คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #158 : Login 155: คำตอบของอิงศร
Login
155: คำตอบของอิงศร
หลังจากได้ฟังสิ่งที่ซีลอร์ดพูดมาซักพัก อิงศรกับเมษาก็เดินเข้ามาหากลุ่มที่กระจุกกันอยู่รอบตัวซีลอร์ด
อิงศรถาม
“นี่อยากจะบอกว่าพวกเราที่อยู่ตรงนี้ควรจะเป็นศัตรูกันอย่างนั้นเรอะ”
“ก็ไม่รู้สินะ”
นั่นแปลว่า
‘ก็ทำนองนั้น’ ช่วงหลังมานี้อิงศรเริ่มจับทางคำพูดของซีลอร์ดได้บ้างแล้ว
“แล้วยังอยากจะฟังต่อรึเปล่า”
คำถามนั้นทำให้อิงศรหันไปมองพวกพ้อง
ใบหน้าของทุกคนต่างก็หวั่นไหวไปกับคำพูดของหมอนั่นกันหมด
ถ้าสรุปเอาแค่ที่ฟังมาเมื่อกี้
นรินทร์ก็เป็นศัตรูกับกวินทร์และเมษาไปแล้ว
ครอบครัวของสองคนนั่นพรากเอาครอบรัวของนรินทร์ไป
ไหนยังจะมีเรื่องที่พ่อแม่ของเขาปกปิดเรื่องตัวทดลองอัญเชิญเมอร์คาบาห์ที่ถูกต้องนั่นอีก
พอลองนึกย้อนถึงเอกสารซึ่งเจอในฐานทัพใต้ดินของอารย-สนธยาแล้วก็พอจะจินตนาการเรื่องราวของการแก่งแย่งชิงอำนาจก่อนโลกจะล่มสลายออกมาได้
หากลองเรียงลำดับเหตุการณ์ดูแล้ว…
พ่อกับแม่ของเขาทำงานให้กับอารย-สนธยามาก่อนจากนั้นก็ขายข้อมูลให้ตระกูลธุวดารกะซึ่งน่าจะถูกบงการโดยพวกเทวทูตมาตั้งแต่ตอนนั้น
ข้อมูลที่พ่อกับแม่ขายให้คือเดม่อนแอพพลิเคชั่นที่มีนาบอกว่าแตกต่างจากที่พวกเขาใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นของที่มีไว้เพื่อเรียกปีศาจรึเปล่า
ถ้าอย่างนั้นปีศาจที่ว่าก็คือ
“…”
อิงศรเหลือบสายตามองไปที่เมอร์คาบาห์
ค่อนข้างชัดเจนและเข้าเค้าที่สุดแล้วถ้าเดม่อนแอพที่พ่อกับแม่มีส่วนร่วมในการสร้างคือการอัญเชิญเมอร์คาบาห์
เพราะแบบนั้นสิงห์ถึงมายุ่งกับเขา
เพราะแบบนั้นมนุษย์ต่างดาวราชครูถึงได้หมายหัวเขากับมิ่งขวัญน้องชาย
มาโดยตลอดซึ่งเหตุผลที่แท้จริงนอกจากเฟืองที่มีอยู่กับตัวแล้วถ้าสิงห์คือแฟรนเซียมจริงก็คงจะออกคำสั่งตามล่าจากทางฝั่งนั้นด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
แล้วมันคืออะไรกันล่ะ? จุดประสงค์ที่ว่านั่น
“สรุปแล้วทุกอย่างเป็นเพราะสิงห์ต้องการเมอร์คาบาห์อย่างนั้นสินะ
ถ้างั้นทั้งเรื่องที่อารย-สนธยานี่รวมถึงสงครามของมนุษย์กับเอเลี่ยนนั่นก็เป็นการทำเพื่อให้ได้เมอร์คาบาห์มาอย่างนั้นสิ”
”มันก็เป็นอย่างที่เธอว่านั่นแหละนะ”
“แต่แบบนั้นมันไม่ขัดแย้งกันเองไปหน่อยเหรอ
ทั้งที่หมอนั่นก็ได้ตัวฉันไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วทำไมยังต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนี้อีก”
“เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง”
