คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Login 15 : I want level up for you
Login 15 : I want level up for you
เวลาผ่านมาได้อาทิตย์หนึ่งหลังจากการตายของพิพัฒน์
อิงศรถูกสอบสวนในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาให้การไปตามตรงและถูกวินิจฉัยว่าบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาที่อาจจะเป็นคนฆ่าพิพัฒน์ซะเองเพราะมีการตรวจสอบเจอศพของพวกเด็กที่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิอารย-สนธยา ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ที่แน่ๆ คงจะเป็นองค์กรที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้เมตไตรยเพราะสิงห์ก็ดูจะสนอกสนใจกับเรื่องนี้อยู่พอสมควร
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่าเรื่องที่แอพปีศาจเอลิกอร์ทำให้คลั่งไปด้วย
จากการตรึกตรองของอิงศรการชี้แจงเรื่องนี้อาจนำภัยมาสู่ตัวได้ถึงการไม่ขี้แจงจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันก็ตามแต่การเปิดช่องว่างให้สิงห์ก็ดูจะไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก
"คงต้องตามน้ำไปก่อน"
อิงศรสรุปอย่างนั้นขณะเดินอยู่บนทางเท้าที่สองข้างทางห้อมล้อมไปด้วยตึกหอพักท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงในชุดเครื่องแบบทหารฝึกหัด ตั้งแต่เข้ารับการอบรมกับกิลด์ขับไล่ผู้รุกรานเซเวียมาจนบัดนี้ชุดทหารเต็มยศที่ได้รับมาก็ใช้แค่ตอนเข้าประชุมอบรมเท่านั้นเวลางานนอกเหนือจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นชุดทหารฝึกหัด
เมื่ออิงศรเดินมาถึงลานใต้อาคารหอพักชายซึ่งมีลักษณะเป็นลานพื้นซีเมนต์มีเสาค้ำอาคารหลายต้นปักสลับกันไป ตอนนั้นก็มีกลุ่มนักเรียนทหารวิ่งจ๊อกกิ๊งสวนออกไปจากลาน
ที่ใต้อาคารนี้เป็นแหล่งสันทนาการที่ใช้ทั้งรวมตัวกันไปออกกำลังกายหรือใช้จัดกิจกรรมเป็นกลุ่มมีทั้งพวกที่มาซิทอัพวิดพื้นเสริมสร้างร่างกายไปจนถึงพวกที่มาใช้เวลายามว่างในการทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างเช่น การเต้นที่เรียกว่าเบรกแดนซ์ อิงศรมองไปที่กลุ่มเต้นนั่นอย่างสนอกสนใจ ไม่ใช่ว่าเขาชื่นชอบมันหรืออยากจะลองของ แต่ว่าที่นั่นในกลุ่มเต้นมีกวินทร์รวมกลุ่มอยู่ด้วย
กลุ่มเต้นประกอบไปด้วยเด็กหนุ่มรูปร่างทะมัดทะแมงสี่คน ทุกคนใส่กางเกงยีนส์ขาสามส่วนที่เหมือนจะทำเป็นชุดของกลุ่มเพราะมีปักลวดลายเป็นตัวอักษรย่อ 'VR' เอาไว้ และไม่ได้ใส่เสื้อแต่มีเสื้อยืดสีดำที่ปักลวดลายแบบเดียวกันวางกองรวมกันไว้ข้างลำโพงที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่นไฟล์เสียง เพลงที่เปิดเป็นเพลงฮิปฮอปซึ่งเปิดเสียงดังกันพอสมควรแต่เพราะหันลำโพงออกไปทางด้านนอกอาคารและตัวลำโพงก็ตั้งอยู่บริเวณริมๆ ทำให้เสียงดังออกไปด้านนอกไม่สะท้อนเข้ามาจนก้องไปหมดเพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะเป็นการรบกวนคนอื่น
ตอนนี้สามคนในกลุ่มยืนดูกวินทร์เด็กหนุ่มผู้คาดผ้าโพกหัวสีส้มกำลังวาดลวดลายการเต้นอย่างออกรสออกชาติจนไม่ทันสังเกตเห็นอิงศร
กวินทร์ที่เหงื่อท่วมหมุนตัวโดยใช้แค่สองมือสลับกันค้ำพื้นเอาไว้ระหว่างที่เหวี่ยงขาไปรอบๆ ด้วยใบหน้าสนุกสนาน ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญและมีร่างกายที่เพรียบพร้อมขนาดไหนถึงจะทำอย่างนั้นได้ กวินทร์คงชอบการเต้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย
พอเห็นแบบนั้นอิงศรก็ไม่ได้เข้าไปทักเพราะไม่อยากไปขวางความสุขของเจ้าตัวจึงเดินผ่านไปที่บันไดขึ้นหอในทันที
"เร่าร้อนกันจริงนะ"
พึมพำกับตัวเองพลางคิดไปว่าโลกที่ล่มสลายไปแล้วก็ยังคงมีชีวิตชีวาเทียบกับตัวเขาที่ว่างเปล่า มันช่างกลับตาลปัตรสิ้นดี อิงศรเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้ก่อนจะเข้าห้องของตัวเองไป
ภายในห้องนอน ตู้เสื้อผ้าสองตู้ เตียงสองชั้น โต๊ะเก้าอี้สองชุด ทั้งหมดถูกใช้แค่ครึ่งเดียวเพราะห้องคู่นี้อิงศรพักอยู่คนเดียว เด็กหนุ่มถอดชุดฝึกกองทิ้งไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเหลือแค่เสื้อซับในคอวีสีเขียวแล้วเดินตรงไปยังเก้าอี้ล้มตัวลงนั่งหน้าโต๊ะที่กองสุมไปด้วยกระดาษเอกสารและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคที่มีไว้ใช้ทำรายงานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ต้องเขียนรายงานส่งที่ประชุมวันพรุ่งนี้"
เขาพึมพำออกมาจากนั้นก็เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เตรียมทำรายงาน หน้าจอเครื่องกำลังบูท ตัวอักษรมากมายปรากฏขึ้นบนหน้าจอ และในระหว่างที่รอให้เครื่องบูทเสร็จ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นฮาร์โมนิก้าที่วางทับอยู่บนกองเอกสารข้างโต๊ะ มันเป็นฮาร์โมนิก้าที่สิงห์ให้มาเป็นของขวัญต้อนรับเข้ากิลด์
เขาหยิบฮาร์โมนิก้าขึ้นมาพลิกดูสองสามทีก่อนจะวางลงที่เดิม
"ขวัญ..."
