ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #15 : Login 13 : The Theater

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.31K
      69
      17 ต.ค. 59

    Login 13 : The Theater

     

                ณ รูนรูม ห้องพังแล้วที่ผู้ถูกลืมเลือนพำนักอยู่

                ห้องเก่ามีสภาพทรุดโทรมเกินจะอยู่อาศัย ไร้เพดานและแทบจะไร้ซึ่งผนังกั้นห้องเพราะผุพังไปตามกาลเวลา

                โดยรวมแล้วมันเป็นพื้นที่โล่งๆ บนตึกสูงที่มีซากกำแพงประดับเอาไว้กับเฟอร์นิเจอร์อีกน้อยชิ้นที่ประกอบด้วยโซฟาสีแดงฝุ่นจับหนาเตอะและยังเก่าจนเบาะขาดเป็นรูแหว่งไปทั่วกับโต๊ะกระจกที่ฝุ่นจับไม่แพ้กันและซากโคมไฟ งี่เง่าที่ไม่ได้ใช้งานวางทับไว้อีกที

                แต่ถ้ามองข้ามห้องห่วยๆ พรรคนี้ไปแล้วล่ะก็ขอแค่แหงนหน้ามองท้องฟ้าก็จะได้พบกับบรรยากาศที่พิเศษ

                ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาวคือเสน่ห์ของที่นี่นอกจากบรรยากาศยามวิกาลที่บนพื้นดินเต็มไปด้วยยอดตึกสูงที่ทั้งร้างและพุพังไปตามกาลเวลา

                บรรยากาศของที่แห่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่วินาทีเดียวราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้แม้แต่ตำแหน่งของดวงดาวก็ยังคงที่เสมอไม่ว่าจะแหงนมองมันซักกี่ครั้งก็ตาม

                แต่น่าแปลก...

                ทั้งที่พึ่งเคยมายังที่แห่งนี้แต่กลับไม่รู้สึกแปลกที่ไม่ทีความกังวลใจก่อตัวต่อสถานที่แห่งนี้คนที่ตะตอบคำถามในเรื่องนี้ได้ก็คงมีแต่เด็กหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาสีแดงตรงหน้า

                เด็กหนุ่มผมขาวมีรูปโฉมงดงามสวมหูฟังแบบครอบฟองน้ำเสื้อวอร์มสีแดงและกางเกงยีนส์ เขาคือผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้ถูกลืมเลือนและเป็นเจ้าของห้องผุพังห้องนี้

                ผู้ถูกลืมเลือนกำลังส่งยิ้มให้กับมนุษย์ต่างดาวหนุ่มเรือนผมสีดำซึ่งมีรูปกายงดงามไม่แพ้กัน

     

                แววตาของมนุษย์ต่างดาวหนุ่มฉายแววขมุกขมัวด้วยความขุ่นเคืองซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากความแค้นที่มีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่น่ารังเกียจทั้งหยิ่งผยองจองหองและมองมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินริมทางซ้ำยังเรียกอย่างเหยียดหยามดูหมิ่นว่าเป็น NPC หรือตัวละครในเกมที่มีไว้ประดับเนื้อเรื่องเท่านั้น

                เขาในตอนนี้เป็นพวกเดียวกับสิ่งน่ารังเกียจนั่น...

     

                "สรุปแล้วผมควรจะเรียกเธอว่ามนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกดีหรือว่ามนุษย์ต่างดาวผู้ถูกฟันเฟืองเลือกกันดีล่ะ"

                ผู้ถูกลืมเลือนถามคำถามแต่มนุษย์ต่างดาวหนุ่มชักสีหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์กับคำถามซักเท่าไร

     

                "..." คุณเลือกที่จะตอบโต้กลับไปด้วยความขึงขัง ชั้นไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว!

                "ถ้างั้นจะให้เรียกว่ามนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกอย่างนั้นสินะ"

                "..." คุณตอบกลับไปว่า ชั้นไม่ใช่มนุษย์ฟั่นเฟือนอะไรนั่นซักหน่อย!

                "ฟันเฟืองไม่ใช่ฟั่นเฟือน

                ผู้ถูกลืมเลือนกล่าวขัดคำโต้แย้งนั้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแววตาของเขาคมกล้าขึ้นในขณะหนึ่งแต่นั่นก็ไม่อาจข่มขวัญกำลังใจของคุณได้

                ผู้ถูกลืมเลือนเห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา

                ”แหมยากจังเลยงั้นเอาเป็นมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกล่ะเป็นไงดูคล้องกับคำว่ามนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกดีนะ"

                ผู้ถูกลืมเลือนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่คุณยังคงชักสีหน้าต่อไปและพูดว่า

                "..." คุณพูดอย่างแข็งกร้าว ตามใจแกสิแล้วทำไมชั้นจะต้องพูดในใจด้วยล่ะเนี่ย

                "นั่นเพราะตัวของเธอที่อยู่ในรูนรูมแห่งนี้เป็นเพียงแค่จิตเท่านั้นน่ะสิดังนั้นเมื่อเธอคิดมันก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผมได้ยินยังไงล่ะ"

                "..." คุณตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน หางี้ชั้นคิดอะไรอยู่แกก็รู้หมดเลยงั้นสิ

                "อื้มก็ราวๆ นั้นที่นี่มีไว้เพื่อการนั้นนี่นะ"

                "..." คุณเลือกที่จะถามกลับไปว่า  แล้วแกเป็นใครที่นี่ที่ไหน

                "จำเป็นต้องถามแบบนั้นกันทุกคนที่มาเลยสินะ"

                ผู้ถูกลืมเลือนย้อนคำถามไปอย่างอดเสียมิได้เหมือนกับว่าเขาต้องตอบคำถามแบบนี้กับใครมาหลายคนถึงได้พูดออกมาแบบนั้น

                "..." คุณไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกย้อนถามมาอย่างนั้น ...?

                ผู้ถูกลืมเลือนยิ้มอย่างเข้าใจจึงเริ่มต้นอธิบาย

                "ที่นี่คือรูนรูม ส่วนผมคือผู้ถูกลืมเลือนเราเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เธอคงจะลืมไปแล้วล่ะมั้งก็นั่นน่ะมันตั้งสามปีมาแล้วนี่นา"

                "..." คุณเลือกที่จะตอบกลับไปว่า ชั้นว่าชั้นพอจะจำได้แล้ว

                "งั้นเหรอขอบคุณนะที่อุตส่าห์จำผมได้งั้นเพื่อเป็นการตอบแทนจะให้เธอถามได้หนึ่งคำถาม"

                "..." คุณไม่มีคำถาม ...

                "เอ๋ เป็นอะไรไปล่ะถ้าไม่ถามก็ออกไปจากห้องนี้ไม่ได้นะ"

                "..." คุณชักสีหน้าแล้วตะหวาดไปว่า เออๆ ถามก็ถามแกพาชั้นมาที่นี่ได้ยังไงด้วยสกิลเหรอแล้วแกเป็นอาชีพอะไร

                "สกิลและอาชีพสินะ"

                เด็กหนุ่มผมขาวทำท่าอิ่มอกอิ่มใจที่ได้ฟังคำถามแต่ดูเหมือนจะเข้าใจจุดประสงค์ของคำถามผิดไปไกลโข

                "หลังจากสวนแห่งที่หนึ่งตกลงบนสวนแห่งที่สองไวรัสน้ำอมฤตก็แพร่กระจายออกไปแล้วในตอนนั้นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่เหลือรอดก็ถูกจำแนกด้วยสายอาชีพและใช้พลังวิเศษที่เรียกกันว่าสกิล

    โคลสเซอร์ (Closer)  เรนเจอร์ (Ranger)  สเปลเลอร์ (Speller)  เวพ่อนเอ็นแชนท์เตอร์  (Weapon Enchanter)  สเปเชี่ยลลิสต์(Specialist) และ ซัมมอนเนอร์ (Summoner) นั่นคือสายอาชีพพื้นฐานที่มีอยู่ทั้งหมด แต่ละบุคคลจะถูกเลือกสายอาชีพตามความเหมาะสมของร่างกายความถนัดและพรสวรรค์ไม่ว่าจะ ความแข็งแรง ความว่องไว ความคล่องแคล่ว ความเฉียบแหลม ทุกอย่างจะถูกตีค่าเป็นตัวเลขจากนั้นก็จะนำไปเปรียบเทียบเพื่อหาคลาสอาชีพที่เหมาะสม"

                แล้วผู้ถูกลืมเลือนก็ยกมือขึ้นป้องปากอย่างคนใช้ความคิด

                "เหมือนจะลืมอะไรไปนะ"

                เขากล่าวนำก่อนจะอธิบายสืบต่อ

                "จริงสิ! นอกจากสายอาชีพพื้นฐานทั้งหกแบบแล้วแต่ละสายยังสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังและการต่อสู้ได้ด้วยการทำบิลด์(Build) ซึ่งในหน้าจอจัดการสกิลของพวกเธอทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่าเพลท(Plate)อยู่"

                แล้วดีดนิ้วดังเปาะ หน้าจอระบบปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

                ที่ด้านบนสุดของหน้าจอเขียนเอาไว้ว่า'Skill' ส่วนสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอคือสารพัดไอค่อนหลากหลายรูปแบบเรียงรายกันลงมาเป็นทิวแถวโดยที่ไอคอนแต่ละอันจะมีสีพื้นหลังแตกต่างกันทั้งหมดสามสีแบ่งเป็นชั้นๆ ไล่ลงมาจากสีแดงสีส้มและสีขาว

                ผู้ถูกลืมเลือนชี้นิ้วไปที่กลุ่มไอคอนสีแดง

                "เพลทที่มีสีแดงเรียกว่าคลาสเพลท (Class Plate) เป็นสิ่งที่เมื่อติดตั้งลงไปแล้วสายอาชีพในปัจจุบันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงค่าสเตตัสก็จะเปลี่ยนไปตามสายอาชีพนั้นๆ นอกจากนี้คลาสเพลทจะติดตั้งได้เมื่อมีเลเวลสามสิบขึ้นไปจากนั้นจะติดตั้งเพิ่มได้อีกเมื่อเลเวล หกสิบ เก้าสิบ และ หนึ่งร้อยยี่สิบ เท่ากับว่ามนุษย์ที่เลเวลสูงสุดอยู่ที่เก้าสิบจะติดตั้งคลาสเพลทได้สูงสุดสามอันส่วนมนุษย์ต่างดาวนั้นเลเวลสูงสุดอยู่หนึ่งร้อยสี่สิบสี่ก็จะติดตั้งได้สี่อัน คลาสเพลทมีด้วยกันหลากหลายชนิดสามารถติดตั้งหรือถอนออกได้อย่างอิสระในหน้าจอจัดการสกิล"