“ถึงสิงห์จะเป็นแฟรนเซียมแต่ก็ใช่ว่าเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองทุกคนจะยอมรับดังนั้นเรื่องที่มีอีกโฉมหน้าเป็นมนุษย์นั้นจึงไม่เคยมีใครล่วงรู้อีกนอกจากกุมภาที่เป็นรูบิเดียมซึ่งมีสถานะเหมือนกัน”
หมอนั่นบอกว่าสิงห์กับกุมภาเหมือนกัน
หมายความว่าสองคนนั่นเคยเป็นมนุษย์ก่อนจะกลายเป็นเอเลี่ยนกันทั้งคู่สินะ
“แล้วไหนยังจะมีเหล่าสาวกของยฮวฮอีกพวกนั้นก็ต้องการเมอร์คาบาห์เหมือนกัน”
พอได้ฟังแบบนั้นอิงศรก็เริ่มจะเข้าใจเหตุผลของมันได้เอง
หากประเมินดูแล้วสภาพของสงครามแบบนี้ทำให้ซ่อนข้อมูลข่าวสารได้ดีกว่าเพราะความสนใจส่วนใหญ่จะไปทางนั้นกันหมด
“แล้วก็อารย-สนธยาที่พวกเธอต่อสู้มาตลอดทั้งคืนนี่ก็เป็นบททดสอบที่สิงห์เตรียมเอาไว้
เป็นบททดสอบที่มั่นใจได้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ว่าเธอจะก้าวข้ามมันและทำให้เมอร์คาบาห์ถูกอัญเชิญออกมา”
“งั้นอารย-สนธยาก็เป็นของสิงห์ด้วยน่ะสิ”
ถึงตรงนี้เองอิงศรก็เริ่มนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน
การทรยศของข้าวหลามนั่นบางทีอาจจะเป็นการจัดฉากด้วย
“แล้วเข้าซีเซียมที่อยู่อันดับสองล่ะหมอนั่นก็ทำงานให้สิงห์ด้วยรึเปล่า”
นี่เป็นเพียงคำถามนำเท่านั้น
คำถามต่อไปที่อยากจะถามจริงๆ ก็คือข้าวหลามที่ถูกซีเซียมฆ่าไปตอนที่พวกเขาเข้ามาในพระเจดีย์นั้น…
“ถ้าเป็นอนันตากับมนุษย์ที่มีตักษกะสิงสู่ร่างอยู่ล่ะก็มันหนีไปนานแล้วล่ะ”
โดโกบาร์พูดขัดขึ้นมา
“งั้นไอ้ฉากระเบิดตัวตายเหมือนหนังฮีโร่ที่เจ้าซีเซียมมันทำให้พวกเราเห็นก็เป็นกลลวงงั้นสิ”
โดโกบาร์พยักหน้าให้คำถามนั้น
“ตอนนั้นพวกมันคงยังไม่รู้ว่าข้าได้สติแล้วเท่าที่พอจะจับความได้ตักษะเหมือนจะกลับไปหาแฟรนเซียมแล้ว”
งั้นป่านนี้ก็คงอยู่กับสิงห์ที่สนามรบซึ่งเตรียมการทดลองฟันเฟืองไปแล้ว
ตอนนั้นเอง
เมษาก็พูดแทรกขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนนะ
พวกนายชักจะคุยกันเร็วเกินไปละ พวกฉันตามไม่ทันแล้วนะเนี่ย”
“ไว้เดี๋ยวฉันจะเล็คเชอร์ให้พวกนายทุกคนทีหลังน่า”
อิงศรบอกปัดไปด้วยความรำคาญ
ตอนนี้เขาอยากฟังเรื่องราวจากซีลอร์ดให้มากกว่านี้
อยากจะได้ข้อมูลเพิ่มอีกซักนิดหน่อยก็ยังดี
แต่เมษาไม่ยอมเลิกลาแล้วถามตื้อมาอีก
“แล้วนายเชื่อที่เจ้านี่พูดหมดเลยเหรอเรื่องพี่สิงห์เป็นเอเลี่ยนมั่งล่ะ
เรื่องนรินทร์ทำให้โลกล่มสลายมั่งล่ะฟังยังไงมันก็เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
ที่มันเหลือเชื่อเพราะหมอนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลยต่างหาก…อิงศรคิดอย่างนั้น