แล้วพึมพำโดยไม่ได้ตั้งใจ พอรู้สึกตัวว่ากำลังคิดถึงอดีตเด็กหนุ่มก็ส่ายหัวแรงๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั่นออกไปจนกระทั่งรู้สึกว่างเปล่าตอนนั้นคอมพิวเตอร์ก็บูทเสร็จพอดีหน้าจอเปลี่ยนเข้าสู่เดสท็อป แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะทำงาน อย่างไรก็ดีรายงานแผนจัดทีมจะต้องส่งในเร็ววัน กระนั้นแล้วเขาก็ยังไม่รู้จักทุกคนในทีมดีพอจึงไม่สามารถวางแผนว่าจะให้แต่ละคนทำหน้าที่อะไรได้
ดังนั้นหากเปิดไฟล์ข้อมูลของทุกคนในทีมขึ้นมาอ่านก่อนอาจจะพอช่วยให้มีไอเดียอะไรบ้างว่าแล้วก็เริ่มจากไฟล์ของกวินทร์ที่เพิ่งเจอตัวมาก่อนใครเพื่อน เมื่อเริ่มอ่านไปได้ซักพักอิงศรก็พึมพำออกมาอีก
"กวินทร์ให้เป็นไชนิ่งเอ็นฟอร์สเซอร์ดีไหมนะแล้วบิลด์สกิลแบบนี้..."
พูดพลางลงมือพิมพ์ตามไปด้วย รู้สึกตัวอีกทีเขาก็วางแผนการอัพสกิลให้กวินทร์เสร็จสรรพแต่ทว่า...
ทุกอย่างนั้นเป็นแผนการอัพสกิลแบบเดียวกับที่เขาเคยวางให้มิ่งขวัญ
"ทำบ้าอะไรของเราล่ะเนี่ย"
เขาพูดพร้อมกับกดลบที่เขียนทิ้งไปแล้วเริ่มต้นคิดใหม่อีกครั้ง โดยเอาตัวเองเป็นพื้นในการคิดแผนคราวนี้
อิงศรเป็นเรนเจอร์อาชีพเชี่ยวชาญพิสัยไกลอาวุธถนัดคือธนูซึ่งมีจุดเด่นต่างจากปืนตรงที่ถึงจะยิงช้าแต่ปรับแต่งลูกเล่นพลิกแพลงได้มากกว่าสามารถประยุกต์กับการใช้ระเบิดชนิดต่างๆ ได้แล้วบิลด์สกิลในตอนนี้ก็เป็นคลาสฮันเตอร์ (Hunter) ซึ่งเป็นสายสนับสนุนมากกว่าต่อสู้โดยตรง ถ้าหากว่าปรับไปใช้ปืนที่มีพลังทำลายสูงกว่าและรวดเร็วกว่าก็จะกลายตัวโจมตีของทีมได้เช่นกันแต่จะเสียจุดเด่นไป พอคิดแบบนั้นก็พักอาชีพของตัวเองแล้วเริ่มอ่านข้อมูลของคนอื่นเพื่อเอามาประมวลผล
กวินทร์เด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในทีมเป็นรุ่นน้องของพวกเขาอยู่สองปี กวินทร์มีอาชีพเวพ่อนเอ็นแชนเตอร์แล้วบิลด์สกิลไปสายเอเลเมนทัลเอ็นแชนเตอร์ (Elemental Enchanter) ที่เชี่ยวชาญการโจมตีพลิกแพลงด้วยสกิลธาตุต่างๆ เหมาะจะเป็นตัวโจมตีของทีม
เมษาเพื่อนร่วมทีมที่อายุเท่ากันถึงจะเจอหน้ากันหลายหนแล้วที่ห้องประชุมพลแต่กลับไม่เคยได้คุยกันจริงๆ จังๆ จึงยังไม่รู้นิสัยใจคอแต่จากข้อมูลแล้วพื้นฐานทางร่างกายถือเป็นเลิศเรียกได้ว่าแข็งแรงที่สุดในกลุ่มอาจจะเหมาะเป็นตัวโจมตีอีกคน ด้านสายอาชีพก็เป็น โคลสเซอร์ อาชีพเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดตัวน่าจะต่อสู้ร่วมกับกวินทร์ได้สองคนนี้เหมาะจะอยู่แนวหน้า แต่บิลด์สกิลของเมษานั้นยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดซักเท่าไหร่
'บิลด์คลาสวอยด์ (Void) เป็นสายที่มีสกิลจำพวกเสริมพลังกับปลดการป้องกันของคู่ต่อสู้จะจู่โจมโดยอาศัยสกิลพื้นฐานของโคลสเซอร์เป็นหลัก'
ข้อมูลรายละเอียดเขียนเอาไว้อย่างนั้นเป็นรายละเอียดที่ยากจะนึกภาพตามอาจจำเป็นต้องดูให้เห็นกับตาอีกทีก่อนจึงจะตัดสินใจได้ แต่หากไปขอร้องตรงๆ คงโดนปฏิเสธเป็นแน่เพราะเมษาเหมือนจะไม่ชอบหน้าเขาซักเท่าไหร่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
"เปลี่ยนไปท้าต่อยเอาน่าจะง่ายกว่าล่ะมั้งเนี่ย"
อิงศรบ่นอุบก่อนจะเปลี่ยนไปเปิดไฟล์ข้อมูลของคนสุดท้ายในทีมขึ้นมาอ่าน
มีนาเพื่อนร่วมทีมอายุเท่ากันและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว จากการได้ลองพูดคุยกันแล้วด้านนิสัยไม่ค่อยมีปัญหาน่าเป็นห่วงซักเท่าไหร่ติดก็ตรงที่ว่า...