                ผู้ถูกลืมเลือนย้ายนิ้วลงมาที่กลุ่มของไอคอนพื้นหลังสีส้ม

                "ส่วนเพลทสีส้มกับเพลทสีขาวนั้นเรียกรวมๆ กันว่าสกิลเพลทโดยที่สีส้มถ้าเรียกแบบเจาะจงก็คือแอคทีฟสกิลเพลท (Active Skill Plate) หมายถึงเพลทที่ติดตั้งแล้วจะสามารถใช้สกิลที่ต้องออกคำสั่งในการใช้งานนั้นๆ และหลังจากใช้งานไปแล้วก็จะต้องรอเวลาซักพักหนึ่งถึงจะให้ซ้ำได้อีกหรือที่เรียกว่าคูลดาวน์ไทม์ (Cool down Time) นอกจากนี้สกิลเพลทยังมีความต้องการของคลาสเพลทที่จำเป็นกับสายอาชีพพื้นฐานอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น"

                ผู้ถูกลืมเลือนแตะไปที่ไอคอนพื้นสีส้มอันหนึ่งเป็นสกิลเพลทที่มีรูปคันธนูกับหัวของกระทิงสลักเอาไว้ แล้วลากออกมาจากหน้าจอมาถือไว้ได้ราวกับเป็นสิ่งของ

                "สกิลบัพแอโร่วของสายอาชีพเรนเจอร์ สกิลนี้มีความต้องการสายอาชีพพื้นฐานเรนเจอร์ หมายความว่าสกิลนี้ติดตั้งได้เฉพาะคนที่มีสายอาชีพพื้นฐานเป็นเรนเจอร์"

                จากนั้นจึงเปลี่ยนมือถือไอคอนไปที่มือซ้ายก่อน แล้วจึงใช้มือขวาลากไอคอนอันใหม่ที่สลักรูปดาบและเกล็ดหิมะออกจากหน้าจอมาถือคู่กัน

                "ส่วนนี่คือสกิลฟรอสฟิวรี่ความต้องการของมันคือคลาสเพลท เอเลเมนทัลเอนแชนท์เตอร์ (Elemental Enchanter) ซึ่งเป็นคลาสเพลทที่ติดตั้งได้เฉพาะสายอาชีพเวพ่อนเอนแชนท์เตอร์หรือก็คือเป็นหนึ่งในบิลด์แบบหนึ่งของสายอาชีพนี้นั่นเองดังนั้นสกิลฟรอสฟิวรี่จึงไม่เพียงแต่ต้องมีสายอาชีพพื้นฐานที่ตรงเท่านั้นแต่ยังต้องติดตั้งคลาสเพลทดังกล่าวก่อนถึงจะสามรถติดตั้งสกิลเพลทอันนี้ได้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างรึยังล่ะมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"

                "..." คุณตอบกลับไปว่า อย่าพูดถึงเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วได้ไหม

                แต่เด็กหนุ่มผมขาวก็หาได้ฟังเสียงแห่งจิตใจไม่ เขาโยนไอคอนที่ถืออยู่ทิ้งไปแล้วเริ่มอธิบายไอคอนสีขาวที่อยู่เป็นแถวสุดท้ายของหน้าจอ

                "ส่วนไอคอนสีขาวนี่คือพาสซีฟสกิลเพลท(Passive Skill Plate) ทุกอย่างเหมือนกับแอคทีฟสกิลเพลทแต่ว่าพาสซีฟสกิลเพลทจะเป็นสกิลที่ไม่ต้องออกคำสั่งในการใช้งานและจะทำงานเมื่อติดตั้งลงไปแล้วหรือหากมีเงื่อนไขที่กำหนดครบก็จะทำงานขึ้นมาเองดังนั้นสกิลจำพวกนี้จะเป็นการเสริมพลังหรือความสามารให้กับผู้ติดตั้งเสียมากกว่าเพราะไม่ต้องเจาะจงเป้าหมายในการใช้งาน อีกอย่างไม่เหมือนกับแอคทีฟสกิลเพลทพวกมันไม่มีการคูลดาวน์ไทม์หลังจากใช้งาน สกิลทั้งหมดที่ว่ามาสามารถหาซื้อได้จากร้านค้ากลาง"

                ผู้ถูกลืมเลือนผลักหน้าจอไปข้างหลังแล้วมันก็หายไปจากนั้นจึงหันกลับมาพูดอย่างเสียดายว่า

                "เธอใกล้จะตื่นแล้วล่ะเราคงต้องลากันแค่นี้ไว้ผมจะรอวันที่ได้พบเธออีกนะมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"

                แล้วห้องก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใด มันเพียงแค่ปรากฏขึ้นมาและกลืนทุกอย่างเข้าไปหมดจนกระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกของตัวเอง

     

                “ตื่นขึ้นมาซะ

                มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาเป็นน้ำเสียงที่เหมือนกับคำสั่ง

                มิ่งขวัญเบิกตาแล้วเงยหน้าขึ้น

                หญิงสาวที่เรียกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวเธอมีผมสีเงินเหมือนๆ กับคนอื่นในเผ่าแต่กลับไว้ทรงตัดสั้นเกรียนเหมือนเป็นผู้ชายนอกจากเรื่องนี้แล้วที่เหลือก็เหมือนๆ กับมนุษย์ต่างดาวตนอื่น เครื่องแบบแจ็กเก็ตสีดำติดแผงคอขนมินท์สีขาวและที่พิเศษสำหรับเธอและเขาก็คือผ้าคลุมสีขาวที่เป็นเครื่องหมายของ ความเป็น ชั้นครู

                ที่แบ่งลำดับชั้นกันเป็นศิษย์และครูก็เพราะพวกลำดับชั้นศิษย์นั้นเป็นตัวตนที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่าโคลนนิ่งพวกมันไม่มีความคิดเป็นของตัวเองและต้องคอยรับคำสั่งจากพวกชั้นครูที่เป็นมนุษย์ต่างดาวดั้งเดิม การออกคำสั่งยังเป็นการทำให้ตัวโคลนนิ่งเหล่านี้เรียนรู้การทำงานและจะช่วยเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ขึ้นไปอีกเพราะพวกมันสามารถเรียนรู้และเก็บประสบการณ์ได้เหมือนกับมนุษย์ต่างดาวทุกประการแต่ก็ไร้ซึ่งหัวใจซึ่งแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิด และการเชิดหุ่นนี้เองที่เหล่ามนุษย์ต่างดาวเปรียบมันเป็นเหมือนกับการปกครองแบบครูและลูกศิษย์

                “คิดจะหลับไปถึงเมื่อไหร่

                หญิงสาวพูดอีกครั้งแล้วมิ่งขวัญก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเผลอหลับไปบนเฮลิคอปเตอร์แต่เสียงใบพัดและเสียงเครื่องยนต์ก็ดับเงียบไปแล้ว นั่นหมายความว่าเครื่องได้ลงจอดที่ไหนซักแห่ง

                “พวกเรามาถึงเดอะเธียเตอร์แล้วต้องไปรายงานท่านลำดับที่สี่ลุกจากเก้าอี้แล้วรีบตามมาซะ

                มนุษย์ต่างดาวสาวออกคำสั่งก่อนจะตบเท้าเดินลงจากเครื่องไปทางประตูที่เปิดรออยู่

                มิ่งขวัญมองตามหลังเธอไปจนกระทั่งลับสายตาจากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ถูกลืมเลือนและรูนรูมพลางพึมพำขึ้นมาว่า

                “ฝันไปหรอกเรอะ…”

                เด็กหนุ่มส่ายหัวเร็วๆ พยายามสลัดเรื่องความฝันทิ้งไปเพราะมันดูไร้สาระเกินกว่าจะให้ความสนใจจากนั้นจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตามหญิงสาวที่ล่วงหน้าไปก่อน

     

                ที่ด้านนอกเป็นเวลาช่วงบ่ายที่แดดไม่ค่อยแรงท้องฟ้ามีเมฆเล็กน้อยไม่ถึงกับครึ้ม

                เฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนลานกระเบื้องที่ล้อมด้วยรั้วสังกะสีแผ่น

                เดิมมันคือสถานที่ก่อสร้างซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ก่อนที่โลกจะล่มสลายและตอนนี้พวกมนุษย์ต่างดาวก็จัดการกำจัดข้าวของที่เคยอยู่ในบริเวณก่อสร้างออกไปจนหมดเพื่อใช้เป็นที่จอดเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงที่จุได้ครั้งละสามลำใหญ่

     

                มิ่งขวัญยืนอยู่บนบันไดเหล็กที่พาดจากเฮลิคอปเตอร์ลำเขื่องลงสู่พื้น

                ระหว่างนั้นก็มีมนุษย์จำนวนหนึ่งกำลังเดินเรียงแถวกันลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ลำอื่นโดยมีมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ได้ติดผ้าคลุมสีขาวหรือก็คือพวก ชั้นศิษย์’ คอยควบคุมแถวให้มุ่งหน้าออกจากเขตก่อสร้าง

     

                ในบรรดามนุษย์เหล่านั้นเฉพาะคนที่ยังมีแถบแสดงพลังชีวิตปรากฏให้เห็นจะถูกสวมกุญแจมือซึ่งมีคุณสมบัติผนึกพลังที่ได้รับเพิ่มจากสเตตัสและห้ามการใช้งานสกิลเอาไว้ ส่วนคนที่ไม่มีก็จะไม่ถูกล็อคกุญแจ เพราะคนเหล่านั้นได้ถูกทำให้กลายเป็น NPC ซึ่งไร้พลังที่จะขัดขืนหรือต่อต้านไปแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องระแวง

     

                มนุษย์เหล่านี้ถูกลำเลียงมาจากทั่วประเทศเพื่อสะสมไว้ในเธียเตอร์เหตุผลของการสะสมมนุษย์นั้นเริ่มจากคำทำนายที่เรียกว่าแพทซ์ เดิมทีแล้วแพทซ์คือสิ่งที่ใช้เรียกเวอร์ชั่นของเกมออนไลน์แต่สำหรับพวกมนุษย์ต่างดาวพวกนี้แพทซ์คือคำทำนายที่มาจากตัวตนที่ได้รับความนับถือราวกับพระเป็นเจ้า

     

                ครั้งหนึ่งในช่วงสามปีหลังจากแยกกับอิงศร ก็เคยถามรูบิเดียมราชครูมนุษย์ต่างดาวที่เป็นคนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอย่างตอนนี้ว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงต้องมารุกรานโลกมนุษย์ด้วย

     