ถ้าให้เมษามายืนในจุดเดียวกับตัวเองก็อาจจะเชื่อสนิทใจขึ้นมาเลยก็ได้
“ยังไงมันก็มีเค้าอยู่ล่ะน่าเรื่องไหนจริงไม่จริงฉันจะกรองข้อมูลเองหรือนายไม่ไว้ใจฉันล่ะ”
อิงศรพูดแล้วหันไปสบตากับเมษา
สายตาที่ถ่ายทอดความจริงจังของเขาไปนั้นน่าจะเข้าถึงเมษาได้
หมอนั่นจ้องตาเขาอยู่นานก็สูดลมหายใจแล้วผ่อนมันออกมาหมดในทีเดียว
“เฮ้อ~ คร้าบๆ
นายหัวดีนี่หว่าแล้วแต่นายเลยยังไงซะตอนนี้สำหรับฉันก็มีแค่เรื่องช่วยมีนาเท่านั้นแหละเพราะงั้น…”
เมษาจ้องตากลับมาด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฉันจะเชื่อนาย”
อิงศรพยักหน้าให้กับความตั้งใจนั้น
แล้วเผยรอยยิ้มจางๆ ให้เห็น
“พวกเราจะต้องช่วยมีนาให้ได้ฉันสัญญา”
ซีลอร์ดพูดแทรกเข้ามาว่า
“ถ้าอยากได้หลักฐานล่ะก็โดโกบาร์ก็มีของที่น่าจะทำให้พวกเธอเชื่อได้อยู่ล่ะนะ”
แล้วหันเหสายตาไปทางที่มิ่งขวัญยืนอยู่
“แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อใจต่อตัวน้องชายของเธอเองด้วยล่ะนะ”
“หมายความว่ายังไง”
ซีลอร์ดไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่หันไปส่งสัญญาณกับโดโกบาร์
เด็กชายพยักหน้ารับสัญญาณนั้นแล้วเปลี่ยนร่างตัวเอง
ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จากกลุ่มควันนั่นเองโดโกบาร์ในร่างสุนัขซึ่งยังสวมเครื่องแบบทหารฝึกหัดก็เดินออกมาอยู่ข้างหน้ามิ่งขวัญ
พอเห็นโดโกบาร์ในร่างนั้นเข้าพวกเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักโดโกบาร์มาก่อนก็มีการตอบสนองที่ค่อนข้างจะธรรมดา
พลอยพูด
“ว้ายน่ารักจังเลย”
มิกซ์พูด
“กลายร่างเป็นหมาได้แบบนี้เหมือนกับฟูเลยเนอะน่ารักเชียว”
แล้วหันไปทางฟู
จากนั้นเดโมนอยมนุษย์หมาป่าหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยพลางตอบกลับอย่างประชดประชัน
“เชอะ
ฉันน่ะเป็นหมาป่านะเว้ย นี่มันหมาบ้านเหมือนกันซะที่ไหน”
ทั้งที่พูดมาแบบนั้นแต่เจ้าตัวกลับเดินเข้าไปนั่งยองข้างๆ
โดโกบาร์แล้วเริ่มลูบหัวอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่น่ารักดีแฮะ”
เหมือนจะลืมกันไปแล้วว่าก่อนจะเป็นหมานั่นคือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง…แล้วก็ยังเป็นเครื่อวทำสวนอีกด้วย
ถ้าเจ้าพวกนี้ได้เห็นโดโกบาร์ตอนที่ปลิดชีพสัตว์เทวะเลเวลเจ็ดสิบด้วยตัวคนเดียวแบบที่เขากับเพื่อนในหน่วยได้เห็นจะยังกล้าเข้าไปคบุกคลีกับร่างสุนัขที่แสนจะลวงโลกนั่นอยู่รึเปล่านะ
แล้วที่บอกว่าจะแสดงหลักฐานเรื่องที่พูดมานั่นมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าหมานี่รึไง
“…”
