย่าง

                ’ฟันเฟืองเองก็มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันออกไปเพราะผู้ถือครองได้สร้างเอกลักษณ์นั้นไว้ตอนที่รับเอาฟันเฟืองเข้าไป ตัวข้าสามารถจำแนกได้จากกลิ่น กลิ่นฟันเฟืองที่อยู่กับเจ้ามันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยแต่ของมิ่งขวัญนั้นต่างออกไปคนผู้นั้นซื่อตรงกว่าเจ้ากลิ่นอันซื่อตรงนั่นเหมาะสมกับข้าที่สุด’

                พอฟังที่โดโกบาร์ส่งข้อความมาแล้วมันสรุปเป็นใจความง่ายๆ ที่ชวนให้หงุดหงิดไม่น้อยเลยทีเดียว

                “สรุปก็คือจะด่าว่าฉันมันปลิ้นปล้อนรึไง”

                ‘…’

                อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมา เสียงกระซิบเงียบลงไปนับแต่ตรงนั้น

                อิงศรเองก็แหงนหหน้ามองอุกกาบาตอยู่ตลอดเลยเห็นว่าระยะทางเหลืออีกไม่มาก

                “ปัดโธ่เว้ย”

                เขากัดฟันแน่นแล้วจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปหามิ่งขวัญที่อยู่รวมกับพวกกวินทร์ที่ด้านหลัง

                “ขวัญ รีบขึ้นไปบนนั้นเร็ว!”

                น้องชายที่ได้ยินคำพูดของเขาหันมาส่งสายตางุนงงให้

                นึกแล้วเชียวว่ามันไม่ง่ายแต่ก็ไม่มีเวลาจะมาอธิบายแบบค่อนเป็นค่อยไปแล้ว

                อิงศรพยายามเค้นเอาความทรงจำตอนที่เคยขึ้นไปบนดีเซมแมร์ ถึงจะเป็นช่วงที่หมดสติไปแต่ก็พอมีเค้าลางความรู้สึกหลงเหลืออยู่

                “เรียกเฟืองออกมาแล้วนึกภาพว่านายลอยเข้าไปข้างในอุกกาบาตนั่น”

                “แล้วทำไมตัองทำด้วยเล่า?”

                เวลาใกล้จะหมดลงทุกทีอิงศรจึงเปลี่ยนเป็นตะคอก

                “ไม่มีเวลามาถามจุกจิกแล้วว้อยรีบๆ ขึ้นไปได้แล้วเดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดนี่หรอก!”

                น้องชายที่ได้ยินแบบนั้นชักสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

                จะว่าไปแล้วมันจะทำได้ง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือ…อิงศรคิด คิดว่าหากตัวเองเป็นคนที่ต้องขึ้นไปเสียเอง เขาจะใช้คำบอกใบ้เพียงแค่นั้นเพื่อขึ้นไปบนเครื่องทำสวนได้ง่ายๆ เลยหรือ?

                มิ่งขวัญหลับตาลงไปครู่หนึ่งชุดตรงบริเวณเอวก็แยกออกจากกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                “อึก”

                มิ่งขวัญส่งเสียงคราง ผิวหนังบริเวณเอวที่ปรากฏขึ้นตรงส่วนนั้นก็ปริออกเหมือนกับจะฉีกขาด

                ฉัวะ เสียงน่ารังเกียจดังขึ้นฟันเฟืองสีขาวราวกับกระดูกผุดออกมาจากใต้ผิวหนังล้อมรอบเอวของเด็กหนุ่ม

                ดูเหมือนว่าเสื้อเครื่องแบบที่ซีลอร์ดให้มาจะมีระบบสนับสนุนการเอาเฟืองออกมาสินะ…อิงศรวิเคราะห์ดูจากที่เห็นก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมซีลอร์ดถึงได้เสนอให้เปลี่ยนชุด

                ฟันเฟืองเริ่มหมุนจากนั้นร่างของมิ่งขวัญสลายตัวเป็นส่วนๆ เหมือนกับจิ๊กซอร์ลอยขึ้นไปยังอุกกาบาต

                “ทำได้จริงๆ ด้วยเรอะ”

