คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #175 : Login 172: ความสิ้นหวัง
Login
172: ความสิ้นหวัง
ท่ามกลางสนามรบที่ห้อมล้อมไว้ด้วยเพลิงอันบ้าคลั่งที่ปล่อยออกมาจาก
‘เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์’
เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์คืออุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อรักษาความเป็นระเบียบของพระเจ้าที่เรียกตัวเองว่าแอดมินิสเทรเตอร์
พวกมันถูกส่งลงมาที่โลกเพื่อทดสอบและพิพากษาสิ่งมีชีวิตซึ่งละเมิดกฎระเบียบหรือทำตัวผิดครรลอง
อย่างเช่นมนุษย์ที่สูญเสียความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้าแต่กลับยังทำให้อารยธรรมเจริญรุดหน้าไปแบบผิดธรรมชาติ...นั่นคือสิ่งที่อิงศรรับรู้มาจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับผู้คนรวมถึงการล่วงรู้อดีตที่พวกผู้ใหญ่ในโลกก่อนการล่มสลายได้ก่อบาปเอาไว้
บาปที่มีชื่อว่าการเลือกทางเดินที่ผิด
เด็กชายธรรมดาผมสีดำแต่กลับมีหูสุนัขที่ปกคลุมไปด้วยขน
สวมเครื่องแบบสีฟ้าตัดขาวแบบเดียวกับเขา
เด็กคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
“โซเดียอาทิลเรลรี่ฟีเธอร์
!”
กระสุนแสงรูปขนนกซึ่งเครื่องทำสวนครึ่งคนครึ่งนกสะบัดลงมานั้นมุ่งเป้ามาที่อิงศรแต่โดโกบาร์ก็เข้ามาขวาง
โดยการสร้างกำแพงพลังงานที่โปร่งใสปัดป้องกระสุนขนนกออกไป
“ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกมิ่งขวัญเอ๋ยขึ้นมาตัวข้าสิ
จะขอยืมพลังหน่อย”
โดโกบาร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพูดแบบนั้นก่อนจะหายตัวไป
และแล้ว...
โดโกบาร์ก็นำสถานการณ์เป็น-ตาย
ความหวัง-ความสิ้นหวัง ลงมาจากฟากฟ้า
ก้อนอุกกาบาตซึ่งกักเก็บเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์กำลังร่วงหล่นลงมาตรงจุดที่อิงศรกับพวกพ้องยืนอยู่
“บ..เบ้อเริ้มเลย”
กวินทร์พูดโดยที่แหงนน้ามองก้อนหินยักษ์บนท้องฟ้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“ชักไม่ดีแล้วนะหนีกันก่อนดีไหม”
ฟูพูด
“แล้วจะให้หนีไปไหนกันเล่าแถมใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นหนีไม่ทันแหง”
มิกซ์พูด
คำพูดของหมอนั่นถูกต้องทุกอย่าง
เส้นผ่าศูนย์กลางของมันราวสามกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย
แถมยังตกลงมาด้วยความเร็วของแรงโน้มถ่วง
คาดว่าไม่น่าเกินสิบวินาทีก็คงจะหล่นตุ้บใส่พวกเขาแล้ว
เครื่องทำสวนที่แฟรนเซียมขับอยู่บินถอยออกจากระยะไปเรียบร้อย
หมอนั่นเคลื่อนไหวก่อนใครด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของเครื่องทำสวน
ส่วนออร์ทิเกสซาร์เครื่องทำสวนรูปสิงโตที่เป็นผู้เผาทำลายชายหาดก็ก้าวถอยหลังแค่ไม่กี่ก้าวก็หลุดจากระยะที่อุกกาบาตจะตกใส่
พวกมนุษย์ต่างดาวก็ไมได้ก้าวเข้ามาใกล้เลยซักก้าวตั้งแต่ตอนที่พวกเขาปรากฏตัวบนสนามรบหรือแม้แต่ตอนที่แฟรนเซียมออกคำสั่งให้จัดการก็ตาม
เพราะออร์ทิเกสซาร์อาละวาดอย่างหนักนั่นเอง
สรุปว่ามีแต่พวกเขาที่จะโดนทับตายและต่อให้เริ่มคิดหาทางหนีเอาตอนนี้คงจะโดนเก็บเอาง่ายๆ
“โธ่เว้ย
จะทำไงดีล่ะเนี่ย”
อิงศรเค้นสมองเต็มที่
พยายามนึกเหตุผลที่โดโกบาร์ทำแบบนี้
จำได้ว่าก่อนเจ้านั่นจะหายตัวไปก็บอกว่าจะหยุดแฟรนเซียมที่ใช้เครื่องทำสวนแล้วบอกให้มิ่งขวัญขึ้นไปบนตัว...หรือว่าจะหมายถึงให้มิ่งขวัญขึ้นไปขับเครื่องทำสวนที่อยู่ข้างในอุกกาบาตนั่น
“แล้วทำไมต้องเป็นเจ้าขวัญด้วยล่ะฟะ”
มิ่งขวัญยังไม่เคยมีประสบการณ์ขึ้นขับเครื่องทำสวนเลยทำไมถึงเจาะจงไปที่หมอนั่นทั้งที่ตัวเขาซึ่งเคยขึ้นไปบนตัวดีเซมแมร์น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“แล้วที่สำคัญจะให้บอกขวัญมันยังไงให้ขึ้นไปบนนั้นได้ล่ะฟะ”
‘ข้ากับเจ้าไม่น่าจะเข้ากันได้น่ะสิ’
“หา?!”
มีเสียงเบาเหมือนกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของอิงศร
เด็กหนุ่มรู้สึกเช่นนั้นแต่ไม่มีใครมายืนกระซิบอยู่ข้างๆ เขาเลย
ที่สำคัญกว่าคือนั่นเป็นเสียงของโดโกบาร์หมายความว่าหมอนั่นส่งกระแสจิตหรือไม่ก็ติดต่อกับเขาด้วยวิธีการอะไรซักอย่าง
’ฟันเฟืองเองก็มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันออกไปเพราะผู้ถือครองได้สร้างเอกลักษณ์นั้นไว้ตอนที่รับเอาฟันเฟืองเข้าไป
ตัวข้าสามารถจำแนกได้จากกลิ่น
กลิ่นฟันเฟืองที่อยู่กับเจ้ามันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยแต่ของมิ่งขวัญนั้นต่างออกไปคนผู้นั้นซื่อตรงกว่าเจ้ากลิ่นอันซื่อตรงนั่นเหมาะสมกับข้าที่สุด’
พอฟังที่โดโกบาร์ส่งข้อความมาแล้วมันสรุปเป็นใจความง่ายๆ
ที่ชวนให้หงุดหงิดไม่น้อยเลยทีเดียว
“สรุปก็คือจะด่าว่าฉันมันปลิ้นปล้อนรึไง”
‘…’
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมา
เสียงกระซิบเงียบลงไปนับแต่ตรงนั้น
อิงศรเองก็แหงนหหน้ามองอุกกาบาตอยู่ตลอดเลยเห็นว่าระยะทางเหลืออีกไม่มาก
“ปัดโธ่เว้ย”
เขากัดฟันแน่นแล้วจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปหามิ่งขวัญที่อยู่รวมกับพวกกวินทร์ที่ด้านหลัง
“ขวัญ
รีบขึ้นไปบนนั้นเร็ว!”
น้องชายที่ได้ยินคำพูดของเขาหันมาส่งสายตางุนงงให้
นึกแล้วเชียวว่ามันไม่ง่ายแต่ก็ไม่มีเวลาจะมาอธิบายแบบค่อนเป็นค่อยไปแล้ว
อิงศรพยายามเค้นเอาความทรงจำตอนที่เคยขึ้นไปบนดีเซมแมร์
ถึงจะเป็นช่วงที่หมดสติไปแต่ก็พอมีเค้าลางความรู้สึกหลงเหลืออยู่
“เรียกเฟืองออกมาแล้วนึกภาพว่านายลอยเข้าไปข้างในอุกกาบาตนั่น”
“แล้วทำไมตัองทำด้วยเล่า?”
เวลาใกล้จะหมดลงทุกทีอิงศรจึงเปลี่ยนเป็นตะคอก
“ไม่มีเวลามาถามจุกจิกแล้วว้อยรีบๆ
ขึ้นไปได้แล้วเดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดนี่หรอก!”
น้องชายที่ได้ยินแบบนั้นชักสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
จะว่าไปแล้วมันจะทำได้ง่ายๆ
แบบนั้นเลยหรือ…อิงศรคิด คิดว่าหากตัวเองเป็นคนที่ต้องขึ้นไปเสียเอง
เขาจะใช้คำบอกใบ้เพียงแค่นั้นเพื่อขึ้นไปบนเครื่องทำสวนได้ง่ายๆ เลยหรือ?