"ถ้าที่ยัยนั่นแสดงให้เห็นเป็นของจริงล่ะนะ"
เธอคนนี้คอยจับตามองอิงศรตั้งแต่ย้ายไปเรียนห้องคิงแถมยังบอกว่าทำตามคำสั่งของสิงห์อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้นทั้งเธอและเมษาก็เป็นพี่น้องกับสิงห์อีกเท่ากับเป็นคนของตระกูลธุวดารกะ ที่มีเส้นสายอำนาจในองค์กรเป็นไปได้ว่าทั้งคู่อาจจะเป็นคนที่สิงห์ส่งมาเพื่อจับตาดูเขาดังนั้นนิสัยใจคอที่แสดงให้เห็นตอนนี้ก็อาจจะเป็นแค่การแสดงอีกทั้งมีนายังมีอาชีพเป็นซัมมอนเนอร์ ซึ่งเขาเองก็เพิ่งรู้จักและได้ยินมาว่ามันเป็นอาชีพที่แต่เดิมระบบของเกมยังไม่เปิดให้ใช้งานแต่องค์กรก็หาทางแทรกแซงจนเอาออกมาใช้ได้ก่อนแถมยังพ่วงระบบแอพปีศาจเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ดีอิงศรไม่ได้คิดสนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นหากว่าสิงห์อยากจะจับตาดูเขาให้เข้มงวดขึ้นจะด้วยเหตุผลไหนมันก็เป็นเรื่องที่ชินชาไปแล้ว สิ่งที่เขาสนใจอยู่จริงๆ ในตอนนี้คือข้อมูลของมีนาที่ไม่ได้เขียนบอกอะไรเอาไว้เลยนอกจาก
'ฉันถนัดต่อสู้ระยะกลางค่า~'
มันเขียนเอาไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ เพราะเหตุนี้อิงศรจึงพักเรื่องของมีนาไว้ท้ายสุดแล้วเอาแค่ข้อมูลของเขากับอีกสองคนมาวิเคราะห์จากนั้นจึงเริ่มลงมือทำแผนอีกครั้ง
เขาเปิดโปรแกรมจำลองแผนรบแล้วใส่ข้อมูลของแต่ละคนเข้าไปตามแผนที่วางเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นานผลการคำนวณก็ออกมา...
จากแผนการรบที่ออกมาเขาจัดให้กวินทร์เป็นคนออกหน้าในการบุกเพื่อเปิดทาง
ให้เมษาที่มีสมรรถนะทางกายสูงบวกกับที่ได้ยินจากมีนาว่าเคยชกมวยมาก่อนก็อาจจะเชี่ยวชาญการต่อสู้มากกว่าจึงจัดให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยจู่โจมของทีมหรือก็คือคนที่จะตามกวินทร์ที่กรุยทางให้ไปจัดการปิดฉากศัตรูนั่นเอง ส่วนอิงศรหรือตัวเขาเองจะคอยสนับสนุนอยู่แนวหลังและรับหน้าที่ต่อต้านการโจมตีจากระยะไกลไปในตัว
สำหรับมีนาที่ยังไม่รู้ความสามารถจึงจัดให้คอยสนับสนุนอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับเมษาคอยคุ้มกันการโจมตีที่พวกเขาไม่ทันระวังได้
แผนงานออกมาเป็นที่น่าพอใจแต่อิงศรกลับรู้สึกติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง
"ลงท้ายก็เอาเจ้ากวินทร์ไปลงตำแหน่งเดียวกับขวัญจนได้..."
เขาบ่นกับตัวเองอย่างเข้าใจ
เข้าใจว่ายังไม่อาจตัดใจจากอดีตได้ มันเป็นความอ่อนหัดที่คอยถ่วงแข้งถ่วงขาไม่ให้เขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าหรือบางที...
"นี่เรากำลังหาตัวแทนขวัญอยู่รึไง"
บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่พูดไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครแทนที่ใครได้
ณ ห้องโถงกว้างแห่งหนึ่ง
มันเป็นห้องในตึกธุรการมหาวิทยาลัยที่กลายเป็นค่ายทหารของเมตไตรย
ในห้องมีอุปกรณ์ครบครันตั้งแต่จอโปรเจคเตอร์ โต๊ะประชุมแบบยาวที่นั่งหันหน้าเข้าหากันไปจนถึงมุมกาแฟและเครื่องดื่ม
แต่เดิมมันเป็นห้องสำหรับประชุมคณะบริหารแต่ตอนนี้ถูกยึดมาใช้สำหรับจัดการประชุมระดับสูงที่มีแต่คนสำคัญๆ ของเมตไตรยเข้าร่วม แต่ถึงจะบอกว่าเป็นการประชุมสำคัญก็ตามภายในห้องที่กว้างขว้างโอ่อ่าเสียขนาดนี้กลับมีเพียง สิงห์ ธุวดารกะ อยู่เพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมหันหน้าเข้าหาจอโปรเจคเตอร์
ผู้เข้าร่วมที่เหลือนั้นปรากฏอยู่บนจอเล็กๆ หลายสิบอันที่ฉายกับโปรเจคเตอร์ท่ามกลางห้องที่ปิดไฟจนมีแต่แสงจากโปรเจคเตอร์ทำให้ห้องมืดสลัว
บนจอเหล่านั้นเป็นภาพที่ส่งมาจากศูนย์ใหญ่ที่ชลบุรี แต่ละคนที่ปรากฏอยู่ในจอต่างก็เป็นผู้นำของกิลด์ต่างๆ ที่สังกัดกับองค์กรหรือไม่ก็เหล่าผู้มีอำนาจของรัฐบาลที่เป็นอดีตไปแล้ว
ในบรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งหมดนั้นสิงห์มีอำนาจอยู่ในระดับที่สูงกว่าใครหลายคน แต่ก็มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเหล่านั้นถ้าจะมีคนที่อายุไล่เลี่ยหรือเท่ากันพวกนั้นก็คือเหล่าพี่น้องต่างมารดาในตระกูลธุวดารกะ