อิงศรเหม่อมองเหล่าครอบครัวที่เข้าไปออกันรอบตัวโดโกบาร์
ตอนนั้นเองที่มิ่งขวัญโพล่งออกมา
“อ๊ะ
เจ้าหมานี่ที่อยู่กับรูบิเดียมนี่นา”
สีหน้าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้
แถมยังพูดชื่อรูบิเดียมออกมาด้วย
อิงศรจึงหันไปถาม
“ขวัญที่พูดนั่นน่ะจริงเหรอ”
น้องชายพยักหน้าให้
“เจ้านี่น่ะมักจะอยู่ที่ห้องทดลองของรูบิเดียมตลอดเลยล่ะ”
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็หันไปขอคำอธิบายจากซีลอร์ด
“เฮ้ย
แกน่ะพูดมาสินี่มันหมายความว่ายังไง”
ซีลอร์ดเหล่ตามาที่เขาแล้วพูดว่า
“แค่เห็นก็น่าจะรู้แล้วนะหัวอย่างเธอน่าจะตีความมันได้การที่โดโกบาร์ซึ่งน่าจะอยู่กับรูบิเดียมแต่โผล่ไปหาพวกเธอแถมยังตามไปไหนมาไหนในอาณาเขตของเมตไตรยคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่”
“จะบอกว่ากุมภาเป็นคนพาเจ้านี่มาหาพวกฉันอย่างงั้นเนอะ”
แต่โดโกบาร์ในร่างสุนัขก็พูดแทรกขึ้นมา
“ข้าเพียงแค่เฝ้าจับตาดูบุตรแห่งแสงเรื่องมันก็เท่านั้นเองผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอ๋ย
เรื่องของมนุษย์ที่ชื่อกุมภากับบุตรแห่งแสงนั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าจะเชื่อคำข้าผู้เที่ยงตรงเสมอ
คำพูดของโดโกบาร์ผู้นี้หรือเปล่าล่ะ”
ถ้าโดโกบาร์ยืนยันถึงขนาดนั้นก็คงต้องเชื่อแล้วมิ่งขวัญก็คงไม่โกหกเขาอยู่แล้วด้วย
“ก็ได้
งั้นตอนนี้รู้แล้วว่าสิงห์กับกุมภาเป็นพวกเอเลี่ยน
ข้าวหลามที่เป็นพวกอารย-สนธยาก็ยังไม่ตายแถมยังเป็นพวกเดียวกับสิงห์มาตั้งแต่แรก
เท่ากับว่าถ้าฉันเลือกจะเป็นศัตรูกับหมอนั่นคงต้องเป็นศัตรูกับทั้งเมตไตรย
อารย-สนธยา แล้วก็พวกเอเลี่ยนด้วยใช่ไหม”
“น้ำหนักของค่าชดเชยต่อทางเลือกมันก็ประมาณนั้นแหละนะรู้แบบนี้แล้วยังคิดจะก้าวต่อไปรึเปล่าล่ะ”
ยังไงเขาก็ไม่คิดจะตกเป็นเบี้ยให้สิงห์ไปตลอด
เพราะไม่มีอะไรประกันได้เลยว่าจะไม่เป็นหมากที่โดนใช้แล้วทิ้ง
แต่ภาระของการเลือกทางเดินแบบนั้นก็ช่างหนักหนาเหลือเกิน
เขายังมีพวกพ้องอยู่ที่นี่ก็จริงแต่พลังเพียงแค่นี้คงทำอะไรอำนาจที่มากล้นของสิงห์ไม่ได้
“แล้วถ้าฉันบอกว่าจะเข้าร่วมล่ะ”
พอพูดไปแบบนั้นแส้ใบมีดก็ลอยออกมาจากด้านหลังของซีลอร์ด
“พวกเธอทั้งหมดรวมถึงสิงห์แล้วก็วัชพืชทั้งหมดบนสวนแห่งที่สองก็จะกลายเป็นศัตรูของผม”
นั่นปะไรไงเล่า
อิงศรคิดอยู่แล้วว่าคำตอบของซีลอร์ดคงออกมาประมาณนี้แล้วมันก็เป็นจริงๆ
ที่พวกเขายังมาจับเข่าคุยกันได้แบบนี้ก็เพราะซีลอร์ดคาดหวังในตัวเขาว่าจะแสดงทางเลือกที่แตกต่างจากสิงห์ได้นั่นเอง
ซีลอร์ดพูด