มิ่งขวัญหลับตาลงไปครู่หนึ่งชุดตรงบริเวณเอวก็แยกออกจากกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อึก”
มิ่งขวัญส่งเสียงคราง
ผิวหนังบริเวณเอวที่ปรากฏขึ้นตรงส่วนนั้นก็ปริออกเหมือนกับจะฉีกขาด
ฉัวะ
เสียงน่ารังเกียจดังขึ้นฟันเฟืองสีขาวราวกับกระดูกผุดออกมาจากใต้ผิวหนังล้อมรอบเอวของเด็กหนุ่ม
ดูเหมือนว่าเสื้อเครื่องแบบที่ซีลอร์ดให้มาจะมีระบบสนับสนุนการเอาเฟืองออกมาสินะ…อิงศรวิเคราะห์ดูจากที่เห็นก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมซีลอร์ดถึงได้เสนอให้เปลี่ยนชุด
ฟันเฟืองเริ่มหมุนจากนั้นร่างของมิ่งขวัญสลายตัวเป็นส่วนๆ
เหมือนกับจิ๊กซอร์ลอยขึ้นไปยังอุกกาบาต
“ทำได้จริงๆ
ด้วยเรอะ”
อิงศรมองขวัญที่ลอยขึ้นไปแล้วก็ได้แต่คิดว่าน้องชายช่างเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเรียนรู้เสียจริง
แต่อาจจะเป็นเพราะมีการสนับสนุนจากโดโกบาร์ด้วยก็ได้
มิ่งขวัญหายเข้าไปในอุกกาบาตแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมล่ะ”
ตอนที่อิงศรพูดอุกกาบาตก็อยู่ห่างจากหัวของเขาไปราวสามเมตร
จู่ๆ
ความเร็วของอุกกาบาตก็ลดลงจนหยุดนิ่ง ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
“ขวัญ…”
@@@
ภายในค๊อกพิทที่ซ่อนอยู่ข้างในอุกกาบาต
มิ่งขวัญประกอบร่างกายที่แยกเป็นส่วนขึ้นในห้องคับแคบที่ผนังเพดานและพื้นเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นแต่ฟันเฟืองทองคำรายล้อม
เด็กหนุ่มสำรวจคัวเองและเห็นว่าฟันเฟืองที่เอวได้ย้ายไปงอกที่บริเวณแผ่นหลังแทน
ซึ่งชุดก็แหวกตัวออกเป็นช่องให้ฟันเฟืองผุดออกมาส่วนตรงเอวที่เคยแหวกออกก็เชื่อมติดกันสนิทอีกครั้ง
ฟันเฟืองที่แผ่นหลังนั้นมีขนาดใหญ่กว่าและหนากว่าคล้ายกับของพี่ชาย
มิ่งขวัญกวาดตามองไปรอบๆ
แต่ขนาดของเฟืองทำให้ขยับตัวได้ไม่มากนักจึงหันแค่หัวมองไปทางด้านหลัง
ผนังด้านหลังมีช่องที่เจาะเอาไว้เป็นร่องขนาดและรูปร่างพอดีกับฟันเฟืองบนหลัง
ไม่ต้องใช้เวลาในการตริตรองเลยมิ่งขวัญก็ฟันธงไปแล้วว่านั่นคงจะเป็นกระบอกกุญแจสำหรับสตาร์ทเครื่องจึงถอยหลังเอาฟันเฟืองเสียบเข้าไปในช่องว่างนั่น
กริ๊ก
เสียงใสดังกังวาน ทันทีที่มิ่งขวัญใส่เฟืองเข้าไปสมองก็เหมือนถูกทุบด้วยค้อน
สติแทบจะหายไปในพริบตาแต่เขาฝืนเอาไว้พยายามจะไม่หลับ
พอทำแบบนั้นในหัวก็เริ่มมีภาพแปลกๆ กับเสียงประหลาดดังขึ้นไม่หยุด
มโนภาพที่มองเห็นนั้นคือเนินหญ้าเขียวขจี
ท้องฟ้ายามรุ่งสาง ความเงียบสงัดไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ
ของชีวิตทำให้ที่แห่งนั้นดูน่ากลัวเกินกว่าจะประทับใจกับความงดงามหรือถ้าจะบอกว่านั่นคือความเงียบสงบก็ออกจะเกินไป
มันเงียบเชียบราวกับป่าช้าที่น่าขนหัวลุกเสียมากกว่า
‘วัชพืชที่ลุกล้ำสวนศักดิ์สิทธิ์จะต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น’
มีเสียงแบบนั้นดังขึ้นในหัว
พอรู้ตัวอีกทีปากของตัวเองก็กำลังขยับแบบนั้นไปด้วย