การประชุมดำเนินไปโดยคนๆ หนึ่งที่ปรากฏอยู่ในกรอบหน้าจอตรงกลางของโปรเจคเตอร์ แต่ภาพในจอนั้นมืดจนมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเพราะจงใจให้เป็นแบบนั้น แต่สิงห์ก็รู้จักคนๆ นั้นเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
คนๆ นั้นคือประธานของการประชุมผู้กุมอำนาจทั้งหมดขององค์กร มกร ธุวดารกะ ผู้นำตระกูลธุวดารกะคนปัจจุบันซึ่งเป็นบิดาของเขาเองรวมถึงมีนาและเมษาด้วย
มกร ธุวะดารกะ ได้เอ่ยถามสิงห์ถึงผลลัพธ์ของการแยกไปตั้งค่ายฝึกกลางเมืองหลวงที่ล่มสลาย
"ตกลงแล้วเรื่องที่ว่าจะไปจับหนูมาเพิ่มน่ะไปถึงไหนแล้ว"
น้ำเสียงของบิดาเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจเป็นน้ำเสียงที่ไม่เปิดช่องว่างให้แทรกได้เลย สิงห์เอ่ยตอบคำถามของบิดากลับไปด้วยท่าทีนอบน้อม
"เป็นไปด้วยดีครับท่านพ่อ"
พูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งไร้อารมณ์แม้จะมีท่าทีนอบน้อมก็ตาม
แล้วผู้เป็นบิดาก็เอ่ยว่า
"งั้นรึ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นเมื่อเป้าหมายบรรลุผลแล้วจงรีบกลับมาที่ศูนย์ใหญ่ด้วยล่ะหวังว่าคงรู้นะว่าวันนั้นกำลังจะมาถึง"
"ครับท่านพ่อ"
สิงห์รับคำอย่างนอบน้อมโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
"ถ้าอย่างนั้นการประชุมหารือก็จบแค่นี้แยกย้ายได้"
แล้วหน้าจอของบิดาก็ดับสนิท จากนั้นหน้าจอของผู้เข้าร่วมคนอื่นก็ทยอยดับลงจนไม่เหลือหน้าจอใดเปิดอยู่อีก
"จะเปิดไฟนะคะ"
มีเสียงดังแว่วมาจากทางด้านหลังเป็นเสียงของหญิงสาว
สิงห์ตอบกลับไปสั้นๆ ว่า
"อืม"
แล้วหลอดไฟในห้องก็เปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน เช่นเดียวกับประตูห้องประชุมที่เปิดออกโดยหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีฟ้าครามมัดรวบปลายผมไว้สองข้างผู้เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่
จากประตูที่เปิดออกนั่นเองกลุ่มผู้เข้าร่วมการประชุมที่แท้จริงของวันนี้ต่างทยอยเดินเข้ามาภายในห้อง
การประชุมที่จัดขึ้นเฉพาะในค่ายแห่งนี้เป็นเรื่องของทางนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์ใหญ่
ผู้เข้าร่วมทุกคนมีทั้งทหารและไม่ใช่ทหารแต่เป็นเหล่าบุคลากรที่มีความสำคัญกับการบริหารค่ายแห่งนี้ ซึ่งในกลุ่มนั้นมี ข้าวหลาม เพื่อนสมัยเด็กและรองหัวหน้ากิลด์เซเวียที่เปรียบเสมือนมือขวาของตนก็รวมอยู่ในนั้น
ทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องแล้วก็จะตรงไปยังที่นั่งของตนเองโดยที่ไม่รอให้สิงห์ ผู้เป็นประธานต้องอนุญาต พวกเขาทำเหมือนกับเป็นเรื่องปกติซึ่งนั่นก็เป็นไปตามที่สิงห์กำหนดเอาไว้เพราะในทุกครั้งที่จัดการประชุมที่ค่ายนี้เขาจะต้องรายงานไปยังศูนย์ใหญ่ในระหว่างนั้นห้ามคนอื่นเข้ามายุ่มย่ามในที่ประชุมเป็นอันขาดเว้นแต่หญิงสาวที่เปิดไฟและประตูห้องประชุมเมื่อครู่เพราะเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขา และเพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาการประชุมอันมีค่าไปกับพิธีรีตองอีกสิงห์จึงสั่งตัดขั้นตอนที่ว่าออกไป
หลังจากผู้เข้าร่วมประชุมนั่งที่โต๊ะครบทุกคนสิงห์ก็สั่งให้หญิงสาวที่เป็นเลขาดำเนินการประชุม
“วิเชียรมาศ”
เขาเรียกชื่อเธอที่มายืนอยู่ข้างๆ
“ค่ะ”
หญิงสาวผงกหัวเล็กน้อยจากนั้นจึงยกเอกสารที่ถืออยู่ขึ้นมาอ่าน
“หัวข้อในวันนี้คือการหามาตรการรับมือเรดบอสเลเวลห้าสิบที่จะเกิดขึ้นที่ค่ายแห่งนี้ในอีกสิบห้าวันข้างหน้า”
“มีข้อมูลของพวกมันรึเปล่า”
สิงห์ถาม
“มีค่ะ เรดนี้เคยเกิดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเมื่อปีก่อนจากที่เราเก็บข้อมูลมาได้ เรดนี้จ่าฝูงสัตว์เทวะจะบุกเข้าโจมตพร้อมกันจากสี่ทิศทางทุกตัวมีเลเวลห้าสิบขึ้นไปแต่ละตัวมีธาตุสังกัดแตกต่างกันและเชื่อว่ามีที่มาจากตำนานสัตว์เทพพิทักษ์สี่ตัวได้แก่ ชิงหลง(Qing Long) จูเชว่(Zhu Que) ไป๋หวู่(Bai Hu) และ เสวียนอู่(Xuan Wu)”