                “รุกรานนั่นน่ะพวกนายที่เป็นชาวโลกทึกทักกันไปเองต่างหาก แต่ถ้าบอกว่าการควบคุมพวกนายในฐานะ NPC คือการรุกรานแล้วล่ะก็มันก็เป็นอีกเรื่องน่ะนะเพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปพวกนายก็จะทำลายตัวเองกันจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์ขืนเป็นแบบนั้นขึ้นมาพวกฉันก็จะพลอยซวยไปด้วยดังนั้นพวกฉันจึงต้องลุกขึ้นจัดระเบียบให้กับดาวดวงนี้เรื่องมันก็เท่านั้นแหละลองไปทำความเข้าใจเอาเองก็แล้วกัน

     

                รูบิเดียมพูดเอาไว้แบบนั้นดูเหมือนว่าหากมนุษย์สูญพันธุ์ไปพวกมนุษย์ต่างดาวก็จะมีปัญหาไปด้วยและนั่นคือเหตุผลที่ต้องรวบรวมมนุษย์มาทำเป็น NPC เพื่อไม่ให้สามารถขัดขืนและยอมอยู่ใต้อาณัติ

     

                “มัวเหม่ออะไรอยู่รีบลงมาได้แล้ว

                หญิงสาวต่างดาวส่งเสียงเรียกมาจากด้านล่างของบันไดแววตาของหล่อนกำลังจ้องเขม็งมาด้วยความหงุดหงิด ดูเหมือนว่าจะไปทำให้เธอโกรธเข้าเสียแล้วคิดได้ดังนั้นมิ่งขวัญก็กระโดดลงจากแผ่นกระดานไปสมทบกับเธอในทันที

                เมื่อยืนประจันหน้ากับหญิงสาวตัวสูงสายตาของมิ่งขวัญก็อยู่แค่ระดับหน้าอกของหล่อนเท่านั้น

                “ตามมาอย่าให้หลงล่ะเจ้าเด็กใหม่

                มิ่งขวัญพยักหน้าให้แทนคำพูดจากนั้นพวกเขาก็เดินตรงไปยังทางออกจากเขตก่อสร้าง

                ในระหว่างทางเขาหันไปสังเกตแถวของมนุษย์ที่เดินลงจากเฮลิคอปเตอร์กำลังถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม

                กลุ่มแรกคือมนุษย์ที่ไม่มีแถบแสดงพลังชีวิตจะเดินตามแถวออกไปข้างนอกรั้วสังกะสี

                ส่วนกลุ่มที่สองคือพวกที่ยังมีแถบแสดงพลังชีวิตพวกนั้นถูกต้อนให้เดินย้อนกลับเข้ามาและเดินไปที่เฮลิคอปเตอร์อีกลำซึ่งพวกเขาจะถูกขนย้ายไปทำการเปลี่ยนให้กลายเป็น NPC จากนั้นค่อยย้ายกลับมาที่เดอะเธียเตอร์อีกครั้ง

     

                มิ่งขวัญเดินตามหญิงสาวต่างดาวจนออกมาด้านนอกของเขตก่อสร้างก็พบกับถนนสายยาวกว้างสี่เลนสองข้างทางเป็นร้านค้าสลับไปกับบ้านพักสุดทางถนนจะมองเห็นอาคารโรงพยาบาลสูงสิบห้าชั้นตั้งตระหง่านบนหัวมุมทางแยก

                ที่นี่มีมนุษย์ NPC อาศัยอยู่มากมายทุกคนต่างดำเนินวิถีชีวิตประจำวันเหมือนก่อนที่โลกจะล่มสลาย

                ให้ถูกต้องคือถูกบังคับให้ทำแบบนั้นต่างหากเพราะว่า...

                ร้านขนมปังที่ไม่มีขนมปังแต่มีคนขายกับลูกค้าที่เล่นติ๊งต่างกันว่ากำลังซื้อขายขนมปังอยู่

                ร้านอาหารที่ลูกค้าครอบครัวทำเป็นกำลังกินกำลังดื่มจานชามที่ว่างเปล่าและแก้วน้ำที่ไม่มีน้ำ มิหนำซ้ำหน้าตาคนในครอบครัวยังไม่ได้เค้าเดียวกันเลยแม้แต่น้อยเป็นแค่คนแปลกหน้าที่มารวมกลุ่มกันเล่นเป็นครอบครัวเพราะคำสั่ง

                มีกระทั่งโรงเรียนที่มีแต่ครูยืนสอนเก้าอี้กับโต๊ะที่ว่างเปล่าในห้องที่ไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียว

                ละครตลกที่กำลังดำเนินไปในเมืองแห่งนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งของมนุษย์ต่างดาว

                ‘จงแสดงชีวิตประจำวัน

                ด้วยคำสั่งนั้นเองหากยอมปฏิบัติตามก็จะได้อาหารและน้ำกับปัจจัยในการดำรงชีวิตมาอย่างง่ายดายจึงไม่มีใครคิดต่อต้านเพราะถึงจะต่อต้านไปก็ไม่ชนะทุกคนที่นี่ถูกทำให้กลายเป็น NPC  ที่ไม่มีพลังจะต่อสู้ไปหมดแล้วที่ทำได้ก็คือแสดงเป็น NPC ตามที่มนุษย์ต่างดาวบอก

                ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็คือ เดอะเธียเตอร์’ โรงละครชีวิตที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจทำให้โลกนี้จบสิ้นหากว่ามนุษย์สูญเสียความตั้งใจในการดำรงอยู่

                เหตุผลการสร้างเดอะเธียเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่ราชครูเท่านั้นพวกชั้นครูลงไปจะเข้าใจแค่ว่าเป็นคำสั่งจากเหล่าราชครูที่ให้ทำการจับกุมมนุษย์มาอยู่ในความควบคุมดูแล

                และคนที่คาบเอาเรื่องนั้นมาบอกับมิ่งขวัญที่ไม่ได้เป็นราชครูก็คือคนที่กำลังจะไปพบ

     

                หลังจากเดินผ่านท้องถนนของเดอะเธียเตอร์ไปได้ซักพักใหญ่ พวกเขาก็เดินมาถึงสามแยกหน้าโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ปลายสุดของถนน ที่นั่นมีกลุ่มของมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์รายล้อมมนุษย์ต่างดาวชั้นครูตนหนึ่งซึ่งก็คือคนที่ต้องมาพบเพื่อรายงานการส่งตัวมนุษย์ที่จับมา

                มนุษย์ต่างดาวชั้นครูตนนั้นสั่งให้พวกชั้นศิษย์แยกย้ายกันไปก่อนจะเดินมาหาพวกเขาแล้วกล่าวต้อนรับ

                “มากันแล้วเหรอกำลังรออยู่เชียวซุงไท กับ ซุงมิ่ง

                ชายต่างดาวสวมชุดเสื้อโค้ทสีดำซึ่งบ่งบอกความเป็นระดับราชครูมนุษย์ต่างดาว

                และในทันทีที่เห็นผมสีเงินหวีปัดแสกเจ้าของดวงตาสีเงินคมกริบที่ฉาบไปด้วยความเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเปื้อนยิ้มจอมปลอมนั่นมิ่งขวัญก็ขบกรามแน่น

                หมันไส้... ความรู้สึกที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวตนนี้คงจะอธิบายได้อย่างนั้นส่วนสาเหตุก็เป็นเรื่องที่เรียบง่ายเอามากๆ เพราะว่าเจ้านั่นคือหนึ่งในพวกที่พรากอิงศรไป เจ้าราชครูลำดับที่สี่โพแทสเซียม

                มิ่งขวัญจำชื่อนี้ได้แม่นพอๆ กับชื่อรูบิเดียมและลิเทียมเพราะได้ยินบ่อยจนคุ้นหูไปแล้ว มีแค่สามตนที่ประจำการอยู่ในประเทศนี้นอกนั้นเท่าที่รู้มาก็ยังมีระดับราชครูอยู่อีกสามตนแต่กระจายกันไปประเทศอื่นเห็นว่ากำลังขยายอำนาจไปทางยุโรปกับประเทศจีน

                แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมันเป็นเพียงรายละเอียดที่บังเอิญลอยมาเข้าหูก็เท่านั้นเหมือนกับเรื่องของเดอะเธียเตอร์ที่โพแทสเซียมคนนี้แอบมาบอกให้ฟังมันเป็นเรื่องของพวกมนุษย์ต่างดาวไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมนุษย์อย่างเขา...

                ‘ถ้าหากว่าตัวเราในตอนนี้ยังคงถือว่าเป็นมนุษย์อยู่ล่ะนะ

                มิ่งขวัญตัดพ้ออยู่ในใจ

     

                “ไทเทเนียมมารายงานการส่งตัวชาวโลกค่ะ

                หญิงสาวต่างดาวเริ่มรายงาน เธอใช้น้ำเสียงที่ให้ความเคารพต่างจากตอนที่พูดกับเขาโดยสิ้นเชิง

                รายงานดำเนินไปอย่างน่าเบื่อเสียจนรู้สึกง่วง มิ่งขวัญยกมือขึ้นป้องปากขณะที่หาวและในช่วงเวลาที่ดวงตาปิดสนิทเพราะกำลังหาวอยู่นี่เอง

     

                “สัตว์เทวะ!

                "รีบหนีเร็วเดี๋ยวก็ถูกมันฆ่าหรอก"

                เหล่าเสียงที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวดังระงมมาจากทางที่เขากับไทเทเนียมเดินผ่านมา

                มิ่งขวัญเปิดตาออกแล้วมองไปยังเส้นทางที่ว่าซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก

                ที่นั่นเหล่ามนุษย์ที่เล่นละครอยู่ในร้านค้าต่างพากันหนีออกมาบนถนน สาเหตุก็เพราะเงาขนาดใหญ่ที่ทาบทับลงมาทั่วทั้งบริเวณแห่งนั้น เมื่อมองขึ้นไปข้างบนเพื่อหาที่มาของเงาดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้าง

               เพราะบนนั้นปรากฏร่างของสัตว์ประหลาดกำลังลอยอยู่เหนือน่านฟ้าของเดอะเธียเตอร์

                มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีร่างกำยำปกคลุมด้วยขนสีเทาห่มทับด้วยผ้าสีขาวที่ดูเหมือนกับชุดกรีกโบราณ รูปทรงของศีรษะนูนสูงแสดงถึงการมีภูมิปัญญาแต่กลับมีท่อนแขนที่ล่ำโตจนดูผิดสัดส่วนกับร่างกายที่มีขาสั้นเตี้ยมันดูเหมือนกับกอลิร่าที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ

                ขนาดที่ว่าคือประมาณบ้านสองชั้นอีกทั้งยังมีปีกสีขาวที่งอกออกมาจากกลางหลังช่วยเพิ่มความผิดปกติให้กับมันเข้าไปอีกสิ่งที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตปริศนาที่กำลังล่องลอยตรงหน้านี้ได้ก็มีแต่หน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตของมัน

     

     Heraldic Beast Deity: The Scapegoat Harambael Lv.40

    [/////30000:30000/////]  

     

                สัตว์เทวะจ่าฝูง...