“ว…วัชพืช…”
ดวงตาของเขาแดงก่ำ
รู้สึกได้แบบนั้นเพราะทิวทัศน์ที่ตามองเห็นทั้งสวนอันเขียวขจีและห้องบังคับกลายเป็นสีแดง
ขณะเดียวกันที่ด้านนอก
หลังจากอุกกาบาตหยุดตกลงมาผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีผิวของอุกกาบาตก็ลอกออกเครื่องทำสวนที่หลบซ่อนอยู่ภายในยื่นศีรษะลงมาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ใบหน้ายื่นยาวเหมือนสุนัข
ใบหูตั้งตรง ทั้งหมดนั่นทำขึ้นด้วยโลหะสีเงินมันวาวเฉกเช่นเครื่องทำสวนอื่นๆ
แล้วเมื่อผิวอุกกาบาตหลุดลอกออกไปจนหมด
ร่างของมันก็ประจักแก่สายตาของทุกคนในสนามรบ
เครื่องทำสวนรูปทรงสุนัข
แบกกระบอกปืนใหญ่ไว้ที่ข้างลำตัว ข้างละสองลำกล้อง บนหลังติดตั้งอุปกรณ์คล้ายกับคันชั่งแบบโบราณที่มีจานสำหรับวางสิ่งของสองใบห้อยต่องแต่งด้วยคานเทียบน้ำหนัก
พอลองสังเกตรายละเอียดแล้วอิงศรก็พอจะนึกเค้าลางของคันชั่งนั่นได้ว่าคล้ายกับบอสของดันเจี้ยน
กระจกที่เคยเข้าไปตอนที่ไปเก็บเลเวลกันที่สวนสัตว์
คันชั่งในตอนนั้นคือโดโกบาร์จริงๆ
นั่นแหละแล้วอาวุธที่ทีมของเขาใช้จนถึงปัจจุบันก็คืออาวุธที่โดโกบาร์มอบให้ถ้าอย่างนั้นเมื่อรวมกับชุดที่ซีลอร์ดให้มาอีกเท่ากับว่าพวกเขานั้นใช้ยุทธภัณฑ์ของเครื่องทำสวนทั้งสิ้น
...กลายเป็นนักรบที่ต่อสู้ภายใต้นามของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม
เมื่อเครื่องทำสวนโดโกบาร์ออกมาจากอุกกาบาตอย่างสมบรูณ์แล้วมันจะยังลอยอยู่บนอากาศต่อไปหรือว่า...
ไม่ทันที่อิงศรจะได้คาดคะเนเหตุการณ์ข้างหน้า
เครื่องทำสวนรูปสุนัขแบกคันชั่งนั่นก็ร่วงหล่นลงมาเหยียบพื้นชายหาด
แรงปะทะนั่นส่งให้ทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีที่ขาทั้งสี่ข้างของมันเหยียบลงบนพื้นลอยขึ้นไป
อิงศรและพวกพ้องรวมถึงพวกราชครูมนุษย์ต่างดาวที่มาเข้าร่วมกับเขาต่างก็ลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศ
“วินด์วาร์ป!”
เสียงของเน็กส์
เด็กชายซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มดังก้อง
พอรู้สึกตัวอีกทีอิงศรก็ลงมายืนอยู่บนพื้นร่วมกับทุกคนโดยที่มีม่านทรายลอยอยู่เหนือศีรษะ
“มหาวาโย!”
เสียงของเน็กส์ร่ายสกิลดังมาอีก
เด็กชายควงไม้เท้าเหนือศีรษะสร้างลมพายุและดาบลำเวทย์รูปเสี้ยวพระจันทร์พัดทรายที่อยู่ข้างบนให้กระจายออกไปช่วยให้ทัศนวิสัยกระจ่างชัดขึ้น
เน็กส์มอบเดม่อนแอพเมลคีเซเด็คที่ซากิริพัฒนาให้จากลาพาสให้ด้วยโปรแกรมคืนให้กับนรินทร์ไปแล้วดังนั้นจึงตัดเรื่องคำแนะนำของปีศาจออกไปได้เลย
น้องเล็กคนนี้อ่านสถานการณ์ได้ด้วยตนเองว่าควรออกหน้าอย่างไรและทำหน้าที่สนับสนุนได้ดีเยี่ยม
เขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนั้น
“ทำได้ดีมากเน็กส์”
อิงศรหันไปกล่าวชม
เน็กซ์ใบแก้มขึ้นสีแดงเล็กน้อยพลางยิ้มรับอย่างเขินอายเพียงแวบหนึ่ง
แค่แวบเดียวเท่านั้นเด็กชายก็ซ่อนสีหน้านั้นแล้วเปลี่ยนไปทำหน้าจริงจัง
“พี่ศรข้างบน!”