ระหว่างที่วิเชียรมาศอ่านเอกสารการประชุมเพื่อตอบคำถามให้เขา จู่ๆ ก็มีคนพูดแทรกขึ้นมา
“เซย์ริว(Seiryu) สุซาคุ(Suzaku) เบียกโกะ(Byakko) เกนบุ(Genbu)”
ทุกคนในที่ประชุมต่างหันไปมองเป็นทางเดียวกันทางที่เสียงพูดแทรกดังมา
เจ้าของเสียงเมื่อครู่นั้นคือหญิงสาวอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะประชุมอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขาห่างออกไปสามที่นั่ง เป็นสาวเรียบๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้งามหยดย้อยนอกจากผมสีดำมันคลับปล่อยยาวกับชุดเสื้อกาวน์ของกลุ่มนักวิจัยแล้วก็ไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ถ้าจะมีก็คงเป็นใบหน้าของหล่อนที่ออกไปทางชาวต่างชาติซะมากกว่า
“ ที่บ้านเกิดฉันเขาเรียกกันแบบนั้นน่ะเรียงตามลำดับแบบที่เธอพูดมาเมื่อกี้เลยนะ”
หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพลางกอดอกหลวมๆ แล้วยิ้มไปพลาง
“…”
วิเชียรมาศจ้องมองไปที่ใบหน้าของหล่อนราวกับมีอะไรติดอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ความจริงเธออาจจะไม่ได้รู้สึกโกรธที่โดนขัดจังหวะแต่อาจจะกำลังสับสนว่าทำไมจู่ๆ ถึงพูดขึ้นมาแบบนั้นมากกว่าตอนนั้นเองก็มีคนพูดแทรกข้ามมาจากอีกฝั่งของโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่
“หรือแปลไทยเป็นมังกรฟ้า หงส์แดง พยัคฆ์ขาว และ เต่าดำ สินะ”
คนที่พูดขึ้นมาคือข้าวหลามซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหญิงสาวพอดิบพอดี
จากนั้นข้าวหลามก็พูดต่อไปว่า...
“กะอีแค่สัตว์เทวะจะเรื่องมากกับที่มาทำไมนักหนาถ้ามันบุกมาก็อัดมันกลับไปซะก็สิ้นเรื่องเนอะ”
แล้วหันมาทางที่สิงห์นั่งอยู่พลางขยิบตาให้
“…”
สิงห์ไม่ได้หืมไม่ได้อืมกับทีท่าทำเป็นหยอกล้อของข้าวหลามที่จงใจยั่วโมโหใส่หญิงสาว แต่แล้วเธอกลับขึ้นเสียงมาว่า
“ต้องเรื่องมากสิยะ เพราะเป็นสัตว์เทวะนั่นแหละถึงจำเป็นต้องค้นคว้าที่มาของพวกมัน”
ดูเหมือนเธอจะโมโหตามคำยั่วยุของข้าวหลามขึ้นมาจริงๆ แล้วเธอก็พูดต่อไปว่า
“รู้รึเปล่าว่าสัตว์เทวะนั้นมีปริมาณพันธุกรรมแซดเพิ่มขึ้นจากตอนที่พวกมันยังไม่กลายร่างนะแล้วในตัวของสัตว์เทวะระดับจ่าฝูงที่ไม่ได้มาจากการกลายพันธุ์ก็อาจจะมีพันธุกรรมแซดทั้งตัวเลยก็ได้”
“พันธุ...อะไรแซ่ดๆ นะ”
ข้าวหลามตีหน้ามึนหลังจากฟังการร่ายยาวของหญิงสาวที่ฟังดูเป็นเรื่องยากเกินกว่าสมองคนปกติจะทำความเข้าใจได้
“ไม่ใช่แซ่ดๆ พันธุกรรมแซดต่างหากมันเป็นพันธุกรรมที่มีการค้นพบว่ามีอยู่ในตัวของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นการค้นพบก่อนที่โลกจะล่มสลายแล้วก็บางทีนะนี่เป็นแค่สิ่งที่ฉันคาดเดาเอาไว้ว่าพันธุกรรมแซดอาจจะเกี่ยวข้องกับแอพปีศาจด้วยเพราะปัจจุบันการเพิ่มจำนวนของแอพปีศาจจะได้มาจากการผนึกวิญญาณของสัตว์เทวะจ่าฝูงเท่านั้นถ้าหากว่าได้ตรวจสอบพวกระดับจ่าฝูงอย่างจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็จะต้องค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่แน่นอน”
หญิงสาวยังคงพล่ามรายละเอียดที่มีแต่เธอคนเดียวที่เข้าใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ข้าวหลามที่พยายามหาตัวช่วยก็หันมาที่สิงห์ทันทีแล้วยิงคำถามมาว่า
“ยัยนี่เป็นใครกันเนี่ย”
“ซากิริ อามาเนะ เป็นหัวหน้ากิลด์ฝ่ายวิจัยสัตว์เทวะเป็นผู้สร้างฐานข้อมูลกับสเกาท์ติ้งสโคปที่ใช้อ่านข้อมูลของสัตว์เทวะรวมถึงข้อมูลของแอพปีศาจเธอมาจากศูนย์ใหญ่เพื่อขอเข้าร่วมการประชุมด้วยน่ะ”
สิงห์ตอบคำถามโดยรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้แม้ว่าที่ประชุมกำลังจะแปรสภาพเป็นการโต้วาทีเรื่องสัตว์เทวะไปแล้วก็ตาม
พอได้คำตอบแล้วข้าวหลามก็พูดว่า
“อ๋อ เป็นคุณด็อกเตอร์จากยุ่นปี่นี่เองแล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะเรามาประชุมยุทธวิธีนะไม่ใช่งานสันนิบาตคนรักสัตว์เทวะ”
แล้วบ่นต่อพลางทำปากยื่นด้วยความรำคาญ
ซากิริพูดขัดคำพูดนั่นว่า...