                สิ่งมีชีวิตไม่ทราบที่มาซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อกวาดล้างมนุษยชาติโดยแท้ไม่เหมือนกับสัตว์เทวะแบบปกติตรงที่พวกมันสามารถรุกล้ำเข้ามาในเดอะเธียเตอร์ซึ่งสร้างอาณาเขตกีดกันสัตว์เทวะไว้ได้

     

                สัตว์เทวะจ่าฝูงถือกำเนิดขึ้นตอนที่เกมโลกาวินาศอัพเดทแพทซ์ให้สามารถสร้างเขตที่อยู่อาศัยได้การมีอยู่ของพวกมันก็เพื่อจัดสมดุลให้กับจำนวนของสัตว์เทวะเพราะเมื่อมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวสร้างอาณาเขตก็จะทำลายฮาบิแททพอยท์ทำให้สัตว์เทวะไม่เกิดขึ้นอีกในบริเวณนั้นและหากมีการสร้างอาณาเขตทับลงไปฮาบิแททพอยท์จะไม่กลับคืนมาแม้ว่าจะครบเจ็ดวันหลังจากทำลายลงไปแล้วก็ตามดังนั้นสัตว์เทวะจ่าฝูงจึงเกิดขึ้นเพื่อทำให้ฮาบิแททพอยท์กลับคืนมา

                หากว่าปล่อยให้มันเข้าไปถึงจุดที่เคยมีฮาบิแททพอยท์อยู่ได้แล้วล่ะก็อาณาเขตที่อุตส่าห์สร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็จะมลายหายไปในพริบตาสัตว์เทวะที่เคยอยู่ในที่แห่งนี้จะผุดกันขึ้นมาอีกครั้งแล้วมนุษย์ที่ถูกทำให้กลายเป็น NPC ในเดอะเธียเตอร์ก็ย่อมไม่มีทางที่จะปกป้องตัวเองได้มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือดครั้งยิ่งใหญ่

                แต่เรื่องที่ว่าจะถูกทำลายอาณาเขตยังไม่ต้องเป็นห่วงนักเพราะจุดตายของอาณาเขตซึ่งเป็นสถานที่ที่ฮาบิแททพอยท์เคยอยู่นั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกพอสมควร

               

                "เป็นสัตว์เทวะที่งดงามจริงๆ นะครับอย่างกับทูตสวรรค์แน่ะ"

                โพแทสเซียมออกปากชมเชยตามที่เห็น

                สัตว์เทวะตัวนี้แต่งกายคล้ายกับเทวทูตแถมยังมีปีกอีกทั้งท่วงท่าของมันก็งามสง่าจนอดคิดชื่นชมเสียมิได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คือสัตว์เทวะเป็นตัวตนของศัตรูที่จะต้องกำจัด

     

                "มนุษย์เอ๋ย...เหล่ามนุษย์ที่น่าสงสารฮารัมบาเอลผู้นี้จะช่วยปลดปล่อยพวกเจ้าเอง"

                ออกจะเหลือเชื่อไปบ้างแต่เมื่อครู่สัตว์เทวะตนนั้นได้พูดขึ้นมาและยังพูดว่าจะช่วยเหลือมนุษย์

                อย่างไรก็ดีคำพูดของสัตว์เทวะไม่มีหลักประกันเหล่ามนุษย์ NPC ยังคงขลาดกลัวและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นและในกลุ่มเหล่านั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งล้มลง

                ไม่ทันไรร่างของเธอก็ถูกเงาของสัตว์เทวะทาบทับดวงตาสีขาวขุ่นของมันจ้องมองลงมายังเด็กสาวผู้โชคร้ายที่กำลังแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างแจ่มชัด

                "ช...ช่วยด้วย!"

                อนิจจาเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของเธอนั้นไม่มีใครที่จะตอบรับมัน

                พวกคนที่หนีกันไปก่อนมีแค่บางคนที่หันกลับมาอย่างลังเลแต่ก็ไม่มีใครซักคนที่จะเข้าไปช่วยเพราะ NPC เช่นพวกเขาในตอนนี้ไม่อาจต่อกรอะไรกับสัตว์เทวะได้ยิ่งเป็นระดับจ่าฝูงด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

                ระหว่างนั้นมือของสัตว์เทวะก็ย้ายเข้าไปจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเด็กสาว

                "มนุษย์ผู้น่าสงสารเราจะช่วยเจ้าเอง"

                ราวกับเป็นเรื่องตลกเมื่อสัตว์เทวะช่วยพยุงไหล่เด็กสาวมันจับเธอลุกขึ้นยืนโดยที่กระทำอย่างนุ่มนวลที่สุดจนดูไม่สมกับเป็นสัตว์เทวะ

                บรรดามนุษย์ที่เห็นแบบนั้นเข้าก็พากันหยุดเท้าแล้วหันกลับไปมองเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อ

                เสียงพูดคุยอย่างแตกตื่นก็ดังระงมทุกคนต่างมีคำถามต่อสัตว์เทวะตัวนี้ว่ามันจงใจมาทำอะไรกันแน่

                เหตุการณ์นี้พวกมิ่งขวัญก็เห็นกันตั้งแต่ต้นแต่ยังไม่มีใครปักใจเชื่อว่าจะเป็นแบบที่เห็นถึงแม้ว่าสัตว์เทวะพูดได้จะเป็นของไม่ได้เจอกันบ่อยๆ และการที่มันมีทีท่าว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ก็เป็นเหตุที่พึ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

     

                "อะฮะสัตว์เทวะที่คิดจะช่วยเหลือมนุษย์งั้นเหรอ"

                โพแทสเซียมเหยียดยิ้มอย่างสนุกสนานใจของเขาเต้นโครมครามเมื่อได้เห็นตัวตนที่เหนือคาดของสัตว์เทวะขณะเดียวกันมิ่งขวัญก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

                "ช่วยมนุษย์...สัตว์เทวะเนี่ยนะ"

                มิ่งขวัญพูดเหมือนสบถพลางย้ายมือไปวางบนดาบที่ห้อยเอวระหว่างดูสถานการณ์

     

                เหล่าผู้คนที่เมื่อครู่วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นในกลุ่มนั้นมีบางคนทำหน้าเหมือนกับว่าพระเป็นเจ้ามาโปรดอย่างไรอย่างนั้นบ้างก็หันรีหันขวางดูพวกมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่าสัตว์เทวะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขาแล้วนะอะไรแบบนั้น

                แต่แล้ว...สถานการณ์ก็กลับตารปัตร

     

                ปัง!

                มีเสียงคล้ายกับปืนดังขึ้นจากนั้นหน้าผากของสัตว์เทวะก็เกิดรูกลวง

                มันถูกยิงแต่...ใครล่ะที่ยิงมนุษย์ในเดอะเธียเตอร์ถูกริบอาวุธเอาไว้หมดไม่ต้องพูดถึงปืนแค่หนังสติ๊กซักเส้นยังไม่ให้เก็บไว้

                ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่มนุษย์ต่างดาวที่จะทำได้แต่นอกจากพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วตนอื่นๆ ที่ประจำการอยู่ในเดอะเธียเตอร์ก็มีแต่พวกชั้นศิษย์ที่ไม่มีทางโจมตีก่อนได้รับคำสั่งอย่างแน่นอนโพแทสเซียมกับไทเทเนียมที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรด้วย...แล้วกระสุนมาจากไหน ?

     

                "อือ..."

                สัตว์เทวะส่งเสียงเหมือนครางออกมาถึงจะโดนยิงเข้าที่กลางศีรษะแต่มันก็ยังไม่สิ้นลมหายใจหนำซ้ำพลังชีวิตก็ไม่ได้พร่องลงแม้แต่น้อยจนชวนสงสัย

                "หรือว่ากระสุนเมื่อกี้เป็นสกิล?"

                มิ่งขวัญลองสันนิษฐานดูระหว่างนั้นท่าทีของสัตว์เทวะก็เปลี่ยนไป

                "ทำไม!"

                มันแผดเสียงคำรามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะออกมาอย่างรุนแรง

                "ทำไมกัน..ทำไมถึงปฏิเสธเรา..."

                โดยที่มือของมันยังจับตัวเด็กสาวเอาไว้แล้วก็เริ่มจับแน่นขึ้นจนเด็กสาวทนไม่ไหวและร้องออกมา

                "โอ้ย!"

                ในจังหวะเดียวกันนี่เองก็มีเสียงดังก้องกังวาน

     

                'ดูนั่นสิมันทำร้ายมนุษย์'

                'มันกำลังจะฆ่าเด็ก'

                'ยิงมันซะปกป้องชีวิตเด็กเอาไว้'

     

                เสียงเหล่านั้นดังมาจากทุกหนทุกแห่งแต่ไม่ใช่เสียงที่ออกมาจากปากของใครที่จริงในเวลานั้นไม่มีใครที่ปริปากพูดออกมาแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำกระนั้นเสียงปริศนาก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

     

                'มันเป็นเดียรัจฉานมันไม่มีทางช่วยเหลือมนุษย์'

                'ฆ่ามันเพื่อปกป้อง! พวกเราทำถูกแล้วทำอย่างที่ควรแล้ว'

     

                ผู้คนต่างพากันมองหน้าบ้างก็ถามว่ามีใครพูดอะไรแบบนั้นออกไปหรือเปล่าแต่เสียงที่ดังกังวานนั้นไม่มีทางเป็นเสียงที่ดังออกจากลำคอของคนมันเป็นเสียงที่เหมือนกับพูดผ่านไมค์เสียมากกว่า

     

                "ไม่ใช่...ไม่ใช่...เราแค่อยากจะช่วยเท่านั้น..."

                เสียงปริศนามีผลกับสัตว์เทวะมันเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้และใส่แรงที่มือเพิ่มขึ้นทุกขณะจนเด็กสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและร้องขอชีวิต

                "ย...อย่า..กรี้ดดด"

                "เราแค่อยากจะช่วยแล้วทำไม...ทำไมถึงหักหลังเรา...มนุษย์!!"