                อิงศรมองขวัญที่ลอยขึ้นไปแล้วก็ได้แต่คิดว่าน้องชายช่างเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเรียนรู้เสียจริง แต่อาจจะเป็นเพราะมีการสนับสนุนจากโดโกบาร์ด้วยก็ได้

                มิ่งขวัญหายเข้าไปในอุกกาบาตแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “ทำไมล่ะ”

                ตอนที่อิงศรพูดอุกกาบาตก็อยู่ห่างจากหัวของเขาไปราวสามเมตร

                จู่ๆ ความเร็วของอุกกาบาตก็ลดลงจนหยุดนิ่ง ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

                “ขวัญ…”

     

                @@@

     

                ภายในค๊อกพิทที่ซ่อนอยู่ข้างในอุกกาบาต

                มิ่งขวัญประกอบร่างกายที่แยกเป็นส่วนขึ้นในห้องคับแคบที่ผนังเพดานและพื้นเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นแต่ฟันเฟืองทองคำรายล้อม

                เด็กหนุ่มสำรวจคัวเองและเห็นว่าฟันเฟืองที่เอวได้ย้ายไปงอกที่บริเวณแผ่นหลังแทน ซึ่งชุดก็แหวกตัวออกเป็นช่องให้ฟันเฟืองผุดออกมาส่วนตรงเอวที่เคยแหวกออกก็เชื่อมติดกันสนิทอีกครั้ง

                ฟันเฟืองที่แผ่นหลังนั้นมีขนาดใหญ่กว่าและหนากว่าคล้ายกับของพี่ชาย

                มิ่งขวัญกวาดตามองไปรอบๆ แต่ขนาดของเฟืองทำให้ขยับตัวได้ไม่มากนักจึงหันแค่หัวมองไปทางด้านหลัง

                ผนังด้านหลังมีช่องที่เจาะเอาไว้เป็นร่องขนาดและรูปร่างพอดีกับฟันเฟืองบนหลัง

                ไม่ต้องใช้เวลาในการตริตรองเลยมิ่งขวัญก็ฟันธงไปแล้วว่านั่นคงจะเป็นกระบอกกุญแจสำหรับสตาร์ทเครื่องจึงถอยหลังเอาฟันเฟืองเสียบเข้าไปในช่องว่างนั่น

                กริ๊ก เสียงใสดังกังวาน ทันทีที่มิ่งขวัญใส่เฟืองเข้าไปสมองก็เหมือนถูกทุบด้วยค้อน

                สติแทบจะหายไปในพริบตาแต่เขาฝืนเอาไว้พยายามจะไม่หลับ พอทำแบบนั้นในหัวก็เริ่มมีภาพแปลกๆ กับเสียงประหลาดดังขึ้นไม่หยุด

                มโนภาพที่มองเห็นนั้นคือเนินหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้ายามรุ่งสาง ความเงียบสงัดไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ ของชีวิตทำให้ที่แห่งนั้นดูน่ากลัวเกินกว่าจะประทับใจกับความงดงามหรือถ้าจะบอกว่านั่นคือความเงียบสงบก็ออกจะเกินไป มันเงียบเชียบราวกับป่าช้าที่น่าขนหัวลุกเสียมากกว่า

                ‘วัชพืชที่ลุกล้ำสวนศักดิ์สิทธิ์จะต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น’

                มีเสียงแบบนั้นดังขึ้นในหัว พอรู้ตัวอีกทีปากของตัวเองก็กำลังขยับแบบนั้นไปด้วย

                “ว…วัชพืช…”

                ดวงตาของเขาแดงก่ำ รู้สึกได้แบบนั้นเพราะทิวทัศน์ที่ตามองเห็นทั้งสวนอันเขียวขจีและห้องบังคับกลายเป็นสีแดง

                ขณะเดียวกันที่ด้านนอก

                หลังจากอุกกาบาตหยุดตกลงมาผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีผิวของอุกกาบาตก็ลอกออกเครื่องทำสวนที่หลบซ่อนอยู่ภายในยื่นศีรษะลงมาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ

                ใบหน้ายื่นยาวเหมือนสุนัข ใบหูตั้งตรง ทั้งหมดนั่นทำขึ้นด้วยโลหะสีเงินมันวาวเฉกเช่นเครื่องทำสวนอื่นๆ