“ทางเลือกของสิงห์คือการปฏิวัติสิงห์น่ะคิดจะใช้พวกเราเครื่องทำสวนเป็นอาวุธเพื่อต่อต้านแอดมินิสเทรเตอร์แล้วก็นะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาโลกที่ผู้มีความสามารถปกครองผู้ไร้ความสามารถ
โลกที่ผู้แข็งแกร่งอยู่เหนือผู้อ่อนแออย่างสมบูรณ์ที่โลกแห่งนั้นเขาคงจะกลายเป็นตัวตนที่พวกเธอพากันเรียกว่าพระเจ้าได้เลยล่ะมั้ง”
สิงห์มีทางเลือกแบบนั้นซึ่งเขาคิดว่าไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก
สำหรับคนอีโก้สูงจนเข้าใจได้ยากอย่างหมอนั่นคงจะมีความปรารถนาประมาณนี้ล่ะ
จากนั้นซีลอร์ดก็เริ่มพูดถึงใจความสำคัญ
“ทีนี้มาเข้าเรื่องกันเถอะเธอบอกว่าไม่ว่าจะรู้ความจริงแบบไหนก็ยังอยากจะฟังอยู่ดีใช่ไหมแม้ว่าพวกพ้องของเธออาจจะต้องเจ็บปวดหรือเผชิญหน้ากับความสับสนก็ตาม
หรือแม้กระทั่งสายสัมพันธ์ที่มีอยู่ในตอนนี้อาจจะขาดสะบั้นก็ตามน่ะ”
“ก็เออสิ”
อิงศรตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แต่กลับได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอือกมาจากหลายๆ
คนถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะสนใจมันหรอก
เรื่องแบบที่รู้ว่าครอบครัวของตัวเองไปทำร้ายครอบครัวของใครแบบนั้นน่ะถึงจะมีซ่อนเอาไว้อีกมันก็เป็นแค่อดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว
หากว่านี่ก็เป็นบททดสอบเหมือนกันเขาก็จะทำอย่างที่ผ่านมา
เชื่อมั่นในตัวทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทุกคนที่ตัดสินใจเดินตามเขามาให้ถึงที่สุด
ดังนั้นซีลอร์ดจึงเริ่มเอ่ยปากเล่าความเป็นมาทั้งหมด
“อารย-สนธยาได้ทำการทดลองเพื่อที่จะปลุกนรินทร์ที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราขึ้นมา
แต่ธุวดารกะก็แทรกแซงการทดลองนั้นเพราะเข้าใจว่านรินทร์คือกุญแจจะอัญเชิญเมอร์คาบาห์ แต่แล้วสิ่งที่อัญเชิญออกมาได้กลับกลายเป็นนารายณ์
ในการต่อสู้นั้นดาบธรรมะก็ได้สร้างรอยแยกมิติทำให้โลกกับสวนศักดิ์สิทธิ์เชื่อมต่อกัน
อมฤตเลยตกลงมา
เหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สอง...พวกที่เธอเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาวก็พยายามจะขอความร่วมมือเพื่อแก้สถานการณ์แล้วแต่ก็ถูกมนุษย์อย่างพวกเธอร่วมมือกับสมุนของยฮวฮขัดขวางต่อต้าน
แล้วเมื่อกำหนดเวลางวดเข้ามาแอดมินิสเทรเตอร์ก็ทราบถึงเรื่องนี้จึงได้กำหนดให้ปัญหาที่มนุษย์เป็นผู้ก่อย่อมต้องแก้ด้วยมือมนุษย์เองแล้วก็ส่งเครื่องทำสวนลงมาเพื่อเป็นมารตราการสุดท้ายในแก้ไขปัญหา
หากมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ก็จะทำลายสวนแห่งนั้นเสียโดยถือเอากำหนดเวลาก่อนที่มนุษย์จะปรับตัวรับอมฤตจนวิวัฒนาการเป็นบททดสอบ”
เรื่องที่พูดมานั้นค่อนข้างจะตรงกับที่ฟังมาจากโซเดียมและเป็นไปตามที่คาดเดาเอาไว้
จากตรงนี้ไปซีลอร์ดคงจะเริ่มพูดถึงสาเหตุที่เกิดสถานการณ์ในปัจจุบันขึ้นมา
“แต่มนุษย์ที่รอดมาจากอมฤตก็กลับหมดแรงใจจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่มีใครเล็งเห็นว่าควรจะต้องแก้ไขปัญหาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงสี่ปี
แล้วเมื่อครบห้าปีบริบูรณ์มนุษย์ก็จะถูกตัดสินโทษ ถูกลบหายไปในความว่างเปล่า
จากตอนนั้นมาควรจะเหลือเวลาอีกหกเดือน”
ที่พูดมานั่นคงจะเป็นเรื่องหลังจากที่โลกล่มสลายแล้ว
นั่นคือสาเหตุที่ซีลอร์ดออกมาพบกับเขา
กับมิ่งขวัญ กับกวินทร์ น่าจะเพื่อกระตุ้นให้มนุษย์ก้าวเดิน
เพื่อให้มนุษย์เริ่มทำการอะไรบางอย่าง
แต่หมอนี่กลับไม่พูดถึงเรื่องของสิงห์ออกมาเลยทั้งที่มันน่าจะถูกสรุปอยู่ในข้อสรุปนี้ด้วย
“แต่เพราะการหยุดอมฤตของอารย-สนธยาแล้วเมื่ออมฤตกลับมาอีกครั้งร่างกายมนุษย์ก็ยิ่งปรับตัวได้เร็วขึ้น
มนุษย์เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับพวกสัตว์เทวะแล้ว
เท่ากับกำหนดเวลาของบททดสอบยิ่งงวดเข้ามาเร็วขึ้นตอนนี้เหลือเวลาแค่เดือนเดียวแล้ว”
พอพูดเสร็จซีลอร์ดก็ชี้มาที่อิงศร
“หลักฐานที่ว่ามนุษย์กำลังปรับตัวรับอมฤตได้มากขึ้นก็คือเธอยังไงล่ะอิงศรดวงตาของเธอไม่มีความผิดปกติอีกแล้ว”
อิงศรจึงรู้สึกตัวว่าภาพที่ตาตัวเองมองเห็นนั้นเบลอนิดหน่อยมาซักพักแล้ว
เพราะเอาแต่คิดเรื่องสำคัญจนลืมสังเกตไป
เขาเอามือลูบแถวๆ ขอบตา จนคอนแทคเลนส์ที่ใส่อยู่หลุดออกมา
ภาพที่เห็นโดยไม่ต้องพึ่งคอนแทคเลนส์นั่นชัดเจนราวกับว่าเขาไม่ได้สายตาสั้น
“ตาฉันไม่สั้นแล้ว”
อิงศรหลุดปากออกมาด้วยความทึ่ง
ซีลอร์ดพูด
“ท่าทางว่าดวงตาของเธอจะปรับตัวรับอมฤตเข้าไปได้แล้วสินะคงเพราะตอนที่สู้กับวิศนุได้ทำให้เกิดรอยแยกของมิติขึ้นมาด้วยอมฤตเลยไหลบ่าลงมาในช่วงหนึ่ง”
ช่วงเวลาที่ว่าคงจะเป็นตอนที่เขารู้สึกปวดหัวเพราะนรินทร์นารายณ์ใช้ดาบสร้างรอยแยกมิติขึ้นมา
พลังงานที่ไหลออกมาจากรอยแยกในตอนนั้นคงจะเป็นอมฤต
“แบบนี้สถานการณ์ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”
“หมายความว่าไงล่ะนั่น”
อิงศรถาม
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ
ยิ่งอมฤตตกลงมาสวนแห่งนี้มากเท่าไหร่กระบวนการก็ยิ่งไปได้รวดเร็วขึ้นและเมื่อปรับตัวเข้ากับอมฤตจนถึงที่สุดแล้วมนุษย์จะกลายเป็นบุตรแห่งแสงไป”
“หมายความว่าพวกฉันก็จะกลายเป็นเอเลี่ยนไปด้วยงั้นสิ”