                หลังจากแผดเสียงคำรามออกมาดวงตาสีขาวขุ่นก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำราวกับเลือดท่าทีของสัตว์เทวะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

     

                จากนั้นสัตว์เทวะก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิมเป็นน้ำเสียงแหบพร่าที่แฝงไปด้วยความแค้น

                “ตาย...มนุษย์พวกเจ้าต้องตาย

                ทันใดนั้นมันยกตัวเด็กสาวขึ้นแล้วโจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ระดับความสูงเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของอาคารโรงพยาบาลเบื้องหลังพวกเขา

                สัตว์เทวะลงมือฉีกร่างของเด็กสาวด้วยแรงมหาศาลจนเธอกรีดร้องทุรนทุรายเพราะร่างที่ใกล้จะปริขาดของเป็นสองเสี่ยง

     

                บรรดาผู้คนที่มองอยู่บ้างก็กรีดร้อง

                บ้างก็เอามือปิดหน้าปิดตาด้วยความหวาดกลัวต่อภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น

                บางคนก็ชักเท้าหนีไปทันที

                แต่ไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปช่วยเด็กสาว แม้สักคนเดียวก็ยังไม่มี...

               

                "บลิโอแน็ค(Brionac)"

                เสียงอันเด็ดเดี่ยวลอยขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลของผู้คนจากนั้นแขนทั้งสองข้างของสัตว์เทวะก็ขาดกระเด็นด้วยลำแสงที่ยืดออกจากดาบในมือของมิ่งขวัญซึ่งโผล่มาอยู่ต่อหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

                เลือดของสัตว์เทวะพุ่งทะลักจากบาดแผลที่ถูกตัดแขนไปหยดเลือดโปรยปรายราวกับสายฝนแต่กระนั้นมันก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดกับบาดแผลสาหัสนั่นแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าแถบพลังชีวิตจะลดลงไปอย่างมากในการโจมตีนี้ก็ตามที

     

    Heraldic Beast Deity: The Scapegoat Harambael Lv.40

    [/////24034:30000///..]

     

                ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นจากการกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวมิ่งขวัญซึ่งแต่เดิมก็แข็งแกร่งอยู่เป็นทุนเดิมทำให้เขามีพลังที่เหนือชั้นกว่ามนุษย์ต่างดาวตนอื่นในระดับเดียวกัน

                ความแข็งแกร่งนั้นมากเสียจนไทเทเนียมไม่รู้สึกตัวว่ามิ่งขวัญหายไปจากข้างกายกว่าจะรู้ก็ตอนที่เห็นแขนของสัตว์เทวะขาดกระเด็นจากจุดที่ห่างกันถึงเกือบร้อยเมตร

                ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที

     

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                ไทเทเนียมทึ่งกับความเร็วอันเหลือเชื่อนั่นและพยายามประเมินสถานการณ์

                “อู้ๆๆ

                แต่โพแทสเซียมกลับส่งเสียงประหลาดออกมาจึงหันกลับไปมองและพบว่าเขากำลังง่วนกับการดึงผ้าคลุมสีขาวออกจากศีรษะ

                “อ๊ะ ท่านลำดับที่สี่

                ไทเทเนียมเห็นดังนั้นก็เข้าไปช่วยดึงผ้าคลุมออกตอนนั้นเองเธอถึงสังเกตเห็นว่ามันเป็นผ้าคลุมของมิ่งขวัญก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ามิ่งขวัญที่กระโดดไปโจมตีสัตว์เทวะนั้นไม่มีผ้าคลุมติดตัวไปด้วยจึงกล่าวต่อไปว่า

                “ถอดผ้าคลุมออกก่อนจะวิ่งไปโจมตีงั้นเหรอทำไมกัน?”

     

                โพแทสเซียมที่ดึงผ้าคลุมอออกจากหน้าได้สำเร็จก็บ่นด้วยความรำคาญ

                “แล้วทำไมจะต้องโยนผ้าคลุมทางผมด้วยล่ะเนี่ย

                แต่ไทเทเนียมไม่ได้สนใจเพราะความสนใจของเธอตอนนี้ถูกชักจูงไปด้วยคำตอบของคำถามที่มีต่อผ้าคลุมของมิ่งขวัญซึ่งกำลังจะปรากฏออกมา

                เมื่อเด็กสาวที่ถูกช่วยไว้กำลังร่วงหล่นจากความสูงที่อาจทำให้เธอตายได้ทางรอดของเด็กสาวแทบไม่มีเว้นเสียแต่มิ่งขวัญจะโบยบินบนท้องฟ้าได้

     

                มิ่งขวัญชูดาบขึ้นแล้วประกาศว่า

                “ส่งพลังมาซะมิคาเอล (Michael)”

                สิ้นคำปีกสีขาวพิสุทธิ์จำนวนสามคู่ด้วยกันก็งอกออกมาจากกลางหลัง

                เด็กหนุ่มกระพือปีกบินเข้าไปรับตัวเด็กสาวเอาไว้ได้ทันและส่งเธอลงพื้นโดยปลอดภัย

                “หนีไปซะ

                เขาพูดแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับสัตว์เทวะ

                “…”

                เด็กสาวยังคงตกใจอยู่แต่เธอก็ตั้งสติแล้วรีบหนีไปตามที่บอก

     

                ไทเทเนียมเข้าใจความหมายของการถอดผ้าคลุมทิ้งไปแล้วเพราะมันจะเกะกะปีกที่งอกออกมาแต่ตอนนี้เธอมีเรื่องใหม่ให้ประหลาดใจแทน

                “อาวุธติดตั้งปีศาจงั้นรึ!?”

     

                พลังที่มิ่งขวัญแสดงให้เห็นพลังที่เรียกปีกออกมาไม่ใช่สกิลที่ปกติจะมีกันอีกทั้งชื่อที่ประกาศก่อนจะเรียกปีกออกมาก็เป็นที่คุ้นหูอยู่มิใช่น้อยสายตาจึงย้ายไปยังตัวดาบแทน

                ดาบที่มิ่งขวัญถืออยู่นั้นมีรูปร่างเรียวยาวเหมือนดาบที่เรียกว่าเรเปีย(Rapier) ใบดาบถูกล้อมด้วยริบบิ้นทำจากทองคำที่ยืดออกมาจากโกร่งดาบ

                นอกจากนี้ก็ยังมีโล่สีดำที่มีแกนของโล่ดำทะมึนยิ่งกว่าลักษณะของตัวแกนนั้นเป็นแท่งยาวรูปทรงคล้ายกับใบดาบและมีลวดลายสีแดงคล้ายลูกตากับลายอักขระแปลกๆ สลักไว้บนแกนโล่

     

                โพแทสเซียมเห็นว่าลูกน้องของตนกำลังสนอกสนใจอาวุธของมิ่งขวัญก็เอ่ยปากอธิบายอย่างสนุกสนาน

                “อ้อเธอยังไม่รู้สินะเพราะว่าเขาพึ่งย้ายมาประจำที่นี่วันนี้งั้นผมขอถือวิสาสะแนะนำเลยแล้วกัน

                พลางทำมือชูสองนิ้วเป็นรูปตัว แล้วพูดต่อไปว่า

                “ทั้งสองชิ้นนั้น ไม่ว่าจะดาบหรือโล่ต่างก็เป็นอาวุธที่ติดตั้งแอพปีศาจแถมยังเป็นซีรี่ย์ปีศาจต้องห้ามอีกด้วยนะครับ

                ได้ยินดังนั้นไทเทเนียมตาโตหันไปพูดกับเจ้านายด้วยความตกใจ

                “หมายถึงเดม่อนแอพที่ท่านลำดับที่สามดูแลอยู่น่ะหรือคะ

                สาเหตุที่หล่อนตกใจนั่นก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวมีสิ่งต้องห้ามที่ไม่สามารถจะไปแตะต้องได้อยู่หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า เดม่อนแอพ’ หรือแอพติดตั้งปีศาจ เป็นโปรแกรมที่ทำให้สามารถใช้พลังของปีศาจได้ด้วยการติดตั้งมันลงในอาวุธและพลังนั่นก็เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ต่างดาวแต่เรื่องที่น่าตกใจไม่ใช่แค่เรื่องที่มิ่งขวัญสามารถใช้มันได้ทั้งที่เขาเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มันยังมีเรื่องที่แอพเหล่านั้นคือสิ่งที่เรียกกันว่าซีรี่ย์ปีศาจต้องห้าม

     

                โพแทสเซียมพยักหน้าตอบคำถามนั้นอย่างง่ายดายแล้วพูดว่า

                “ใช่ครับส่วนสาเหตุที่เขาสามารถใช้มันได้ก็เพราะว่าเขาเคยเป็นชาวโลกมาก่อน

                “ชาวโลก...ฝีมือท่านลำดับที่สามหรือคะ

                ไทเทเนียมพูดออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยราวกับว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะผุดขึ้นมาในความคิด

                โพแทสเซียมหัวเราะ

                “ก็ตามนั้นแหละครับซุงไทเองก็คิดว่าน่าสนใจดีใช่ไหมล่ะเอเลี่ยนที่สามารถใช้ปีศาจได้เนี่ย อะฮะ~”

                ก่อนจะย้ายมือทั้งสองข้างสอดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วพูดสืบต่อว่า

                “เขานั้นเป็นตัวตนของความขัดแย้งทั้งที่อยากปกป้องชาวโลกและในใจก็นึกเกลียดชังชาวโลกอยู่ด้วยเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนจังเลยนะครับ

                แต่ไทเทเนียมกลับพูดขัดคำพูดของเจ้านาย

                “ดิฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดีค่ะ...