                แล้วเมื่อผิวอุกกาบาตหลุดลอกออกไปจนหมด ร่างของมันก็ประจักแก่สายตาของทุกคนในสนามรบ

                เครื่องทำสวนรูปทรงสุนัข แบกกระบอกปืนใหญ่ไว้ที่ข้างลำตัว ข้างละสองลำกล้อง บนหลังติดตั้งอุปกรณ์คล้ายกับคันชั่งแบบโบราณที่มีจานสำหรับวางสิ่งของสองใบห้อยต่องแต่งด้วยคานเทียบน้ำหนัก

                พอลองสังเกตรายละเอียดแล้วอิงศรก็พอจะนึกเค้าลางของคันชั่งนั่นได้ว่าคล้ายกับบอสของดันเจี้ยน กระจกที่เคยเข้าไปตอนที่ไปเก็บเลเวลกันที่สวนสัตว์

                คันชั่งในตอนนั้นคือโดโกบาร์จริงๆ นั่นแหละแล้วอาวุธที่ทีมของเขาใช้จนถึงปัจจุบันก็คืออาวุธที่โดโกบาร์มอบให้ถ้าอย่างนั้นเมื่อรวมกับชุดที่ซีลอร์ดให้มาอีกเท่ากับว่าพวกเขานั้นใช้ยุทธภัณฑ์ของเครื่องทำสวนทั้งสิ้น

                ...กลายเป็นนักรบที่ต่อสู้ภายใต้นามของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ว่าได้

                อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องทำสวนโดโกบาร์ออกมาจากอุกกาบาตอย่างสมบรูณ์แล้วมันจะยังลอยอยู่บนอากาศต่อไปหรือว่า...

                ไม่ทันที่อิงศรจะได้คาดคะเนเหตุการณ์ข้างหน้า เครื่องทำสวนรูปสุนัขแบกคันชั่งนั่นก็ร่วงหล่นลงมาเหยียบพื้นชายหาด แรงปะทะนั่นส่งให้ทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีที่ขาทั้งสี่ข้างของมันเหยียบลงบนพื้นลอยขึ้นไป

                อิงศรและพวกพ้องรวมถึงพวกราชครูมนุษย์ต่างดาวที่มาเข้าร่วมกับเขาต่างก็ลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศ

                วินด์วาร์ป!”

                เสียงของเน็กส์ เด็กชายซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มดังก้อง พอรู้สึกตัวอีกทีอิงศรก็ลงมายืนอยู่บนพื้นร่วมกับทุกคนโดยที่มีม่านทรายลอยอยู่เหนือศีรษะ

                มหาวาโย!”

                เสียงของเน็กส์ร่ายสกิลดังมาอีก เด็กชายควงไม้เท้าเหนือศีรษะสร้างลมพายุและดาบลำเวทย์รูปเสี้ยวพระจันทร์พัดทรายที่อยู่ข้างบนให้กระจายออกไปช่วยให้ทัศนวิสัยกระจ่างชัดขึ้น

                เน็กส์มอบเดม่อนแอพเมลคีเซเด็คที่ซากิริพัฒนาให้จากลาพาสให้ด้วยโปรแกรมคืนให้กับนรินทร์ไปแล้วดังนั้นจึงตัดเรื่องคำแนะนำของปีศาจออกไปได้เลย น้องเล็กคนนี้อ่านสถานการณ์ได้ด้วยตนเองว่าควรออกหน้าอย่างไรและทำหน้าที่สนับสนุนได้ดีเยี่ยม เขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนั้น

                ทำได้ดีมากเน็กส์

                อิงศรหันไปกล่าวชม เน็กซ์ใบแก้มขึ้นสีแดงเล็กน้อยพลางยิ้มรับอย่างเขินอายเพียงแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวเท่านั้นเด็กชายก็ซ่อนสีหน้านั้นแล้วเปลี่ยนไปทำหน้าจริงจัง

                พี่ศรข้างบน!”