“ผู้ช่วยศาสตราจารย์ต่างหากฉันยังเรียนไม่จบ ป.เอก หรอกนะเพราะโลกดันแตกซะก่อนระหว่างที่มาทำงานวิจัยที่ประเทศนี้”
ข้าวหลามจึงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงยียวน
“แล้วตกลงคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์มาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบครับ”
พอถูกถามอย่างนั้นหล่อนก็ชายตามองมาที่สิงห์
“เพราะว่าฉันอยากจะขอเข้าร่วมสังเกตการณ์วันที่เกิดเรดบอสที่ว่าหน่อยน่ะเพราะที่ผ่านมาทางเราไม่เคยขอตัวอย่างจากกิลด์ขับไล่ผู้รุกรานได้เลย”
แล้วพูดเป้าหมายออกมาอย่างง่ายดาย
“แหงล่ะก็เราต้องเอาไปทำแอพปีศาจนี่ไม่มีเวลามาสนใจว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไรมาจากไหนหรอกถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่าในสนามรบมันมีอยู่แค่นั้นแหละ”
สิงห์ยกมือขึ้นเพื่อปรามทั้งสองที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“เรื่องปะทะฝีปากนั่นเอาไว้ทีหลังวิเชียรมาศว่าต่อไปซิ”
แล้วสั่งให้เลขาดำเนินการประชุมต่อ
“ค่ะ สำหรับการประเมินจำนวนทรัพยากรกลยุทธ์ขอให้ผู้ที่รับผิดชอบแจ้งผลแก่ที่ประชุมด้วยค่ะ”
สิ้นเสียงชายในชุดทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดไปจากข้าวหลามก็ลุกขึ้นพูด
“จากการคาดการณ์พลังของสัตว์เทวะเทียบกับจำนวนทรัพยากรคนในค่ายแห่งนี้แล้วเรายังต้องการกำลังรบเลเวลหกสิบอีกสี่คนเป็นอย่างน้อยครับเพราะอาทิตย์ก่อนเราเสียกำลังรบไปกับเหตุการณ์ที่มนุษย์ต่างดาวโจมตีชั้นเรียนพิเศษ”
เหตุการณ์ที่ห้องคิงถูกโจมตีสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่พอสมควรถึงอิงศรที่เขาส่งไปอยู่ห้องคิงในวันนั้นจะช่วยระงับไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้แต่พวกครูฝึกการต่อสู้ก็ตายหมด จึงไม่น่าแปลกที่จะขาดกำลังรบในตอนนี้
ตอนนั้นข้าวหลามก็ถามขึ้นในที่ประชุมว่า...
“แล้วเรามีคนที่เลเวลใกล้เคียงกับหกสิบอยู่กี่คนกันแล้วล่ะส่งพวกนั้นไปเก็บเลเวลก่อนเลยน่าจะเร็วที่สุด”
ความคิดของข้าวหลามเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายๆ แค่เลือกทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่กำหนดแต่นั่นเป็นแนวคิดที่ตื้นเขินเกินไปหน่อย
ชายผู้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวได้พูดขัดคำพูดของข้าวหลาม
“ทำแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ครับถ้าเราไม่เพิ่มกำลังรบจากกลุ่มคนที่มีเลเวลเฉลี่ยนอยู่ที่สี่สิบต้นๆ ค่าสัมประสิทธิ์ของกำลังรบก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นครับ”
จากนั้นก็มีเสียงถกเถียงสับเปลี่ยนกันไปมาจากทั้งโต๊ะประชุม
“จากเลเวลสี่สิบกว่าเป็นหกสิบในสองสัปดาห์เนี่ยนะจะไปทันได้ยังไงเล่า”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นเก็บเลเวลของพวกกลุ่มเฉลี่ยสี่สิบให้ขึ้นไปถึงเลเวลห้าสิบก็น่าจะลดความเหลื่อมล้ำลงไปได้ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเลเวลแค่ห้าสิบน่ะไม่พอหรอกครับเราต้องการเลเวลหกสิบเพราะต้องการกำลังรบที่สามารถจู่โจมหนักหน่วงได้การจะทำแบบนั้นได้ก็มีแต่ต้องเรียนสกิลไม้ตายที่เรียนได้ตอนเลเวลหกสิบขึ้นไปเท่านั้น”
“แบบนั้นไม่ไหวหรอกมั้งต้องเก็บเลเวลหามรุ่งหามค่ำกันต่อให้ทันเวลาก็เถอะแต่คนเก็บคงหมดแรงไปสู้แล้วล่ะตอนนั้นน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำยังไงล่ะ”
“อย่ามาถามทางนี้สินั่นน่ะเป็นเรื่องที่ฝ่ายกลยุทธ์ต้องไปคิดไม่ใช่เหรอ”
“อย่ามาโยนกันอย่างนี้สิใช่ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนเอาดื้อๆ ได้ซักหน่อยของมันไม่พอก็คือไม่พอไงหัดคิดถึงความเป็นจริงกันบ้างเซ่”
หลังจากถกเถียงกันมาซักพักคำพูดในที่ประชุมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการโต้เถียงและโทษกันไปมาเหล่าคนธรรมดาไร้ความสามารถที่ไม่อาจจะคิดหาทางด้วยตัวเองได้เหล่านี้มารวมตัวกันเพื่อหาทางออกเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์สิงห์คิดเช่นนั้น
เขาถอนหายใจ อย่างไรเสียก็คาดคิดเอาไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาแบบนี้จึงไม่ได้คาดหวังกับการประชุมนี้ตั้งแต่แรก เขามองเลเวลเหนือศีรษะของคนธรรมดาที่อยู่กันเกลื่อนโต๊ะประชุมด้วยสายตาเอือมระอา
นอกจากเขากับข้าวหลามที่มีเลเวลเก้าสิบกันอยู่สองคนแล้วที่เหลือก็เป็นพวกดาดๆ ที่มีเลเวลแค่สี่สิบถึงห้าสิบแต่เลเวลพวกนี้ก็แค่เก็บกันมาช่วงก่อตั้งค่ายพอมาจนถึงป่านนี้แล้วเจ้าพวกนั้นก็เอาแต่ทำงานบริหารไปวันๆ จนฝีมือต่อสู้ฝืดกันไปหมดแถมยังไม่ได้เตรียมใจจะออกไปรบด้วยตัวเองอีกแล้ว ฝีมือในตอนนี้เทียบกับพวกนักเรียนในห้องคิงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเพื่อจบการประชุมที่ไร้สาระพรรค์นี้สิงห์จึงทุบมือลงกับโต๊ะเพื่อให้ที่ประชุมหยุดโต้เถียงกัน
“....”