                “โอ๊ะโอลืมไปเลยนี่นะก็เธอน่ะเล่นเหมือนพวกผมซะตั้งขนาดนี้ แต่ว่านะการที่เขาทำอะไรที่ขัดแย้งกับตัวเองแบบนั้นได้น่ะเป็นความงดงามโดยแท้เลยล่ะช่างถูกใจผมเสียเหลือเกิน

                “ท่านคงไม่ได้คิดจะเอาเขามาแทนที่ดิฉันหรอกนะคะ

                ไทเทเนียมพยายามรักษาระดับน้ำเสียงในตอนที่พูดทำให้เสียงของเธอแปล่งไปบ้างนั่นจึงเป็นชนวนที่ทำให้โพแทสเซียมตีความได้ว่าหล่อนตั้งใจถามแบบรักษาน้ำใจอย่างที่สุดแล้วเขาจึงพูดปลอบเธอไปว่า

                “อะฮะฮะฮะ อย่าพูดจาง้องอนกันอย่างงั้นซี่ถึงได้เขามาผมก็ไม่เขี่ยเธอทิ้งหรอกเพราะผมเป็นพวกนักสะสมตัวยงก็อยากได้คอลเลคชั่นแบบครบเซ็ตอ่ะนะแต่ว่าซุงลูลู่จอมหวงก้างคนนั้นน่ะซี่ไม่ยอมปล่อยมือให้ผมเก็บครบเซ็ทซะทีถึงจะน่าเสียดายอยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าเสียชีวิตเพราะไปแย่งก้างปลาจากแมวล่ะนะอะฮะ~”

                ระหว่างที่บทสนทนาดำเนินไป ที่สนามรบซึ่งมิ่งขวัญกำลังปะทะกับสัตว์เทวะก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังตูมตามติดกันหลายครั้ง

     

                “อย่ามาขวางน่าบุตรแห่งแสง มนุษย์จะต้องถูกทำลายทั้งหมด

                มีเสียงตะโกนมาอย่างนั้น เป็นเสียงของสัตว์เทวะที่กำลังอาละวาดด้วยความเกรี้ยวกราดแบบที่ไม่นึกไม่ฝันว่าท่าทางอันสงบนิ่งของมันก่อนหน้านี้จะเป็นตัวเดียวกันกับเจ้าสัตว์ประหลาดคลั่งที่กำลังอาละวาดในตอนนี้ไปได้

     

                สัตว์เทวะปล่อยตัวให้ร่วงลงมาจากท้องฟ้าและหล่นทับร่างของมิ่งขวัญที่ยืนอยู่เบื้องล่าง

                ทันทีที่ขนาดตัวกับน้ำหลักหลายร้อยกิโลกรัมปะทะเข้ากับพื้นถนนก็เกิดระเบิดเสียงดังโครมใหญ่จนฝุ่นควันลอยตลบอบอวล

                พื้นถนนยุบแตกและมีเศษซากถนนปลิวกระเด็นไปทุกทิศทางมีมนุษย์บางคนที่กำลังหนีถูกเศษซากเหล่านั้นกระแทกจนล้มลง

                แต่สัตว์เทวะไม่ได้หยุดแค่นั้นมันกระโดดขึ้นและหล่นลงมาเหยียบซ้ำในทันทีครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งพื้นถนนยุบตัวกลายเป็นหลุมและอาคารรอบข้างเริ่มถล่มทลายลงมาแทบไม่ต้องคิดเลยว่าสภาพของคนที่ถูกกระทืบซ้ำหลายครั้งหลายคราอยู่ใต้เท้าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจะมีสภาพเป็นอย่างไร

                แต่แล้วร่างของสัตว์เทวะก็ถูกยกด้วยลมที่พุ่งขึ้นมาจากใต้เทาของมันราวกับพายุ

                สายลมพัดจนร่างของสัตว์เทวะลอยละลิ่วขึ้นจากหลุมและไปจบลงที่การหลังกระแทกพื้นจนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั่ว

                ตอนนั้นเองมิ่งขวัญก็บินขึ้นจากหลุมในสภาพไร้รอยขีดข่วน

     

    มิ่งขวัญ Lv. 89

    [/////15650:15650/////]

     

                โดยที่แถบพลังชีวิตไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยเหมือนเขาไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทืบอันหนักหน่วงนั่นเลยซึ่งเป็นผลพวงมาจากสกิลของแอพปีศาจที่เขากำลังใช้งานในตอนนี้

     

                “ป้องกันความเสียหายทั้งหมดให้กับเจ้าของพลังของ เซราฟมิคาเอล(Seraph Michael) เป็นแบบนั้นเองสินะ

                โพแทสเซียมกล่าวตามที่เห็นหลังจากใช้ดุลพินิจของตนในการวิเคราะห์พลังของแอพปีศาจที่มิ่งขวัญใช้งานอยู่

                “ท่าเมื่อกี้โอดินเบรธ(Odin Breath) สินะคะ

                ไทเทเนียมพูดขึ้นมาเหมือนอยากร่วมวงสนทนากับเจ้านายด้วยอีกคน

                โพแทสเซียมจึงกล่าวเสริมไปว่า

                “ใช่แล้วล่ะครับสกิลสำหรับสายอาชีพเวพ่อนเอ็นแชนเตอร์ที่บิลด์เป็นไชนิ่งเอ็นฟอซเซอร์ (Shining Enforcer) เท่านั้นที่จะเรียนรู้ได้เป็นสกิลสร้างลมหมุนออกไปพัดสิ่งที่อยู่ข้างหน้าให้กระเด็นแต่ไม่สร้างความเสียหายให้ อ้อแต่กรณีที่กระเด็นไปโดนอะไรที่ทำให้บาดเจ็บค่าชีวิตก็จะลดลงอยู่ดีนะครับ

                แต่ไทเทเนียมพูดขัดคำพูดนั้น

                “แต่ว่าสกิลนั่นน่ะสำหรับการต่อสู้ประชิดตัวไม่น่าจะมีประโยชน์อะรเลยไม่ใช่หรือคะ

                “แหมผมเองก็ไม่ได้รู้ไปหมดซะทุกอย่างหรอกเรื่องที่ซุงมิ่งเลือกจะบิลด์สกิลออกมาแบบนั้นน่ะเพียงแต่...

                โพแทสเซียมเว้นคำพูดเอาไว้เขาทำหน้าเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง

                “เพียงแต่อะไรหรือคะ

                ไทเทเนียมถามต่อด้วยความอยากรู้ขึ้นมาแบบปุบปับ

                โพแทสเซียมจึงตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

                “อืม...มันก็นานแล้วนะซักสองปีก่อนได้มั้งเขาพูดว่าอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยสิแต่ใจความประมาณว่าเขาอยากจะบิลด์แบบนี้เพื่อต่อสู้ร่วมกับใครซักคนเอใครคนนั้นที่ว่าเนี่ยมันใครกันน้า~”

                พูดจบก็เหยียดยิ้มสนุกสนานแล้วเบนสายตาไปทางมิ่งขวัญ

     

                มิ่งขวัญลำรึกถึงบทสนทนาเมื่อสามปีก่อนสมัยที่ยังอยู่ด้วยกันกับอิงศรเพียงแค่สองคนพี่น้องก่อนที่พวกเด็กจากสถานสงเคราะห์จะมาเข้ากลุ่ม

                “ถ้าเลเวลถึงสามสิบเมื่อไหร่ล่ะก็ให้บิลด์เป็นไชนิ่งเอ็นฟอซเซอร์นะเข้าใจใช่ไหมขวัญ”           

                “ทำไมต้องเป็นบิลด์นี้ด้วยล่ะ?”

                “เพราะว่านายชอบลุยไม่คิดหน้าคิดหลังน่ะสิการบิลด์แบบนี้จะทำให้มีพลังชีวิตที่สูงแล้วก็จะถือโล่เป็นอาวุธรองได้แถมยังมีสกิลที่เอาใช้ร่วมกับชั้นได้ด้วยอย่างโอดินเบรธนี่จะช่วยพัดศัตรูออกไปสร้างระยะทางโจมตีให้

                จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังจำรายชื่อสกิลที่อิงศรบอกในตอนนั้นรวมถึงวิธีต่อสู้ที่วางเอาไว้ได้อย่างขึ้นใจ

                ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ร่วมกันแล้วแต่อย่างน้อยที่สุดรายชื่อสกิลเหล่านี้ก็เป็นทั้งเป้าหมายและของดูต่างหน้าที่อิงศรเหลือทิ้งไว้มันเป็นเครื่องย้ำเตือนไม่ให้เขาลืมความเป็นมนุษย์ไป  

     

                แล้วเมื่อมิ่งขวัญนึกถึงเรื่องการรักษาความเป็นมนุษย์มันก็ทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ด้วย

                เด็กหนุ่มสอดมือซ้ายที่ถือโล่เข้าไปในด้ามจับเพื่อให้มีมือไว้ใช้งานเขาปาดนิ้วเรียกหน้าจอข้อมูลขึ้นมา เป็นหน้าจอที่มีหัวข้อเขียนเอาไว้ว่า 'Status'

                บนหน้าจอนั้นมีค่าสถานะต่างๆ กับรูปใบหน้าของเขาเองลอยอยู่บนนั้น

                แต่สายตาของมิ่งขวัญจับจ้องอยู่เพียงแค่แถบสีน้ำเงินที่พาดจากหน้าจอฝั่งซ้ายมือไปจนปริ่มที่จะแตะขอบจออีกข้างแล้วบนแถบนั้นมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า

     

    [///// EXP: 90% /////]

     

                มันคือแถบบอกค่าประสบการณ์เป็นสิ่งที่เมื่อทำการต่อสู้รวมถึงโค่นสัตว์เทวะลงได้ก็จะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนหนึ่งมาและเมื่อสะสมค่าๆ นี้จนกระทั่งแถบสีน้ำเงินขยายไปแตะขอบจออีกฝั่งได้ค่าประสบการณ์ก็จะกลายเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มถึงตอนนั้นระดับเลเวลก็จะเลื่อนขึ้นหนึ่งขั้นแล้วแถบสีน้ำเงินก็จะกลายเป็นศูนย์เพื่อให้สะสมค่าประสบการณ์สำหรับเลื่อนเลเวลต่อไป

     

                มิ่งขวัญมองแถบประสบการณ์ของตัวเองที่ใกล้จะเต็มพลางจิกปากพูดด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก

                “เหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์เองเรอะ...

                จากนั้นจึงกำดาบในมือขวาแน่นขึ้น

                “รอยัลเซเบอร์ (Royal Saber)”

                มิ่งขวัญประกาศพร้อมกับชูดาบในมือขึ้น ใบดาบเปล่งแสงสว่างออกมาจนเหมือนกับดาบเลเซอร์ในหนังวิทยาศาสตร์

     

                ‘รอยัลเซเบอร์’ คือสกิลของไชนิ่งเอ็นฟอซเซอร์ที่ใช้เสริมพลังให้กับดาบเหมือนๆ กับสกิลดาบธาตุต่างๆ ของสายอาชีพเวพ่อนเอ็นแชนเตอร์จำพวก อิเล็กทริคเบลดที่เพิ่มธาตุไฟฟ้า ไพโรเบลดเพิ่มธาตุไฟ และ ฟรอสเบลดเพิ่มธาตุน้ำ

                 สกิลนี้เป็นสกิลที่เสริมธาตุแสงลงไปในอาวุธโดยมีข้อจำกัดที่จะต้องร่ายใส่อาวุธรูปแบบเรเปียหรือหอกหรืออาวุธที่จู่โจมโดยการแทงเท่านั้น

                โลกในตอนนี้ก็เหมือนกับเกมพวกสัตว์เทวะมีระบบการแพ้ทางธาตุต่างๆ ด้วยเช่นกัน

                แต่ที่มิ่งขวัญใช้สกิลเสริมธาตุลงในดาบในจังหวะนี้ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นธาตุที่ชนะทางแต่มันเป็นเงื่อนไขของการใช้สกิลถัดไป

                เด็กหนุ่มหันดาบเล็งไปที่สัตว์เทวะซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นในสภาพที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เพราะมันเสียแขนไปทั้งสองข้างแถมปีกก็ถูกตัวของมันเองทับเอาไว้จึงไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน

                ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเป้านิ่งในตอนนี้

     

                “ขอล่ะอย่าได้ค่าประสบการณ์เยอะจนเลเวลอัพทีเถอะ

                เด็กหนุ่มพูดเหมือนวอนขอก่อนจะสูดลมหายใจแล้วประกาศชื่อสกิลเพื่อใช้งานท่าไม้ตาย

                “บลิโอแน็ค!