                เน็กส์พูด

                อิงศรหันไปตามที่ว่า ตัวม้าของหมากรุกกำลังเกือบจะหล่นทับใส่เขาแล้วนั่นเอง อิงศรก้าวถอยหลังไปสองก้าวหลบตัวหมากรุกนั่นขณะเดียวกันก็สอดส่องสายตามองข้ามหัวตัวหมากไปยังทิศที่มันกระโจนมา

                รูบิเดียมอยู่ที่นั่น ตัวหมานี่คงเป็นหนึ่งในสกิลแปลกๆ จากอาวุธติดตั้งอสุรา

                หล่อนเป็นเพียงตนเดียวที่ก้าวเข้ามาในวงล้อมนี้ขณะที่มนุษย์ต่างดาวตนอื่นรออยู่ด้านนอกคงถูกสั่งให้คุมเชิงเอาไว้ คงเพราะจุดที่พวกเขาอยู่กันนี่เป็นจุดที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อตอบโต้กับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นการเคลื่อนไหวเพียงลำพังจะทำได้ง่ายกว่าแล้วหล่อนก็เป็นถึงอันดับสามของวงศ์วานต่างดาวที่แข็งแกร่งที่สุด

                ดาบผลึกในมือของรูบิเดียมพุ่งเข้ามาที่คอของอิงศร

                เคร้ง เสียงโลหะแหลมดังก้องจากปะทะกันของใบมีดบนแขนของเมอร์คาบาห์ที่เข้ามาป้องกันให้

                ทูตสวรรค์กับราชินีเอเลี่ยนกำลังยันดาบกันอยู่เบื้องหน้าเขา

                ในตอนนั้นเอง ที่เสียงใสดังกังวานขึ้นในสมอง

                ผมอยู่ตรงนี้ไงอีฟ

                อิงศรจำได้ว่านั่นเป็นเสียงที่เคยพูดผ่านเขาตอนที่พยายามให้กำลังใจนรินทร์ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

                เจ้าของเสียงที่ความจริงคงต้องการสื่อสารกับซีลอร์ด ซึ่งอิงศรคาดเดาเอาไว้ด้วยเหตุผลที่คิดเอาเองว่า

                ...นั่นอาจจะเป็นอดัม หรือ อดาเมียมแล้วก็เป้นตัวจริงของเมอร์คาบาห์

                เหตุที่เป็นอย่างนั้นยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขากับอดัมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งแล้วนั่นก็คือเหตุผลที่มีแต่เขาที่เรียกเมอร์คาบาห์ออกมาได้

                อีฟ...งั้นรอะ

                รูบิเดียมกล่าว บางทีหล่อนอาจจะได้ยินเสียงนั่นด้วย เสียงของเมอร์คาบาห์คงพยายามสื่อสารกับหล่อน ถ้าอย่างนั้นรูบิเดียมคืออีฟที่เหมือนกับตำนานในไบเบิลนั่นรึเปล่า?

                อดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาและกระทำผิดด้วยการละเมิดกินผลของต้นแห่งปัญญาจึงถูกขับไล่ลงจากสวนสวรรค์

                แต่ตัวจริงของรูบิเดียมคือกุมภาที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน

                แต่ว่าตัวเขาเองที่เป็นมนุษย์ก็เชื่อมต่อกับอดัมถ้าอย่างนั้นรูบิเดียมเองก็อาจจะเชื่อมต่อกับอีฟด้วยเหตุผลแบบเดียวกันอย่างนั้นหรือ

                อิงศรได้แต่บอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วหันมาให้ความสนใจกับการตั้งรับรูบิเดียมแทน เขายกหน้าไม้เล็งไปที่รูบิเดียมซึ่งยังคงติดพันกับเมอร์คาบาห์อยู่พลางคิดหาการโจมตีที่จะได้ผลมากที่สุด

                ทว่าในตอนนั้นเอง

                ช่วย..อิง..

                อิงศรกลับได้ยินเสียงลึกลับไม่ทราบที่มา แต่นั่นเป็นเสียงของมีนาอย่างแน่นอน

                เด็กหนุ่มละทิ้งการต่อสู้แล้วหันกลับไปยังทิศที่ออร์ทิเกสซาร์ยืนอยู่

                ช่วยด้วย...คุณ...อิงศร

                เสียงของมีนากำลังร้องขอความช่วยเหลือน่าจะดังออกมาจากข้างในของออร์ทิเกสซาร์

                มีนา

                อิงศรคิดว่า...บางทีจิตใจของมีนาอาจจะตื่นขึ้นมา อาจจะกำลังขัดขืนเครื่องทำสวนอยู่

                อึก...อะไรกันจิตของนางน่าจะไม่...อ๊าก!”