“ใช่
เมื่อเป็นแบบนั้นก็จะเป็นเหมือนกับอดัม มนุษย์ซึ่งมีพลังของอมฤตโดยแท้ต่างจากบุตรแห่งแสงที่เป็นมนุษย์สังเคราะห์พวกเธอจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมเช่นเดียวกับอดัม
‘อสุรา’ ยังไงล่ะ”
“…”
ไม่มีใครร้องตกใจแม้ว่าตัวซีลอร์ดจะตั้งใจพูดเป็นจังหวะจะโคนที่จะสร้างความแตกตื่น
คนอื่นนอกจากเขานั้นค่อนข้างจะงงกับสิ่งที่พูดมาเสียมากกว่า
และตัวเขาที่พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าคำพูดนั้นหมายถึงมนุษย์จะกลายเป็นแบบเดียวกับปีศาจ
เพราะอย่างนั้นถึงได้พูดเท้าความถึง
‘อาวุธติดตั้งอสุรา’
มาก่อน
เพราะมีจุดประสงค์ที่จะบอกว่ามันเป็นการกลับกันของแอพพลิเคชั่นปีศาจ
พวกมนุษย์ต่างดาวใช้ ‘อาวุธติดตั้งอสุรา’ หรือก็คือใช้อาวุธที่ติดตั้ง ’แอพพลิเคชั่นมนุษย์ที่รับอมฤตเข้าไปอย่างสมบูรณ์’ แล้วแข็งแกร่งขึ้น เหมือนกับที่มนุษย์ใช้ ‘แอพพลิเคชั่นปีศาจ’
ติดตั้งลงอาวุธนั่นเอง
คล้ายกับ ‘อวาแทรนซ์’ พลังใหม่ที่เขาได้รับมาจากอาคานาร์ เดอะ ชาริออท ที่กลายเป็นสีทอง การกลับกันไปมาอย่างมีนัยยะนี้คงเป็นธรรมชาติที่กำหนดเอาไว้แต่แรก
ซีลอร์ดพูด
“ถ้างั้นตอนนี้ขอผมฟังคำตอบของเธอได้ไหมจากนี้เธอจะเลือกก้าวไปในทางไหนอิงศรผู้ถูกฟันเฟืองเลือก...ไม่สิตอนนี้เธอคือผู้ที่จะเลือกแล้วนี่นะ”
“…”
อิงศรใช้ความคิดเป็นอย่างมาก
หลังจากได้ฟังเบื้องหลังทั้งหมดนั่น
ได้รู้ว่าใครคือผู้บงการ
ได้รู้ว่าจะต้องต่อสู้กับอะไร
ได้รู้ว่าโลกเหลือเวลาอีกแค่ไม่นานแล้ว
กระนั้นคำตอบที่อยู่ในใจก็ยังคงเหมือนเดิม
เขาเรียบเรียงคำพูดจนคิดว่าดีพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจมันหรืออย่างน้อยที่สุดพวกพ้องของเขาจะเข้าใจในความตั้งใจนี้แล้วจึงตอบออกไป
“มนุษย์น่ะยังอ่อนหัด
ฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องนั้นดีแล้วแต่ว่าแค่เข้าใจน่ะมันยังไม่พอ
ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่การก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งที่มันผิดทางแบบนั้นน่ะคงไปไม่ถึงคำตอบหรอก
ถ้ารู้ว่าตัวเองก้าวพลาดแล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือเปลี่ยนหนทางใหม่”
ซีลอร์ดต่อคำพูดให้ว่า
“ถ้าทำแบบนั้นก็จะสามารถไปถึงคำตอบที่ถูกต้องได้นั่นก็คือการก้าวต่อไปข้างหน้าของมนุษย์อย่างนั้นสินะ”
เขาจ้องตาซีลอร์ด
มองลึกลงไปในดวงตากำลังลุกวาวด้วยประกายแห่งความตื่นเต้นนั่นแล้วพยักหน้าให้
“เพราะงั้นถ้ายังมีโอกาสอยู่เราก็สามารถเลือกทางที่ถูกต้องได้เสมอเพราะงั้นถ้าเป็นไปได้...