                ทันใดนั้นแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวดาบก็ยิ่งทวีความสว่างมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งแสงยืดยาวออกไปและกลายเป็นเหมือนหอกลำแสงสมชื่อ บลิโอแน็คหอกแห่งแสงของเทพลูค (Lugh) ในตำนานไอริช

     

                มิ่งขวัญกวัดแกว่งหอกแสงนั้นต่างดาบ เขาฟาดมันลงไปบนร่างของสัตว์เทวะ

                ทันทีที่หอกแสงสัมผัสถูกผิวหนังบริเวณที่สัมผัสก็ฉีกขาดออกจากกันและมีไอควันลอยออกมาเหมือนถูกฟันด้วยใบมีดที่เผาไฟมา

                มิ่งขวัญตวัดหอกแสงผ่าร่างของสัตว์เทวะออกเป็นสองส่วนก่อนจะชักมือกลับแล้วตวัดซ้ำไปอีกดาบ

                เลือดจำนวนมหาศาลของสัตว์เทวะไหลทะลักออกจากบาดแผลจนเจิ่งนองไปทั่วทั้งบริเวณแต่มันยังไม่สิ้นลมหายใจ แถบพลังชีวิตของมันยังคงเหลืออยู่เล็กน้อย

     

    Heraldic Beast Deity: The Scapegoat Harambael Lv.40

    [/.....4078:30000.....]

     

                และในขณะเดียวกันแถบค่าประสบการณ์ของมิ่งขวัญก็ขยับเพิ่มขึ้นมาอีกห้าเปอร์เซ็นต์ทำให้ตอนนี้ค่าประสบการณ์กลายเป็นเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ซึ่งใกล้จะเลเวลอัพเข้าไปทุกขณะ

     

    [///// EXP: 95% /////]

     

                "บ้าเอ้ย"

                มิ่งขวัญสบถหลังจากเห็นแถบค่าประสบการณ์ของตนจึงหยุดมือลงเพียงแค่นั้นไม่ให้สังหารสัตว์เทวะไปเสียก่อนเมื่อเวลาในการแสดงผลของสกิล บลิโอแน็ค’ ครบกำหนดหอกแสงก็สลายตัวไปเหลือแต่ดาบที่กลับไปอยู่ในสภาพก่อนจะเสริมพลังธาตุแสงด้วยสกิล รอยัลเซเบอร์

     

                เด็กหนุ่มจึงบินกลับไปหาโพแทสเซียมแล้วพูดกึ่งตะโกนว่า

                “ปืดฉากมันซะ

                แต่โพแทสเซียมก็แสร้งทำเป็นตื่นตูมแล้วตอบกลับไปทั้งอย่างนั้น

                "เอ๋! ไม่ไหวหรอกครับอีกอย่างผมไม่อยากไปแย่งค่าประสบการณ์ของเธอด้วยนี่"

                ดังนั้นไทเทเนียมจึงอาสาซะเอง

                "ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะจัดการเองค่ะ"

                พูดแล้วก็เรียกหน้าจอ 'Inventory' ออกมาเตรียมจะหยิบอาวุธแต่โพแทสเซียมก็จับมือของหล่อนเอาไว้ไม่ให้ทำไปมากกว่านั้น

                "ไม่เอาน่าซุงไทเธอไม่อยากจะเห็นเหรอพลังของแอพปีศาจอีกอันที่เขาถือครองอยู่น่ะ"

                ในที่สุดก็โผล่หางออกมาเจ้าโพแทสเซียมตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว

                ตั้งใจไม่ทำอะไรทั้งที่เดอะเธียเตอร์ในความดูแลของตัวเองกำลังถูกสัตว์เทวะรุกรานก็เพื่อจะดูพลังที่แท้จริงของแอพปีศาจที่เขาถือครองอยู่

     

                "ถ้าปล่อยไว้เจ้านั่นจะทำให้ฮาบิแททพอยท์กลับมาแล้วเดอะเธียเตอร์นี่ก็จะหายไปนะแบบนั้นแกยอมได้เหรอ"

                มิ่งขวัญตะหวาดแต่ราชครูมนุษย์ต่างดาวก็ทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน

                "อ๋า นั่นสินะถ้าปล่อยไว้แบบนี้เดอะเธียเตอร์ก็คงจะพังเอาถ้าเป็นแบบนั้นชาวโลกที่อยู่ที่นี่ก็ต้องตายหมดแต่ว่าถ้าผมไปแย่งค่าประสบการณ์จากเธอมาก็ผิดต่อคำพูดของซุงลูลู่ที่ไหว้วานให้ช่วยเก็บเลเวลให้เธอด้วยน่ะสิ อ้าแย่จังผมไม่ใช่ชาวโลกแบบเธอจะทำอะไรขัดแย้งกันเองแบบนั้นก็ไม่ได้ด้วยทำยังไงดีน้า~"

     

                ในตอนนั้นเองร่างของสัตว์เทวะก็เปล่งแสงสว่าง

                แสงทำให้บาดแผลสมามตัวอย่างรวดเร็วรวมถึงทำให้แขนที่ขาดไปแล้วงอกกลับขึ้นมาใหม่แม้แต่แถบพลังชีวิตที่โดนมิ่งขวัญทำให้ลดลงไปก็ยังฟื้นกลับขึ้นมาจนเต็ม

     

    Heraldic Beast Deity: The Scapegoat Harambael Lv.40

    [/////30000:30000/////]

     

     

                สัตว์เทวะที่ฟื้นคืนชีพโดยสมบูรณ์ลุกขึ้นมาแต่ดวงตาของมันกลับคืนจากสีแดงเป็นขาวขุ่นเหมือนตอนแรกที่มันปรากฏตัวแล้วเริ่มกลับไปพูดเหมือนตอนต้น

                "อา...มนุษย์ผู้น่าเวทนาเอ๋ยเราจะช่วยเหลือพวกเจ้าเอง"

               

                มิ่งขวัญจิกปากด้วยความเจ็บใจ

                "สกิลฟื้นพลังงั้นเหรอ"

                แล้วบินกลับไปเผชิญหน้ากับสัตว์เทวะอีกครั้ง

                ทุกอย่างแทบจะกลับไปเริ่มต้นใหม่สัตว์เทวะหดรังสีอาฆาตแค้นกลับไปหมดจนไม่เหลือเค้าของความอันตรายแบบเมื่อครู่เพียงแต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือเมืองที่พังพินาศไปและผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายในการต่อสู้

     

                ระหว่างนั้นโพแทสเซียมก็ชักเอาแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทขึ้นมาสวมแล้วเริ่มพูดจ้ออย่างอารมณ์ดี

                "สกิลชื่อว่าเชริสอะไวเปอร์ (Cheris  A Viper) ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่งชั่วขณะหนึ่งและเมื่อผลนั้นหมดลงจะฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับระหว่างที่คลั่งให้ด้วยอะฮะเป็นสัตว์เทวะที่จัดการยุ่งยากเอาเรื่องเลยนะนี่"

     

                ไทเทเนียมที่เห็นแว่นตานั่นเข้าก็สงสัยจึงเอ่ยปากถาม

                "ท่านคะแว่นตานั่นคือ..."

                "อ้อเจ้านี่น่ะเหรอ"

                โพแทสเซียมถอดแว่นออกแล้วตอบคำถามให้อย่างง่ายๆ

                "พอดีเก็บมาจากพวกชาวโลกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังขับไล่ผู้รุกรานแห่งเมตไตรยน่ะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจดีนะสามารถบอกข้อมูลของสัตว์เทวะได้อย่างละเอียดไปจนถึงสกิลทุกสกิลที่มีเลย"

                บนเลนส์แว่นตาที่ถอดออกมานั้นมีตัวหนังสือกับตัวเลขบอกค่าสถานะฉายอยู่

                ไทเทเนียมเห็นแค่นั้นก็พอจะเดาได้ว่าค่าเหล่านั้นเป็นของสัตว์เทวะที่กำลังอาละวาดอยู่ที่นี่

                โพแทสเซียมกล่าวต่อไปว่า

                "ชาวโลกนี่ก็น่ากลัวนะค่อยๆ ถลำลึกลงไปในเขตหวงห้ามมาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าพวกเขายังทำตัวไม่ดีแบบนี้ต่อไปล่ะก็พระเจ้าท่านต้องทรงพิโรธจนทำให้ดาวดวงนี้หายไปซักวันแหง"

                "ที่ว่านั่น..."

                ไทเทเนียมถามยังไม่ทันจะขาดคำดีก็พลันรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาเธอจึงก้าวเท้าหลบเฉียงออกไปข้างทางเพื่อให้อันตรายนั่นผ่านพ้นไป โพแทสเซียมก็ทำเช่นเดียวกันแต่ก้าวไปทิศตรงข้ามกับเธอ

     

                แล้วในทันทีตรงจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่หลังคาสังกะสีของบ้านทั้งหลังก็หล่นโครมใส่ที่ตรงนั้นสัตว์เทวะเป็นผู้ขว้างมามันถูกมิ่งขวัญหลอกล่อให้ออกห่างจากผู้คนที่กำลังอพยพหนี

                เมื่อหยิบจับอะไรได้ก็ขว้างใส่ทันทีแต่ก็ไม่อาจโดนมิ่งขวัญที่บินหลบหลีกด้วยความรวดเร็วที่ยากจะตามทัน

     

                มิ่งขวัญบินวนไปรอบๆ คอยหลบสิ่งของที่สัตว์เทวะโยนมาโดยไม่เข้าไปโจมตี

                เขาไม่อยากจะเลเวลอัพถ้าหากจัดการสัตว์เทวะก็จะช่วยเหลือคนที่ยังเหลือรอดได้แต่ถ้าทำอย่างนั้นค่าประสบการณ์ที่ได้จากการโค่นมันก็จะทำให้เลเวลของเขาอัพในทันที

                ระหว่างที่ลังเลว่าจะจัดการหรือไม่ดีสัตว์เทวะก็พละความสนใจแล้วหันกลับไปไล่มนุษย์แทน มันเป็นเรื่องปกติเพราะแต่เดิมสัตว์เทวะให้ความสำคัญในการกำจัดมนุษย์มากกว่าจะมายุ่มย่ามกับพวกมนุษย์ต่างดาว

                มิ่งขวัญบินอ้อมตัดหน้าสัตว์เทวะแต่ก็ไม่ได้ผลสัตว์เทวะเดินผ่านเขาไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

     

                "โธ่เว้ย!"