                จู่ ออร์ทิเกสซาร์ก็มีอาการแปลกๆ มันทรุดตัวล้มอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตาเชิดที่สายป่านขาด

                หรือว่าการคาดเดานั่นจะเป็นความจริงกัน

                ความหวังผุดขึ้นมาทันที อิงศรคิดหาวิธีที่จะช่วยมีนาออกมาได้นับไม่ถ้วนจนกระทั่งได้วิธีที่น่าจะได้ผลที่สุดนั่นคือเข้าไปข้างในออร์ทิเกสซาร์แล้วพาหล่อนหนีออกมา

                อย่าไปเชื่อมันนะศร

                เสียงของแฟรนเซียมดังก้องลงมาจากเครื่องทำสวนที่บินอยู่บนท้องฟ้า

                เจ้านั่นมันวิปริตแถมยังเจ้าเล่ห์ฉันจะเตือนนายแค่นี้แหละถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ

                แน่นอนว่าอิงศรไม่เชื่อคำพูดนั้น เป็นไปได้ว่าแฟรนเซียมตั้งใจจะบลัฟเพื่อให้เขาสิ้นหวังและคงเสนอทางเลือกปลอมๆ มาหลอกให้เขาร่วมมือเพื่อช่วยมีนา...แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ

                “…”

                ไม่มีทางเลือกนอกจากลองทำไปก่อน มนุษย์จะเข้มแข็งขึ้นได้ด้วยความผิดพลาด

                อิงศรยึดมั่นในอุดมการณ์นั้นอย่างยากที่จะเชื่อได้ว่าตัวเขาจะมีอุดมการณ์อะไรพรรค์นั้น

                เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังปากของสิงโตที่นอนหมอบอยู่บนพื้นทรายโดยไม่สนใจคำเตือนของราชามนุษย์ต่างดาว อดีตผู้เลี้ยงดูที่เก็บตนไปเมื่อสามปีก่อน อดีตครูฝึกที่สอนให้เขาเป้นคนแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้

                และนั่นคือคำตอบที่ผิดอย่างมหันต์...

                ในตอนที่อิงศรวิ่งไปจนเกือบจะถึงปากของสิงโตแล้วนั่นเอง มันกลับลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงราวกับเรื่องที่มันล้มลงก่อนหน้าเป็นเรื่องโกหก

                ออร์ทิเกสซาร์กล่าวว่า

                ติดกับแล้วสินะผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอ๋ย ความหวังนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อเจ้ามาตั้งแต่แรกแต่มีไว้เพื่อบีบหัวใจเจ้าให้แตกสลายคิดว่าเสียงนั่นคือความหวังอย่างนั้นหรือ

                จากนั้นเสียงของมีนาที่เขาได้ยินเมื่อครู่ก็ดังก้องในสมองอีกเป็นเสียงหัวเราะสมน้ำหน้า

                ช่วยด้วยค่ะคุณอิงศร ช่วยตายไปทีนะคะ

                สรุปก็คือ มันเป็นเสียงที่ออร์ทิเกสซาร์จงใจให้เขาได้ยินอย่างที่แฟรนเซียมเตือนเอาไว้

                แล้วตอนนี้ปากของมันก็เปล่งแสงอันน่าสะพรึงออกมา ลำแสงสีแดงพุ่งใส่เด็กหนุ่มที่โง่เขลา


    ***ช่วงนี้จำนวนหน้าต่อตอนอาจจะน้อยไปบ้างไม่ก็เรื่องไม่ขยับไปไหนต้องขอโทษด้วยครับ ไรท์เองก็เจอทั้งงานแถมยังมีปัญหาสุขภาพเข้ามาอีกเลยทำให้เขียนได้น้อยลงไปด้วยต้องขออภัยจริงๆ ไว้ถ้าอาการดีขึ้นกว่านี้จะปรับปรุงให้กลับไปเหมือนเดิมให้ได้ครับ***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×