อิงศรเว้นคำพูดไว้เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะพูดเรื่องเหลือเชื่อออกมา
มันอาจจะเป็นคำพูดเพ้อเจ้อ แต่ว่าตอนนี้เขามีพลังแล้ว
พลังที่ผ่านบททดสอบของซีลอร์ดมาได้ดังนั้น
นี่จึงไม่ใช่คำพูดเพ้อเจ้ออีกต่อไป
”ก่อนที่จะตัดสินพิพากษาอยากจะย้อนกลับไปก่อน
กลับไปสู่วันนั้นอีกครั้งเพราะพวกเรายังมีการตัดสินใจที่เรียกว่าความหวังอยู่”
“หมายความว่าเธออยากจะให้ย้อนเวลากลับไปอย่างนั้นเหรอ”
พอถูกถามแบบนั้นเข้าก็เริ่มจะรู้สึกไม่มั่นใจกับคำตอบเสียแล้วจนต้องยกมือเกาหัวแก้เขินโดยไม่รู้ตัว
“ก็ขนาดนายยังสามารถชุบชีวิตคนได้เพราะงั้นก็เลยคิดว่าถ้าเป็นแอดมินของนายอาจจะพอทำอะไรแบบนั้นได้บ้างล่ะมั้งหรือว่าไม่ได้เหรอ”
คำตอบของเขาทำให้ดวงตาที่ลุกแววเป็นประกายเมื่อครู่ของซีลอร์ดกลับตาลปัตรในทันที
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของอีกฝ่ายคลายออก
หางคิ้วเชิดขึ้นปลายขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังไม่แน่ใจ
“ทำน่ะมันทำได้อยู่หรอก
แต่ว่าที่เธอพูดมาน่ะคิดจะไปเจรจากับแอดมินิสเทรเตอร์งั้นเหรอ”
“ก็ประมาณนั้น”
“…”
“หรือว่านายไม่พอใจกับคำตอบของฉัน?”
เขาถามเพราะเริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว
แต่ซีลอร์ดก็ส่ายหน้า
“เปล่าเป็นคำตอบที่ผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับหรอกนะ
งั้นเพื่อเป็นการตอบรับต่อคำตอบของเธอผมจะขอบอกอะไรไว้อย่างหนึ่ง”
“...”
ตอนนี้เอง ซีลอร์ดก็คลี่ยิ้มออกแล้วพูดว่า
“บางทีนี่คงเป็นโชคชะตาเหมือนกันที่กระทั่งเธอเองก็ยังคิดจะขึ้นไปหาแอดมินิสเทรเตอร์เพราะว่าเมอร์คาบาห์น่ะคือกุญแจที่จะทำให้บาเบลเปิดทางไปสู่อาคาชิกแซงทัวรี่ที่พวกเขาพำนักอยู่”
***อาทิตย์หน้ากลับมาอัพสามตอนเจอกันวันอังคารเช่นเคยครับ แล้วก็เนื่องจากเหลืออีกแค่ Act เดียวแล้วถ้าไม่พลาดคิดว่าอาทิตย์หน้าจะจบภาคสองพอดีครับเท่ากับเหลืออีกสามตอน Patch Amageddon ก็จะจบและอัพเดท Patch สุดท้ายขึ้นมานั่นเองและตามธรรมเนียมช่วงนั้นผมจะขอหยุดราวหนึ่งสัปดาห์เพื่อทำภาพปกประจำภาคสุดท้ายกับวางพล็อตครับ
ว่าไปแล้วภาคสองนี่ยาวเพราะเนื้อหาอารย-สนธยาล้วนๆ เลยนี่เวลาในเรื่องเดินไปแค่สองวันหลังจากเรดบอสจบเองนะเนี่ยล่อไปเกือบร้อยตอน Orzll ***
ความคิดเห็น