เน็กส์พูด
อิงศรหันไปตามที่ว่า
ตัวม้าของหมากรุกกำลังเกือบจะหล่นทับใส่เขาแล้วนั่นเอง
อิงศรก้าวถอยหลังไปสองก้าวหลบตัวหมากรุกนั่นขณะเดียวกันก็สอดส่องสายตามองข้ามหัวตัวหมากไปยังทิศที่มันกระโจนมา
รูบิเดียมอยู่ที่นั่น
ตัวหมานี่คงเป็นหนึ่งในสกิลแปลกๆ จากอาวุธติดตั้งอสุรา
หล่อนเป็นเพียงตนเดียวที่ก้าวเข้ามาในวงล้อมนี้ขณะที่มนุษย์ต่างดาวตนอื่นรออยู่ด้านนอกคงถูกสั่งให้คุมเชิงเอาไว้
คงเพราะจุดที่พวกเขาอยู่กันนี่เป็นจุดที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อตอบโต้กับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นการเคลื่อนไหวเพียงลำพังจะทำได้ง่ายกว่าแล้วหล่อนก็เป็นถึงอันดับสามของวงศ์วานต่างดาวที่แข็งแกร่งที่สุด
ดาบผลึกในมือของรูบิเดียมพุ่งเข้ามาที่คอของอิงศร
เคร้ง
เสียงโลหะแหลมดังก้องจากปะทะกันของใบมีดบนแขนของเมอร์คาบาห์ที่เข้ามาป้องกันให้
ทูตสวรรค์กับราชินีเอเลี่ยนกำลังยันดาบกันอยู่เบื้องหน้าเขา
ในตอนนั้นเอง
ที่เสียงใสดังกังวานขึ้นในสมอง
‘ผมอยู่ตรงนี้ไงอีฟ’
อิงศรจำได้ว่านั่นเป็นเสียงที่เคยพูดผ่านเขาตอนที่พยายามให้กำลังใจนรินทร์ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
เจ้าของเสียงที่ความจริงคงต้องการสื่อสารกับซีลอร์ด
ซึ่งอิงศรคาดเดาเอาไว้ด้วยเหตุผลที่คิดเอาเองว่า
...นั่นอาจจะเป็นอดัม
หรือ อดาเมียมแล้วก็เป้นตัวจริงของเมอร์คาบาห์
เหตุที่เป็นอย่างนั้นยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขากับอดัมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งแล้วนั่นก็คือเหตุผลที่มีแต่เขาที่เรียกเมอร์คาบาห์ออกมาได้
“อีฟ...งั้นรอะ”
รูบิเดียมกล่าว
บางทีหล่อนอาจจะได้ยินเสียงนั่นด้วย เสียงของเมอร์คาบาห์คงพยายามสื่อสารกับหล่อน
ถ้าอย่างนั้นรูบิเดียมคืออีฟที่เหมือนกับตำนานในไบเบิลนั่นรึเปล่า?
อดัมกับอีฟ
มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาและกระทำผิดด้วยการละเมิดกินผลของต้นแห่งปัญญาจึงถูกขับไล่ลงจากสวนสวรรค์
แต่ตัวจริงของรูบิเดียมคือกุมภาที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน
แต่ว่าตัวเขาเองที่เป็นมนุษย์ก็เชื่อมต่อกับอดัมถ้าอย่างนั้นรูบิเดียมเองก็อาจจะเชื่อมต่อกับอีฟด้วยเหตุผลแบบเดียวกันอย่างนั้นหรือ
อิงศรได้แต่บอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วหันมาให้ความสนใจกับการตั้งรับรูบิเดียมแทน
เขายกหน้าไม้เล็งไปที่รูบิเดียมซึ่งยังคงติดพันกับเมอร์คาบาห์อยู่พลางคิดหาการโจมตีที่จะได้ผลมากที่สุด
ทว่าในตอนนั้นเอง
‘ช่วย..อิง..’