                มิ่งขวัญสบถมันสายเกินไปแล้วที่จะดึงความสนใจของสัตว์เทวะแค่นั้นยังไม่พอตอนนี้พลังของแอพปีศาจที่สร้างปีกให้ก็หมดฤทธิ์ลงในตอนนั้น

                ปีกทั้งสามคู่แตกละเอียดเป็นผุยผงแต่ถึงจะร่วงลงจากความสูงเกือบสิบเมตรมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์

                มิ่งขวัญโรยตัวลงสู่พื้นโดยง่ายขณะเดียวกันโพแทสเซียมและไทเทเนียมก็เดินมาจากฝั่งโรงพยาบาล เดินสวนกับสัตว์เทวะโดยที่ไม่ได้ทำอะไรสัตว์เทวะเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาที่เดินผ่านไปเช่นกัน

                "โพแทสเซียม!"

                มิ่งขวัญคำรามพร้อมกับเงื้อดาบวิ่งเข้าใส่ แต่ไทเทเนียมก็ย้ายตัวมายืนขวางเบื้องหน้าเจ้านายเพื่อปกป้อง

                ทว่าโพแทสเซียมกลับยิ้มเยาะแล้วผลักไทเทเนียมที่เข้ามาบังออกไป

                "ถ้าปล่อยให้มันคลั่งอีกล่ะก็จะไม่มีโอกาสกำจัดมันแล้วนะครับ"

                และพูดพร้อมกับใช้มือจับข้อมือของมิ่งขวัญเอาไว้ทำให้ฟันลงมาไม่ได้ก่อนจะออกแรงบีบเพียงเล็กน้อย

     

                "โอ๊ย!"

                มิ่งขวัญโอดครวญเขารีบแกะมือของโพแทสเซียมออกจากกำปั้นแต่ความพยายามนั้นไม่เป็นผลมือของโพแทสเซียมแข็งดุจเหล็กกล้าไม่ว่าจะพยายามแกะอย่างไรก็แกะไม่ออก

                โพแทสเซียมพูดต่อไปว่า

                "ไม่อย่างนั้นคงต้องงัดไม้ตายแบบที่จัดการทีเดียวจอดมาใช้อย่างเช่น..."

                พลางเลื่อนสายตาเจ้าเล่ห์ไปที่โล่ในมือซ้ายของมิ่งขวัญ

                "แอพปีศาจต้องห้ามที่อยู่มือซ้ายนั่น"

                พูดโดยที่เพิ่มแรงบีบมากขึ้นไปเรื่อยๆ

                ยิ่งแรงบีบเพิ่มมิ่งขวัญก็ยิ่งร้องโอดครวญเสียงดังขึ้นเท่านั้นจนเมื่อแรงบีบมากพอที่จะขยี้ข้อมือจนแหลกได้ก็มีเสียงเหมือนกระดูกหักดังกร๊อบ

                "อ๊ากก!"

                มิ่งขวัญกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพลันปล่อยดาบในมือทิ้งไป

                "ตายล่ะเผลอใส่แรงมากไปหน่อยแบบนี้ก็ใช้ดาบไม่ได้แล้วสิครับ"

                โพแทสเซียมพูดแล้วจึงปล่อยมือ

                มิ่งขวัญใช้มืออีกข้างจับข้างที่หักเอาไว้ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก

                "แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะก็ยังมีโล่นั่นอยู่อีกนี่นะขอให้ผมได้ชมพลังของมันเป็น มิ่งขวัญตาหน่อยเถอะ อะฮะฮะ มิ่งขวัญตา เป็นการเล่นคำตลกดีนะว่าไหม"

     

                แต่มิ่งขวัญไม่คิดอย่างนั้นที่จริงไม่ว่าจะใช้แอพปีศาจหรือไม่ก็สามารถจัดการสัตว์เทวะตัวนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้วแต่ว่าหากทำอย่างนั้นเลเวลของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่องนี้เท่านั้นที่ยังไงก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้

                "นี่คิดจะปล่อยให้มนุษย์ตายกันหมดหรือไงเดอะเธียเตอร์มันสำคัญนักไม่ใช่เหรอถ้าอย่างนั้นก็ปกป้องมนุษย์เซ่ !!"

                มิ่งขวัญตะคอกใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะเลือดสูบฉีดขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวทั้งอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ราชครูลำดับที่สี่ตอบกลับเขามาก็เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ

     

                "เหปกป้องเหรอดูท่าว่าเธอจะเข้าใจอะไรผิดไปนะซุงมิ่งพวกผมน่ะไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องชาวโลกซักหน่อยพวกเราแค่เลี้ยงเอาไว้ต่างหากถ้าตายก็หามาเติมใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง"

                ได้ฟังดังนั้นมิ่งขวัญก็ขบกรามแน่นจนเสียงดังกรอด

                ไม่มีประโยชน์ที่จะคาดหวังให้พวกมนุษย์ต่างดาวที่ไม่แยแสในตัวมนุษย์มาปกป้องมนุษย์

                สิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือรอ

                รอเพียงอย่างเดียวจนกว่าความเสียหายจากสัตว์เทวะจะมีมากเกินควบคุมถึงตอนนั้นโพแทสเซียมก็คงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

     

                นี่เป็นเกมวัดใจที่วางเดิมพันด้วยชีวิตของมนุษย์...

                มิ่งขวัญมองจากบนท้องฟ้าลงไปยังฝูงชนที่กำลังหนีตาย

     

                ไม่ใช่คนรู้จักไม่ใช่ครอบครัวไม่ใช่เพื่อนสนิทคนเหล่านั้นก็แค่คนอ่อนแอที่มีความรู้สึกสงสารให้ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อคนเหล่านั้น

                ไม่จำเป็น...

                เขาบอกกับตัวเองเช่นนั้นแล้วเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับกดข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ไม่ให้รับรู้อีกว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบใดอยู่

                "ถ้าเป็นศรล่ะก็..."

                ถ้าเป็นพี่ชายที่เก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดีในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงเลือกทำแบบเดียวกันและคงทำได้ดีกว่า ในตอนนั้นเอง

     

                ปัง! เสียงปืนเช่นเดียวกับตอนนั้นได้เรียกสายตาของมิ่งขวัญกลับมา

                ที่หน้าผากของสัตว์เทวะกลายเป็นรูโหว่การอาละวาดอย่างบ้าคลั่งกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

     

                "โอ๊ะโอคลั่งอีกแล้วแน่ะปล่อยไว้จะดีเหรอ"

                โพแทสเซียมพูดเหมือนกับจะเร่งให้ความอดทนของมิ่งขวัญหมดลง

                แต่จะไม่มีวันเป็นแบบนั้นเด็กหนุ่มตั้งใจจะไม่เต้นไปตามคำพูดเหล่านั้นเด็ดขาด

     

                "มนุษย์ทำไมถึงปฏิเสธเราพวกแกต้องตาย มนุษย์ต้องตาย!"

                บทพูดแบบเดิมๆ ท่าทีแบบเดิมๆ สัตว์เทวะทำทุกอย่างซ้ำเดิมราวกับว่าทั้งความคิดและการกระทำเป็นเพียงระบบที่ถูกตั้งโปรแกรมมา

                แล้วเมื่อดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำความรู้สึกอึดอัดก็แผ่พุ่งออกมาจนผิดสังเกต จนรู้สึกว่ามองข้ามไปไม่ได้ทั้งที่น่าจะเหมือนกับจิตสังหารอย่างที่เคยๆ แต่หนนี้กลับไม่เหมือนเดิมเจ้าความรู้สึกอึดอัดที่ว่านี่รุนแรงกว่าครั้งก่อนที่มันคลั่งอย่างเทียบกันไม่ติด

     

                จู่ๆ สัตว์เทวะก็หยุดไล่ตามแล้วอ้าปากสูดลมเข้าไปจนกระทั่งท้องบวมเป่ง ต้นตอของความรู้สึกอึดอัดที่ว่าได้สำแดงตัวออกมาก็ตอนที่สัตว์เทวะพ่นลมหายใจที่สูดเข้าไปทั้งหมด

                สิ่งที่พุ่งออกจากปากไม่ใช่มวลอากาศที่ถูกสูดเข้าไปแต่เป็นลำแสงพระเพลิงที่เผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลีแทน

                ลำแสงเพลิงพุ่งตรงไปยังฝูงชนที่กำลังหนีกระทบเข้ากับพื้นแล้วระเบิดออกและไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นแต่ยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าจนเกือบจะถึงตัวโรงพยาบาลที่พวกมิ่งขวัญเคยยืนอยู่ ก่อนจะระเบิดซ้ำอีกครั้ง

                ถนนแปรสภาพเป็นทะเลเพลิงไปในชั่วพริบตา

                ทุกอย่างถูกกลืนหายเข้าไปในไฟไม่ว่าจะผู้คนอาคารบ้านเรือนหรือแม้แต่พวกมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ที่บังเอิญอยู่แถวนั้นก็ถูกลูกหลงไปด้วย

                ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้แต่อย่างเดียวนั่นคือสิ่งประจักษ์แก่สายตา มิ่งขวัญขบกรามตัวเองแน่นพอๆ กับมือที่กำดาบจนเล็บจิกมือเลือดไหล ความตายของผู้คนเหล่านั้นยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตา

                มิ่งขวัญเลือกหนทางนี้ด้วยตัวเองเขาทำใจเอาไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริงถึงได้รู้ว่าการแบกรับความตายของใครซักคนมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

                ทันทีที่คนเหล่านั้นตายไปทุกอย่างก็จบลงอยู่เพียงแค่นั้น มันควรจะเป็นอย่างที่ว่าแต่เด็กหนุ่มกลับไม่สามารถมองข้ามความตายเหล่านั้นไปได้ความตายที่อาจจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากว่าเขาไม่เลือกหนทางนี้

     

                "เมื่อกี้เป็นสกิลอัคคีราโอสินะ ว้าเล่นซะเละไปหมดเลย"

                โพแทสเซียมเอ่ยด้วยท่าทีเสียดายแต่กลับยังไม่ยอมเคลื่อนไหวทั้งที่เมืองแทบจะพังพินาศแต่เกมวัดใจก็ยังคงดำเนินต่อไปใครจะเป็นฝ่ายที่ก้าวเท้าออกไปก่อนกันกำลังจะตัดสินผลในอีกไม่ช้า....

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×