ความเงียบก่อตัวขึ้นปกคลุมบรรยากาศของที่ประชุม ทุกคนต่างหันมาที่เขาโดยพร้อมเพรียง
“ทำให้เลเวลสี่สิบเป็นหกสิบให้ได้สี่คนสินะเดี๋ยวชั้นจะจัดการเองไปเตรียมการตามแผนมาให้พร้อมซะ”
ที่ประชุมเกือบทั้งหมดแทบจะไม่เชื่อคำพูดของเขา เพราะมันเป็นไปไม่ได้แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านเพราะกลัวหรือไม่ก็อยากจะดูว่าพลเอกอายุน้อยผู้นี้จะทำตามที่ลั่นวาจาได้หรือไม่จะอย่างไหนสิงห์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอยู่ดี
จากนั้นการประชุมก็ดำเนินต่อไปในขั้นของแผนการ
และยังคงดำเนินไปจนกระทั่งจบการประชุมโดยที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของสิงห์อีก
บ่ายวันหนึ่ง...
ในที่ประชุมอบรมของกิลด์เซเวีย...
ก่อนที่การอบรมจะเริ่มขึ้นสิงห์ซึ่งยืนอยู่หน้าห้องก็ได้ประกาศผ่านไมค์ว่า
“ทีมอิงศร”
แล้วจ้องไปยังกลุ่มของอิงศร กวินทร์ มีนาและเมษา ที่นั่งกระจุกกันอยู่ในแถวที่นั่งโต๊ะเรียน
อิงศรที่เป็นหัวหน้าลุกขึ้นยืนเอามือไปไขว้ไว้ข้างหลังในท่าระเบียบพักและรอคำสั่งอยู่
“พรุ่งนี้เป็นต้นไปไม่ต้องมาประชุมอบรมอีก ให้พาทีมออกไปเก็บเลเวลจนกว่าจะเลเวลหกสิบทุกคน ชั้นให้เวลาสิบสามวัน”
คำสั่งของสิงห์ไม่เพียงสะกดกลุ่มของผู้ถูกสั่งแต่ทุกคนที่เข้ารับการอบรมต่างก็พากันตกตะลึงกับเนื้อหาของคำสั่งที่ยากจะทำตามได้
“ไม่ไหวหรอกกลุ่มพวกเราเลเวลแค่สี่สิบกว่าๆ เองให้เก็บเพิ่มสิบกว่าเลเวลในสองอาทิตย์มันเป็นไม่ได้หรอก!”
เมษาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นประท้วง
จากนั้นมีนาก็พูดขึ้นว่า
“เป็นคำสั่งที่กะทันหันน่าดูเลยนะคะเนี่ย”
แล้วถามคำถามพลางส่งสายตาเจ้าเล่ห์
“หรือว่าท่านพลเอกมีแผนอะไรอย่างนั้นหรือคะ”
เธอเรียกพี่ชายว่า ‘พลเอก' ในเวลาที่เป็นทางการ
และในขณะที่ทุกคนกำลังอยากรู้เหตุผลของคำสั่ง กวินทร์กลับ...
“แผนที่ว่านี่หมายถึงวิธีช่วยเก็บเลเวลหรือเปล่าครับ”
ถามเอารายละเอียดคำถามของมีนาแทนซึ่งก็ไม่มีใครตอบมันกลับมาเขาจึงเงียบเสียงไปเอง
“…”
มีคนเดียวที่ยังไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรนั่นคืออิงศรเด็กหนุ่มกะจะรอดูทีท่าก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเคลื่อนไหวตอนนั้นเองสิงห์ก็ตอบกลับคำถามของมีนา
“อีกสิบสามวันจะเกิดเรดบอสเลเวลห้าสิบที่ค่ายนี่ กำลังรบของเราไม่เพียงพอจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลหกสิบสี่คน”
สิงห์ตอบแบบเรียบเรียงเหตุและผลให้เสร็จสรรพแต่กลับไม่ได้พูดถึงวิธีการที่จะทำเป้าหมายให้บรรลุผลออกมาด้วย
“แต่ว่ามีวิธีที่จะทำให้เก็บเลเวลได้เร็วขนาดนั้นอยู่ใช่ไหมคะ”
ใบหน้าของมีนาเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาแววตาเองก็ฉายแต่ความกังวล ดูเหมือนว่าหล่อนเริ่มจะคาดเดาสถานการณ์ที่แท้จริงได้เอง
“นั่นเป็นเรื่องที่หัวหน้าทีมต้องไปคิดเอาเอง”
สิงห์ตอบกลับมาเรียบๆ
“หมอนี่ทำไม่ได้หรอก”
เมษาแย้งในทันทีที่ได้ยินซึ่งสิงห์ก็ตอบกลับแบบไม่แยแสเช่นกันว่า
“ถ้ากลับมาโดยที่เลเวลไม่ถึงหกสิบทุกคนชั้นจะโยนพวกแกไปเป็นอาหารของสัตว์เทวะไม่ได้พูดเล่นด้วยนะ”
แววตาของสิงห์บอกว่าเอาจริงเขาจะทำตามอย่างที่พูดแน่นอนแม้ว่านั่นจะหมายถึงน้องสาวกับน้องชายของตนจะต้องตกเป็นเหยื่อของคำพูดนี้ด้วยก็ตาม
ทั้งมีนา เมษา และกวินทร์ต่างก็พากันหน้าซีดไปตามกันความเครียดของทั้งสามคนนั้นแผ่ออกมาชนิดที่คนรอบข้างแค่มองก็เดาความรู้สึกได้
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังมีคนที่หัวเราะอยู่อิงศรคือคนที่ว่าและกำลังหัวเราะขึ้นจมูก
“เฮอะอีหรอบนี้ไงๆ ก็จะเอาให้ได้สินะ”
เขาพูดอย่างชินชาราวกับว่าเคยถูกพูดขู่แบบนี้มาหลายครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วอิงศรเข้าใจว่านั่นไม่ใช่คำขู่แต่เป็นสิงที่ลั่นวาจาแล้วทำตามจริงๆ ในชีวิตการฝึกฝนสามปีกับสิงห์นั้นไม่มีซักครั้งที่คนๆ นี้จะพูดขู่เล่นๆ เขาเคยทำพลาดจนถูกลงโทษตามที่ว่าแต่ก็ยังเอาชีวิตรอดกลับมาได้ด้วยการสังหารสัตว์เทวะที่จะจับเขากินซึ่งถ้าครั้งนี้ทำได้แบบนั้นก็คงจะไม่ต้องกังวลอะไรเพียงแต่...