อิงศรกลับได้ยินเสียงลึกลับไม่ทราบที่มา
แต่นั่นเป็นเสียงของมีนาอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มละทิ้งการต่อสู้แล้วหันกลับไปยังทิศที่ออร์ทิเกสซาร์ยืนอยู่
‘ช่วยด้วย...คุณ...อิงศร’
เสียงของมีนากำลังร้องขอความช่วยเหลือน่าจะดังออกมาจากข้างในของออร์ทิเกสซาร์
“มีนา”
อิงศรคิดว่า...บางทีจิตใจของมีนาอาจจะตื่นขึ้นมา
อาจจะกำลังขัดขืนเครื่องทำสวนอยู่
“อึก...อะไรกันจิตของนางน่าจะไม่...อ๊าก!”
จู่
ออร์ทิเกสซาร์ก็มีอาการแปลกๆ มันทรุดตัวล้มอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตาเชิดที่สายป่านขาด
หรือว่าการคาดเดานั่นจะเป็นความจริงกัน
ความหวังผุดขึ้นมาทันที
อิงศรคิดหาวิธีที่จะช่วยมีนาออกมาได้นับไม่ถ้วนจนกระทั่งได้วิธีที่น่าจะได้ผลที่สุดนั่นคือเข้าไปข้างในออร์ทิเกสซาร์แล้วพาหล่อนหนีออกมา
“อย่าไปเชื่อมันนะศร”
เสียงของแฟรนเซียมดังก้องลงมาจากเครื่องทำสวนที่บินอยู่บนท้องฟ้า
“เจ้านั่นมันวิปริตแถมยังเจ้าเล่ห์ฉันจะเตือนนายแค่นี้แหละถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ”
แน่นอนว่าอิงศรไม่เชื่อคำพูดนั้น
เป็นไปได้ว่าแฟรนเซียมตั้งใจจะบลัฟเพื่อให้เขาสิ้นหวังและคงเสนอทางเลือกปลอมๆ
มาหลอกให้เขาร่วมมือเพื่อช่วยมีนา...แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ
“…”
ไม่มีทางเลือกนอกจากลองทำไปก่อน
มนุษย์จะเข้มแข็งขึ้นได้ด้วยความผิดพลาด
อิงศรยึดมั่นในอุดมการณ์นั้นอย่างยากที่จะเชื่อได้ว่าตัวเขาจะมีอุดมการณ์อะไรพรรค์นั้น
เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังปากของสิงโตที่นอนหมอบอยู่บนพื้นทรายโดยไม่สนใจคำเตือนของราชามนุษย์ต่างดาว
อดีตผู้เลี้ยงดูที่เก็บตนไปเมื่อสามปีก่อน
อดีตครูฝึกที่สอนให้เขาเป้นคนแข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้
และนั่นคือคำตอบที่ผิดอย่างมหันต์...
ในตอนที่อิงศรวิ่งไปจนเกือบจะถึงปากของสิงโตแล้วนั่นเอง
มันกลับลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงราวกับเรื่องที่มันล้มลงก่อนหน้าเป็นเรื่องโกหก
ออร์ทิเกสซาร์กล่าวว่า
“ติดกับแล้วสินะผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอ๋ย
ความหวังนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อเจ้ามาตั้งแต่แรกแต่มีไว้เพื่อบีบหัวใจเจ้าให้แตกสลายคิดว่าเสียงนั่นคือความหวังอย่างนั้นหรือ”
จากนั้นเสียงของมีนาที่เขาได้ยินเมื่อครู่ก็ดังก้องในสมองอีกเป็นเสียงหัวเราะสมน้ำหน้า
‘ช่วยด้วยค่ะคุณอิงศร ช่วยตายไปทีนะคะ’
สรุปก็คือ
มันเป็นเสียงที่ออร์ทิเกสซาร์จงใจให้เขาได้ยินอย่างที่แฟรนเซียมเตือนเอาไว้
แล้วตอนนี้ปากของมันก็เปล่งแสงอันน่าสะพรึงออกมา
ลำแสงสีแดงพุ่งใส่เด็กหนุ่มที่โง่เขลา
***ช่วงนี้จำนวนหน้าต่อตอนอาจจะน้อยไปบ้างไม่ก็เรื่องไม่ขยับไปไหนต้องขอโทษด้วยครับ
ไรท์เองก็เจอทั้งงานแถมยังมีปัญหาสุขภาพเข้ามาอีกเลยทำให้เขียนได้น้อยลงไปด้วยต้องขออภัยจริงๆ
ไว้ถ้าอาการดีขึ้นกว่านี้จะปรับปรุงให้กลับไปเหมือนเดิมให้ได้ครับ***
ความคิดเห็น