อิงศรจ้องมองไปที่ดวงตาของสิงห์ สาเหตุที่เขาเงียบไว้และไม่พูดอะไรเลยจนกระทั่งตอนนี้ก็เพราะเขาสังเกตได้ถึงความผิดแปลกไปจากทุกทีเขารู้สึกได้ว่าในครั้งสิงห์กำลังคาดหวังกับตัวเขาอยู่ถึงขนาดลากทั้งมีนาและเมษามาพัวพันด้วยราวกับจะบอกว่าครั้งนี้เดิมพันไม่ใช่แค่ชีวิตของเขาเท่านั้นแต่มันเกี่ยวพันกับอีกหลายชีวิตดังนั้นจะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นอิงศรจึงลองตอบรับความคาดหวังนั้นดูแม้จะยังไม่เข้าใจก็ตาม
“เอาเถอะจะหาทางดูก็แล้วกัน”
พอตอบไปแบบนั้นทุกคนก็พากันทำหน้าตาตื่นเหมือนกับจะถามว่า ‘ทำได้ด้วยเหรอ?’
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือแม้แต่สิงห์ก็ยังถาม
“ทำได้ใช่ไหม”
นั่นแปลว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง...
สิงห์วางเดิมพันเอาไว้กับเขาจริงๆ พอคิดแบบนั้นแล้วแทนที่จะรู้สึกเครียดหรือกังวลกลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อยทั้งที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
อิงศรหัวเราะแล้วตอบกลับด้วยใบหน้าที่ดูสดใสเล็กน้อย
“ฮะฮะฮะ ก็ไม่เคยมีทางให้เลือกอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
คืนนั้น
ที่ห้องของอิงศร
เด็กหนุ่มพึ่งจะเสร็จจากการหาข้อมูลเพื่อเตรียมแผนเก็บเลเวล
เพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงานจึงเอนกายพิงหลังกับพนักเก้าอี้เพื่อผ่อนคลายและดื่มดำกับความสะดวกสบายเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่วันพรุ่งนี้จะต้องออกไปตรากตรำเก็บเลเวลกันหลังขดหลังแข็ง พลางทอดสายตามองไปรอบโต๊ะข้างหน้า
และแล้วสายตาก็จับจ้องไปยังฮาร์โมนิก้าที่สิงห์ให้มา
เขาจ้องมันด้วยความรู้สึกลังเลในระหว่างนี้เองทำนองที่เคยสอนให้ขวัญก็บรรเลงขึ้นมาในหัว
รู้สึกตัวอีกทีเขาก็กำลังฮัมเพลงด้วยทำนองที่ว่าอยู่
“ช่วยไม่ได้แฮะก็อุตส่าห์ให้มาทั้งที”
เขาพึมพำกับตัวเองแล้วยื่นมือไปคว้าเอาฮาร์โมนิก้ามาจากโต๊ะและเป่ามัน ขับขานมันออกมาเป็นทำนองที่สมบูรณ์แบบไม่มีเสียงเพี้ยนผิดคีย์
ค่ำคืนนั้นทำนองเสียงของฮาร์โมนิก้าที่ลอยไปตามสายลม
ทำนองเสียงจากสองสถานที่ราวกับจะเพรียกหากัน
พวกมันจะล่องลอยจนมาบรรจบกันและจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อถึงตอนนั้นแล้วโลกใบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปหรือจะล่มสลายอย่างสิ้นซาก
ทั้งความตั้งใจที่จะไม่ก้าวเดินต่อไปเพราะกลัวที่จะเปลี่ยนแปลงกลัวที่จะต้องสูญเสียที่อยู่แห่งสุดท้ายไปหากว่าตนเปลี่ยนแปลง
ทั้งความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างที่อยู่ของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อถึงตอนนั้นทางเดินที่แตกต่างนี้จะแสดงคำตอบออกมาอย่างไร?
ณ รูนรูม เด็กหนุ่มผู้ถูกลืมเลือนก็ยังคงอยู่ที่นั่น
คอยจับตาดูละครที่มีชื่อว่าชะตากรรมแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ทั้งที่เป็นทำนองเดียวกันแต่กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
พลางยิ้มแสยะด้วยความปลาบปลื้ม
"เอาล่ะละครที่มีชื่อว่าชะตากรรมได้เบิกม่านขององค์ที่สองขึ้นมาแล้วจากนี้ไปการโหมโรงสู่ตอนจบกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้เมื่อถึงตอนนั้นพวกเธอมนุษย์ทั้งหลายจะแสดงความตั้งใจแบบใดออกมากันนะ"
ความคิดเห็น